สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 50
บ่ายสองโมงของวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ ขณะที่ท่านพระครูกำลังรับแขกอยู่ที่กุฎิชั้นล่าง นางสาวกิมเจ็งก็เดินร้องไห้กระซิกๆ เข้ามา
"หลงพ่อ เตี่ยตายแล้ว" หล่อนร้องตะโกนข้ามศีรษะแขกเหรือที่นั่งเบียดเสียดกันอยู่ตรงหน้าอาสนะ
"อ้าว อีหนู ตะโกนข้ามหัวแม่ผัวเสียแล้ว" สตรีวัยกลางคนพูดขึ้น นางกำลังหงุดหงิดเพราะอีกนานกว่าจะถึงคิว
"ฉันยังไม่มีผัว ถ้าจะมีก็ไม่เอาคนอย่างลื้อมาเป็นแม่ผัวหรอก" สาววัยยี่สิบยังมีแก่ใจเถึยง โกรธผู้หญิงคนนั้นจนหยุดร้องไห้
"ไหน เข้ามาพูดใกล้ๆซิ ญาติโยมช่วยหลีกทางให้เขาเข้ามาหน่อย" ท่านพระครูออกคำสั่ง
นางสาวกิมเจ็งจึงเดินแหวกผู้คนเข้ามา จะค้อมหลังให้สักนิดยังไม่มี
"โอ๊ย กิริยามารยาทแบบนี้ฉันก็ไม่เอามาเป็นสะใภ้ให้ปวดกบาลหรอก"
หญิงคนเดิมว่าอีก หากคราวนี้นางลดเสียงลง ด้วยไม่ต้องการให้คนถูกว่าได้ยิน
"ไงล่ะหนู เตี่ยตายเมื่อไหร่ แล้วเจ๊นวลศรีออกจากโรงพยาบาลหรือยัง" ท่านพระครูถาม "ตายเมื่อตอนเที่ยงนี่เองค่ะ แม่ให้หนูมาบอกหลวงพ่อว่าจะเอาศพมาไว้ที่วัดนี้ อาม่าก็ยังอยู่โรงพยาบาล" "จะมาสวดกงเต้กที่นี่หรือ คงไม่ได้หรอก เพราะเสียงจะไปรบกวนคนที่มานั่งกรรมฐาน เอาไว้ที่บ้านนั่นแหละ จะฝังหรือเผาล่ะ"
"ยังไม่รู้เลย แม่ว่าต้องถามอาม่าก่อน สงสัยอาม่าจะรู้ว่าเตี่ยจะตายวันนี้ แกบอกให้หนูกับแม่กลับบ้านมาดูเตี่ย บอกถ้ามีปัญหาอะไรให้มาถามหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อพูดเมื่อวันไปเยี่ยมอาม่าว่าอีกสามวันพวกหนูจะได้ใช้ชุดกงเต็กน่ะ แปลว่าหลวงพ่อรู้ว่าเตี่ยจะตายใช่ไหม ทำไมหลวงพ่อไม่บอกตั้งแต่วันนั้น หลวงพ่อน่าจะช่วยเตี่ย อย่างน้อยๆ ก็ให้น้องสามคนเรียนจบก่อน" หล่อนรายงาน แถมท้ายด้วยการต่อว่าท่านพระครู
"ทำไมหลวงพ่อจะไม่ช่วย หลวงพ่อพยายามช่วยจนสุดความสามารถแล้ว แต่เตี่ยหนูเขาไม่ช่วยตัวเอง ชวนมาเข้ากรรมฐานก็ไม่มา ให้เอาแผ่นสวดมนต์ที่อาม่ามาสวด ก็ไม่เอา ครั้งหลังสุดหลวงพ่ออุตส่าห์จดบทสวดพุทธคุณให้เอาไปท่อง เขาก็ไม่ยอมท่องอีก ห่วงแต่เรื่องทำมาหากิน เสร็จแล้วเป็นยังไง นี่แหละเป็นเพราะเขาไม่เชื่อหลวงพ่อ ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ หนูเองก็ไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ"
"หนูเป็นคนสมัยใหม่นี่คะ เอาเถอะ หนูกำลังโศกเศร้าเสียใจ ไม่อยากเถียงกับหลวงพ่อ ตกลงหนูจะไปบอกแม่ว่าหลวงพ่อให้เอาศพไว้ที่บ้าน งั้นหนูลาละ จะไปตามน้องสาวสามคนที่เรียนอยู่ลพบุรี"
หล่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ นึกขัดเคืองมารดาที่ส่งหล่อนมาขอความช่วยเหลือจากท่าน ที่จริงแล้วหล่อนไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรเลย
