เวียงแว่นฟ้า - เดินตามรอยกรรม
<<
เมษายน 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
1 เมษายน 2557

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 2





สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 2




นายบัวเฮียวนั่งพับเพียบมานานจนรู้สึกเมื่อย จึงเปลี่ยนเป็นนั่งชันเข่า รู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงที่ท่านพระครูปฏิเสธที่จะบวชให้ เขามองท่านตาละห้อย คิดหาถ้อยคำที่จะพูดอ้อนวอนท่าน หากก็คิดไม่ออก จึงใม่มีคำพูดใดๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากค่อนข้างหนาคู่นั้น

เห็นท่าทางผิดหวังของเขา ท่านพระครูก็รัสึกสงสารจึงพูดขึ้นว่า “ฉันพูดเล่นหรอกนะ เอาเถอะ ในเมื่ออยากบวชก็จะบวชให้ เธออ่านหนังสือออกไม่ใช่หรือ จบประถมสี่นี่นะ”
ใจที่ฟุบแฟบกลับฟูฟ่องขึ้นอีกครั้ง นายบัวเฮียวจึงตอบท่านว่า “ครับ พออ่านออกเขียนได้”
“ดีแล้ว ต้องหัดท่องคำบาลีที่เรียกว่า ‘ขานนาค’ ให้คล่อง ท่องได้เมื่อไหร่ก็บวชให้เมื่อนั้น”
“ใช้เวลาสักกี่วันครับหลวงพ่อ กว่าจะท่องได้” เขาถามอย่างปิติ

“ก็ต้องแล้วแต่เธอ ถ้าความจำดีก็ได้เร็ว ไม่เกินสามวันเจ็ดวันก็ได้ แต่ถ้าความจำไม่ดีก็อาจต้องใช้เวลาเป็นเดือน เอาละ เดี๋ยวจะหาพระให้มาเป็นพี่เลี้ยง คอยดูแลบอกกล่าว ฉันไม่ค่อยมีเวลา ไหนจะต้องคอยรับแขกที่มาเข้ากรรมฐาน บางวันเขาก็นิมนต์ไปบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ ครั้นจะไม่รับนิมนต์เขา เขาก็จะติฉินนินทาเอาได้ว่าไม่ทำหน้าที่พระ” ประโยคหลังท่านบ่นกลายๆ

“พระที่หลวงพ่อว่าอยู่ที่ไหนครับ”
“อยู่วัดนี้แหละ สมชาย มาหน่อยนี่ซิ” ท่านเรียกลูกศิษย์ที่กำลังทำความสะอาดกุฏิอยู่ที่ชั้นบน
เด็กหนุ่มคลานเข้ามาท่าน ถามว่า “หลวงพ่อมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
“ช่วยไปดูซิว่าพระมหาบุญอยู่หรือเปล่า ถ้าอยู่ บอกให้มาพบฉันหน่อย มีธุระจะพูดด้วย”

เด็กหนุ่มคลานออกไปจนถึงประตูแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไป สักครู่ก็กลับเข้ามาพร้อมพระรูปหนึ่ง อายุประมาณสี่สิบปี

เมื่อมาถึงพระรูปนั้นก็นั่งลงกราบเบญจางคประดิษฐ แล้วจึงถามขึ้นว่า “หลวงพ่อมีอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ”
“มีสิ ท่านมหา นี่เขาจะมาขอบวช จะให้ท่านมหาช่วยสอนเรื่องการเตรียมตัวบวช รู้จักท่านมหาเสียซิ บัวเฮียว"

นายบัวเฮียวยกมือขึ้นไหว้แบบเดียวกับที่ไหว้ท่านพระครู พร้อมกับยิ้มให้ท่านมหา
“คงต้องสอนเรื่องการกราบการไหว้ให้ด้วย คงหนักหน่อยละ นึกว่าเอาบุญก็แล้วกัน” ท่านพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะช่วยดูแลให้ดีที่สุด หลวงพ่อวางใจได้ แล้วจะให้เขาพักที่ไหนครับ”
“คงต้องให้อยู่กุฏิเดียวกับท่านมหาไปก่อน ออกพรรษามีกุฏิว่างแล้วค่อยให้แยก อีกสองวันพระก็จะออกจากพรรษาแล้วนี่นะ ทนอึดอัดไปก่อนนะ บัวเฮียวนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องขอบคุณท่านพระครูและท่านมหาที่ช่วยเหลือผมมาก”
คำพูดนั้นไม่ไพเราะนัก แต่ก็ออกมาจากใจจริง
“เอาละ เป็นอันว่าเสร็จธุระแล้ว ท่านมหาพาไปที่กุฏิเลย มีอะไรขัดข้องก็มาบอกฉันได้ ขอให้เชื่อฟังท่านมหาเขานะ บัวเฮียวนะ”

