หมดปัญหา "คนท้อง" ก็มาถึงปัญหา "คนแท้ง" ท่านพระครูมีอันต้องรับปรึกษาปัญหาทุกรูปแบบโดยไม่คิดราคาค่าจ้าง "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก" เป็นคาถาที่ท่านท่องไว้ในใจ ยามใดที่เกิดความเหนื่อนหน่ายท้อแท้ ก็ได้ใช้คาถาบทนี้ชำระจิตใจให้ชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาและมีกำลังใจ ที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือด้วยเมตตาต่อไป
สตรีวัยยี่สิบเศษคลานเข้าไปหาท่านพระครู พูดด้วยเสียงแผ่วเบาเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน ปัญหาที่หล่อนจะปรึกษาท่านในวันนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย จึงไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้
"หลวงพ่อคะ หนูนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ฝันร้ายทุกคืนเลยค่ะ"
"อ้าว นอนไม่หลับแล้วจะฝันได้ยังไง หรือว่าฝันทั้งที่ลืมตาอยู่ ถ้าเป็นแบบนั้นจะเรียกว่าฝันได้หรือ หนูนี่มาแปลก" ท่านพระครูพูดด้วยเสียงปกติ เพระเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาต้อง 'หรี่เสียง'
สาเจ้าของเรื่องทำหน้างง แล้วตอบใหม่ว่า "คือนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนน่ะค่ะหลวงพ่อ หลับๆ ตื่นๆ แต่พอหลับก็ต้องฝันร้ายจนสะดุ้งตื่น เป็นอย่างนี้มาหลายคืนแล้วค่ะ หลวงพ่อช่วยหนูด้วย"
"จะให้ช่วยยังไงล่ะจ๊ะ"
"ช่วยให้หนูนอนหลับโดยไม่ฝันร้ายน่ะค่ะ หนูเคยพึ่งยากล่อมประสาทที่เขาเรียกว่ายานอนหลับ แต่มันได้ผลแค่ระยะแรกๆ เห็นเขาว่าทานมากๆมันอันตราย หนูก็เลยต้องมาขอพึ่งบารมีหลวงพ่อค่ะ"
"ที่ว่าฝันร้ายน่ะฝันว่ายังไงจ๊ะ"
"ฝันว่ามีเด็กผู้ชายมาทำร้าย มาบีบคอบ้าง ตัดแขนตัดขาบ้าง บางทีก็มาควักลูกตา ทำให้หนูเจ็บปวดมากค่ะ"
ท่านพระครูใช้เห็นหนอตรวจสอบ จึงได้รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเพิ่งไปทำแท้งมา วิญญาณของเด็กคนนั้นมีความอาฆาตพยาบาทแรงกล้าถึงขั้นจะเอาชีวิตหล่อน การที่หล่อนต้องฝันร้ายและนอนไม่หลับ เป็นผลของกรรมที่ทำในชาตินี้ ซึ่งมาให้ผลทันตาเห็น คือเป็น 'ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม'
เห็นกรรมของหล่อนแล้วท่านจึงตะล่อมถามว่า "แล้วหนูเคยไปทำอะไรไว้กับเด็กเล่าจ๊ะ ที่หลลวงพ่อเห็นน่ะเป็นวิญญาณอาฆาตของเด้กผู้ชาย เขาต้องการจะเอาชีวิตหนู เพราะหนูไปสร้างกรรมไว้กับเขา"
ฟังถ้อยคำของท่านพระครูแล้ว หญิงสาวคนนั้นก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น เกิดรักตัวกลัวตายเสียดายชีวิตขึ้นมาในทันใด