"ไม่ต้องไปตามหรอกหนู น้องๆ เขารออยู่ที่บ้านแล้ว กลับไปช่วยแม่เถอะ แล้วก็ไม่ต้องไปบอกหนูกิมฮวยที่กรุงเทพฯหรอก อาม่าหนูเขาคงบอกแล้วละ" ท่านพระครูช่วยเหลือ
"หนูไปละหลวงพ่อ" หล่อนกราบเหมือนไม่เต็มใจ แล้วเดินดุ่มๆออกไปทันที
"แหม ท่าทางยังกะม้าดีดกะโหลก แบบนี้หลวงพ่อให้มาเป็นลูกศิษย์ได้ยังไงคะ" สตรีวัยกลางคนถือโอกาสนินทาตามหลัง
"จะเป็นม้าหรือช้างดีดกะโหลก อาตมาก็ต้อนรับทั้งนั้นแหละ ที่วัดป่ามะม่วงไม่มีการสอบคัดเลือก แต่น้องสาวเขาเรียบร้อยดีนะ คนที่ชื่อกิมฮวยน่ะ ส่วนแม่หนูคนนี้เขาชื่อกิมเจ็ง" ท่านพระครูถือโอกาสอธิบาย
"จริงหรือคะ ไม่น่าเป็นไปได้ พี่น้องกันก็น่าจะเหมือนๆกัน"
"ไม่เสมอไปหรอกโยม โบราณเขาถึงสอนเอาไว้ว่า 'ไม้ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ' มันต่างกรรมต่างวาระ จะให้เหมือนกันได้อย่างไร"
"โอ้โฮ หลวงพ่อพูดเกือบเหมือนกลอนเลยครับ"บุรุษที่นั่งหน้าสุดเอ่ยปากชม
"อ้อ ยังงั้นหรือ กลอนประตูหรือกลอนหน้าต่างล่ะโยม" ท่านถามยิ้มๆ
"ไม่ใช่ทั้งสองอย่างครับ กลอนในที่นี้หมายถึงบทกลอน หลวงพ่อพูดเกือบเหมือนบทกลอน ที่ว่าเกือบเหมือนหมายความว่ายังเหมือนไ่ม่ทั้งหมด คือเหมือนครึ่งหนึ่ง ไม่เหมือนครึ่งหนึ่งครับ" เขาอธิบาย
ท่านพระครูรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าลักษณะการพูดแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้เหมือนใครหนอ แล้วก็นึกออกว่าเหมือนนายสมชาย ลูกศิษย์ก้นกุฏิของท่านนั่นเอง
"เอาละ ใครมีอะไรก็ว่าไป วันนี้อาตมาเห็นจะต้องเลิกเร็วหน่อย จะไปเยี่ยมศพเตี่ยของแม่หนูคนนั้น" "ยายม้าดีดกะโหลกน่ะหรือคะ" หญิงกลางคนถือโอกาสว่าอีก
"อย่าเก็บเรื่องของคนอื่นมาเป็นอารมณ์เลยโยม อาตมาขอร้องเถอะ เขาจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา ก็กรรมเขาทำมาอย่างนั้น" ท่านเตือนสติ
นายทหารยศพันโทวัยสามสิบเจ็ด ก้มลงกราบท่านพระครูสามครั้งแล้วจึงเริ่มเรื่อง เขามาถึงก่อนคนอื่น จึงได้พูดเรื่องธุระของเขากับท่านเป็นคนแรก
"หลวงพ่อครับ ผมรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ เพราะบารมีของหลวงพ่อคุ้มครอง" เขาพูดอย่างสำนึกในบุญคุณของท่าน "ถ้าไม่ได้หลวงพ่อ ป่านนี้ผมคงสิ้นชื่อไปแล้ว"
เจ้าอาวาศวัดป่ามะม่วงมองหน้าเขาอย่างพินิจ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้เคยมาหาท่านเมื่อสองเดือนที่แล้ว และท่านก็เห็นว่าเขาจะตายเพราะตกจากที่สูง จึงแนะนำให้เขามาเข้ากรรมฐานสองสัปดาห์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เขาปฏิบัติตามโดยไปทำเรื่องลาราชการแล้วมาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จนครบสิบสี่วัน และตอนที่เขามาลากลับ ท่านก็เห็นว่าเขา 'ปลอดภัย' แล้ว
