1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31
24 พฤษภาคม 2557
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 10
สัตวฺโลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 10 บ่ายจัดของวันที่แปดนับแต่วันบวช ขณะที่พระบัวเฮียวกำลังเดินไปที่กุฏิท่านพระครูเพื่อให้ท่านสอบอารมณ์ รถตู้สีครีมใหม่เอี่ยมคันหนึ่งก็แล่นเข้าประตูวัดมา มีรถเก๋งสีฟ้าแล่นตามมาติดๆ เมื่อรถสองคันแล่นมาจอดคู่กันที่ลานวัด บุรุษสองคนกับสตรีสามคนได้ลงมาจากรถ พระใหม่ไม่ทันสังเกตว่าคนไหนลงมาจากคันไหน แต่ที่จำได้แม่นยำคือบุรุษที่เดินนำหน้าคนทั้งสี่นั้นมา คือครูที่มาจากนครสวรรค์ และเพิ่งออกจากกรรมฐานกลับไปเมื่อสามสี่วันก่อน คนทั้งห้าเดินไปยังกุฏิท่านพระครูและถึงก่อนหน้าท่านเล็กน้อย เมื่อท่านไปถึงและทำความเคารพพระอุปัชฌาย์แล้ว ครูใหย่จึงแนะนำกับคนทั้งสี่ว่า "นี่หลวงพี่บัวเฮียว อาจารย์สอนกรรมฐานให้พ่อ" แล้วคนทั้งหมดก็ก้มลงกราบท่านสามครั้ง พระใหม่รู้สึกร้อนๆหนาวๆ ที่คนเป็นครูใหญ่ยกย่องให้เกียรติท่านถึงปานนั้น อีกทั้งหญิงสาวสองคนที่มาด้วยก็สวยหยาดเยิ้ม จนท่านรู้สึกขัดเขิน "เจริญพรครูใหญ่ ครูบุญมีกับครูอรุณไม่มาด้วยหรอกหรือ" ท่านพระครูทักทาย กระบวนจำชื่อคนแม่นไม่มีใครเกินท่านเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง "ไม่ได้มาครับ เพราะโรงเรียนเปิดแล้ว ตัวผมก็ลางานมา จะพาครอบครัวมากราบหลวงพ่อ" แล้วจึงแนะนำทีละคน "คุณผ่องพักตร์แม่บ้านของผมครับ สามคนเป็นลูก ชื่อผ่องพรรณ วรรณวิไล ชัยชนะ อายุห่างกันคนละปี เรียนจบได้งานทำกันหมดแล้วครับ" "ท่านพระครูกำหนด 'เห้นหนอ' แล้วพูดว่า "คนนี้ฉลาด จะได้เป็นด็อกเตอร์ ท่านชี้ไปที่วรรณวิไล หญิงสาวยิ้มอายๆ ยกมือขึ้นสาธุ พร้อมกล่าวว่า "ขอให้สมพรปากเถิดเจ้าค่ะ" พระบวชใหม่แอบชื่นชมในใจว่า 'เจ้าประคุณเอ๋ย รูปก็สวย เสียงก็ใส แถมยังความรู้สูงเสียอีก พี่สาวก็สวยไม่แพ้กัน นี่ถ้าให้เราเลือก คงเลือกไม่ถูกละมัง มันเข้าทำนองรักพี่เสียดายน้อง ครั้นจะรักน้องก็เสียดายพี่ จะเอายังไงดีวุ๊ย' ท่านพระครูแอบสำรวจความคิดของพระใหม่ เห็นกำลังฟุ้งซ่านหนัก จึงพูดขึ้นว่า "เห็นไหมบัวเฮียว ที่ฉันบอกเธอว่าครูใหญ่ต้องกลับมาที่วัดนี้อีกภายในเจ็ดวัน ก็กลับมาจริงๆ" "แต่หลวงพ่อบอกว่าจะถูกรางวัลที่หนึ่งด้วยนี่ครับ" พระใหม่ทักท้วง คนเป็นครูจึงกล่าวว่า "เป็นความจริงครับ ผมกำลังจะกราบเรียนหลวงพ่ออยู่พอดี" พระอุปัชฌาย์มองหน้าลูกศิษย์เหมือนจะบอกว่า 'เห็นไหมล่ะบัวเฮียว ที่ฉันพูดไว้น่ะ ผิดเสียที่ไหน' "ผมต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่เมตตาให้ผมมีโชค" ครูใหญ่ยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม "ไม่เกี่ยวกับอาตมาหรอกโยม มันเป็นโชคของโยมเอง อาตมาเพียงแต่รู้เท่านั้น ไม่ว่าอาตมาจะรู้หรือไม่รู้ โยมก็ต้องถูกล้อตเตอรี่อยู่ดี เพราะโยมทำกรรมมาอย่างนั้น เรื่องของกรรมใครทำใครได้ ทำกรรมดีก็ได้ดี ทำกรรมชั่วก็ได้ชั่ว ลูกศิษย์ของอาตมาคนนึง เขาไม่เล่นหวย ไม่เคยซื้อ ไม่ว่าหวยใต้ดินหรือหวยรัฐบาล แต่เมื่อถึงคราวที่กรรมดีมันมาให้ผล เขาก็ถูกรางวัลที่หนึ่งเข้าจนได้... ....