หล่อนสารภาพด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "หนูไปทำแท้งมาค่ะหลวงพ่อ ตอนทำก้เกือบเอาชีวิตไม่รอด หลังจากนั้นก็นอนไม่หลับและฝันร้ายมาตลอด หลวงพ่อช่วยหนูด้วย"
"เด็กที่ออกมาเป็นผู้ชายใช่ไหม" ท่านถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาเช่นเดียวกัน
"ใช่ค่ะ ท่าทางเขาไม่อยากออก หนูรู้สึกอย่างนั้นค่ะ"
"ใช่สิ ก็เขาอยากเกิดแต่หนูไม่ยอมให้เขาเกิด"
หญิงสาววัยต้นสะอื้นหนักขึ้น บอกละล่ำละลักว่า "หนูอยากค่ะ แต่...แต่แฟนหนูเขาไม่ยอมรับ หนูกลัวจะต้องอับอายขายหน้าชาวบ้านที่ท้องไม่มีพ่อ เลยตัดสินใจทำแท้ง"
"เขาไม่ยอมรับก็ช่างเขา แต่เมื่อหนูก่อกรรมขึ้นมาก็ต้องยอมรับกรรมด้วยตัวเอง ถึงคราวจะต้องอายก็ต้องยอม ดีกว่าไปทำแท้ง รู้ไหมว่าเด็กเขาอาฆาตหนูมากเลยนะ"
"หลวงพ่อไม่มีทางช่วยหนูเลยหรือคะ ได้โปรดเถิดค่ะ" หล่อนอ้อนวอน
ท่านพระครูนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะพูดว่า "หลวงพ่อช่วยได้ไม่มากนักหรอก คนที่จะช่วยได้มากที่สุดคือตัวหนูเอง ว่าแต่หนูจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำได้ไหมล่ะ"
"ได้ค่ะ หลวงพ่อกรุณาบอกมาเถิดค่ะ หนูจะทำตามทุกอย่าง" หล่อนรับคำอย่างง่ายดาย
"งั้นก็ดีแล้ว หลวงพ่อสั่งให้หนูมาเข้ากรรมฐานที่วัดนี้สิบห้าวัน ระหว่างนี้ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาทุกวัน บางทีเขาอาจจะยอมอโหสิกรรมให้ แล้วหลวงพ่อจะช่วยอีกแรงหนึ่ง ช่วยเจรจาต่อรองกับเขาให้"
ได้ยินว่าจะต้องมาอยู่วัดถึงครึ่งเดือน สาวน้อยก็ปฏิเสธเสียงดังว่า "ไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ หนูมาไม่ได้เพราะต้องทำงาน เจ้านายเขาคงไม่ให้ลา"
"อ้าว เมื่อกี้รับปากอบ่างง่ายดาย ไม่ทันไรก้เปลี่ยนใจเสียแล้ว ก็ไหนว่าจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ"
ท่านพระครูพูดด้วยเสียงเรียบๆ ไม่โกรธไม่ขึ้ง ท่านชินชาแล้วกับความรวนเรของจิตใจมนุษย์
"หลวงพ่อช่วยด้วยวิธีอื่นไม่ได้หรือคะ" หล่อนต่อรอง
"วิธีอื่นคืออะไรเล่าจ๊ะ ช่วยแนะนำหลวงพ่อหน่อยสิ"
"ก็รดน้ำมนต์ เสกคาถา อะไรทำนองนี้แหละค่ะ"
"อ๋อ หนูชอบของปลอมหรือ ของจริงรับไม่ได่ใช่ไหม หนูจำไว้เลยว่าถ้าหนูชอบของปลอม ชีวิตหนูก็จะพบแต่ของปลอมๆ มีความรักก็ต้องพบแต่รักปลอมๆ หนูต้องการอย่างนั้นหรือจ๊ะ"
"หนูต้องการของแท้และรักแท้ค่ะ แต่ก็ไม่เคยได้อย่างที่หวังสักครั้ง เป็นเพราะอะไรหรือคะหลวงพ่อ"
"เพราะหนูเป็นคนใจคอรวนเรน่ะสิ หลวงพ่อขอพูดตรงๆอย่างนี้แหละ จะโกรธก็ไม่ว่ากัน ถ้าหนูใจเด็ดเดี่ยวหนักแน่น หนูก็จะไม่ต้องเป็นแบบนี้ ที่หลวงพ่อพูดมานี่จริงไหม"
"จริงค่ะ จริงทุกอย่าง หนูยอมรับค่ะ"
"จะไม่ยอมรับก็ได้ ไมว่ากันอยู่แล้ว" ท่านพูดเรื่อยๆ