"พอจะเล่าสู่กันฟังได้หรือเปล่า ถ้าได้..อาตมาก็อยากให้ญาติพี่น้องเขารับรู้ด้วย"
"ยินดีครับหลวงพ่อ ผมเองก็เห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับคนฟังด้วย อย่าน้อยก็ทำให้รู้ว่ากรรมฐานนั้นมีอานิสงส์มาก สามารถทำให้คนที่ถึงที่ตาย รอดชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์"
แล้วเขาก็เล่าว่าหลังออกจากวัด เขาก็กลับไปทำงานตามปกติ เขาเป็นทหารพลร่มของค่ายทหารจังหวัดลพบุรี เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านั้นได้ไปฝึกซ้อมดิ่งพสุธา บริเวณเหนือพื้นที่เขตอำเภอชัยบาดาล และได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน
กล่าวคือเมื่อเขาพุ่งตัวลงจากเครื่องบินแล้วดิ่งลงมากลางเวหานั้น ทหารคนที่ต่อจากเขาคงจะพุ่งตามลงมาก่อนเวลากำหนด จึงลงมาชนเขาอย่างแรง วินาทีนั้นเป็นเวลาที่ร่มของเขากางพอดี แรงปะทะทำให้เขาสลบไปทันที และปกติคนที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นจะต้องตาย เพราะร่างกายจะกระแทกกับพื้นเหมือนของตกจากที่สูง ก่อนถึงพื้นดินทหารจึงจำเป็นต้องโหย่งตัวขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบกับพื้นแรงเกินไป แต่คนที่หมดสติย่อมไม่มีสติจะทำเช่นนั้นได้ และถ้าตกลงไปในน้ำก็ต้องจมน้ำตาย
ก่อนสัมปะชัญญะจะดับวูบลง เขาระลึกถึงท่านพระครู และเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ของโรงพยาบาลประจำอำเภอ เขาไม่ได้ตกลงบนพื้นดินหรือพื้นน้ำ แต่ไปค้างอยู่บนยอดไม้กลางป่า กว่าจะมีคนมาพบและนำส่งโรงพยาบาลก็เกือบตาย เพราะแพทย์บอกว่าหากมาช้าไปอีกเพียงยี่สิบนาทีเขาก็ไม่รอดแล้ว
"เป็นความบังเอิญอย่างมหัศจรรย์ที่สุดเลยครับหลวงพ่อ ชาวบ้านเล่าให้ฟังตอนฟื้น ว่าขณะช่วยกันหามผมมาตามถนนลูกรัง ก็พบรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ พวกเขาจึงขอให้เอาผมไปส่งโรงพยาบาล เจ้าของรถบอกว่าผมมีบุญจริงๆ รถเขาเสีย เขาแก้อยู่หลายชั่วโมง พอแก้เสร็จและกำลังจะไป ผมก็มาถึงพอดี ชาวบ้านบอกอีกว่าถ้าไม่ได้รถคันนั้นผมก็คงไปไม่ถึงโรงพยาบาล เพราะแถวนั้นไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่าน สองสามวันจึงจะมีมาสักคัน เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อแท้ๆ ผมขอกราบพระคุณอย่างสูงที่ได้เมตตาช่วยชีวิตผม" เขาก้มลงกราบ
"ไม่ใช่บารมีของอาตมาหรอกผู้พัน บารมีของผู้พันเองนั่นแหละ เพราะถ้าไม่มาเข้ากรรมฐาน อาตมาก็ช่วยอะไรไม่ได้" "แต่ถ้าหลวงพ่อไม่บอกผม ผมก็ไม่ได้มาเข้า ผมถือว่ารอดตายคราวนี้เพราะบารมีหลวงพ่อ"
