//www.archae.su.ac.th/art_in_thailand/?q=node/122
ศิลาจารึกเมืองศรีจนาศะ อาณาจักรโบราณเก่าแก่ในอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมา อาจเป็นหลักฐานสนับสนุนความเห็นของนักประวัติศาสตร์พม่าให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เมื่อมีการสำรวจพบแหล่งอารยธรรมสมัยทวารวดีซ่อนตัวอยู่บริเวณเทือกเขาดงพญาเย็นอันสลับซับซ้อนประกอบด้วยร่องรอยเมืองโบราณขนาดใหญ่ ศิลปวัตถุสมัยทวารดวีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปศิลาศิลปะทวารดีองค์ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในประเทศไทย ตลอดจนแหล่งชุมชนเก่าแก่ที่แผ่ขยายตัวไปตามลำแม่น้ำมูลทั้งสองฝั่ง เป็นต้นว่า ลำตะคอง ลำพระเพลิง ลำจักรวาช ลำปลายมาศ ไหลผ่านที่ราบสูงโคราชไปบรรจบกับแม่น้ำโขงในอำเภอโขงเจียมจังหวัดอุบลราชธานี ศิลาจารึกดังกล่าวบรรยายรายชื่อกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีจนาศะ ตั้งแต่พระองค์แรกไปจนถึง พระองค์แรกไปจนถึงพระองค์สุดท้าย ด้วยภาษาสันกฤตระบุว่าสลักขึ้นใน พ.ศ. 1480 อ่านแปลได้ว่า
มีพระราชาหลายองค์ ผู้ทรงมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติแห่งโลกและมีโชคลาภ จึงได้ปกครอง
ดินแดนจนาศะปุระ พระราชาพระองค์แรกทรงพระนามว่า ภคทัตต์
พระราชาผู้ทรงสืบเชื้อสายต่อมา ทรงพระนามว่า ศรีสุนทรปรากรมผู้ทรงกระทำให้ศิลปศาสตร์
รุ่งเรืองและเชิดชูราชวงศ์ของพระองค์ให้เปล่งปลั่งดังดวงจันทร์ในฟากฟ้า....
ศิลาจากรึกเมืองศรีจนาศะอีกหลักหนึ่ง พบที่บ้านบ่ออีกา อำเภอเนิน จังหวัดนครราชสีมา แม้มิได้
ระบุปีศักราชไว้ แต่สันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นในยุคนั้น บอกรายละเอียดให้ทราบเพิ่มเติมว่า อาณาจักรศรีจนาศะเป็นบ้านเมืองที่นับถือศาสนาพุทธ และเป็นหลักฐานหักล้างความเชื่อเดิมที่เข้าใจกันว่า หลังจากอาณาจักรฟูนันล่มสลายแล้ว อาณาจักรกัมพูชาได้บุกรุกเข้ามายึดครองดินแดนในภาคอีสานของประเทศไทย ศิลาจารึกเมืองศรีจนาศะได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ในสมัยนั้นอาณาจักรศรีจนาศะเป็นอาณาจักรอิสระ สร้างสรรค์ศิลปะแบบทวารดีเป็นของตนเองและนับถือศาสนาพุทธ เพราะมีข้อความตอนหนึ่งว่า ...พระราชาแห่งศรีจนาศะ ได้ถวายแด่ภิกษุสงฆ์ เพื่อมุ่งหวังพระโพธิญาณ
ขอขอบคุณ //blog.eduzones.com/tambralinga/5512