"ตกลงหลวงพ่อจะรดน้ำมนต์ให้หนูไหมคะ" คนยอมรับยังยืนยันความคิดเดิม
"อะไร นี่หลวงพ่อพูดมาตั้งนานหนูยังไม่เข้าใจอีกหรือ ก็ไหนว่ายอมรับไงล่ะ"
"ค่ะ หนูยอมรับว่าหลวงพ่อพูดถูก แต่หนูไม่สามารถทำตามที่หลวงพ่อแนะนำได้ หนูต้องทำงานค่ะ หลวงพ่อกรุณารดน้ำมนต์ หรือไม่ก็ช่วยเป่าหัวให้หนูหมดทุกข์หมดโศกเถอะค่ะ"
"เสียใจจ้ะหนู หลวงพ่อทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ปัญหาของหนูแก้ไม่ได้ง่ายๆนะหนู นอกจากวิธีที่หลวงพ่อแนะนำแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะแก้ได้" ท่านรู้ว่าอีกไม่นาน สตรีผู้นั้นจะกลายเป็นคนวิกลจริตเพราะกรรมนั้น
"แต่หนูไม่มีเวลาจริงๆค่ะหลวงพ่อ อย่าว่าแต่สิบห้าวันเลย แค่สามวันหนูก็คงมาไม่ได้" คนห่วงงานมากกว่าห่วงชีวิตตอบ
"งั้นก็ตามใจหนูก็แล้วกัน ถ้าหนูทำไม่ได้หลวงพ่อก็ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แล้วก็บอกไม่ได้ด้วยว่าหนูจะต้องทุกข์ทรมานไปอีกนานเท่าไร หลวงพ่อช่วยแนะนำได้แค่นี้แหละ จะให้รดน้ำมนต์หรือเป่าหัวน่ะ หลวงพ่อไม่ทำหรอก เพราะมันช่วยไม่ได้ พระเจริญไม่ชอบหลอกลวงใคร"
"งั้นหนูจะลองไปหาวัดอื่นดู เผื่อจะมีหลวงพ่ออื่นช่วยได้" หล่อนยังมีความหวัง
"ไม่มีหรอกหนู เชื่อหลวงพ่อเถอะ อย่าเสียเวลาไปเลย" ท่านแนะนำด้วยความหวังดี
"ก็หลวงพ่อไม่ช่วยนี่คะ หนูถึงต้องไปวัดอื่น หนูลาละค่ะ" หล่อนกราบสามครั้งแล้วลุกออกไปด้วยอาการขุ่นเคือง
ท่านพระครูส่ายหน้าอย่างระอา แล้วพูดกับคนในที่นั้นว่า "ดูเอาเถิดญาติโยมทั้งหลาย บอกของจริงให้กลับไม่เอา จะไปเอาของปลอม แล้วจะไปแก้ปัญหาได้อย่างไร แบบนี้เขาเรียกว่าแก้ปัญหาไม่ถูกจุด อย่างที่คนโบราณเขาว่า 'แก้ปัญหาไม่ถูกจุด เหมือนกินมังคุดไม่ถูกเม็ด"
"ผมเคยได้ยินแต่ว่า 'แก้ปัญหาไม่ถูกจุด เหมือนกินละมุดถูกเม็ด' ครับ" พระบัวเฮียวแย้งเรียบๆ ไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดครูบาอาจารย์ แต่ปากมันไวไปหน่อย ก็ฝึกมันไว้จนเคย
"มันก็เหมือนกันแหละน่า" ท่านพระครูแก้
"ไม่เหมือนครับ เพราะเม็ดมังคุดน่ะอร่อย กินได้ แต่เม็ดละมุดกินไม่ได้ หรือว่าหลวงพ่อเคยกินเม็ดละมุดครับ" ศิษย์คนซื่อถามซื่อๆ
"ไม่เคยหรอก แต่ที่ฉันว่าเหมือนนั้นฉันหมายถึงว่ากินมังคุดไม่ถูกเม็ดกับกินละมุดถูกเม็ดน่ะ มันก็ครือๆกัน คือไม่บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการไงล่ะ" อาจารย์ตอบ
สตรีอีกผู้หนึ่งคลาเข้ามากระซิบกระซาบกับท่านพระครูว่า "หลวงพ่อคะ หมอเขาว่าดิฉันเป็นมะเร็งที่มดลูก เป็นเพราะกรรมอะไรคะ"
ท่านพระครูตอบด้วยเสียงเบาๆว่า "สาเหตุของมะเร็งมดลูก ถ้าจะมองในแง่กรรมก็มีสองอย่าง อย่างแรกเพราะคนๆนั้นผิดศีลข้อสาม อีกเหตุเพราะการทำแท้ง โยมโดนข้อไหนล่ะ อย่างแรกหรืออย่างหลัง"