"เอาละ งั้นอาตมาก็อยากสรุปให้ญาติโยมฟังว่า การปฏิบัติกรรมฐานเป็นการสร้างบารมี ขอให้เร่งปฏิบัติกันเข้า ทำให้ได้ทุกวัน เป็นการสะสมหน่วยกิต นะโยมนะ"
"แล้วคนที่ชนกับผู้พันตายหรือเปล่าคะ" เสียงใสๆถามขึ้น
คนถูกถามหันไปทางผู้ถาม ก็เห็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
"ไม่ตายหรอกครับ" แล้วหันไปกล่าวกับท่านพระครูต่อว่า "น่าแปลกนะครับหลวงพ่อ เขาไม่เป็นอะไรเลย เขาเองก็คิดว่าผมก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน ที่ไหนได้ ผมเกือบไม่ได้มีโอกาสกลับมากราบเรียนให้หลวงพ่อทราบเสียแล้ว"
"นั่นแหละ เจ้ากรรมนายเวรของผู้พันละ เมื่อชาติก่อนเป็นเพื่อนกัน แล้วผู้พันก็ทำให้เขาตายโดยไม่เจตนา มาชาตินี้เขาก็ตามมาทำให้ผู้พันต้องตายโดยไม่เจตนาเหมือนกัน ถ้าไม่มาเข้ากรรมฐาน รับรองป่านนี้ฌาปนกิจไปแล้ว"
แล้วท่านก็ถือโอกาสสั่งสอนญาติโยมว่า "ท่านทั้งหลายเห็นหรือยังว่า ว่าเรื่องกรรมมันซับซ้อนเหลือเกิน ขนาดทำให้เขาตายโดยไม่เจตนายังต้องมาชดใช้เลย เหมือนที่อาตมาเคยเหวี่ยงท่อนไม้ไปถูกสุนัขเลือดไหลออกจมูก วันดีคืนดีอาตมาก็ถูกเสาเต้นท์หลุดพุ่งมาปะทะหน้า เลือดไหลออกจมูกเหมือนกัน ดีนะที่แว่นตาไม่แตก ที่ไม่แตกเพราะมันไม่ได้ทำกรรมไว้ คือสุนัขตัวนั้นมันไม่ได้สวมแว่น ถ้าสวมก็คงแตก แล้วแว่นของอาตมาก็คงต้องแตกเหมือนกัน นี่อาตมาคิดเอาเองนะ" ผู้ฟังหัวเราะครืนกับอารมณ์ขันของท่าน
"กรรมที่ทำโดยไม่เจตนาก็ยังต้องชดใช้หรือคะหลวงพ่อ" เสียงใสๆถามอีก
"ไม่เสมอไปหรอกโยม อาตมาจะเปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ นะ สมมุติว่าอาตมาจะซื้อแก้วสักโหลนึง ก็เข้าไปเลือก เลือกไปเลือกมาทำแก้วแตกไปหนึ่งใบ ตามมารยาทอาตมาต้องชดใช้ให้เขา ใช่หรือเปล่า ถ้าแก้วราคาใบละห้าบาท ก็ต้องจ่ายเขาไป ทั้งๆ ที่ไม่มีเจตนาจะทำให้แตก แต่ถ้าสมมุติเจ้าของร้านเขาบอกว่าไม่เป็นไรหรอกหลวงพ่อ ผมไม่คิดเงินหรอก อย่างนี้แปลว่าเขาอโหสิให้ อาตมาก็ไม่ต้องใช้ แต่ทีนี้เจ้าสุนัขตัวนั้นมันคงอาฆาต อาตมาเลยต้องชดใช้ไปตามระเบียบ เอาเถอะ เรื่องนี้อาตมาขอสรุปสั้นๆ ว่า 'กรรมเก่่าให้รีบใช้ กรรมใหม่อย่าไปสร้าง'
กรรมในที่นี้หมายถึงอกุศลกรรมนะ ไม่ได้หมายถึงกุศลกรรม เพราะถ้าเป็นกุศลกรรม เราจะต้องสร้างเสริมเพื่อเพิ่มบารมีให้ตัวเอง คนที่มีบารมีมากๆ พอถึงคราวที่กรรมชั่วมาให้ผล ก็ช่วยให้ทุเลาเบาบางลงได้ในกรณีของผู้พัน แทนที่จะทำให้เสียชีวิตก็ทำให้เจ็บตัวแทน อยู่โรงพยาบาลกี่วันล่ะ"
"เพิ่งออกเมื่อวานเองครับ เช้านี้ผมก็เลยมาหาหลวงพ่อ หมอเขาบอกว่าอาการหนักมาก แต่ผมอยากมาหาหลวงพ่อเร็วๆ เลยภาวนาทุกวัน ปรากฏว่าหายวันหายคืนจนหมอชม" เขาเล่าอย่างปิติ
