นักรบสตรีเคิร์ด อยู่ในแนวหน้าระดับโลก ประมาณการว่ามีถึงร้อยละ 40 ในกองทัพ [Ari Jalal/Reuters]
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1
สนธิสัญญา Treaty of Sevres
https://goo.gl/gT1vxVมีข้อกำหนดเพื่อจัดการล้มล้างและแบ่งแยกอาณาจักรออตโตมัน
ทำให้เกิดประเทศเล็กประเทศน้อยในตะวันออกกลาง
และอาณาจักรออตโตมันเหลือแค่พื้นที่ประเทศตุรกี
สนธิสัญญาดังกล่าวได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากชาวเคิร์ด
ด้วยการลงประชามติเพื่อตัดสินปัญหาเรื่องบ้านเกิดของชาวเคิร์ด
แต่แล้วสนธิสัญญา Sevres ถูกปฏิเสธโดยสาธารณรัฐตุรกีใหม่
ที่นำโดยมุสตาฟา เคมาลปาชา หัวหน้ากลุ่มยังเติร์ก
ที่ปฏิวัติและขับไล่กาหลิบ/คอลีฟะห์ออตโตมัน
จนต้องไปตายและฝังศพที่เมกกะ ในเซาว์ดี้
โดยตุรกียืนยันว่าจะรบต่อไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญา
ซึ่งในช่วงนั้นหลายประเทศต่างหน่ายกับสงครามแล้ว
และเข้าทางจักรวรรดินิยมในการแบ่งแยกแล้วปกครอง
ผลจากการดื้อแพ่งของตุรกี
จึงต้องมีการร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่ คือ สนธิสัญญาโลซาน
Treaty of Lausanne
https://goo.gl/1qQL1Pซึ่งมีการเจรจาตกลงและลงนามกันในปี 1923
ผลของสนธิสัญญา Lausanne ทำให้ตุรกีได้สิทธิ์ครอบครอง
คาบสมุทรอานาโตเลีย และเอเซียน้อย
รวมทั้งบ้านเกิดเมืองนอนชาวเคิร์ดในตุรกี
รวมทั้งในสนธิสัญญาฉบับใหม่นี้ ไม่มีข้อตกลงใด ๆ เลย
ที่จะจัดให้มีการลงประชามติเพื่ออิสรภาพ/เอกราชของชาวเคิร์ด
ชาวเคิร์ดได้แต่เฝ้ารอคอยว่าจะมีเขตปกครองอิสระ
และมีรัฐเอกราชแต่ก็เลือนหายไปมากกว่าสองสามทศวรรษ
ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จนถึงสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 1990
ชาวเคิร์ดทั้งในตุรกี อิหร่าน อิรักและซีเรีย ต่างได้ทำการสู้รบร่วมกัน
เพื่อบรรลุอิสรภาพเอกราชและการมีรัฐเคิร์ดของพวกตนเอง
แต่การรณรงค์ทั้งหมดต่างล้มเหลวตามมาด้วยการถูกปราบปรามอย่างรุนแรงในแต่ละครั้ง
ใครคือชาวเคิร์ดในอีรักหลายสิบปีของการต่อสู้ทางอาวุธและทางการเมือง
ชาวเคิร์ดในอีรัคจึงได้สถาปนาเขตปกครองตนเองในทางตอนเหนือของอีรัก
ช่วงก่อนปี 2005 ชาวเคิร์ดในอีรัคได้ก่อการจราจลหลายต่อหลายครั้ง
ต่อกองกำลังรักษาความสงบอังกฤษที่เข้ามาควบคุมอิรักและต่อรัฐบาลที่กรุงแบกแดด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายทศวรรษ 1970
การปกครองอิรัก ทำให้ชาวเคิร์ดจำหนวนหลายหมื่นคนถูกขับไล่
ให้ออกจากทางเหนือของอิรักผ่านนโยบาย Arabization ความเป็นอาหรับ
https://goo.gl/B73EH8และมาอยู่ร่วมกับคนอาหรับในเขตภาคกลางและภาคใต้ของอิรัก
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 คือ ช่วงการพลัดถิ่นของชาวเคิร์ดในภาคเหนือ
ซึ่งเป็นการย้ายถิ่นขนาดใหญ่มาก มีผลทำให้ประชากรชาวเคิร์ดทั้งหมด
ต้องย้ายจากพื้นที่เมือง Khanaqin ที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนอิหร่าน
ไปยังพื้นที่ชายแดนของประเทศซีเรียและตุรกีรอบเมือง Sinjar
ในช่วงปี 1980 รัฐบาลซัดดัมฮุสเซ็นของอิรัก
ได้สั่งให้ทหารทำลายหมู่บ้านอย่างน้อย 4,000 หมู่บ้าน