คนถูกถามทำท่าลังเล แต่ในที่สุดก็ตอบว่า "อย่างหลังคะ ฉันเคยทำแท้งเมื่อสามปีก่อน แต่หลวงพ่อคะ แม่ฉันก็ตายด้วยโรคมะเร็งมดลูก ทั้งๆที่แกไม่เคยผิดศีลข้อสามเลย แล้วก็ไม่เคยทำแท้งด้วย ฉันสาบานได้ว่าแกไม่เคยทำจริงๆค่ะ"
"ไม่เคยในชาตินี้น่ะสิ ชาติที่แล้วหรือชาติก่อนๆต้องเคย ถ้าไม่มีเหตุ ผลมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จริงไหม"
"จริงค่ะ แล้วฉันจะมีทางรักษาไหมคะ หมอเขาไม่ยอมรักษาฉัน เขาให้เวลาสามเดือนเท่านั้น" คราวนี้หล่อนเริ่มร้องไห้เพราะเสียดายชีวิต
"หมอเขาว่าอย่างนั้นหรือ"
"ค่ะ เขาไม่ได้บอกกับฉันโดยตรง เชาบอกกับพี่สาวฉันมาอีกทีนึง หลวงพ่อพอจะช่วยฉันได้ไหมคะ"
"ได้ แต่โยมต้องช่วยตัวเองด้วย เวลาสามเดือนที่เหลืออยู่นั้น ให้โยมมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดนี้ ปฏิบัติให้เต็มกำลังความสามารถ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ถ้าเขายอมอโหสิกรรมให้ก็จะหาย ถ้าเขาไม่อโหสิ โยมก็จะตายอย่างมีสติ ทำได้ไหมล่ะ"
"ได้ค่ะ ฉันเตรียมเสื้อผ้ามาแล้ว ขออยู่ตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ"
"งั้นเดี๋ยวจะให้สมชายพาไปส่งที่สำนักชี"
รายต่อไปเป็นหญิงสาววัยเบญจเพศ หล่อนคลานเข้ามากราบท่านพระครู แล้วพูดด้วยเสียงค่อนข้างดังว่า หลวงพ่อคะ หนูถูกไอ้มนุษย์ใจสัตว์มันข่มขืน ตอนนี้ท้องสามเดือนแล้วค่ะ แม่หนูจะให้เอาเด็กออก แต่หนูไม่ยอม หนูกลัวบาปกลัวกรรมค่ะ"
หล่อนพูดอย่างไม่ยีหระต่อสายตาใคร ความเลวร้ายที่ชีวิตต้องประสบได้หล่อหลอมให้หล่อนเป็นคนกล้าและกร้าว
"ดีแล้วละหนู คิดอย่างนั้นได้ก็ดี นึกเสียว่าเป็นกรรมของเรา หลวงพ่อไม่สนับสนุนให้ใครฆ่าชีวิตที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตาม เวรจะระงับได้ก็ต้องไม่จองเวรนะหนูนะ"
"แต่หลวงพ่อคะ ปัญหาของหนูก็คือ หนูกล้วว่าเด็กเกิดมาจะมีนิสัยชั่วร้ายเหมือนพ่อของมัน หนูพอจะมีทางแก้ไขอะไรได้บ้างไหมคะ คือหนูไม่อยากทำแท้ง แต่ก็ไม่อยากให้ลูกออกมาเลว หลวงพ่อกรุณาช่วยแนะนำด้วยเถอะค่ะ"
"ไม่ยากเลยหนู ป้ญหาของหนูง่ายมาก ญาติโยมทั้งหลายฟังเอาไว้ด้วยนะ ถ้าใครอยากให้ลูกเกิดมาดี เกิดมาฉลาด พ่อแม่ต้องมาเข้ากรรมฐาน ยิ่งมาปฏิบัตตอนที่ลูกยังอยู่ในท้องก็ยิ่งดี อาตมารับรองร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าเด็กจะต้องเกิดมาดี ถึงเขาจะมีเชื้อสายของโจร แต่ก็จะเอาดีได้"
"แล้วคนท้องมาปฏิบัติต้องอดอาหาร จะไม่ทำให้เด็กในท้องขาดอาหารหรือคะ" คนท้องสามเดือนถาม
"เราอนุโลมได้ คนท้องกับคนป่วย ถ้ามาเข้าปฏิบัติ ก็ให้รับประทานมื้อเย็นได้" พระบัวเฮียวเป็นคนตอบ