"แล้วทำไมคุณนายไม่มาด้วย เพิ่งฟื้นไข้ก็น่าจะตามมาพยาบาล" ท่านแกล้งถามเพื่อจะเปิดทางให้ 'เสียงใสๆ' รู้ว่านายทหารหนุ่มผู้นี้ยังเป็นโสด ก็ 'เห็นหนอ' บอกว่าคนคู่นี้เป็นเนื้อคู่กัน
"ผมยังไม่มีคุณนายหรอกครับหลวงพ่อ ก็ว่าจะขอให้หลวงพ่อหาแถวๆ นี้ให้สักคน" พูดจบเขาก็หันหลังไปสบตากับคนเสียงใส ทำให้เจ้าหล่อนอายม้วน ก้มหน้ามองพื่น
ท่านพระครูกล่าวว่า "ตกลง...ตกลง อาตมาจะช่วยหาให้ แต่ต้องรักกันจริงนะ ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน ห้ามนอกใจกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย อาตมาไม่ชอบให้ผัวเมียนอกใจกัน สมัยนี้ีแยะ ประเภทผัวนอกใจเมีย เมียนอกใจผัว อย่างนี้ไม่ดี ต้องรักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน ทำได้ไหมล่ะ"
"ได้ครับ" นายทหารโสดตอบรับอย่างหนักแน่น "แล้วหนูล่ะ ทำได้หรือเปล่า" ท่านถาม 'เสียงใสๆ' "หนูอยู่นอกประเด็นค่ะหลวงพ่อ" หล่อนตอบด้วยเสียงใสๆ รู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
"อ้าว แล้วกัน อาตมาก็นึกว่าอยู่ในประเด็น หรือผู้พันว่ายังไง"
"ครับ ผมก็คิดอย่างนั้น กรุณช่วยผมอีกสักครั้งเถิดครับหลวงพ่อ ช่วยให้ผมได้แต่งงานแต่งการเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง แล้วผมจะไม่ลืมพระคุณเลยครับ ชีวิตนี้ผมขอมอบให้หลวงพ่อเป็นผู้ลิขิตครับ"
"จริงหรือ ให้อาตมาลิขิตจริงๆหรือ" ท่านถามย้ำ "จริงครับ" เขาตอบรับอย่างหนักแน่น "งั้นก็มาบวชอยู่วัดกับอาตมาแล้วกัน จะได้ช่วยกันสงเคราะห์ญาติโยมเขา"
คราวนี้คนยอมมอบกายถวายชีวิตรีบแก้ตัวว่า "ผมยังบุญไม่ถึงครับหลวงพ่อ ผมยังต้องทำงานรับใช้ชาติ ทหารเป็นรั้วของชาติ หากผมมาบวชเสีย รั้วของชาติก็จะแหว่งจะโหว่ เป็นช่องให้ศัตรูมารุกรานได้ครับ"
"งั้นก็เป็นทหารต่อไป แต่ทำไมถึงจะต้องแต่งงานด้วยล่ะ ไม่เห็นเกี่ยวกับหน้าที่การงานเลย" ท่านลองใจอีก "ก็ผมอยากมีหน่อเนื้อเชื้อไขไว้ดำรงวงศ์ตระกูลไงครับ อีกหน่อยผมแก่เฒ่าลงรั้วของชาติก็ผุ ลูกผมจะได้มาเป็นรั้วแทนครับ" "สรุปว่าที่อยากแต่งงานเพราะอยากมึลูก ว่างั้นเถอะ" "ครับผม" รับคำพร้อมกับหันไปสบตาสาวเสียงใส
"งั้นก็ดีแล้ว ตรงประเด็นพอดี ผู้พันจะได้แต่งงาน แล้วก็จะได้ลูกทันใช้ เดี๋ยวจะจัดการให้ ตกลงนะ" "ครับ ผมขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง" ว่าแล้วก็ก้มลงกราบสามครั้ง คิดว่าท่านจะจัดการให้ได้แต่งงานกับสาวเสียงใส
"เอาละ งั้นเดี๋ยวอาตมาจะให้เด็กไปตามเจ้าสาวมาให้" ท่านหมายถึงนางสาวเตย "เจ้าสาวไหนครับ" ผู้พันถามอย่างผิดหวัง
ท่านพระครูจึงอธิบายว่า "เมื่อสี่ห้าวันมานี่ มีผู้หญิงคนนึงเขาท้องสี่เดือน มาขอบวชชี อาตมาก็ไม่ให้เขาบวช แต่ให้ไปเข้ากรรมฐานอยู้กับพวกแม่ชี เขาท้องไม่มีพ่อ ผู้พันอยากแต่งงานก็ดีแล้ว อีกห้าเดือนได้ลูก ทันใจดีไหมล่ะ""