และบังคับให้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังกลุ่มเมืองต่าง ๆ ที่กำหนดไว้
ในปี 1988 รัฐบาลซัดดัมฮุสเซ็น อ้างว่าต้องทำสงครามแก้แค้นชาวเคิร์ด https://goo.gl/fgAfjb
ด้วยความรุนแรงและโหดร้ายรวมทั้งมีการโจมตีด้วยก๊าซพิษที่ Halabja https://goo.gl/TYuvyJ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาชญากรสงครามของอิรัก
ได้ตัดสินในว่า Sadam Hussein ในข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ด้วยหลักฐานการทำลายล้างชาวเคิร์ดภายในประเทศผ่านยุทธการทางทหารในปี 1988
ซึ่งมีการสังหารพลเรือนไม่น้อย 50,000 คนและทำลายบ้านเรือนนับพัน ๆ แห่ง
ในปี 1991 แสงสว่างปลายอุโมงค์ครั้งแรก
ของการมีเอกราชก็ได้มาถึงในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก
เพราะกลุ่มนักรบชาวเคิร์ดได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับกองทัพสหรัฐ
ในการจัดตั้งเขตห้ามบิน No Fly Zone ของกองทัพอากาศอิรักในภาคเหนือของอิรัก
เขตความมั่นคงดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังติดอาวุธชาวเคิร์ด
ซึ่งมีการควบคุมอย่างต่อเนื่องบนดินแดนแถบนี้
และเป็นการปูทางสำหรับข้อตกลงตามรัฐธรรมนูญในปี 2005
ในขณะเดียวกันเขตปกครองตนเองของชาวเคิร์ด
จะเป็นที่รู้จักว่าเป็นประเทศ Iraqi Kurdistan
ทำให้มีชาวเคิร์ดส่วนใหญ่จะหลบหนีความสับสนวุ่นวาย
และการทำลายล้างที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนและหลัง
การล่มสลายของเผด็จการ Saddam Hussein ในปี 2003
แต่ความตึงเครียด/ความขัดแย้งต่าง ๆ ยังคงมีอยู่
รัฐบาลภูมิภาคเคิร์ด (KRR) Kurdish Regional Government
ยังไม่สามารถกำหนดเขตแดนของชาติตนเอง
ทำให้ชาวเคิร์ดหลายคนหวังว่าจะขยายพรมแดนปัจจุบัน
ให้ครอบคลุมไปถึงพื้นที่โต้แย้งอีกหลายต่อหลายแห่ง
ที่ถูกทำเป็นชาวอาหรับภายใต้ยุคสมัยของ Saddam Hussein
รวมทั้งเมือง Kirkuk ซึ่งมีชาวเคิร์ดอยู่กันเป็นจำนวนมากที่สุดทั้งยังเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยน้ำมัน
รวมทั้งชาวเคิร์ดต่างยึดถือว่าเป็นเมือง Jerusalem (เมืองหลวง/ศูนย์กลางศาสนาของชาวเคิร์ด)
ในฤดูร้อนของปี 2014
เมื่อกองกำลังของ ISIL ได้ยึดครองพื้นที่ขนาดใหญ่ของอิรัก
กองกำลังติดอาวุธ Kurdish Peshmerga ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง
เพื่อป้องกันสู้รบอย่างเหนียวแน่นไม่ให้เมืองนี้ตกไปอยู่ในมือของกลุ่ม ISIL
แม้ว่าจะยังคงมีความตึงเครียดระหว่างพรรคการเมืองหลักทั้งสองพรรค
คือ พรรค Patriotic Union Party (PUK) กับ Kurdistan Democratic Party (KDP)
แต่ก็ร่วมมือกันในการสู้รบช่วงสงครามกลางเมืองในระหว่างปี 1994-1997
กับทหารอีรักของ Saddam Hussein
ในเดือนกรกฎาคม 2014
ประธานาธิบดี Massoud Barzani เขตปกครองพิเศษชาวเคิร์ด
ได้ประกาศว่ารัฐบาลกำลังวางแผนจะลงประชามติเกี่ยวกับเอกราชจากอิรัก
ผลการประกาศดังกล่าวก่อให้เกิดสัญญาณเตือนภัยขึ้นเป็นครั้งแรก
และสร้างความตึงเครียดประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันกับมีชาวเคิร์ดอยู่ในหลายประเทศ