ท่านหันไปสั่งนายบัวเฮียว ซึ่งชายหนุ่มก็รับคำแข็งขัน พระมหาบุญกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วจึงบอกให้นายบุญเฮียวกราบบ้าง หนุ่มญวนทำตามอย่างว่าง่าย แม้ท่าทางจะดูเก้ๆกังๆ ด้วยไม่เคยทำมาก่อน

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา หากผู้ใดเดินผ่านกุฏิของมหาบุญ ก็จะได้ยินเสียง ‘เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา...’ หรือไม่ก็ ’อุกาสะ วันทามิ ภันเต, สัพพัง อะปะราชัง ขะมะถะเม ภันเต...’ ดังลอดออกมาจากกุฏิ บางครั้งก็เป็นเสียงสวดยถาสัพพี บางวันก็เป็นเสียงสวดธรรมจักร แล้วแต่ว่าใครจะผ่านไปได้ยินตอนไหน

พระมหาบุญลงความเห็นว่า แม้นายบุญเฮียวจะดูเป็นคนเซ่อๆซ่าๆ แต่ก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย ความจำเป็นเลิศ ชั่วเวลาเพียงสี่วัน เขาก็สามารถท่อง ‘ท่องขานนาค’ ได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้องแม่นยำ การไหว้การกราบก็ทำได้สวยงาม ดูไม่เคอะเขินขัดหูขัดตาเหมือนตอนที่มาใหม่ๆ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงรับฟังรายงานจากพระมหาบุญด้วยความยินดี

ก่อนออกพรรษาห้าวัน นายบุญเฮียวก็เข้าพิธีอุปสมบท โดยมีท่านพระครูเจริญเป็นอุปัชฌาย์ พระคู่สวดได้แก่พระมหาบุญ ซึ่งรับหน้าที่เป็นพระกรรมวาจาจารย์ กับพระมหาเปล่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ อีกรูปเป็นพระอันดับ ทุกรูปล้วนเป็นพระวัดป่ามะม่วงทั้งสิ้น

วันที่นายบัวเฮียวบวช ท่านพระครูงดออกบิณฑบาตโปรดสัตว์หนึ่งวัน เมื่อออกจากกรรมฐานในตอนเช้าแล้ว จึงจัดการให้ช่างตัดผมมาโกนผมให้นายบัวเฮียว โดยท่านนั่งดูอยู่ใกล้ๆ ช่างตัดผมใช้กรรไกรตัดผมให้สั้นเสียก่อนแล้วจึงใช้มีดโกน ทันทีที่ใบมืดสัมผัสหนังศีรษะ นายบัวเฮียวก็รู้สึกเสียววาบไปทั่วร่างกาย พลันก็ระลึกนึกถึงบิดามารดา อยากให้บุคคลทั้งสองมาร่วมงานด้วย โดยเฉพาะบิดานั้นเขาคิดถึงมาก ไม่รู้ว่าป่านฉะนี้จะไปเกิด ณ ที่ใด แต่ก็คงไม่พ้นอบายภูมิ เพราะท่านพระครูบอกว่าคนที่ทำความชั่วจะไปเกิดที่นั่น คิดแล้วชายหนุ่มก็ร้องไห้ แรกๆก็น้ำตาไหลเฉยๆ หนักเข้าก็ถึงสะอื้นฮักๆ จนท่านพระครูสังเกตรู้ ส่วนช่างตัดผมไม่พูดว่ากระไร คงทำหน้าที่ของตัวต่อไป

“เธอร้องไห้ทำไมหรือ?” ว่าที่อุปัชฌาย์ถาม
“ผมแค่คิดถึงพ่อกับแม่ครับ” เขาตอบปนสะอื้น
ท่านพระครูเข้าใจความรู้สึกของเขา จึงปลอบว่า “คิดถึงทำไม ก็แม่เธอเขามีความสุขไปแล้ว ไหนเธอบอกว่าพ่อเลี้ยงเขาเป็นคนดียังไงล่ะ”
“ครับ แต่ผมก็อยากให้แม่มาร่วมงานวันนี้ อยากให้แกมาเห็นชายผ้าเหลือง” พูดพลางใช้มือปาดน้ำตา
“ยังไงเสียเขาก็ต้องได้เห็น แก้กรรมแล้วก็กลับไปเยี่ยมเขาก็ได้ จะมานั่งเสียอกเสียใจทำไม”
“ครับ”

เขารับตำและหยุดร้องไห้ แต่ก็ยังสะอึกสะอื้น ท่านพระครูหยิบกระดาษเช็ดหน้าส่งให้เขาเช็ดน้ำมูกน้ำตา เงียบกันไปครู่หนึ่ง หนุ่มวัยเกือบสามสิบก็เอ่ยขึ้นว่า