คราวนี้ผู้พันหนุ่มรีบปฏิเสธเสียงรัวว่า "ไม่ครับหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อเสนอมามันสำเร็จรูปเกินไป ผมยังไม่ใจร้อนขนาดนั้นหรอกครับ อีกอย่าง...ถ้ามีลูก ผมก็อยากได้แบบที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง โบราณสอนว่า 'เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม' มันไม่ดีครับ"
"อ้อ ยังงั้นหรอกหรือ งั้นก็มีอีกคนนึง แต่เขากำลังป่วย ไว้ให้เขาหายป่วยเสียก่อนแล้วอาตมาจะจัดการให้ ผู้พันไม่ใจร้อนไม่ใช่หรือ"
นายทหารหนุ่มใหญ่เห็นว่าท่านพูดออกนอกประเด็น จึงพูดตรงไปตรงมาตามประสาชายชาติทหารว่า "ผมอยากแต่งงานกับคนที่นั่งข้างหลังผมน่ะครับ คนเสียงใสๆคนนี้" เขาชี้ไที่สาวเสียงใส ทำให้หล่อนรู้สึกอายจนพูดไม่ออก
"ได้ไหมครับหลวงพ่อ ช่วยผมให้ได้แต่งงานกับคนนี้ได้ไหมครับ" เขาเว้าวอนแล้วหันไปสบตากับเจ้าหล่อน เลยถูกขว้างค้อนใส่ แต่เขาก็คิดว่าหล่อนค้อนได้สวย
ท่านพระครูจึงพูดอย่างเป็นงานเป้นการว่า "เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ อาตมาไปยุ่งด้วยไม่้ได้หรอก เดี๋ยวจะเป็นอาบัติ ไปตกลงกันเอาเอง อาตมาไม่ขอเกี่ยวข้อง"
"แล้วสองรายแรก ทำไมหลวงพ่อจะจัดการให้ล่ะครับ" เขาแย้ง
"สองรายนั่นอาตมาพูดเล่น เพราะรู้ว่าผู้พันไม่ยอมตกลงด้วยแน่ อาตมาแค่อยากจะลองใจผู้พันเล่นเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก เอาละ โยมมีอะไรก็ว่าไป ถึงคิวแล้วไม่ใช่หรือ" ท่านพูดกับสาวเสียงใส
"คุณพ่อคุณแม่ให้หนูมานิมนต์หลวงพ่อไปงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ค่ะ" หญิงสาวบอกธุระของหล่อน
"ที่ไหน เมื่อไหร่" ท่านถาม
หล่อนบอกสถานที่และวันเวลา
นายทหารหนุ่มได้โอกาสจึงพูดขึ้นว่า "หลวงพ่อครับ ผมขออนุญาตมารับหลวงพ่อไปงานนี้นะครับ"
"ผู้พันไม่ทำงานหรอกหรือ วันที่ 28 เป็นวันพฤหัสนะ" "ผมลางานครึ่งวันได้ครับ" "แล้วรู้จักบ้านงานหรือ" ท่านถามอีก "เดี๋ยวผมจะขอนุญาตหลวงพ่อ ขับรถไปส่งเขาครับ บ้านอยู่ทางเดียวกัน" เขารีบสรุป
"หนูขับรถมาเองค่ะหลวงพ่อ" หญิงสาวเรียนท่านพระครูแล้วค้อนให้คนเสนอตัว "งั้นผมขับตามไปก็ได้ครับ" เขารุกอีก "ตามใจ จะเอายังงั้นก็ตามใจ ว่าแต่จำทางให้แม่นๆก้แล้วกัน เกิดทำอาตมาหลง เดี๋ยวจะไม่ทันฤกษ์เขา" ท่านพระครูย้ำ "รับรองครับ งั้นผมขอกราบลาเลยนะครับ"
ท่านพระครูหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจด แล้วพูดกับหญิงสาวว่า "เอาละ อาตมาจดไว้แล้ว ตกลงโยมจะให้ผู้พันเขามารับอาตมา หรือจะให้อาตมาไปเอง"
"หนูต้องปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ก่อนค่ะ" หล่อนตอบเลี่ยงไปอีกทาง