ซึ่งต่างเกรงกลัวว่าประชากรชาวเคิร์ดภายในประเทศพวกตนจะทำตาม
ผลการลงประชามติครั้งล่าสุดในวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา
ชาวเคิร์ดส่วนใหญ่สนับสนุนการแยกตัวออกจากประเทศอีรัก
หลังสงครามอ่าวเปอร์เซียหลังจากสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 1990-1991
และเขตห้ามกองทัพอากาศอีรักบินที่บังคับใช้โดยสหรัฐอเมริกา
มีผลอย่างมากในภูมิภาคชาวเคิร์ดอิรัก ในเขตนี้
ทำให้ชาวเคิร์ดรู้สึกว่ามีอิสระในการปกครองตนเองชั่วคราว
ผลจากการรบร่วมกับพันธมิตรก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
เป็นการกรุยทางไปสู่เขตปกครองพิเศษ Iraqi Kurdistan
ในปี 1992
พันธมิตรของพรรคการเมือง Iraqi Kurdistan Front
ได้จัดให้มีการเลือกตั้งรัฐสภาและมีตำแหน่งประธานาธิบดี
ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ Iraqi Kurdistan Front
จึงได้จัดตั้ง Kurdish Regional Government (KRG) เขตปกครองชาวเคิร์ด
และมีรัฐบาลที่เป็นอิสระในภูมิภาคชาวเคิร์ดของประเทศอิรัก
ทั้งนี้ทาง KRG กล่าวว่าในปัจจุบันมีประชากรอย่างน้อย 5.2 ล้านคน
อาศัยอยู่ในดินแดนของชาวเคิร์ดในประเทศอิรัก
ซึ่งมีมีรัฐสภาของตนเอง มีกองกำลังทหาร (Peshmerga)
เขตดินแดนแดนและนโยบายต่างประเทศของชาติตนเอง
ในปี 1994 การสรรค์อำนาจอำนาจระหว่างทั้งสองพรรค PUK กับ KDP ล้มเหลวลง
ในปี 2003 กองทัพสหรัฐอเมริกาได้เข้าจัดการประเทศอิรัก
และกองกำลังติดอาวุธ Peshmerga ได้ร่วมในการสู้รบเพื่อโค่นล้มรัฐบาล Saddam Hussein
หลังจากที่ Saddam Hussein ถูกโค้นล้มอำนาจลงไปแล้ว
มีการลงประชามติเพื่อจัดตั้งชาติใหม่ และมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้มีเขตปกครองชาวเคิร์ดและรัฐสภาชาวเคิร์ด
ในปี 2006 ทั้งสองพรรค PUK กับ KDP
ตกลงร่วมกันบริหารงานโดยมีนายกรัฐมนตรี Nechirvan Barzani
อย่างไรก็ตามชาวเคิร์ดต้องพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้าน
ในการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภคและการส่งออกน้ำมัน
โดยมีน้ำมันเป็นทรัพยากรหลักในเขตปกครองตนเอง
ชาวเคิร์ดในตุรกีมีประชากรชาวเคิร์ดประมาณ 20% ที่อาศัยอยู่ในตุรกี
หรือเกือบครึ่งหนึ่งของชาวเคิร์ดในเขตปกครองตนเอง
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของตุรกี
ปฏิเสธการมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน
และนับตั้งแต่การก่อตั้งประเทศตุรกีขึ้นมา
หลังจากที่อาณาจักรออตโตมันล่มสลายไปแล้ว
การแสดงออกใด ๆ ของชาวเคิร์ดหรือชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ
ที่มีเอกลักษณ์/อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์
จะถูกกดขี่ข่มเหงและทำการปราบปราม
แม้กระทั่ง ภาษาเคิร์ดที่พูดโดยคนนับล้านในตุรกี
ก็จะถือว่าผิดกฎหมายจนกระทั่งถึงปี 1991
รัฐบาลตุรกีได้ปิดกั้นและลงโทษอย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
ด้วยการจัดระเบียบทางการเมืองและห้ามการกระทำใด ๆ
ที่แสดงออกถึงนัยลัทธิชาตินิยมชาวเคิร์ด
ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมายมีโทษรจำคุก
แม้ว่า รัฐบาลตุรกีมักจะถูกกล่าวหาว่า
เป็นผู้ทำลายทรัพยากรอย่างเป็นระบบในพื้นที่ชาวเคิร์ด
ในปี 1978 Abdullah Ocalan ได้จัดตั้งพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK)
เพื่อเรียกร้องให้มีรัฐอิสระในตุรกี
ในปี 1984 PKK ได้ทำการสู้รบกับรัฐบาลตุรกี
ประมาณการกันว่ามีผู้เสียชีวิตราว 30,000-40,000 คน
และบาดเจ็บอีกหลายหมื่นคนตามรายงานข่าวของ
International Crisis Group
https://goo.gl/b4AKbh
สภาพปรักหักพังในทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี จังหวัด Diyarbakır วันที่ 21 มกราคม 2016 AFPPKK ยังได้ทำการโจมตีทรัพย์สินของรัฐบาล
และทำการสังหารเจ้าหน้าที่รัฐบาล ชาวบ้านตุรกีที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของชาวเคิร์ด
และชาวเคิร์ดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ/ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐบาล
ในปี 2012 รัฐบาลตุรกีและ PKK ได้เริ่มตกลงกันให้มีการการเจรจาสันติภาพ
และในปี 2013 มีการตกลงกันเรื่องการหยุดยิง แม้ว่าจะมีการปะทะกันบ้างก็ตาม
ในเดือนกรกฎาคม 2015 ข้อตกลงหยุดยิงก็พังทลายลง
หลังจากที่เกิดเหตุกาณ์ระเบิดฆ่าตัวตายที่ได้ฆ่านักกิจกรรมวัยรุ่นอย่างน้อย 33 คน
ในเมือง Suruc ใกล้กับชายแดนซีเรียซึ่งเป็นเขตที่มีชาวเคิร์ดอยู่กันเป็นจำนวนมาก
แต่รัฐบาลตุรกีกล่าวหาว่าเป็นพวก ISIL
องค์การสหประชาชาติ ได้ระบุในรายงานว่า https://goo.gl/JYVjLd
ในช่วงปีนี้มีประชาชนอย่างน้อย 2,000 คน
ซึ่งรวมถึงประชาชนในท้องถิ่นจำนวน 1,200 คน
และสมาชิกกองกำลังรักษาความปลอดภัยจำนวน 800 คน
ที่ถูกสังหารจากคลื่นความรุนแรง/การก่อการร้ายล่าสุด
PKK ได้เปิดการโจมตีทหารและตำรวจตุรกี
ในขณะที่รัฐบาลตุรกีได้ประกาศว่า
เปิดตัวสิ่งที่เรียกว่า การสมคบคิดก่อการร้าย ของ PKK กับ ISIL
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
รัฐบาลตุรกีได้ทำการโจมตีทางอากาศในค่าย PKK
ในภาคเหนือของประเทศอิรัก และมีการปะทะกันอย่างหนัก
ทำให้ผู้คนหลายร้อยคนเสียชีวิตจากการนี้
เมือง Kobane ในซีเรีย เคยถูกล้อมโดย ISIL ในเดือนกันยายน 2014
มีชาวเคิร์ดไม่ต่ำกว่า 300,000 คน [Mohamed Azakir/Reuters]สถานการณ์ชาวเคิร์ดในประเทศซีเรียในประเทศซีเรียพรรคสหภาพประชาธิปไตย (PYD)
เป็นหนึ่งในพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญที่สุดของชาวเคิร์ด
ประกอบด้วยกองกำลังติดอาวุธ Syrian Democratic Forces (SDF)
ซึ่งมีพันธมิตรเป็นกลุ่มชาวเคิร์ด ชาวอาหรับ ชาวอัสซีเรีย ชาวอาร์เมเนีย
และชาวเติร์กเมนิสถาน ที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม 2015
PYD ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2003
แตกย่อยออกมาจาก PKK ซึ่งยังคงเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด
กองกำลังติดอาวุธของ PYD คือ People's Protection Units (YPG)
กลุ่มนี้ได้ประสานงานและเป็นพันธมิตรกับกลุ่มกบฏซีเรีย
และกองกำลังของรัฐบาลในส่วนต่าง ๆ ของซีเรีย
เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ต่าง ๆ ร่วมกัน