“หลวงพ่อครับ แล้ว..พ่อ....พ่อผมไปเกิดที่ไหนก็ไม่รู้” พูดแล้วก็ร้องไห้อีก

ท่านพระครูจึงตัดบทว่า “อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมาก ทำใจให้สบาย วันนี้เป็นวันของเธอนะ ขอให้ห่วงตัวเอง ช่วยตัวเองให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยคิดช่วยคนอื่น ผู้ที่จะกระโจนลงไปช่วยคนตกน้ำจะต้องว่ายน้ำเป็นเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะพากันจมน้ำตายทั้งสองคน เรื่องพ่อของเธอนั้นหากเธอหมั่นทำกรรมฐานแล้วแผ่เมตตาไปให้ ก็อาจจะช่วยแกได้บ้าง”

“จริงหรือครับหลวงพ่อ” เขาถามพลางรับกระดาษที่ท่านพระครูส่งให้ไปเช็ดน้ำมูกน้ำตา ไม่ลืมที่จะประนมมือไหว้และกล่าวคำขอบคุณทุกครั้งก่อนรับของ

“ฉันจะโกหกเธอทำไม”
นายบัวเฮียวเกรงท่านจะโกรธจึงพูดขึ้นว่า “ขอโทษครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะตั้งใจปฏิบัติให้ดีที่สุด”
“ดีแล้ว ฉันขออนุโมทนาด้วย จำไว้เถอะว่าอะไรๆก็ไม่เหลือวิสัยของบุคคลผู้มีความเพียรไปได้” เจ้าอาวาสให้กำลังใจ

เสร็จจากโกนผม ท่านพระคุณจึงบอกให้นายบุญเฮียวไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดหมดจด เพื่อเตรียมเข้าพิธีในพระอุโบสถ พิธีจะเริ่มในเวลา 9.09 นาฬิกา

ค่ำวันเดียวกันนั้น พระบัวเฮียวได้นำพานดอกไม้ธูปเทียนมาขึ้นกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์อีกครั้งหนึ่ง ท่านพระครูเจริญอธิบายให้พระใหม่เข้าใจว่า การขอกรรมฐานในพิธีซึ่งทำกันในพระอุโบสถเมื่อเช้านี้ เป็นการทำตามประเพณีเท่านั้น เพราะหลังบวชแล้ว พระส่วนใหญ่ก็มิได้นำไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้นจึงเป็นกฎสำหรับวัดนี้ว่าพระบวชใหม่จะต้องมาขอกรรมฐานอีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง ตลอดระยะเวลาที่ดำรงเพศเป็นบรรพชิต

เมื่อพระบัวเฮียวกล่าวคำขอสมาทานกรรมฐานแล้ว ท่านพระครูจึงลงมือสอนด้วยตัวเอง เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติมามาก สมัยที่บวชใหม่ๆ ท่านเจริญสมถกรรมฐานโดยการกำหนด ‘พุทโธ’ เป็นองค์บริกรรม ปฏิบัติสมถกรรมฐานอยู่ได้หลายปีจนได้อภิญญา แต่ก็เป็น ‘โลกียอภิญญา’ ซึ่งเมื่อมีได้ก็เสื่อมได้ ไม่แน่นอนและไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น

เมื่ออายุได้ 45 ปี ท่านได้ธุดงค์ไปในป่าดงพระยาเย็น เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะแนะนำเรื่องการปฏิบัติ ป่าดงพระยาเย็นนี้แต่เดิมมีชื่อว่าป่าดงพระยาไฟ ครั้นถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์ทรงเปลี่ยนมาเป็นดงพระยาเย็น เพื่อให้ฟังดูไพเราะและไม่น่ากลัวเหมือนชื่อเดิม

ที่ป่าดงพระยาเย็น ท่านพระครูเจริญได้เรียนวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน 4 จาก ‘พระในป่า’ แล้วท่านก็ได้พบว่าไม่มีทางสายใดประเสริฐเท่ากับทางสายนี้อีกแล้ว ท่านเพิ่งจะเข้าใจซาบซึ้งในพุทธวจนะในพระไตรปิฎก ความว่า “....ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้นความโศกและปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุโลกุตรมรรค เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี่คือสติปัฏฐาน 4......”

นับเป็นโชคอันดี เป็นลาภอันประเสริฐของท่านพระครูที่ได้ไปพบกัลยาณมิตร ด้วย “พระในป่า” รูปนั้นท่านประกอบด้วยกัลยาณมิตรธรรม 7 ประการครบบริบูรณ์ คือ น่ารัก น่าเคารพ น่าเจริญใจ รู้จักว่ารู้จักพูด ยอมให้พูดยอมให้ว่า แถลงเรื่องลึกซึ้งได้ และไม่ชักนำในเรื่องไม่ควร เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่กับ “พระในป่า” เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม

การดำเนินมรรคาที่ถูกต้องหนึ่ง การพบกัลยาณมิตรหนึ่ง ความไม่ย่อหย่อนในการประกอบความเพียรหนึ่ง และบุญบารมีที่ได้สะสมมาแล้วแต่ชาติปางก่อนหนึ่ง องค์ประกอบทั้งสี่ประการนี้เป็นเหตุปัจจัยให้การปฏิบัติของท่านก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนได้บรรลุโลกุตรธรรมในที่สุด นับแต่บัดนั้นจนบัดนี้ท่านได้สัมผัสกับความสุขที่แท้จริงและได้ตระหนักชัดแล้วว่า “นตํถี สนํติ บริสุข” สุขอื่นที่ยิ่งกว่าความสงบไม่มี

ด้วยจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา ปรารถนาจะให้เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เข้าสู่ภาวะอันประเสริฐบริสุทธิ์นั้นบ้าง ท่านจึงทำวัดให้เป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐาน ฝึกอบรมพระเณรในวัดให้รู้วิธีปฏิบัติ เช่น การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ ตลอดจนการกำหนดรู้ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น

วัดป่ามะม่วงจึงกลายเป็นสถานที่ดับร้อนผ่อนทุกข์ของคนเป็นอันมาก เพราะเป็นที่สัปปายะ คือความสะดวกสี่ประการ ได้แก่ เสนาสนสัปปายะ มีที่พักอาศัยสะดวก อาหารสัปปายะ มีอาหารการบริโภคสะดวก ปุคคลสัปปายะ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องทำให้สบายใจ และ ธรรมสัปปายะ มีหลักปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะกับจริตของผู้ปฏิบัติธรรม ความสะดวกสี่ประการนี้มีอยู่พร้อมมูลในวัดป่ามะม่วงที่ท่านพระครูเจริญเป็นเจ้าอาวาส

เมื่อพระบัวเฮียวกล่าวคำขอสมาทานกรรมฐานเรียบร้อยแล้ว ท่านพระครูจึงซักถามพระบวชใหม่ เพื่อต้องการทราบพื้นฐานความรู้

“พระมหาบุญท่านสอนอะไรมาบ้างหรือยัง?” ท่านหมายถึงเรื่องการปฏิบัติ
“สอนแล้วครับ” พระบวชใหม่ตอบ
“ท่านสอนอะไรบ้าง”
“ท่านสอนเหมือนที่หลวงพ่อสอนนั่นแหละครับ” พระบัวเฮียวตอบซื่อๆ
“ฉันยังไม่ได้สอนเธอนี่นา ก็กำลังจะสอนอยู่นี่ไง” พระอุปัชฌาย์ท้วง
“สอนครับ ก็หลวงพ่อเคยสอนให้ผมเชื่อฟังท่านมหา ท่านมหาก็สอนผมว่าให้เชื่อฟังหลวงพ่อ” พระใหม่ขยายความ

“อ้อ...แต่ที่ฉันถามนั้น หมายถึงการปฏิบัติกรรมฐานต่างหากล่ะ พระมหาบุญท่านสอนการเดินจงกรม การนั่งสมาธิให้บ้างหรือยัง” ผู้อาวุโสกว่าเริ่มจะรู้สึกถึงความซื่อที่มีระดับใกล้เคียงกับ “เซ่อ” ของพระลูกศิษย์

“ยังครับ” คราวนี้พระบัวเฮียวตอบแข็งขัน
“ถ้างั้นก็เริ่มต้นกันเลย เอาละ ยืนขึ้น ฉันจะสอนเดินจงกรมระยะที่หนึ่งให้”

แล้วท่านก็ลุกขึ้น พระบวชใหม่ลุกตามและตั้งใจว่าจะปฏิบัติให้ดีที่สุด เพราะศรัทธาปสาทะที่มีต่อท่านพระครูนั้น เป็นเสมือนโอสถขนานเอกที่จะทำให้คนหายจากโรคได้

“การเดินจงกรมมีทั้งหมดหกระยะ ระยะที่หนึ่งมีหนึ่ง ‘หนอ’ ระยะที่สองก็มีสอง ‘หนอ’ แล้วก็เพิ่มระยะหนึ่ง ‘หนอ’ ไปเรื่อยๆจนถึงระยะที่หก ก็มีหก ‘หนอ’ ผู้เป็นอุปัชฌาย์อธิบาย
“หนอ หมายถึงอะไรครับหลวงพ่อ”
พระใหม่ถามอย่างใคร่รู้ หากในใจนั้นคิดเล่นๆว่า ‘หนอๆ แหนๆ อะไรก็ไม่รู้ หลวงพ่อนี่พิกลจริงๆ’