เสร็จแล้วหล่อนจึงลาท่านพระครู นายทหารหนุ่มใหญ่เดินตามไปติดๆ ทั้งๆที่หล่อนไม่ยอมพูดด้วย
"เขาเรียกว่าโชคสองชั้น ดูเอาเถอะ รอดตายมาอย่างปาฎิหาริย์แล้วยังได้มาพบเนื้อคู่" ท่านพูดกับญาติโยมที่นั่งอยู่แถวนั้น
"เขาเป็นเนื้อคู่กันหรือคะหลวงพ่อ" สตรีวัยยี่สิบห้าถามอย่างนึกเสียดายนายทหารหนุ่มคนนั้น
ท่านพระครูรู้ใจ จึงปลอบว่า "ถูกแล้วโยม แต่เนื้อคู่ของโยมไม่ได้เป้นทหารหรอก อยากรู้ไหมล่ะว่าเป็นอะไร"
"อยากค่ะ หลวงพ่อกรุณาบอกหนูหน่อยค่ะ"
"บอกก็ได้ เขาเป้นปลัดอำเภอจ้ะ แต่ตอนนี้เขาไปหลงรักนางเอกลิเก เลิกกันแล้วถึงจะมาเจอโยม เอาละ บอกแค่นี้แหละ" แล้วท่าก็พูดกับคนอื่นๆว่า "ใครมีอะไรจะถามหรือปรึกษาเรื่องอะไรก็เชิญได้"
ท่านกวาดสายตาไปทั่วๆ แล้วพูดว่า "แหม วันนี้คิวยาวจัง เสาร์อาทิตย์นี่ควรจะเพิ่มรอบเช้าอีกสักรอบ หรือคนจัดคิวว่าอย่างไร" ท่านถามนายขุนทอง ซึ่งนั่งสัปหงกอยู่ข้างหลัง
"อ้าว หลับหรือ ขุนทองเอ๊ย" นายขุนทองสะดุ้งตืน "หลวงลุงมีอะไรให้หนูรับใช้หรือฮะ" "ข้าถามว่าวันเสารอาทิตย์นี่น่าจะเพิ่มรอบเช้าอีกสักรอบ เกรงใจญาติโยมเขาที่ต้องมารอนานๆ หรือเอ็งคิดว่ายังไง"
"ก็ดีฮะหลวงลุง หนูก็กำลังคิดจะปรึกษาหลวงลุงอยู่เหมือนกัน สองวันนี่เป็นวันหยุด คนก็มักจะมากันมากเป็นพิเศษ แต่หลวงลุงคงต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก ทุกวันนี้ก็ได้แค่จำวัดวันละสองชั่วโมงเท่านั้น หนูไม่อยากให้ตรากตรำจนเกินไป เดี๋ยวหมอรู้เข้าก็จะมาว่าหนูดูแลไม่ดีอีก แล้วอีกอย่าง..."
นายขุนทองพูดยังไม่ทันจบ ท่านพระครูก็พูดขึ้นมาว่า "พอๆ ไม่ต้องร่ายยาว ข้าถามนิดเดียว ตอบเสียยืดยาวเลย สมชายไปไหน ไปบอกมาเตรียมรถได้แล้ว อีกสักพักข้าจะไปงานศพ" ท่านสั่งการ
หลานชายลุกออกไปแล้ว ท่านจึงกับญาติโยมว่า "ลูกศิษย์วัดป่ามะม่วงมึทุกแบบเลยโยม จะเอาแบบไหนล่ะ ที่ดีๆเขาก็ไม่มีเวลามารับใช้ ที่มารับใช้ก็ไม่ค่อยจะเต็มบาทสักเท่าไหร่ ก็ต้องทนๆกันไป เอาละ ใครมีอะไรก็ว่าไป"
"หลวงพ่อคะ หนูมีปัญหากับแม่ผัวค่ะ" สตรีวัยสามสิบเศษๆ เอ่ย หล่อนมากับน้าสาววัยห้าสิบ
"ปัญหายังไงล่ะโยม ไหนว่าไปซิ"
หล่อนไม่ตอบ ได้แต่นั่งร้องไห้กระซิกๆ น้าสาวเลยต้องช่วยตอบแทน
"แม่ผัวเขาร้ายค่ะหลวงพ่อ แกล้งใช้งานสารพัด แถมยังไถเงิน พอหลานฉันหาให้ไม่ทันก็เลยยุลูกชายให้มีเมียใหม่ แรกๆ ลูกเขาก็ไม่เชื่อแม่ แต่ตอนนี้กำลังจะเชื่อค่ะ จะทำยังไงดีคะหลวงพ่อ"
"แล้วโยมรู้ได้ยังไงว่าเขากำลังจะเชื่อ" ท่านถาม
"ก็เขามาขอหย่าหลานฉันน่ะค่ะ เขาบอกว่าเห้นแก่แม่ หาว่าหลานฉันไม่ดีกับแม่ของเขา" คนเป็นน้าอธิบาย
"ขอหย่าก็หย่าไปเลย จะได้หมดเรื่องหมดราว"
ได้ยินเช่นนั้นคนเป็นลูกสะใภ้ก็ร้องไห้หนักขึ้น