"งั้นหนูจะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่กรุงเทพฯ แล้วพรุ่งนี้หนูจะมาอยู่วัดเลยนะคะ ดีเหมือนกัน จะได้หนีคำครหานินทาของเพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้าน ถึงหนูไม่ได้ใส่ใจเอามาเป็นอารมณ์ แต่บางครั้งมันก็อดหงุดหงิดไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ คนเรานี่ก็แปลก ชอบซ้ำเติมคนอื่น ไม่ช่วยแล้วยังมาซ้ำเติมให้เจ็บปวดหนักขึ้นไปอีก" หล่อนพูดเสียงกร้าว
"หนูอย่าไปถิอโทษโกรธเคืองเขาเลย คนเราถ้าลงได้ซ้ำเติมผู้ที่ประสบเคราะห์กรรม ก็แสดงว่าจิตใจเขาแย่มาก น่าสงสาร หนูควรอภัยและแผ่เมตตาให้เขา คนที่มีจิตใจอกุศลเช่นนี้ เป็นคนน่าสงสารนะหนูนะ"
"ค่ะ แล้วหนูจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ ต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่ได้เมตตาช่วยเหลือ ทำให้หนูสบายใจขึ้นมาก หนูกราบลาละค่ะ"
"หลวงพ่อคะ หนูเป็นมะเร็งที่เต้านม หมอเขานัดผ่าตัด หนูอยากเรียนถามหลวงพ่อว่าหนูจะผ่าคัดดีไหมคะ"
'เจ้าทุกข์' อีกรายถาม วันนี้คงจะเป็นวัน 'สตรีแห่งชาติ' เพราะคนที่มาถามปัญหามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น
"ปกติคนที่เป็นมะเร็งมาหา หลวงพ่อจะไม่แนะนำให้ผ่าตัด เพราะโอกาสที่จะหายมีน้อยมาก ประมาณร้อยละห้าเท่านั้น แต่ที่ไม่ผ่าตัดมีโอกาสหายถึงร้อยละเก้าสิบ แต่ต้องมารับการรักษาโดยวิธีของหลวงพ่อ"
"ทำอย่างไรคะ วิธีของหลวงพ่อ"
"ก็มาเข้ากรรมฐานน่ะสิ กรรมฐานรักษาได้ทุกโรค ถ้าเราปฏิบัติจริงจัง"
"แหมหลวงพ่อ อะไรๆ ก็กรรมฐาน ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือคะ" คนถามเริ่มจะหงุดหงิด
"หนูเคยได้ยินไหม 'กรรมฐานแก้กรรม' เคยได้ยินไหม กรรมบางอย่างมันแก้ได้ และวิธีที่ได้ผลที่สุดคือมาเข้ากรรมฐาน"
"หลวงพ่อคะ มะเร็งเต้านมนี่เกิดจากกรรมอะไรคะ" สตรีอีกผู้หนึ่งถาม
"เท่าที่หลวงพ่อสังเกต มันเกิดจากกรรม คือความเครียด เราทำตัวเองให้เครียด มะเร็งมันก็เลยถามหา มะเร็งทุกชนิดมักมีสาเหตุมาจากความเครียด"
"ถามหาก็บอกว่าไม่อยู่เสียก็สิ้นเรื่อง" พราะบัวเฮียวเผลอแซวขึ้นมา เพราะรู้สึกเครียดจากการฟังเรื่องราวเครียดๆ สงสารพระอาจารย์เสียเหลือเกิน
"อย่าเครียด บัวเฮียวอย่าเครียด เดี๋ยวจะเป็นมะเร็งเต้านมเสียหรอก"
"ไม่เป็นหรอกครับหลวงพ่อ ผมไม่ใช่ผู้หญิงนี่ครับ"
"ไม่แน่ เผื่อชาติหน้าเกิดเป้นผู้หญิง อาจเป็นมะเร็งที่เต้านมก็ได้ คือเก็บความเครียดจากชาตินี้เอาไปเป็นมะเร็งชาติหน้าไง เขาเรียกว่าสะสมกรรมเอาไว้"
"คงไม่เป็นหรอกครับหลวงพ่อ ชาติหน้าผมว่าจะไม่เกิด"
"ถ้าเป็นจริงอย่างว่าฉันก็ขออนุโมทนา"