“ถ้าจะเอาคำแปลกันจริงๆมันก็ไม่มี เพราะมันเป็นคำอุทาน เหมือนเวลาเราพูดว่า สุขจริงหนอ ดีจริงหนอ อะไรพวกนี้ แต่ในการปฏิบัติธรรม เราเอา ‘หนอ’ มาเป็นองค์บริกรรม เช่น ขวา-ย่าง-หนอ ซ้าย-ย่าง-หนอ ‘หนอ’ ในที่นี้แปลว่า ‘กำลัง’ หรือจะแปลว่า ‘รู้’ ก็ได้เหมือนกัน คือรู้ปัจจุบัน เช่นรู้ว่าเรากำลังเดิน รู้ว่ากำลังกิน สรุปก็คือ ‘หนอ’ เป็นตัวบอกให้มีสติรู้ตัวพร้อมอยู่ตลอดเวลานั่นเอง เข้าใจหรือยังล่ะ”

ท่านพระครูอธิบาย ท่านไม่รู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดพระบัวเฮียวจึงถาม เพราะพระรูปใหม่ทุกรูปก็เคยถามท่านแบบเดียวกันนี้มานักต่อนักแล้ว

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อสอนผมเดินทั้งหกระยะเลยได้ไหมครับ วันหลังจะได้ไม่ต้องมารบกวนหลวงพ่อ” พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจ

“ไม่ได้หรอก ต้องเดินวันละหนึ่งระยะแล้วจึงค่อยๆเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน อย่าใจร้อน ปฏิบัติธรรมต้องใจเย็นๆจึงจะได้ผล เอาละ ฉันจะเดินระยะที่หนึ่งให้ดู ลำดับแรก ยืนตัวตรง เอามือไขว้หลัง นี่อย่างนี้”

พระบัวเฮียวทำตาม หากมือที่ไขว้นั้นเอามือซ้ายทับมือขวาและแขนห้อยลงแบบสบายๆ
“ทำแบบนั้นไม่ได้ นี่ ..ต้องเอามือขวาทับมือซ้าย แล้วยกมือที่ไขว้ขึ้นมาไว้บริเวณกระเบนเหน็บ ไม่ใช่ห้อยตามสบายแบบนั้น”

ท่านจับมือทั้งสองของพระใหม่และจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง “เอาละ เสร็จแล้วกำหนด ‘ยืนหนอ’ ห้าครั้ง หายใจยาวๆ เอาสติไว้ที่ศีรษะ พอบอก ‘ยืน’…ค่อยๆลากสติลงมาช้าๆ พอถึงคำว่า ‘หนอ’ สติก็จะมาอยู่ที่เท้าพอดี แล้วจึงลากขึ้นด้วยวิธีเดียวกัน เพราะฉะนั้น ‘ยืน-หนอ’ ห้าครั้ง เราก็จะลากสติ ลง-ขึ้น ลง-ขึ้น ลง ลองทำซิ”

พระใหม่ทำตามคำบอก และก็ทำได้โดยไม่ข้องขัด ท่านพระครูพอใจที่เขาเป็นคนสอนง่าย
“หลวงพ่อครับ ทำไมต้องพูดว่า ‘ยืน-หนอ’ ห้าครั้งเล่าครับ” ถึงจะสอนง่ายแต่ก็ช่างซัก
“ที่ต้องบริกรรมห้าครั้งก็เอามาจาก ‘ตจปัญจกกรรมฐาน’ นั่นไง ไหนบอกมาซิว่าตจปัญจกกรรมฐานมีอะไรบ้าง”
“เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ครับ” พระบัวเฮียวว่าเร็วปรื๋อเพราะเป็นคนจำแม่น
“แปลด้วย”
“เกสา-ผม โลมา-ขน นขา-เล็บ ทันตา-ฟัน ตโจ-หนัง ครับ”

“ดีมาก นี่แหละการให้ยืน-หนอห้าครั้ง ก็เพื่อจะให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แต่บางสำนักเขาก็ให้ ‘ยืน-หนอ’สามครั้ง โดยลากสติขึ้น-ลงเฉยๆ อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะถนัดอย่างไร เพราะถึงจะปฏิบัติแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ก็มีจุดหมายอันเดียวกัน คือความหลุดพ้นจากทุกข์ เอาละ เมื่อยืน-หนอห้าครั้งแล้วก็จะเริ่มเดิน ไหนบอกมาก่อนซิว่าตอนนี้สติอยู่ที่ไหน”

“ที่เท้าครับ”

“ดีมาก เอาละ ทีนี้ก็ย้ายสติมาไว้ที่เท้าขวา เพราะเราจะก้าวเท้าขวาก่อน นี่ก้าวที่หนึ่ง บริกรรมว่าอย่างนี้ ‘ขวา-ย่าง-หนอ’ ต้องก้าวช้าๆ การบริกรรมก็ต้องทำให้ทันปัจจุบันด้วย นี่เห็นไหม เดินหนึ่งก้าวก็หนึ่ง ‘หนอ’ เอาละ ทีนี้จะก้าวเท้าซ้ายก็ย้ายสติมาไว้ที่ท้าวซ้าย บริกรรมว่า ‘ซ้าย-ย่าง-หนอ’ พร้อมกับก้าวไปด้วย”