ท่านพระครูจึงปลอบว่า "ใจเย็นๆน่าโยม อาตมาลองใจเล่นเท่านั้น เดี๋ยวจะบอกวิธีแก้ให้ รับรองว่าไม่ต้องหย่า"
ท่านรู้สึกเห็นใจหญิงสาว เพราะรู้ซึ้งถึงหัวอกของคนเป็นสะใภ้ที่มักจะถูกแม่ผัวกลั่นแกล้ง ในเจ็ดชาติที่ท่านระลึกนึกถึงย้อนหลังไปได้นั้น มีชาติหนึ่งที่ท่านเกิดเป็นสะใภ้เขา แม้จะล่วงกาลผ่านพ้นมานานแสนนานขนาดข้ามชาติข้ามภพ แต่ท่านก็ยังจำความขมขื่นในครั้งนั้นได้ดี จึงให้ข้อคิดกันคนฟัง
"ญาติโยมโปรดจำไว้ แม่ผัวกับลูกสะใภ้นั้น มักจะเป็นคู่เวรกันมาแต่ครั้งอดีตชาติ รายไหนก็รายนั้น ที่จะดีต่อกันอย่างจริงใจหายากเต็มที ถ้าใครมีแม่ผัวดีควรจะกราบเช้ากราบเย็น แล้วก็คุยได้เลยว่าเป็นคนโชคดีที่สุดในโลก อาตมาเข็ดแล้ว ไม่ยอมเป็นลูกสะใภ้ใครอีกแล้ว"
ผู้ที่นั่งฟังอยู่พากันหัวเราะ คนเป็นลูกสะใภ้ก็หัวเราะทั้งน้ำตา
"ฟังแล้วห้ามเอาไปพูดต่อนะ สมัยที่อาตมาเป็นลูกสะใภ้เขาน่ะ โอ้โฮ ลำบากอย่าบอกใครเลย แม่ผัวเขาใช้งานไม่พัก ข้าวก็ใ้ห้กินทีหลัง กับข้าวก็ไม่มี อาตมาเลยต้องกินข้าวคลุกน้ำตาทุกวัน ถึงต้องหนีมาบวชไงล่ะ"
คนฟังหัวเราะอีก เพราะคิดว่าท่านพูดเล่น ท่านเองก็ต้องการให้พวกเขาคิดเช่นนั้น เพราะหากบอกว่าเป็นเรื่องจริง ก็จะกลายเป็นว่าท่านอวดอุตริมนุสสธรรม
"พวกแม่ผัวนี่ทำไมมันร้ายนักนะคะหลวงพ่อ นี่ดีนะที่เป็นหลานฉัน ถ้าเป็นฉันละก็ ฮึ่ม" น้าสาวขบเขี้ยวเคิ้ยวฟัน
"โยมจะทำยังไง ถ้าโยมเป็นสะใภ้แล้วโดนแบบนี้ จะแก้ปัญหาอย่างไร" ท่านซักอย่างนึกสนุก
"ฉันก็จะถลกหนังหัวแม่ผัวมาทำกลองสิคะ"
คนฟังพากันหัวเราะชอบใจ ท่านพระครูเองก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โชคดีที่ไม่มี "แม่ผัว" นั่งอยู่แถวนั้น ไม่งั้นคงสนุกกันยกใหญ่
"โอ้โฮ คิดเหมือนอาตมาเปี๊ยบเลย ตอนนั้นอาตมาก็คิดแบบเดียวกับโยมนี่แหละ แต่เดี๋ยวนี้เลิกคิดแล้ว พอมาเป็นพระเลยเลิกคิด"
"แหม ฉันชักอยากจะเป็นลูกสะใภ้เขาบ้างแล้วสิคะหลวงพ่อ" คนเป็นน้ารู้สึกดังที่ปากพูด
"งั้นหรือ แล้วตอนนี้โยมอายุเท่าไหร่ล่ะ" "ห้าสิบค่ะ" "อ้อ อายุห้าสิบยังคิดอยากจะแต่งงาน อยากเป็นลูกสะใภ้"
ท่านพระครูพูดยิ้มๆ บุรุษและสตรีที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ต่างก็มีใบหน้าที่ "เปื้อนยิ้ม" ด้วยกันทุกคน
ดร. สุทัสสา อ่อนค้อม
(เอ็นทรี่นี้อยู่ในหมวด "หนังสือ" ค่ะ)
Create Date : 07 กันยายน 2559 |
Last Update : 7 กันยายน 2559 19:27:43 น. |
|
34 comments
|
Counter : 1048 Pageviews. |
|
|
|
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
สาวไกด์ใจซื่อ Book Blog ดู Blog
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
Raizin Heart Movie Blog ดู Blog
tuk-tuk@korat Travel Blog ดู Blog
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น