เรื่องมันมีอยู่ว่าตาขี้เมาคนนึงมาอ้อนวอนขายให้เขาเพื่อเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน เขาบอกไม่ซื้อเท่าไหร่แกก็ไม่ฟัง จนเขารำคาญเลยควักเงินให้สิบบาทแล้วเอาล้อตเตอรี่มา ตกเย็นล้อตเตอรี่ออก ปรากฏว่าเขาถูกรางวัลที่หนึ่ง เห็นไหมคนมีโชค อยู่ดีดีก็มีคนเอาเงินมาให้ตั้งห้าแสน เขาก็สำนึกถึงบุญคุณตาขี้เมาขึ้นมา ตั้งใจจะเอาเงินไปแบ่งให้บ้าง พอไปตามหาถึงรู้ว่าแกช้อคตายไปแล้ว แกไปเร่ขายจนจำเลขได้ พอรู้ว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง เกิดความเสียดายจนช้อคตาย" ท่านพระครูเล่าจบ ลูกสาวคนโตของครูใหญ่ก็ถามขึ้นว่า "แล้วแบบนี้คนที่ซื้อไปจะบาปไหมคะ" "ไม่บาปหรอกหนู เพราะเขาไม่ได้เจตนา แล้วจิดของเขาก็ไม่มีโลภะ เขาซื้อเพื่อตัดรำคาญ" "ผมว่าตาขี้เมาคนนั้นไม่มีโชคมากกว่า ใช่ไหมครับ หลวงพ่อ" ครูใหญ่ถาม "ก็คงเป็นยังงั้นแหละ เงินอยู่ในมือแล้วยังเอาไปยัดเยียดให้คนอื่น พูดภาษาชาวบ้านก็ว่า ดวงจะไม่ได้ใช้เงิน" "อย่างคนที่ผมรู้จักคนนึงครับ หลวงพ่อ เขาก็ถูกรางวัลที่หนึ่ง เขาเอาเงินไปซื้อรถเก๋งและไปแต่งงานนางงามบ้านหมี่เอามาเป็นเมียน้อย ทั้งที่เมียแกยังอยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ใช้วีวิตอยู่กับอบายมุข ทั้งสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ผลที่สุดก็คือไปดี คือถูกหวยได้ไม่ถึงเดือน ก็ขับรถไปชนกับสิบล้อตายคาที่เลยครับ" ชัยขนะเล่า "นั่นแหละเขาเียกว่าทุกขลาภ เพราะเขาไม่เข้าใจกฏแห่งกรรม ไม่เข้าใจว่าที่ตนร่ำรวยขึ้นมานั้นเป็นเพราะกรรมดีมันมาให้ผล แทนที่จะสร้างกรรมดีเพื่อเติมเชื้อบุญต่อไปอีก กลับไปทำบาปคือประพฤติผิดศีล ก็เลยต้องพบกับหายนะทันตาเห็น" "แสดงว่าคนที่มีเมียน้อยทุกคนจะต้องพบกับหายนะใช่ไหมคะ หลวงพ่อ" คุณผ่องพักตร์ถามขึ้น "คงงั้นมั้ง หรือครูใหญ่ว่ายังไง" "ข้อนั้นผมไม่ทราบครับ ทราบแต่ว่าแม่บ้านผมเธอเป็นโรคหึง ที่ถามหลวงพ่อก็เพราะแรงหึง กลัวว่าผมจะมีเมียน้อย" ครูใหญ่ฟ้อง "ผู้หญิงเป็นโรคหึงทุกคนแหละโยม ต่างกันแต่ว่าใครจะมีอาการมากหรือน้อยกว่ากัน" "หลวงพ่อไม่ได้เป็นผู้หญิง แล้วทราบได้อย่างไรคะว่าผู้หญิงขี้หึงทุกคน" ผ่องพรรณถามขึ้น "หนูก็ไม่ได้เป็นหลวงพ่อ แล้วหนูรู้ได้อย่างไรล่ะจ๊ะว่าหลวงพ่อไม่รู้" ท่านพระครูถามยิ้มๆ หญิงสาวไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร จึงหันไปสบตาพระบัวเฮียว หวังจะให้ท่านช่วย "คุณโยมคงได้ 'เห็นหนอ' น่ะครับหลวงพ่อ" พระใหม่ตอบ หมายจะช่วย 'คุณโยม' แต่กลับทำให้เธองุนงงมากขึ้น ท่านพระครูเลยหันกลับมาเรื่องเดิม "ตกลงครูใหญ่จะใช้ชีวิตแบบที่ลูกชายเล่าหรือเปล่าล่ะ น่าสนุกดีเหมือนกันนะ" "ไม่หรอกครับ หลวงพ่อ ผมมันเข้าวัดเข้าวาเสียแล้ว นี่ผมก็แบ่งสันปันส่วนกันมาเรียบร้อย บ้านเรามีห้าคนผมก็เอาห้าหาร ได้กันคนละแสน ทีนี้ผมก็บอกภรรยาและลูกๆว่า หลวงรับนิมนต์ไปเทศน์ตามที่ต่างๆอยู่เสมอ ถ้ามีรถใช้สักคันก็คงสะดวกขึ้น ผมจึงบอกว่าผมจะซื้อรถตู้ถวายหลวงพ่อ พวกเขาก็เลยช่วยกันลงขันมาซื้อรถ แล้วยังมีเงินเหลือเป็นค่าน้ำมันอีกสองหมื่น" พูดจบก็ถวายเงินสดและทะเบียนรถพร้อมลูกกุญแจแด่ท่านเจ้าอาวาส ท่านพระครูรับประเคนแล้วให้ศีลให้พร ตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ คนทั้งหมดรวมทั้งพระบัวเฮียวต่างพากันอนุโมทนาสาธุการ "หลวงพ่อคงต้องหาคนขับรถสักคนแล้วละครับ" ครูใหญ่เสนอแนะ "ก็มีแต่สมชายนี่แหละ ขับพอเป็นแล้ว แต่ยังไม่มีใบขับขี่" "ไม่ยากหรอกครับ หลวงพ่อ ใบขับขี่ต่างจังหวัดทำง่ายกว่าในกรุงเทพฯ เพื่อนๆผมมีใบขับขี่เกือบทุกคน ทั้งที่บางคนยังไม่มีรถด้วยซ้ำ" ชัยชนะออกความเห็น "แต่แบบนั้นไม่ค่อยดีนะเจ้าคะ เพราะนอกจากจะไม่ปลอดภัยแล้ว ตัวเองอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นซ้ำอีกด้วย" วรรณวิไลเอ่ยขึ้น "จริงค่ะ หนูเห็นด้วยกับน้องวรรณ อย่างเพื่อนหนูนะคะ กำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะริมถนน คนที่เขากำลังคุยด้วยคือหนูเอง จู่ๆ รถเก๋งคันนึงก็พุ่งเข้ามาชนโครม เพื่อนหนูคอขาดกระเด็นออกมานอกตู้ซึ่งพังยับเยิน กระจกแตก คนชนก็ถูกอัดก้อปปี้ตายคาพวงมาลัย หนูก็แปลกใจว่า เอ..กำลังคุยกันดีดีก็มีเสียงดังโครมแล้วก็เงียบหายไป ก็เลยขับรถออกตามหา ดีที่เขาบอกชื่อถนนตอนที่คุยกัน พอเห้นเพื่อนหนูแทบช้อคเลยค่ะ ตำรวจสอบสวนได้ความว่าผู้หญิงคนนั้นเพิ่งหัดขับรถ แถมวันนั้นยังทะเลาะกับสามี เลยขโมยรถขับไปกินเหล้า พอเมาก็เลยประมาทขับเสียเร็ว ทำให้เพื่อนต้องเคราะห์ร้ายไปด้วย" ท่าทางคนเล่ายังไม่หายหวาดเสียว แต่พระใหม่กลับกำลังเพลิดเพลินกับเสียงใสๆของคุณโยม จนเผลอสติจ้องหน้าหล่อนไม่วางตา ครั้บเจ้าหล่อนเล่าจบก็ถามเชยๆออกมา "แล้วยังงี้จะเอาผิดกับใครเล่าครับหลวงพ่อ เพราะคนทำผิดก็ตายไปแล้ว" "อ้าว ก็เอาผิดกับพระบัวเฮียวน่ะสิ" ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉย "งั้นหลวงพ่อก็ยุ่งแล้วละครับ เพราะถ้าพระลูกวัดถูกจับ สมภารก็ต้องถูกสอบสวนด้วย" คราวนี้คนเชยทำเป็นรู้ "งั้นครูใหญ่ก้ช่วยไปประกันตัวให้ด้วยแล้วกัน ไหนว่าเป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กันไม่ใช่หรือ" ท่านโยนกลองไปที่ครูใหญ่ "ครับ ไม่เป็นไร