"สาธุ" พระบัวเฮียวยกมือขึ้นพนมเหนือศีรษะ อย่างตั้งใจจะล้อเลียนอาจารย์
"หลวงพ่อคะ หนูไม่ได้ทำตัวเองให้เครียดนะคะ คนอื่นต่างหากที่ทำให้หนูเครียด"
"คนอื่นน่ะใคร"
"สามีค่ะ สามีหนูขี้เหล้า เจ้าชู้ กลับบ้านดึกๆดื่นๆ บางวันก็ไม่กลับ เขาทำให้หนูเครียดมากเลยค่ะ แบบนี้แสดงว่าเขาไม่รักหนูแล้วใช่ไหมคะ" หล่อนถามเสียงเครือ
"เขาจะรักหรือไม่รักไม่สำคัญ เพราะมันจิตใจของเขา เราไปกำหนดหรือบังคับไม่ได้ แต่เราไม่รักตัวเองนี่ซิน่าตำหนิ"
"ใครไม่รักตัวเองคะหลวงพ่อ หมายถึงหนูหรือเปล่าคะ"
"ก็จะให้หมายถึงใครอีกล่ะ"
"โธ่หลวงพ่อ ทำไมหนูจะไม่รักตัวเอง หนูน่ะรักตัวเองมากที่สุดในโลกเลยละค่ะ" สาววัยสามสิบว่า
"ถ้ารักตัวเองก้ไม่ควรจะทำอย่างที่กำลังทำอยู่" ท่านถือโอกาสพูดกับคนทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนั้นว่า "ญาติโยมทั้งหลายโปรดจำเอาไว้ ในอนาคตคนจะเป็นมะเร็งกันมาก เพราะนับวันสิ่งแวดล้อมจะทำให้เราเครียดมากขึน เราต้องฝึกจิตของเราอย่าให้เครียดตาม ความเครียดมันก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง จะเรียกว่ากรรมใหม่ก็ได้ เป็นกรรมที่แก้ไขได้ด้วยการฝึกจิตไม่ให้มันเครียด ใครเขาจะเป็นยังไงก็ช่างเขา ไม่กลับบ้านก็ช่างเขา ไม่ต้องไปเครียด นะหนูนะ" ประโยคหลังท่านพูดกับเจ้าของเรื่องโดยตรง
"ฟังดูง่าย แต่มันทำตามยากค่ะหลวงพ่อ" หล่อนแย้ง
"นั่นสิ หลวงพ่อถึงให้มาฝึกที่วัดไง คิดเสียว่าเวลาที่จะอยู่โรงพยาบาลก็ย้ายมาอยู่เสียที่วัดแทน มาฝึกจิต แต่จิตนี่ก็ฝึกยากนะหนู จะว่ายากที่สุดก็ได้ แต่ถึงจะยากแค่ไหน ถ้าเราพยายามมันก็ไม่พ้นความสามารถของเราไปได้ เมื่อเราฝึกจิตไว้ดีแล้วเราก็จะปลดปลงได้ สิ่งแวดล้อมจะเป็นยังไงเราก็ไม่เอาจิตไปผูกพันหรือหมกมุ่นกับมัน เราก็จะไม่เครียด หนูพอจะเข้าใจไหม"
"เข้าใจค่ะ หลวงพ่อคะ ทำไมคนบางคนเขาไม่ค่อยเจ็บป่วย แต่บางคนก็ขี้โรคทั้งๆที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน" คนเป็นมะเร็งถามอีก
"ถ้าจะสืบสาวไปถึงต้นตอจริงๆ ก็ต้องพูดว่าเป็นเรื่องของกรรม การที่เขาไม่ค่อยเจ็บป่วยเพราะในอดีตและปัจจุบันเขาไม่ได้เบียดเบียนสัตว์ ส่วนคนขี้โรคถ้าในปัจจุบันเขาไม่ได้เบียดเบียนสัตว์ ก็แสดงว่าเขาเคยเบียดเบียนมันในอดีต ชอบรังแกสัตว์ ทำให้มันต้องทนทุกข์ทรมาน ผลกรรมอันนี้ทำให้เขาเป็นโรคมาก มันเป็นไปตามเหตุและผลนะ เหตุอย่างไรผลก้อย่างนั้น" ท่านพระครูอธิบาย
"แต่กรรมเก่าเราแก้ไม่ได้แล้วก็ต้องยอมรับกรรม ส่วนกรรมใหม่เราแก้ไขได้ เช่นถ้าในอนาคตเราไม่อยากเป็นคนขี้โรค ปัจจุบันเราก็ต้องไม่เบียดเบียนสัตว์ใช่ไหมคะ"
