ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2561
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
15 กุมภาพันธ์ 2561
 
All Blogs
 
ราชาหนู






Rat king จาก Dellfeld ใน Germany ในปี 1895.Photo credit: Edelseider/Wikimedia



ในเช้าวันที่อากาศหนาวเย็นในเดือนมกราคม 2005
ที่หมู่บ้าน Saru ทางตอนใต้ของ Estonia
Rein Kıiv ชาวนากับลูกชายของเขาได้ค้นพบเรื่องแปลกประหลาด
พวกเขาพบว่าบนพื้นทรายของโรงนา
มีฝูงหนูรวมกลุ่มกัน 16 ตัวโดยมีหางพันกันเป็นปมเงื่อน
และต่างดิ้นจะหนีอย่างกระวนกระวายอย่างไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย
แต่พวกมันยิ่งดิ้นรน หางพวกมันยิ่งมัดกันเป็นปมเงื่อนมากขึ้น
พวกหนูเหล่านี้เห็นได้ชัดเลยว่าพยายามขุดตัวเองออกจากโพรงที่แคบ
แต่ผลการต่อสู้ดิ้นรน หนูบางตัวถูกฝังอยู่ใต้ทราย
มีหนู 7 ตัวที่หางพันอยู่ในปมเงื่อนตายไปแล้ว
ลูกชายของ Rein Kıiv จึงตัดสินใจที่ยุติเรื่องราวเลวร้ายและแสนจะชั่วร้ายนี้
(บางท้องถิ่นยังถือว่าเป็นเรื่องโชคไม่ดีหรือภูติผีปีศาจกลั่นแกล้ง)
ด้วยการหยิบไม้ทุบหนูตัวที่ยังไม่ตายให้ไปพบพระผู้เป็นเจ้าทุกตัว

Rein Kıiv ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลยว่า
การค้นพบของพวกเขาเป็นปรากฏการณ์ที่หายากมากเรียกว่า ราชาหนู Rat King
พวกมันเคยถูกพบเห็นเมื่อราว 500 ปีก่อนมาแล้ว
โดยมีหนูจำนวน 60 ตัวที่พบเห็นและได้จดการบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์
ทั้งยังมีการเก็บรักษาซาก/ตัวอย่างไว้ในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ
ในปี 1828 ราชาหนูที่ใหญ่ที่สุดและรู้จักกันดี
ถูกพบในเตาไฟของโรงสีที่ Buchheim
มีหนู 32 ตัวและยังเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์
Mauritianum ใน Altenburg ประเทศเยอรมนี

ราชาหนู Saru จะถูกนำไปเก็บไว้และจัดแสดงให้ผู้คนเข้าเยี่ยมชม
ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (สัตววิทยา)
ที่มหาวิทยาลัย Tartu ประเทศเอสโตเนีย
ด้วยการดองไว้ในแอลกอฮอล์ขั้นต่ำ 70%
โดยผ่านการฉีดฟอร์มาลีนเข้าไปในตัวสัตว์ทิ้งไว้เป็นเวลา 2 วัน
กระบวนการนี้ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนทำเพราะฟอร์มาลีนเป็นสารเคมีมีพิษ

โดยก่อนที่จะนำมาส่งเพื่อการเก็บรักษา
พวกมันได้สัมผัสกับอากาศที่เปิดโล่ง
ทำให้หางของพวกหนูเริ่มแห้งขึ้นและปมเงื่อนที่หางก็หลวมขึ้น
อย่างไรก็ตามสภาพของหางเคยผ่านการถูกบีบรัดอย่างแรง
ทำให้สามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่า ปมหางหนูเคยแน่นหนามาก

ราชาหนูพบเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นของประหลาดตามธรรมชาติ
แต่ก็กลายเป็นประเด็นปัญหาที่มีการถกเถียงหาข้อเท็จจริงกัน
โดยมีสมมติฐานหนึ่งว่า ราชาหนูถูกสร้างขึ้นเพราะหนูเกิดอาการตกใจกลัว
แล้วกระตุ้นประสาทพวกมันด้วยการรวมตัวกันและยึดกันด้วยหางของแต่ละตัว
หรือเกิดขึ้นในกรณีที่อากาศหนาวเย็นมาก
เพราะพวกหนูมักจะกอดกันเพื่อสร้างความอบอุ่นซึ่งกันและกันตอนนอนหลับ
และแล้วหางของพวกมันกลายเป็นปมเงื่อนมัดติดกันในภายหลัง
หรือถูกกาวทำให้หางติดกันจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ยางไม้ เลือด อาหาร อุจจาระ ฯลฯ
และวัสดุเหล่านั้นทำหน้าที่เหมือนกาวตรึงตราแน่นตอนพวกหนูนอนหลับ
เมื่อพวกหนูตื่นขึ้นมา ต่างรีบเร่งจะปลดปล่อยตัวเองออกไป
ด้วยการวิ่ง/ดึงหางออกไปไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
ยิ่งทำให้หางของพวกหนูยิ่งพัวพันกันเป็นปมที่ยุ่งเหยิงมากขึ้น

คำอธิบายนี้มีร่องรอยที่เป็นจริงส่วนหนึ่ง เพราะถ้าพิจารณาแล้ว
มักจะพบว่าราชาหนูถูกค้นพบในประเทศที่หนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว
ราชาหนูที่ได้ทำการศึกษาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มักจะเกี่ยวข้องกับหนูดำด้วย
ยกเว้นแต่การค้นพบที่หาได้ยากในชวา ซึ่งไม่ได้มีสภาพอากาศหนาวเย็น




ภาพเขียนการค้นราชาหนูในปี 1683



ศาสตราจารย์ Andrei Miljutin จากมหาวิทยาลัย Tartu
เชื่อว่าการเกิดขึ้นของราชาหนูในพื้นที่
มักจะมีปัจจัยสองประการที่คล้ายคลึงกันคือ
ฤดูหนาวและการปรากฏของฝูงหนูดำ

" ตามจริงแล้ว พวกหนูดำจะอยู่กันมาก
ในเขตตอนใต้ของของยุโรป ซึ่งฤดูหนาวมักจะไม่รุนแรง
แต่ฤดูหนาวจะกำลังแรงในภาคเหนือของยุโรปและแคนาดา
แต่ในเขตนี้แทบไม่มีหนูดำหรือมีก็น้อยมาก
มีแต่หนูสีน้ำตาล Rattua norvegicus จำนวนมากในยุโรปตอนเหนือและอเมริกาเหนือ
แต่พวกมันก็ไม่มีราชาหนู เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกมันมีหางสั้นกว่า
หางหนากว่าและมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าหนูดำ Rattus rattus “
ในบันทึกของ Andrei Miljutin




ราชาหนู ที่พิพิธภํณฑ์ Châteaudun ใน France Photo credit: Selbymay/Wikimedia



Andrei Miljutin เชื่อว่าการเกิดขึ้นของราชาหนู
จะมีบ่อยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
เพราะในช่วงการวิจัยเร่ื่องราชาหนูนี้
Andrei Miljutin สามารถหาตัวอย่างราชาหนูได้ถึง 3 ตัวอย่างในประเทศ
หนึ่งในนั้นมีการเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายในสื่อมวลชน
และเป็นเพราะคนค้นพบมีญาติเป้นผู้สื่อข่าว
การค้นพบจำนวนมากในชุมชนแทบจะเป็นเรื่องปกปิด
(เพราะบางแห่งเชื่อกันว่าจะเป็นเรื่องโชคร้ายมากกว่าโชคดี)
และยังคงถูกนักวิทยาศาสตร์มักจะมองข้าม/ไม่สนใจ
นอกจากนี้ใครจะรู้ว่า ราชาหนูจำนวนมาก
อาจจะถูกฝังอยู่ในอุโมงค์หรือโพรงใต้ดินที่รอการค้นพบ




ราชาหนู ที่พิพิธภัณฑ์ Mauritianum ใน Altenburg ประเทศ Germany Photo credit: Wikimedia



พวกหนูไม่ได้เป็นสัตว์ประเภทเดียว
ที่หางอาจจะพันกันจนกลายเป็นราชาหนู
เพราะในปี 2013 มีการค้นพบกระรอก 6 ตัว
หางพันติดกันอยู่ในโพรงไม้สนกลายเป็น ราชากระรอก squirrel king
ใน Regina ประเทศ Canada
ซึ่งพวกมันได้รับการช่วยเหลือให้หลุดออกมาโดยสัตวแพทย์ Dr. Steven Kruzenisk
Animal Clinic of Regina
ท่านเล่าว่าเคยรักษา ราชกระรอก มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง
นาน ๆ จึงจะพบสักครั้งหนึ่ง สำหรับชุดนี้โชคดีที่มีคนมาส่งเร็ว
หางจึงไม่ถูกตัดทิ้งแต่อยางใด และได้ป้อนยาปฏิชีวนะกับฝูงกระรอก
พรัอมกับดูแลอาการให้หายดีก่อนปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ








เรียบเรียง/ที่มา


https://goo.gl/tjRqab
https://goo.gl/EGcist
https://goo.gl/N2fU7U






เรื่องเล่าไร้สาระ


สัตว์ป่า คือ สัตว์ที่ไม่มีคนเลี้ยง
ตามหลักกฎหมายอังกฤษ
ของ ศจ.ประพนธ์ ศาตะมาน






ปมที่แก้ไขยากที่สุดจนตัองตัดทิ้งคือ ปมกอร์เดียน Gordian Knot)
333 ปี ก่อนคริสตกาล อเลกซานเดอร์ Alexander the Great
ได้ยกทัพมาถึงเมือง Gordium อาณาจักร Phrygian
มีคำพยากรณ์เก่าแก่อยู่ว่า ใครที่สามารถแกะปมเชือก
ซึ่งผูกเกวียนโบราณมัดติดอยู่กับเสากลางเมืองได้สำเร็จ
คนผู้นั้นจะได้ครอบครองทวีปเอเชีย
เมื่อ อเลกซานเดอร์ ทราบถึงคำทำนาย
ก็พยายาม หาวิธีแกะปมเชือกดังกล่าวออก
แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งในที่สุด
อเลกซานเดอร์จึงตัดสินใจชักดาบออกมา
แล้วตัดปมเชือกขาดออกจากกันทันที

หลังจากนั้นมาผลของคำทำนายก็เป็นจริง
ทั่วทั้งโลกรู้จักพระองค์ในนาม อเลกซานเดอร์มหาราช
ผู้ครอบครองแผ่นดินกว่าครึ่งโลก

เลยมีบางคนบอกว่า ถ้าพระองค์ไม่ตัดปมกอร์เดียน
ป่านนี้โลกคงสงบสุขอีกยาวนาน
และไม่มีพวกมองโกลที่รู้ว่ามีดินแดนในฝั่งตะวันตก
รวมทั้งพระองค์จะได้อยู่เย็นเป็นสุขอยู่ในฮาเร็ม Harem
เสพย์สุขแบบราชันย์เปอร์เซียท่ามกลางสุรานารีพาชีบัตร
ไม่ต้องระหกระเหินนำทัพมาตรากตรำลำบาก
ตากแดดตากฝนฟันฝ่าลมฝนพายุหิมะมารบถึงเอเซีย

Credit : พิสิษฐ์ จง









3. มัดหนังยางถุงกับข้าว

ภูมิปัญญานี้คนญี่ปุ่นให้ความสนใจสูงมากค่ะ
เวลาเขามาเที่ยวเมืองไทย เขาอะเมซซิ่งมากที่คนไทยอย่างพวกเรา
สามารถใส่อาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างลงไปในถุงได้
ไม่ว่าจะเป็นน้ำแกงร้อนๆ เครื่องดื่มเย็นๆ น้ำส้มสายชู พริกน้ำปลา

เขาไม่เข้าใจว่า หนังยางเส้นเดียวจะรัดให้น้ำแกงไม่หกออกมาได้อย่างไร
เพื่อน ๆ ทราบไหมคะ ในบรรดาขั้นตอนการมัดหนังยางถุงกับข้าว
คนญี่ปุ่นจะประทับใจมากตอนที่แม่ค้าปั่นถุงค่ะ คือ
หมุน ๆ ๆ ๆ หนังยางด้วยความเร็วสูง ก่อนจะรัดรอบสุดท้าย
คนญี่ปุ่นทั้งหญิงชายเด็กแก่จะมองว่า มันเป็นกระบวนการที่เร็วเหนือแสง! มันเท่มาก!
กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ค้าก็เอาถุงกับข้าวใส่ถุงพลาสติกแล้วยื่นให้พวกเขาแล้ว