ผมประกันตัวให้หลวงพี่แล้วกัน" ครูสฤษดิ์พลอยเออออห่อหมกไปด้วย "แหม คุณก็ หลวงพ่อท่านพูดเล่น คุณก็เอาจริงเอาจังไปด้วย" คุณผ่องพักตร์ปรามสามี "คุณพ่อก็พูดเล่นเหมือนกันแหละค่ะ คุณแม่" วรรณวิไลแก้แทนบิดา พระบัวเฮียวมีอันต้องคิดหนักว่าพี่น้องสองสาวคู่นี้ใครเสียงหวานกว่ากัน ก็เลยตัดสินใจไม่ได้อีกครั้ง "กรณีของเพื่อนหนูคงต้องเรียกว่าเพราะกรรมใช่ไหมคะหลวงพ่อ" ผ่องพรรณถาม "แน่นอน โดยเแพาะคนขับนั้น เป็นกรรมประเภทหิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือกรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันทันตาเห็น การดื่มสุราถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อร้ายแรงที่สุดในบรรดาศีลห้า เพระทำให้ขาดสติ เมื่อขาดสติเสียแล้วก็ละเมิดศีลข้ออื่นๆได้หมด อันนี้แสดงว่าทำชั่วได้ชั่วทันตาเห็น ส่วนเพื่อนของหนูก็แสดงว่าต้องมีเวรมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมากับคนที่ชน คือต้องมีเหตุ ถ้าไม่มีเหตุมันก็ไม่มีผล หนูลองคิดง่ายๆก็ได้ว่าทำไมถึงต้องเป็นเพื่อนหนู ทำไมไม่เป็นคนอื่น เพราะคนใช้โทรศัพท์เครื่องนี้วันๆมีมากมาย แต่ทำไมเขาไม่ถูกชน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่ได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมา จริงไหมล่ะจ๊ะ" ท่านหันไปถามวรรณวิไล "จริงเจ้าค่ะ เหมือนอย่างคุณพ่อกับคุณแม่ก็คงเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมา จริงไหมเจ้าคะหลวงพ่อ" "แน่นอนจ้ะ ไม่เฉพาะคุณพ่อคุณแม่หนูหรอก ถึงหนูเองก็เถอะ หลวงพ่อเห็นหมดแล้วว่าหนูจะต้องใช้กรรมกับคู่ของหนูมากกว่านี้อีกหลายเท่า ถึงดวงการศึกษาของหนูจะดี แต่ดวงคู่ครองค่อนข้างแย่ หนูต้องอดทนมากๆ ถึงจะอยู่กันได้ คู่ของหนูเขาเป็นคนเจ้าทิษฐิ ใจร้อนพูดก็ไม่ค่อยเพราะ คือไม่เพราะเฉพาะกับหนู แต่กับคนอื่นโดยเฉพาะสาวๆ เขาพูดเพราะมากเชียวละ หนูก็เลยเป็นโรคหึง โรคนี้มันจะทรมานใจหนูมากทีเดียว" "งั้นหนูก็จะไม่แต่งกับเขาสิเจ้าคะหลวงพ่อ" "ไม่แต่งได้ละดีมากทีเดียว แต่ถึงเวลานั้นจริงๆหนูจะไม่พูดอย่างนี้ หนูจะมาหาหลวงพ่อแล้วพูดว่า...หลวงพ่อเจ้าคะ หนูไม่ได้รักเค้าหรอกเจ้าค่ะ แต่หนูสงสารเค้าถึงได้ยอมแต่งงานด้วย จริงๆนะเจ้าคะ..." ท่านพูดเลียนเสียงวรรณวิไล ทำให้คนอื่นพากันหัวเราะ รวมทั้งเจ้าของเรื่องด้วย "แล้วเขาเจ้าชู้ไหมเจ้าคะหลวงพ่อ" "จะว่าเจ้าชู้ไม่เชิงนะ แต่ผู้ชายที่พูดหวานๆน่ะ ผู้หญิงชอบไม่ใช่หรือ นี่แหละสาวแก่แม่ม่ายตอมกันหึ่งเลยละ" "แหม..หนูชักใจไม่ดีแล้วสิเจ้าคะ หนูเชื่อว่าสิ่งที่หลวงพ่อพูดจะต้องเกิดขึ้นกับหนูจริงๆ เห็นคุณพ่อบอกว่าหลวงพ่อได้ทิพยจักขุกับเจโตปริยญาณ" ประโยคหลังหล่อนพูดตามหลักวิชาที่เคยเรียน "จริงหรือไม่จริงหนูคอยดูไปก็แล้วกัน อีกแปดปีก็จะรู้ ถ้าไม่จริงมาต่อว่าหลวงพ่อได้" พระบัวเฮียวแอบคิดในใจว่า 'เอ..