"ถูกแล้วหนู แต่กรรมเก่าเราก็พอจะแก้ไขได้บ้างด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน ถึงแก้ไม่ได้หมดก็พอทำให้ทุเลาลง ตัวอย่างเช่น คนๆหนึ่งเคยไปฆ่าเขาไว้ มาชาตินี้จะต้องถูกเขาฆ่า ถ้าคนๆนั้นมาเข้ากรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้คนที่ถูกเราฆ่า บางทีเขาก็อาจจะอโหสิกรรมให้ แต่ถ้าเขาไม่อโหสิกรรม ตอนเขามาฆ่าจะได้ทำใจได้ว่านี่เป็นเพราะเราเคยไปฆ่าเขาก่อน เขามาทวงเอาชีวิตก็ต้องยอมให้เขาเอาไป เมื่อคิดได้เช่นนี้จิตก็จะไม่ผูกพยาบาท ไม่จองเวรจองกรรมกันต่อไปอีก นี่คือประโยชน์ของการมาเข้ากรรมฐาน ส่วนคนที่ไม่เคยมาปฏิบัติก็ไม่รู้ว่านั่นคือกรรมเก่า เวลาจะตายก็ตายแบบจิตมีความอาฆาตพยาบาท เมื่อจิตเป็นอกุศลก็ต้องไปตกนรก ต้องเวียนว่ายใช้กรรมใช้เวรกันต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ที่หลวงพ่อพูดว่ากรรมฐานแก้กรรมได้ มีความหมายอย่างที่อธิบายมานี่แหละ"
"น่าเสียดายนะคะหลวงพ่อ กรรมฐานมีประโยชน์มากมายถึงเพียงนี้ แต่คนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็น หาว่ามานั่งหลับหูหลับตา หาประโยชน์ไม่ได้ สู้ไปทำมาหากินดีกว่า คนส่วนใหญ่เขาคิดกับแบบนี้ล่ะค่ะ"
"มันก็กรรมของเขาแหละหนู ของอย่างนี้บางทีเราก็ชักจูงเขาไม่ได้ อย่างบางคนอุตส่าห์มาหาหลวงพ่อ แต่พอแนะนำเขาก็รับไม่ได้ เพราะกรรมเขามากและต้องเป็นไปตามนั้น เรื่องของกรรมมันซับซ้อนลึกซึ้งเกินวิสัยที่คนอย่างเราๆ จะมาวิเคราะห์วิจัย"
"แล้วมีใครไหมคะหลวงพ่อ มชที่จะเข้าใจเรื่องกรรมได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง"
"มีซิหนู พระพุทธเจ้าของเราไงล่ะ แต่พระองค์ก็ดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้ว คงเหลือแต่พระธรรมคำสอนไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติกัน"
"แต่บางคนก็ไม่เชื่อนะคะ นอกจากไม่เชื่อพระธรรมคำสอนแล้วยังไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง หาว่าเป็นเรื่องงมงาย คนประเภทนี้มีมาก หนูเคยเจอมาแล้ว"
"ถ้าเขาไม่เชื่อก็เอวัง หลวงพ่อคงจะพูดอะไรไม่ได้มาก นอกจากคำว่า 'เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล' มันเป็นกรรมของเขา เราไม่ต้องไปโต้เถียง เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใด คนที่ตาบอดมาแต่เกิด เขาไม่เชื่อหรอกว่าแสงสว่างมีอยู่จริง ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นหนูอย่าไปโต้เถียงให้เสียเวลาเลย ปล่อยไปตามกรรมของเขา"
ท่านพระครูแนะนำหล่อนให้ 'วางอุเบกขา'
ผู้ประพันธ์ ดรสุทัสสา อ่อนค้อม
หมวดหนังสือ
ตอนนี้ไม่มีเวลาพิมพ์เลยค่ะ
ความจริงจะสกรีนมาลงก็ได้
แต่เลือกที่จะพิมพ์ด้วยมือเราเอง
มากกว่า อยากได้บุญจากธรรมทานน่ะค่ะ