ท่านพระครูลองเดินให้ดูสี่ห้าก้าวแล้วจึงให้พระใหม่ลองทำดู พระบัวเฮียวก็เดินอย่างรวดเร็ว

“หยุดก่อน หยุดก่อน เดินเร็วอย่างนั้นไม่ได้ ต้องเดินช้าๆเหมือนอย่างที่ฉันทำให้ดูนั่นไง”
“ทำไมต้องเดินช้าๆ ด้วยครับหลวงพ่อ” ถามเพราะไม่เข้าใจ
“ที่ต้องเดินช้าๆก็เพื่อจะได้เห็นสัจธรรม เดินเร็ว อิริยาบถไปบังสัจธรรมหมด รู้หรือยังล่ะ”
“สัจธรรมคืออะไรครับ” คนช่างสงสัยถามอีก
“ถ้าอยากรู้ก็ต้องเร่งทำความเพียร หมั่นเดินจงกรมนั่งสมาธิ ฝึกสติให้มากๆ สติดีเมื่อไหร่ก็จะรู้เอง”
“งั้นก็แปลว่าตอนนี้ผมสติไม่ดีน่ะสิ เปล่านะครับ หลวงพ่อ ผมไม่ได้บ้านะครับ” พระใหม่ร้อนตัวเพราะเข้าใจความหมายไม่ตรงกับผุ้พูด

“ฉันก็ไม่ได้ว่าเธอบ้านี่นา จำไว้นะ..เมื่อเธอจะไปสอนคนอื่นต่อไปในวันข้างหน้า คนบ้าอย่าเอามาเข้ากรรมฐานเป็นอันขาด บางคนไม่เข้าใจ คิดว่าเอาคนบ้ามาเข้ากรรมฐานจะทำให้หายได้ ไม่จริงเลย มีแต่จะทำให้บ้าหนักขึ้น ก็อย่างเมื่อเดือนที่แล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่สติไม่ค่อยดี ญาติเลยพามาเข้ากรรมฐาน ฉันก็ไม่รู้ เพราะท่านมหาบุญท่านเป็นคนสอน แหม..พอเดินจงกรมได้สามวันก็ออกฤทธิ์เลย ลุกขึ้นรำป้อ ใครห้ามก็ไม่ฟัง คนเขามาตามฉันไปดู ฉันเลยให้ญาติมาพาไปส่งปากคลองสาน”

“แล้วเขายอมไปแต่โดยดีหรือครับ”
“อ้าว ถ้ายอมก็ไม่ใช่คนบ้าสิ”
“แล้วทำไมถึงไปได้ล่ะครับ”

“พระมหาบุญท่านใช้อุบายให้ญาติหลอกว่าสำนักนี้สอนไม่ดี รำก็ไม่สวย สู้สำนักโน้นไม่ได้ เขาก็ต้อนขึ้นรถบอกจะพาไปสำนักโน้น ก็เลยพาไปได้”
“ทำไมคนบ้าถึงปฏิบัติไม่ได้เล่าครับ” พระใหม่ถามอีก

“เอาละ ฉันจะยังไม่ตอบเธอ ให้เธอรู้เอาเองเมื่อได้ปฏิบัติถึงระดับหนึ่งแล้ว อยากเตือนสักนิดว่าความลังเลสงสัยจนเกินขอบเขตอาจเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าได้เหมือนกัน แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติมากๆเข้าก็จะหายสงสัยไปเอง” ผู้เป็นอุปัชฌาย์แนะแนว

“ครับหลวงพ่อ ถ้าอย่างนั้นผมจะตั้งใจปฏิบัติให้ก้าวหน้าโดยเร็ว” ว่าแล้วก็เดินจงกรมอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เอาละ ทีนี้พอเดินสุดทาง ซึ่งไม่ควรจะมากกว่าสามเมตร ก็กำหนดกลับโดยบริกรรมว่า ‘กลับ-หนอ’ อย่างนี้” ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง พระบัวเฮียวก็ทำตามโดยไม่ยากนัก

“เอาละ เมื่อเดินเป็นกลับเป็นแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะสอนการนั่งให้ สำหรับวันนี้เดี๋ยวเธอกลับไปเดินจงกรมต่อที่กุฏิของเธอให้ได้หนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ให้นอนหงาย เอามือขวาวางบนท้อง สังเกตอาการพอง-ยุบของท้อง เมื่อท้องพองให้บริกรรมว่า ‘พอง-หนอ’ เมื่อยุบก็ให้บริกรรมว่า ‘ยุบ-หนอ’ ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหลับ พยายามจับให้ได้ว่าหลับไปตอนพองหรือตอนยุบ เอาละ..กลับไปได้แล้ว”

“ผมต้องขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่ได้เมตตาสอนให้”

พระบัวเฮียวก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แล้วจึงค่อยๆคลานถอยหลังออกมา ครั้นถึงประตูจึงลุกขึ้นเดินไปยังกุฏิของตน ซึ่งอยู่ร่วมกับพระมหาบุญ ขณะเดินก็กำหนดซ้าย-ขวาไปตลอดทาง กระนั้นเสียง ‘หนอๆๆ’ และ ‘เอาละๆๆ’ ก็ยังก้องอยู่ในโสตประสาท วันนี้พระอุปัชฌาย์ของท่านใช้คำว่า ‘หนอ’ และ ‘เอาละ’ มากที่สุด



ผู้แต่ง : ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม

หมายเหตุ: อยู่ในหมวด Book Blog





Create Date : 01 เมษายน 2557
Last Update : 22 เมษายน 2557 14:52:43 น. 24 comments
Counter : 2086 Pageviews.  