เนื้อคู่ของคุณโยมจะใช่เราหรือเปล่าหนอ' ก็พอดีหญิงสาวถามขึ้นมาว่า "แล้วตอนนี้เจอกันหรือยังเจ้าคะ" พระใหม่ตั้งใจฟังเต็มที่ หากก็ต้องผิดหวังเมื่อท่านพระครูตอบว่า "เดินผ่านกันไปผ่านกันมาหลายครั้งแล้วในมหาวิทยาลัย แต่ยังไม่เคยพูดกัน เขาไม่สนใจหนูหรอกเพราะมีคนรักแล้ว เขาต้องชดใช้กรรมกับคนนั้นก่อนแล้วจึงจะมาเจอกับหนู" "ตอนนี้เขาแต่งงานกันหรือยังเจ้าคะ" "ยัง อีกสองปีถึงจะแต่ง แต่แล้วก็หย่ากันในปีนั้น ผู้หญิงเขาใจเด็ด ทิ้งลูกทิ้งผัวไปอยู่กับชายอื่น คู่ของหนูก็เลยต้องเป็นพ่อม่ายลูกติด" "ก็ดีสิเจ้าคะ หนูจะได้ไม่ต้องมีลูกของตัวเอง ลูกเขาก็เหมือนลูกเรา จริงไหมคะพี่ผ่อง" หล่อนหันไปถามพี่สาว "พอถึงเวลานั้นจริงมันจะไม่เป็นเหมือนที่หนูคิดหรอก จำคำพูดของหลวงพ่อไว้นะคุณด็อกเตอร์ ว่าหนูน่ะจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะสามี" "หัวเข่าใครเจ้าคะหลวงพ่อ ของหนูหรือของเขา" หญิงสาวกลับมีอารมณ์ขันเพราะไม่เคยจริงจังกับชีวิต แต่เล็กจนโตหล่อนเคยได้รับแต่ความรักความอบอุ่นมาโดยตลอด ทั้งคนในครอบครัวทั้งเพื่อนฝูงต่างรักใคร่หล่อนกันทุกคน ชีวิตของวรรณวิไลจึงไม่เคยรู้จักกับความทุกข์ ทั้งไม่เคยคิดว่าจะต้องพบกันมัน หล่อนไม่รู้หรอกว่าความร่าเริงน่ารักและมองโลกในแง่ดี อันเป็นคุณสมบัติประจำตัวหล่อนนั้น อีกแปดปีมันจะไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากไม่เหลือแล้วมันยังจะเปลี่ยนเป็นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง อีกแปดปีหล่อนจะมานั่งร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าพระภิกษุรูปนี้ หล่อนไม่รู้ แต่ท่านพระครูรู้ "แล้วแต่จังหวะจ้ะ หัวเข่าหนูน่ะแน่ๆอยู่แล้ว แต่ถ้าวันไหนโชคร้ายหน่อยก็จะเป็นหัวเข่าของเขา ทำหัวเราะไปเถอะ แล้วหลวงพ่อจะคอยดู" "ถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ หลวงพ่อ" คุณผ่องพักตร์รู้สึกเป็นห่วงลูกสาวคนเล็ก "ก็เขาทำกรรมมาอย่างนั้นนี่โยม" "คนมีการศึกษาเขาจะทำกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะหลวงพ่อ" เธอค้าน "การศึกษาไม่เกี่ยวหรอกโยม ที่อาตมาเคยเห็นมาน่ะ ขนาดปริญญาเอกปริญญาโท ยังเตะกันตกบ้านมาแล้วไม่รู้กี่คู่" คราวนี้มารดาของวรรณวิไลนั่งเงียบกริบ นึกสงสารบุตรีที่จะต้องมารับกรรมทั้งที่อะไรๆก็ดีมาตลอด "ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกโยม ขอให้ถือเสียว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อาตมาเองก็ชดใช้กรรมมามากต่อมาก หนักกว่าลูกสาวโยมหลายเท่า คิดเสียว่าใช้ๆกันเสียให้หมด จะได้ไม่ต้องมีเวรมีกรรมกันอีก" "ดิฉันห่วงลูกน่ะค่ะ" "ห่วงเขาทำไมกันเล่า กรรมใครใครก็ใช้ แต่ไม่นานหรอกโยม เก้าปีหลังจากแต่งงานเขาก็จะสบาย