ในช่วงความขัดแย้งภายในของซีเรีย
https://goo.gl/xe4ntSกองกำลังติดอาวุธกลุ่มนี้สามารถควบคุมปกครอง
พื้นที่ขนาดเล็กในสามจังหวัดทางตอนเหนือของประเทศซีเรีย
คือ Aleppo Raqqa และ Hassakah
สหรัฐได้ให้การสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธ SDF
ด้วยการทิ้งระเบิดสนับสนุนในการโจมตีการรบของ ISIL
ที่พยายามที่จะยึดครอง Raqqa ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธ
ที่ประกาศว่าจะปกครองตนเองในเขตจังหวัดนี้
ชาวเคิร์ดเป็นหนึ่งในประชากรไร้สัญชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประชากรชาวเคิร์ดมีจำนวนใกล้เคียงกับประเทศแคนาดาและออสเตรเลีย
ผู้หญิงชาวเคิร์ดเป็นนักสู้ชั้นนำระดับโลกคิดเป็น 40% ของทหารในกองทัพ
รัฐบาลเขตปกครองชาวเคิร์ด มีสัดส่วนสตรีมากกว่าสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้มีจำนวนที่นั่งในรัฐบาลที่สงวนไว้สำหรับผู้หญิงจำนวนร้อยละ 30
เขตปกครองตนเองชาวเคิร์ดในอิรัก กำหนดให้งบประมาณร้อย 16 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ต้องใช้เพื่อด้านการศึกษามากกว่าสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
จำนวนคนหนึ่งในสี่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนของชาวเคิร์ดในอิรัก
ต่างเป็นผู้ลี้ภัยหรือผู้ลี้ภัยอพยพหนีสงครามจากภายในประเทศตนเอง
ชาวเคิร์ดในซีเรีย เคยถูกกดขี่ข่มแหงจากประธานาธิบดี Bashar al-Assad และ พ่อ Hafiz [AFP]เรียบเรียง/ที่มา aljazeerahttps://goo.gl/oSRHXS
เรื่องเดิม
https://pantip.com/topic/36100454 สวยสังหารโหดยิง ISIS กว่า 100 ศพ
สวยสังหาร ทหารหญิงกองทัพ PKK ชาวเคิร์ดในอิรัค
ส่วนมากเป็นมุสลิมนิกายสุหนี่เหมือนกับกลุ่ม ISIS
นักรบกลุ่ม ISIS กลัว/โกรธมากกับทหารหญิงกลุ่มนี้
เพราะเสียเหลี่ยม เสียศักดิ์ศรี ถ้าถูกทหารหญิงยิงเสียชีวิต
ต่างพากันหลบหนีเวลาปะทะกับกลุ่มทหารหญิง
เพราะเชื่อกันว่าชายใดถูกสตรีฆ่าตายจะต้องไปอยู่กับไซตอน(ซาตานในนรก)
ทหารหญิงชาวเคิร์ดบอกพร้อมพลีชีพดีกว่าถูกจับเป็น
ISIS กดขี่ผู้หญิงในเรื่องการแต่งกาย การเรียนหนังสือ
มักจะขายเหยื่อผู้หญิงบังคับให้ไปเป็นเมียแบบ Mudhah
คือ การแต่งงานที่มีเวลาแน่นอนครบกำหนดหย่าทันที เช่น ไปรบ ไปต่างแดน
ชายไทยมุสลิมบางคนที่มีกิ๊กที่อื่นชอบทำแบบนี้
ท่านจุฬาราชมนตรี ประณามคนทำแบบนี้มากเพราะเลี่ยงหลักศาสนา
ที่มา facebook : BBC THA
แม้ว่าจะไม่ใช่ภาพที่แท้จริงของ Saladin แต่มีอนุสาวรีย์ Citadel
ใน Damascus ประเทศ Syria Photo by Graham van der Wielen
(มุสลิมชีอะห์ไม่เคร่งครัดในเรื่องภาพบุคคลเหมือนมุสลิมสุนนี่)ช่วงที่นักรบครูเสดยึดครอง Jerusalem
ภายในมหานครมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ช่วงยุคแรกของอาหรับ (ระหว่าง 638-1099)
ชาว Jews Muslims กับ Christians ต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติในเขตพื้นที่ของพวกตน
ระหว่างสงครามครูเสด (ระหว่าง 1099-1187)
คนต่างศาสนาในสามกลุ่มนี้ ต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ได้แล้ว แบบมักจะรุกรานพื้นที่อีกฝ่าย