 
นำบทที่สองมาลงให้แล้ว หวังว่าท่านผู้อ่านที่อ่านบทที่ 1 มาแล้วจะชอบและติดตามอ่านต่อไปนะคะ


โดย: เวียงแว่นฟ้า วันที่: 1 เมษายน 2557 เวลา:11:57:42 น.  

 
ความลังเลสงสัยจนเกินขอบเขตอาจเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าได้เหมือนกัน
แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติมากๆเข้าก็จะหายสงสัยไปเอง

ปฏิบัติยังไงคะ สงสัยอีกแล้ว อิอิ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมพร้อมโหวตค่า
ส่งกำลังใจให้นะคะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 1 เมษายน 2557 เวลา:15:15:58 น.  

 
สวัสดีค่ะ
เนื้อเรื่องยาวพอสมควรเลยนะคะ ต้องขออภัยที่อ่านไม่จบ
ไม่ไหวจริงๆค่ะ
สายตาแย่มาก
ขอบคุณที่แวะไปฟังเพลงและส่งกำลังใจนะคะ





โดย: mambymam วันที่: 1 เมษายน 2557 เวลา:19:23:29 น.  

 
แวะมาอ่านและส่งกำลังใจค่ะ

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ


 mambymamMusic Blogดู Blogเนินน้ำFood Blogดู BlogOpeyCartoon Blogดู Blogเวียงแว่นฟ้าBook Blogดู Blogดอยสะเก็ดLiterature Blogดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น



โดย: pantawan วันที่: 2 เมษายน 2557 เวลา:0:01:16 น.  

 
มาโหวตให้เช่นกันค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Sweet_pills Travel Blog ดู Blog
blueberryblossom Photo Blog ดู Blog
คนบ้า(น)ป่า Music Blog ดู Blog
pantawan Health Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น






โดย: mambymam วันที่: 2 เมษายน 2557 เวลา:0:19:14 น.  

 
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ขอบคุณขอรับ เด๋วไว้หายง่วงจะแวะกลับมาอ่านขอรับ


โดย: ขุนเพชรขุนราม วันที่: 2 เมษายน 2557 เวลา:6:44:54 น.  

 




มา บอก คิดถึง ค่ะ..



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Dharma Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น





โดย: foreverlovemom วันที่: 2 เมษายน 2557 เวลา:11:46:42 น.  

 
แวะมาทักทายก่อนค่า เดี๋ยวค่อยแวะมาอ่าน ไม่ค่อยมีสมาธิ แหะๆ

ชอบเจ้าหมาน้อยหน้าดุเหมือนกันค่ะ แต่ตัวจริงขี้กลัวมากค่ะ สีสวย น่ารักมาก อยากได้ด้วย ส่วนห่านแต่ก่อนที่บ้านเลี้ยงไว้ หลังๆ มันกลายเป็นสีขาวล้วนทุกตัวเลยค่ะ สงสัยยีนส์ด้วยจะทำงาน สวยมากเลยค่ะ แต่ไม่ค่อยถูกชะตากะมัน เพราะนิสัยเสียมาก ชอบวิ่งใส่ตอนหันหลังให้ ไปใกล้ๆ ต้องถือไม้ไว้ ไม่งั้นมันจะหนีบเอา เกเรจริงๆ

ขอบคุณที่แวะมาทักทายนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ แอดเพื่อนไว้แล้วด้วย

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


โดย: ประกายพรึก วันที่: 2 เมษายน 2557 เวลา:16:36:40 น.  

 
ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันค่ะ ขอบคุณโหวตด้วยค่ะ


วันนี้จำเอาข้อความตอนนี้ไปค่ะ...ช่วยตัวเองให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยคิดช่วยคนอื่น ผู้ที่จะกระโจนลงไปช่วยคนตกน้ำจะต้องว่ายน้ำเป็นเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะพากันจมน้ำตายทั้งสองคน

ตรงนี้ด้วย...ความลังเลสงสัยจนเกินขอบเขตอาจเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าได้เหมือนกัน แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติมากๆเข้าก็จะหายสงสัยไปเอง




โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 2 เมษายน 2557 เวลา:21:08:13 น.  