คู่เขาโดยเนื้อแท้เป็นคนดี แต่ต้องมีเรื่องระหองระแหงกันจนหาความสุขไม่ได้เป็นเพราะกรรมเก่า ก็ทำกับเขาไว้มากนี่นา" ท่านหันไปทางวรรณวิไล เห็นกฏแห่งกรรมของหล่อนโดยถ้วนทั่ว แต่เจ้าตัวกลับมองไม่เห็นกรรมของตัวเอง ฟังเขาคุยกันแล้วพระบัวเฮียวจึงรู้ว่าคู่ของวรรณวิไลไม่ใช่ท่าน ภิกษุจึงย้ายความหวังของท่านไปที่คนเป็นพี่สาวของหล่อน ผ่องพรรณถามขึ้นว่า "หลวงพ่อคะ หนูพบเนื้อคู่หรือยังคะ" พระใหม่ใจเต้นระทึกด้วยหวังจะได้ยินคำตอบว่า 'พบแล้วจ้ะ ตอนนี้ยังบวชเป็นพระอยู่' ใจแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำตอบของท่านพระครู "จะมีเนื้อคู่สักกี่คนเล่าจ๊ะ ก็เพิ่งแต่งงานเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง รถคันที่ขับมาก็ไม่ใช่ที่สามีเขาซื้อให้หรือจ๊ะ" พระบัวเฮียวหน้าซีดลงทันใด รู้สึกวาบหวิวคล้ายจะเป็นลม เพราะต้องพบกับความผิดหวังติดๆกันถึงสองครั้ง ใจหนึ่งท่านพระครูรู้สึกอยากจะสมน้ำหน้า แต่อีกใจก็สงสาร "แต่บางคนก็โชคดีที่เกิดมาไม่มีเนื้อคู่ ไม่ต้องไปใช้เวรใช้กรรมกับใคร อย่างพระบัวเฮียวเนี่ยคงจะต้องบวชไปตลอดชีวิต และจะมีความสุขกว่าคนออกเรือนมีคู่" ท่านพระครูกล่าว "ผมขออนุโมทนาด้วยครับ" ครูใหญ่ยกมือขึ้นสาธุ แล้วพูดต่อไปว่า "บุญของท่านเหลือเกินที่ไม่ต้องมารับผิดชอบชีวิตใคร ผมเข็ดแล้ว กว่าลูกจะโต จะเรียนจบ ผมลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ถ้ากลับไปเป็นโสดได้อีกครั้ง ผมจะขอบวขไปตลอดชีวิต" ภิกษุหนุ่มฟัง 'ศิษย์อาวุโส' ของท่านพูดแล้วก็มีกำลังใจขึ้น พระอุปัชฌาย์รู้จึงเสริมว่า "ถ้าชีวิตการครองเรือนให้ความสุขได้จริง เจ้าชายสิทธัตถะก็คงไม่สละราชสมบัติออกผนวชหรอก อยากรู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวอาตมาจะหาหลักฐานมายืนยัน" ท่านลุกขึ้นเดินไปที่ตู้พระไตรปิฎก หยิบเล่มที่ต้องการออกมาแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม "นี่ พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษของกามไว้ในเล่มนี้" ท่านส่งหนังสือให้ครูใหญ่และบอกให้เปิดไปที่หน้า 360 "ไหนลองอ่าน ชัคตวิสณสุตตนิเทส ตั้งแต่ข้อ 764 ถึง 766 ให้พรรคพวกฟังซิ" ครูสฤษดิ์จึงอ่านด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกัน ".....ข้อ 764...กามนี้เป็นเครื่องข้อง มีความสุขน้อย มีทุกข์มาก บุคคลผู้มีปัญญารู้ว่ากามนี้เป็นดังฝี ดังนี้แล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น... ข้อ 765...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุขโสมนัสใดอาศัยกามคุณ 5 ประการนี้เกิดขึ้น สุขโสมนัสนั้นแลเรากล่าวว่ากามสุข กามสุขนี้มีน้อย กามสุขนี้เลว กามสุขนี้ลามก กามสุขนี้ทำให้เกิดทุกข์ เพราะฉะนั้นกามนี้เป็นเครื่องข้อง มีความสุขน้อย... ข้อ 766 ...