ลูกศิษย์คนญี่ปุ่นของดิฉัน ถึงกับขอให้ดิฉันช่วยสอนวิธีมัดถุงพลาสติกแบบไทยให้หน่อย…
ขอในคลาสสอนภาษาไทย วันนั้นแทนที่ดิฉันจะสอนอักษรสูง กลาง ต่ำ
เลยต้องมานั่งสอนการปั่นถุงแทน คนญี่ปุ่นเขาไม่เข้าใจตั้งแต่ขั้นที่ต้องทำให้ถุงมันป่อง ๆ
เขาบอกว่ามันเปลืองที่ ทำเพื่ออะไร …. อืม…นั่นสิ ให้มันดูสวย ๆ
แล้วก็ไม่ให้ของข้างในถูกกระทบกระเทือนมาก….มั้งคะ
ใครทราบเหตุผลที่แท้จริงช่วยบอกดิฉันด้วยนะคะ

Credit : เกตุวดี







The Pied Piper of Hamelin ตำนานที่เป็นเรื่องจริง


ในปี 1284 เมือง Hamelin เกิดมีฝูงหนูแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมาก
ชาวเมืองต่างก็เดือดร้อนมาก เพราะฝูงหนูไม่เพียงแต่กัดแทะเสบียงอาหาร
ยังเป็นพาหะนำโรคร้ายมาอีกด้วย แม้แต่แมวก็ยังต้องหนีเพราะหนูซึ่งมีจำนวนมากมาย
ถึงขนาดเข้ามารุมทำร้ายแมวเสียด้วยซ้ำ

บรรดาชาวเมืองจึงพากันรวบรวมเงินให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่จะมาปราบหนูนี้ได้
แต่ก็ไม่มีใครอาสามาปราบฝูงหนูเหล่านี้เลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชายลึกลับผู้หนึ่งเสนอตัวจะปราบหนูขึ้นมา
ชาวเมืองก็ให้คำสัญญาว่าจะให้เงินตอบแทนตามที่เขาต้องการ
เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้ว ชายลึกลับก็หยิบปี่ในถุงออกมา
แล้วเป่าพร้อมกับออกเดินไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของชาวเมือง
และแล้ว หนูก็พากันวิ่งออกมาจากทุกมุมเมือง
พากันเดินตามหลังชายเป่าปี่ไปราวกับหลงไหลในเสียงเพลง
และเมื่อไปถึงแม่น้ำ Weser ซึ่งอยู่ใกล้เมือง
ชายนักเป่าปี่ก็หยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ
ในขณะที่ฝูงหนูพากันกระโจนลงน้ำไปเรื่อย ๆ
จนในไม่ช้าก็ไม่มีหนูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว

ชายนักเป่าปี่กลับมาในเมืองแล้วเรียกร้องของค่าจ้างของตัวเอง
ชาวเมืองนึกเสียดายเงินขึ้นมาจึงปฏิเสธ โดยกล่าวว่า
" นักเป่าปี่ไม่ได้ ทำอะไรเสียหน่อย พวกหนูกระโดดลงน้ำไปเองต่างหาก"
และยังขู่จะจับขังนักเป่าปี่อีกด้วย ถ้าเขายังมามัวตื๊ออยู่

นักเป่าปี่โกรธแค้นและกล่าวทิ้งท้ายว่า
" พวกมึ. ต้องรักษาสัญญา กูจะเอาสิ่งสำคัญที่สุดของพวกมึ. ไป "
หากไม่มีใครสนใจ ยังกลับหัวเราะเยาะเขาเสียอีก

ในวันที่ 26 มิถุนายน 1284 นักเป่าปี่กลับมายังเมืองนี้อีกครั้ง
พอเริ่มเป่าปี่บนถนน และทันใดนั้นเอง เด็กๆที่มีอายุมากกว่า 4 ขวบ
ต่างก็มารวมกันและเดินตามเขาไป จนในไม่ช่าเด็กชายหญิงจำนวนกว่า 130 คน
ต่างก็เต้นรำร้องเพลงตามทำนองของเสียงปี่ออกไปนอกเมือง
และไม่มีใครได้เห็นพวกเขาอีกเลย

ไม่ว่าชาวเมืองจะโศกเศร้าเสียใจและพยายามค้นหาเด็ก ๆ เหล่านั้นเช่นไร
เด็กที่หายไปและชายนักเป่าปี่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองนี้อีกเลย