 
ชุดนี้ถูกใจมากค่ะ ที่เป็นเสียงก็มี มีอ่านกันหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นที่ผู้เขียนอ่านเองก็มีค่ะ ป้าฟังหมดแล้ว แต่เรื่องดีมากจนฟังซ้ำได้เรื่อยๆค่ะ


ส่งกำลังใจค่ะ


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
คนบ้า(น)ป่า Music Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 2 เมษายน 2557 เวลา:22:00:42 น.  

 
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
อรุณสวัสดิ์จ้ะ


โดย: Opey วันที่: 3 เมษายน 2557 เวลา:5:20:28 น.  

 
หนังสือชุดนี้ เขียนเล่าได้ดี เก่งมาก ผมอ่านซ้ำ
7 ครั้งได้มังครับ

หนังสือชุดนี้มีหลายเล่ม รู้สึกจะมี 6 - 7 เล่ม
พออ่านแล้ว บอกตรง ๆ ไม่อยากทำบาป

แล้วทำให้ผมสนใจ ปฏิบัติธรรม และเข้าเรียน
สมาธิอย่างจริงจังครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 3 เมษายน 2557 เวลา:6:12:49 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ

โหวตส่งกำลังใจไปให้คุณเวียงแว่นฟ้าด้วยครับ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


โดย: **mp5** วันที่: 3 เมษายน 2557 เวลา:7:18:25 น.  

 



อัพแล้วเนาะ...

ลองอ่านอีกทีค่ะ..


คิดถึงค่ะ..





โดย: foreverlovemom วันที่: 3 เมษายน 2557 เวลา:8:52:25 น.  

 




เขียน เสร็จ หมด แล้ว..

ไม่กล้าโพสต์...

ลบทิ้ง...

จะเขียน หลังไมค์...

เฮ้อ... อย่าเลย...


เอาเป็น รักกัน เป็นเพื่อนกัน อย่างนี้ ดีแล้วค่ะ...


เนาะ เนาะ...






โดย: foreverlovemom วันที่: 3 เมษายน 2557 เวลา:9:47:49 น.  

 
สวัสดีค่า

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
AppleWi Health Blog ดู Blog
phunsud Food Blog ดู Blog
multiple Photo Blog ดู Blog
mambymam Home & Garden Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: schnuggy วันที่: 3 เมษายน 2557 เวลา:10:50:01 น.  

 



หัวเราะ ตรงคำว่า.. "เผื่อจะขำ" นี่ล่ะค่ะ..


ขอบคุณสำหรับโหวตนะคะ..




จุ๊บ จุ๊บ ค่ะ..





โดย: foreverlovemom วันที่: 3 เมษายน 2557 เวลา:11:20:31 น.  

 
สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

 photo C360_2014-03-14-19-41-00-008_zps6b19a229.jpg


โดย: อ้วนน้อยของโอก้า วันที่: 4 เมษายน 2557 เวลา:15:42:17 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
เกศสุริยง Education Blog ดู Blog
ก้นกะลา Music Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ขุนเพชรขุนราม Political Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
-------------------
แวะมาทักทายนะคะ และขออนุญาติaddไว้เป็นเพื่อนบ้านด้วยนะคะ


โดย: จารุพิชญ์ วันที่: 4 เมษายน 2557 เวลา:21:55:10 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำชม และ โหวตครับ
มาอ่านบทที่ 2 ครับ

โหวตให้ครับ เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 4 เมษายน 2557 เวลา:23:16:31 น.  

 

ขอบคุณที่แวะไปทักทายค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

newyorknurse







โดย: newyorknurse วันที่: 5 เมษายน 2557 เวลา:1:34:50 น.  

 
แวะมาทักทายวันหยุด อากาศเย็นๆสบายๆค่า
พร้อมส่งกำลังใจให้เน๊าะ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Photo Blog ดู Blog
Opey Cartoon Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


มีความสุขกับการพักผ่อนนะคะ


โดย: พริ้วไหวไปตามลม วันที่: 5 เมษายน 2557 เวลา:7:32:55 น.  

 




เมื่อคืนนอนเร็วค่ะ..

ทำงานเยอะ...

แต่ไม่ค่อยได้เนื้องาน... ฮ่าาาาา..


ตื่นเช้า..

ก็ทำทุกอย่าง..

ยกเว้น ไม่ได้ทำงาน..


ไปนะคะ..


ขอบคุณ ที่กรุณาไปเยี่ยมค่ะ...






โดย: foreverlovemom วันที่: 5 เมษายน 2557 เวลา:8:52:33 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
Opey Cartoon Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

อ่านแล้วสนุกดีค่ะ ได้ความรู้และความรู้สึกธรรมชาติของคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมากค่ะ..ขอบคุณที่แวะไปที่บล๊อกนะคะ..


โดย: deeplove วันที่: 5 เมษายน 2557 เวลา:11:26:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เวียงแว่นฟ้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
[Add เวียงแว่นฟ้า's blog to your web]