คำว่ากามนี้มีความยินดีน้อย มีความทุกข์มาก พระพุทธองค์ตรัสว่า กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก มีโทษมาก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กรรมทั้งหลายเหมือนโครงกระดูก เหมือนชิ้นเนื้อ เหมือนคบเพลิง เหมือนหลุมถ่านเพลิง เหมือนความฝัน เหมือนของที่ยืมเขามา เหมือนผลไม้ เหมือนดาบและสุนัขไล่เนื้อ เหมือนหอกและหลาว เหมือนศีรษะงูเห่า มีทุกข์มาก มีความยินดีน้อย มีความคับแค้นมาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้นจึงได้ชื่อว่ากามนี้มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก.." ครูใหญ่อ่านจบแล้ว ท่านพระครูจึงถามขึ้นว่า "เป็นยังไง ซาบซึ้งหรือยัง เห็นแล้วใช่ไหมว่าเป็นพระนั้นได้เปรียบกว่าเป็นฆราวาสเป็นไหนๆ" "แหม หนูชักอิจฉาหลวงพ่อกับหลวงพี่แล้วสิเจ้าคะ ถ้าหนูเป็นผู้ชายคงต้องขอบวชแน่เลย" วรรณวิไลพูด หล่อนเป็นคนอ่อนไหวง่าย จึงซาบซึ้งและซึมซับอะไรได้รวดเร็วกว่าคนอื่น "เป็นผู้หญิงก็บวชได้ บวชใจยังไงล่ะ บางคนกายบวชแต่ใจไม่ได้บวช เช่นพวกที่อาศัยผ้าเหลืองหากิน คนพวกนี้เขาเรียกว่า กายเป็นพระแต่ใจเป็นมาร " "บวขใจทำยังไงคะหลวงพ่อ" "ก็เจริญสติปัฏฐาน 4 เหมือนที่คุณพ่อหนูปฏิบัติอยู่นั่นไง" "งั้นปิดเทอมหน้าหนูจะมาอยู่วัดสักเจ็ดวันนะคะคุณพ่อ" วรรณวิไลบอกบิดา "ดีแล้วลูก เผื่อกรรมเก่ามันจะได้เบาบางลง" "หลวพ่อคะ แล้วชีวิตครอบครัวของหนูจะดีไหมคะ" ผ่องพรรณถามขึ้นบ้าง เพราะฟังเรื่องราวของน้องสาวแล้ว ทำให้หล่อนพลอยใจไม่ดีไปด้วย วรรณวิไลทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่น่าจะต้องมีกรรมอะไรนักหนา "ดีจ้ะ ตอนนี้ดีเพราะกำลังข้าวใหม่ปลามัน แต่ต่อไปแย่หน่อย เพราะสามีเขาจะเลี้ยงหนูด้วยลำแข้งชนิดซี่โครงเหน็บข้างฝาเชียวละ รู้สึกจะหนักกว่ารายน้องสาวด้วยซ้ำ เพราะสามีหนูเขาเจ้าชู้ พอไปเจอคนใหม่ก็เบื่อคนเก่า" ท่านพระครูบอกไปตามที่ได้เห็นกฏแห่งกรรมของสองพี่น้อง "ลูกสาวดิฉันโชคร้ายทั้งสองคนเลยหรือคะหลวงพ่อ" คุณผ่องพักตร์รู้สึกหดหู่เศร้าหมองด้วยความสงสารลูก "อย่าไปคิดอะไรมากเลยโยม ทุกคนมีกรรมเป็นของตน เรื่องของกรรมเก่าก็ต้องชดใช้กันไป อย่าไปสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีกก็แล้วกัน ชีวิตการครองเรือนก็เป็นอย่างนี้ สุขบ้างทุกข์บ้างปะปนกันไป" "หลวงพ่อคะ แล้วหนูพอจะมีทางทำให้กรรมเบาบางลงบ้างไหมคะ" ผ่องพรรณถาม หล่อนเริ่มวิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง "จะกังวลล่วงหน้าไปทำไมเล่าหนู อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราต้องกล้าเผชิญหน้ากับความจริง การจะให้กรรมเบาบางลงมีเพียงวิธีเดียว คือมาเข้ากรรมฐานที่วัดนี้สักเจ็ดวันเป็นอย่างน้อย" "สามีหนูไม่ยอมให้มาแน่ๆค่ะ ตั้งเจ็ดวัน