เมือง Hamelin หรือ Hameln ในภาษาเยอรมัน
มีอยู่มีจริงในประวัติศาสตร์และยังอยู่จนถึงปัจจุบัน
เป็นเมืองในแคว้นเนียเดอร์แซสเซน ประเทศเยอรมันนี
ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 60,000 คน
เมืองนี้อยู่เลียบแม่น้ำเวเซอร์ ใกล้กับถนนเมลเพนอันมีชื่อเสียง
แต่ที่เมืองนี้มีชื่ออยู่ในความทรงจำของคนส่วนใหญ่นี้เป็นเพราะนิทานเรื่องนี้

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อกว่า 700 ปีก่อน
ต้นแบบของเรื่องราวประหลาดมีในกระจกสีของโบถส์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นประมาณปี 1300
แต่ถูกทำลายไปแล้ว มีการสร้างขึ้นใหม่ตามบันทึกที่เหลือไว้เท่านั้นเอง

เรื่องจริงเกี่ยวกับตำนานนี้
" วันที่ 26 มิถุนายน 1284 เมืองฮาเมลิน ประเทศเยอรมัน
เกิดคดีเด็กจำนวนกว่า 130 คนหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน "
ตำนานที่บันทึกปี 1440 ซึ่งเป็นบันทึกเก่าที่สุดเท่าที่เหลืออยู่
เรื่องของหนูถูกเพิ่มเข้ามาราวศตวรรษที่ 16
ไม มีใครทราบแน่นอนว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร
และเด็ก ๆ หายไปได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้เมืองนี้จึงมีกฎหมายว่า
ห้ามร้องเพลงเต้นรำบนถนน
นานมากกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายนี้

มีนักเขียนระดับตำนาน
Johann Wolfgang von Goethe
Brothers Grimm และ Robert Browning

เรื่องนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1606
โดย ริชาร์ด โลรัน เวลส์เทกัน
เวลาของคดีก็กลายเป็น 22 กรกฎาคม 1376
และเมื่อพี่น้องตระกูลกริมม์
ทำการเรียบเรียงเรื่องนี้ในปี 1816
ก็มีการเพิ่มเรื่องของเด็กขาเพลงกับเด็กตาบอด
ซึ่งไม่ได้หายตัวไปลงไปด้วย

เด็ก ๆ เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
จมน้ำในแม่น้ำเวเซอร์หรือตายในภูเขาฮอบเปนเบิร์ก
เพราะวันที่ 26 มิถุนายน 1284 เป็น วันเซนต์โยฮันส์และเปาโล Saint John and Paul's day
มีธรรมเนียมจะจุดไฟบนภูเขาฮอบเปนเบิร์ก
ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นหน้าผาตัด ข้างล่างเป็นบึงลึก
เป็นไปได้ว่าเด็ก ๆ ได้พากันขึ้นเขานี้
ไปตอนกลางคืนและเดินตกหน้าผาไป
หรือตกลงไปในหลุมยุบ/ธรณีสูบ Sinkhole

หรือเกิดโรคระบาดขึ้นและเด็กถูกพาไปอยู่ที่อื่น
ยุโรปเคยมีกาฬโรคระบาดซึ่งก็ตรงกับปี 1376
ในฉบับของผู้เขียนบางคนระบุว่า
นักเป่าปี่อาจจะเป็นเครื่องหมายแทนยมฑูตก็ได้

เด็ก ๆ พากันรวมตัวออกไปจาริกแสวงบุญ
และไม่ได้กลับมาอีกในกรณีนี้
นักเป่าปี่ก็คือหัวหน้ากลุ่มนักเดินทาง

มีความเป็นไปได้ที่พวกเด็กงมงายศาสนา
จะไปเป็นนักรบครูเสดเพื่อปกป้องศาสนาคริสต์
และถูกพวกยุโรปด้วยกันเอง หรือคนอาหรับแขกเจ้าเล่ห์
หลอกว่าจะนำทางไปเยรูซาเลม
แล้วพาไปขายเป็นทาสให้กับพวกนักรบอาหรับ
ซึ่งมีตำนานและประวัติศาสตร์หลายฉบับยืนยันเรื่องนี้