ฝรั่งเศส (ภาษาพูดชนเผ่า Franks) กลายเป็นภาษาพูดหลัก
ละติน (ภาษาของโบสถ์) กลายเป็นภาษาเขียนที่สำคัญ
ภายหลังการตายของ Baldwin I ในปี 1118
ผู้สืบทอดอำนาจของเขายังคงปกครองอาณาจักรเยรูซาเลมใหม่
สงครามครูเสดครั้งที่ 2
เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในเขตดินแดนของอาณาจักร แต่ก็ล้มเหลวอย่างน่าสังเวช
ชนเผ่า Franks มีพันธมิตรเป็นชาวคริสเตียนอื่น ๆ ในเขตพื้นที่นี้
ซึ่งประกอบด้วย Greek Orthodox Coptic และ Armenian Christians
(แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้มากแต่อย่างใด
เพราะต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าเป็นพวกนอกรีตผิดหลักการศาสนาคริสต์)
ขณะเดียวกัน ชาวมุสลิมต้องการยึดดินแดนดังกล่าวคืนมา
รวมทั้งนคร Jerusalem (ศาสนาสถานที่นับถือของอิสลาม ที่มี Mecca กับ Medina)
ผู้ปกครองวัยหนุ่มที่ทะเยอทะยาน Salah al Din Yusuf Ibn Ayyub หรือเรียกกันว่า Saladin
ได้ก้าวเข้ามาในตำแหน่งผู้นำที่ทรงอำนาจของชาวมุสลิม
ชาวเคิร์ด (ไม่ใช่ชาวอาหรับ) จากเมือง Tikrit (บ้านเกิดของ Saddam Hussein)
Saladin เชื่อว่าพระอัลเลาะห์ได้เรียกตนให้มาปลดปล่อยดินแดน Palestine
บุรุษที่ทรงบารมีและน่านับถือที่พยายามคิดว่าตนเองไม่แตกต่างกับนักรบคนอื่น ๆ
Saladin ผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวบ้านมุสลิม
พร้อมกับแนวคิดสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อสู้รบกับพวกชนเผ่า Franks
ทั้งยังมีชัยสงครามหลายต่อหลายครั้งทำให้รุกคืบหน้าเข้าไปในดินแดนพวกชนเผ่า Franks
เอกสารในภาษา Arabic มีการกล่าวถึงกายภาพของ Saladin เพียงเล็กน้อย
ผู้คนที่รู้จักกับ Saladin เป็นอย่างดีมักจะบอกเล่าเรื่องราวเพียงเล็กน้อยว่า
เขามีรูปร่างเล็กและบอบบาง ไว้หนวดเคราเรียบร้อย
(ตามหลักการศาสนาอิสลาม ผู้ชายต้องไว้หนวดไว้เคราเพื่อสมความเป็นบุรุษ)
พวกเขามักจะชอบพูดถึงเกี่ยวกับลักษณะความชอบครุ่นคิดของ Saladin
และใบหน้าที่หมองเศร้าแต่เมื่อยามยิ้มแย้มกลับทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ทันที
Saladin จะปฏิบัติตนกับผู้มาเยือนอย่างเท่าเทียมกัน
ทั้งยังยืนกรานอย่างหนักแน่นว่า แขกผู้มาเยือนจะต้องอยู่เพื่อรับประทานอาหารร่วมกันก่อน
Saladin จะปฏิบัติต่อแขกอย่างให้เกียรติเต็มที่ แม้ว่าแขกเหล่านี้จะเป็นพวกคนนอกศาสนาก็ตาม
Saladin ยังมีคุณสมบัติอื่นที่ล้ำค่ายิ่งนัก
คนทั่วไปมักจะกล่าวว่า Saladin ต้องการทำตัวของเขา
ให้เหมือนกับ Nur al-Din [บรรพบุรุษของเขา] อย่างที่เคยเป็น
Saladin มักจะผ่อนปรนกับคนอื่น ๆ
แต่ว่าไร้ความเมตตายิ่งกว่าบรรพบุรุษ Saladin
ในการจัดการกับผู้ที่ดูหมิ่นศาสนาอิสลาม
หรือที่เขาเรียกพวกมันว่า พวกนอกรีต ซึ่งแน่นอนว่าคือ พวกชนเผ่า Franj
[เป็นคำพูดที่ชาวมุสลิมในยุคนั้นเรียกพวกชนเผ่า Franks]
เรียบเรียง/ที่มา https://goo.gl/P8c46y(สงครามครูเสดผ่านสายตาคนอาหรับ)
Create Date : 03 ตุลาคม 2560 |
Last Update : 3 ตุลาคม 2560 13:12:10 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3555 Pageviews. |
|
ใช้เวลาอ่าน 2 วันจบพอดีค่ะ