นี่หนูขอมาหาคุณพ่อคุณแม่แค่วันเดียว เขายังไม่ค่อยพอใจ" "ใช่สิจ๊ะ ก็กำลังรักอยู่นี่ เขาไม่อยากให้คลาดสายตาสักเวลานาที เอาเถอะ แล้วหนูจะได้มาอยู่วัดตอนเขาเบื่อหนูแล้ว ถึงเวลานั้นหลวงพ่อคงจะช่วยแนะนำได้บ้าง" "หนูต้องขอกราบพระคุณหลวงพ่อล่วงหน้าค่ะ" พูดจบก้ก้มลงกราบสามครั้งเป็นการฝากเนื้อฝากตัว คุยกัยต่ออีกพักใหญ่ คนทั้งห้าจึงลากลับ ท่านพระครูย้ำเตือนสตรีทั้งสองว่า "อย่าลืมมาเข้ากรรมฐานนะหนูนะ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก รู้ไว้ดีกว่าไม่รู้ ที่หลวงพ่อบอกก็เพื่อจะให้หนูตั้งสติได้เมื่อพบเหตุการณ์อย่างนั้น จะได้ไม่ตกใจเกินไป อย่าลืมว่าใช้ๆให้หมดกันไปเสีย แล้วก็อย่าไปสร้างกรรมใหม่" ท่านจำเป็นต้องบอกต้องพูด เพราะคนส่วนมากเมื่อประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ต่างหุนหันพลันแล่น ฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่าคนที่ทำให้เจ็บช้ำบ้าง ด้วยคิดว่าเป็นทางหนีทุกข์ แต่ข้อเท็จจริงนั้น นอกจากหนีทุกข์ไม่ได้แล้ว ยังทำให้เพิ่มทุกข์ผูกเวรกันหนักขึ้นไปอีก "จำไว้นะหนูนะ" ท่านย้ำเตือนอีกครั้ง "เจ้าค่ะ" "ค่ะ" สตรีทั้งสองรับคำพร้อมกัน ก้มลงกราบท่านพระครูและหลวงพี่บัวเฮียว แล้วจึงเดินไปยังลานจอดรถ ที่บิดามารดาและน้องชายรออยู่ ผู้แต่ง : ดร. สุทัสสา อ่อนค้อม หมวด Book Blog
Create Date : 24 พฤษภาคม 2557
42 comments
Last Update : 24 พฤษภาคม 2557 12:16:04 น.
Counter : 2954 Pageviews.
โดย: moresaw 24 พฤษภาคม 2557 20:50:25 น.
โดย: mambymam 24 พฤษภาคม 2557 23:15:03 น.
โดย: หอมกร 25 พฤษภาคม 2557 9:57:24 น.
โดย: **mp5** 25 พฤษภาคม 2557 16:49:07 น.
โดย: pantawan 25 พฤษภาคม 2557 21:14:07 น.
โดย: mambymam 26 พฤษภาคม 2557 0:11:41 น.
โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) 26 พฤษภาคม 2557 20:44:29 น.
โดย: Opey 27 พฤษภาคม 2557 6:09:32 น.
โดย: ดรสา 27 พฤษภาคม 2557 23:54:27 น.
โดย: เนินน้ำ 28 พฤษภาคม 2557 9:28:04 น.
โดย: AppleWi 28 พฤษภาคม 2557 23:15:02 น.
โดย: schnuggy 29 พฤษภาคม 2557 1:10:35 น.
โดย: anigia 30 พฤษภาคม 2557 0:34:22 น.
โดย: ชมพร 30 พฤษภาคม 2557 12:23:56 น.
โดย: mambymam 31 พฤษภาคม 2557 20:01:48 น.
โดย: jamaica 2 มิถุนายน 2557 7:09:49 น.
โดย: พรไม้หอม 2 มิถุนายน 2557 9:37:59 น.
โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) 2 มิถุนายน 2557 19:32:46 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
บ่ายจัดของวันที่แปดนับแต่วันบวช ขณะที่พระบัวเฮียวกำลังเดินไปที่กุฏิท่านพระครูเพื่อให้ท่านสอบอารมณ์
แสดงว่าสอบไม่ผ่านแน่เลย ... ฟุ้งไปถึงไหน ๆ อิอิ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมจริง ๆ