เด็ก ๆ พากันออกจากหมู่บ้านไปเพื่อสร้างหมู่บ้านใหม่
ในช่วงปีนี้เป็นยุคที่มีหมู่บ้านใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
เด็กชาวเมืองฮาเมลินอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้

อย่างไรก็ดี ในบันทึกซึ่งถูกค้นพบเมื่อปี 1602
" 26 มิถุนายน ปี 1284 วันเซนต์โยฮันส์และเปาโล
นักเป่าปี่ใส่เสื้อหลากสีหลอกล่อเด็ก ๆ 130 คน
ออกมาจากเมืองฮาเมลินหายไปยังลานนักโทษใกล้เนินเขา"

Credit : swat@pvc




แถวบ้านภาคใต้และจากคำบอกเล่าลุงลัพย์ หนูประดิษฐ์
ปราชญ์ชาวบ้านคลองหวะ ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่
ท่านเล่าว่า สมัยก่อนเวลาชาวบ้านทำนากันในพื้นที่
ถ้าเกิดมีหนุระบาดมาก ๆ จนทำให้ข้าวในนาเสียหาย
จะมีพิธีกรรมบอกล่าว พญาหนู/ราชาหนู
แต่ท้องถิ่นมักจะเรียกว่า ทวดหนู

คำว่าทวดใช้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ ทั้งคนและสัตว์ ภูติผีเทวดา
เช่น หลวงปู่ทวด ทวดบองหลา(งูจงอาง) ทวนฟาน ทวดช้าง ทวดกระทิง
หรืออย่าง ขุนพันธุ์รักษ์ราชเดช อดีตนายตำรวจมือปราบ
เจ้าพิธีกรรมปลุกเศกจตุคามรามเทพ
ท่านเป็นศิษย์เอกพ่อท่านทอง วัดเขาอ้อ
ศิษย์เอกของพ่อท่านเอียด วัดเขาอ้อ
วัดเขาอ้อ คือ สำนักตักศิลาไสยเวทย์ภาคใต้
ก่อนท่านจะเสียชีวิต ชาวบ้านที่เคารพนับถือท่านก็เรียกท่านว่า ทวด

ในวันทำพิธีขอทวดหนู
โดยชาวบ้านอาจจะรวมตัวกันทำ
หรือต่างคนต่างทำพิธีกรรมขอทวดหนู
โดยจะนำดอกไม้ธุปเทียนเครื่องบวงสรวง
ไปวางไว้บริเวณหัวคันนา
หรือบริเวณที่นาที่ได้คัดเลือกไว้ล่วงหน้าว่า
ดินบริเวณนี้ดีและมักจะมีรวงข้าวไว้ทำพันธุ์ในปีหน้า

พิธีกรรมก็จะเป็นแบบพูดเอง เออเอง
ตัวชาวบ้านจะถามเอง ตอบเอง
แบบหมอผี/หมอพระ ที่มักจะพูดเอง เออเอง ว่า

" ทวด หนูมันเยอะมากเลยตอนนี้
ทวด ช่วยปราม ๆ พวกมันบ้าง
อย่าเที่ยวมาเกะกะทำลายข้าวของ
ถ้าตัวไหนไม่เชื่อฟังทวด
ผมขอจัดการตามระเบียนนะทวด " ชาวบ้าน

" เออ ทำได้ ทำเลย " ทวดหนู (สมมุติโดยชาวบ้าน)

" ขอบคุณทวด มากมาก " ชาวบ้าน

เสร็จแล้วก็จะถือว่าเป็นการขอทวดแล้ว
ทวดหนูอนุญาตให้ปราบหนูได้เลย
ผลก็คือ ในทุ่่งนามักจะมีหนูน้อยลง
อาจจะเป็นเพราะขาวบ้านระมัดระวังกันมากขึ้น
ร่วมมือกันปราบหนูอย่างจริงจัง
หรือมีอาหารอย่างอื่นที่หนูกินแทนได้

ถ้าจะวางยา วางกับดัก หรือใช้หมาแมวไล่กัด
ก็จะถือว่าไม่ผิดธรรมเนียมประเพณี
เพราะได้บอกกล่าวขอทวดหนูไว้ล่วงหน้าแล้ว
ตัวไหนที่ถูกกำจัดถือว่ามันเกะกะ
ไม่ยอมเชื่อฟังและทำตามคำสั่งทวดหนู



Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2561 17:59:06 น. 0 comments
Counter : 3191 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.