23.
นางกวัก
นางกวัก เป็นเทพีแห่งโชคลาภตามคติไทย
มีลักษณะเป็นรูปศักดิ์สิทธิ์ทำเป็นรูปหญิงสวมเครื่องแต่งกาย
และเครื่องประดับอย่างธรรมเนียมไทย นั่งพับเพียบ
มือซ้ายวางลงแตะข้างลำตัวหรือวางบนตัก
ส่วนมือขวายกขึ้นระดับไหล่ทำท่ากวักมือหรือเรียกเข้ามาหา
เชื่อว่าเทพีองค์นี้จะกวักมือเรียกทรัพย์
เป็นที่นับถืออย่างยิ่งในหมู่พ่อค้าแม่ขายชาวไทย
เพราะถือว่าเทพีองค์นี้จะเรียกลูกค้าเข้ามาอุดหนุนสินค้าในร้าน
คติการนับถือนางกวักพัฒนาการนับถือผีผู้หญิงของคนไทย
ซึ่งนับถือเพศหญิงเป็นใหญ่ เช่น แม่น้ำ แม่ทัพ แม่ย่านาง
คติการนับถือแม่โพสพ พระแม่ธรณี
ส่วนเจ้าบ่าว ในสมัยก่อนนำตัวมารับใช้ครอบครัวสตรี
ถ้าทำตัวไม่ดีสตรีหย่าหาสามีใหม่ได้เลย
ก่อนที่ศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธจะมาเปลี่ยนให้ผู้ชายเป็นใหญ่
นางกวัก คือ ผีที่พัฒนาเป็นเทพที่คอยกวักเงินกวักทองมาให้
มีการหล่อรูปปั้นนางกวักครั้งแรกราวยุคกรุงศรีอยุธยา
โดยมากพบเป็นขนาดบูชา สร้างจากเนื้อโลหะ ดินเผา หรือสลักจากไม้
ต่อมาในยุครัตนโกสินทร์ คติการนับถือนางกวัก
ปรากฏชัดเจนขึ้นในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 4-5
เพราะช่วงที่สยามมีเศรษฐกิจเฟื่องฟู
มีการขยายตัวของกิจการร้านในเมืองหลวงและตามหัวเมืองใหญ่ ๆ
ที่มาที่ไปของนางกวักนั้นไม่เป็นที่แน่ชัดนัก
และคาดว่าน่าจะเกิดจากพัฒนาการนับถือผีของคนไทย
ตาม บทสวดคาถาบูชานางกวัก
ที่ว่านางกวักเป็นบุตรีของปู่เจ้าเขาเขียว
" โอม มหาสิทธิโชคอุดม โอมปู่เจ้าเขาเขียว
มีลูกสาวคนเดียว ชื่อแม่นางกวัก
ชายเห็นชายรัก หญิงเห็นหญิงรัก
รู้จักทุกตำบล คนรักทุกถ้วนหน้า
โอมพวกพานิชชา พากูไปค้าถึงเมืองแมน
ค้าหัวแหวน ก็ได้แสนทะนาน
กูค้าสารพัดการ ก็ได้กำไรคล่อง ๆ
กูจะค้าเงินก็เต็มกอง กูจะค้าทองก็เต็มหาบ
กลับมาเรือนสามเดือน เลื่อนเป็นเศรษฐี
สามปีเป็นพ่อค้าสำเภา
โอมปู่เจ้าเขาเขียว ประสิทธิแก่กูคนเดียว สวาหะ "
โองการไหว้ครูช่าง
มีการกล่าวถึงเทพสตรีองค์หนึ่งชื่อ นิลบรรพตเทพสุดา
แปลว่า ลูกสาวของเทพยดาแห่งเขาเขียว ซึ่งชื่อใกล้เคียงกัน
ในคติของครูช่างเชื่อว่านิลบรรพตเทพสุดา เป็นเทพแห่งการเย็บปักถักร้อย
เป็นพระภาคหนึ่งของพระวิศวกรรม
นิลบรรพตเทพสุดา มีลักษณะเหมือนกันกับนางกวัก
คือ กวัก ทรัพย์สมบัติมาให้ ในโองการไหว้ครูช่าง
"...อนึ่งไซร้ข้าขอเคารพนบนางนามปรากฏ
นิลบรรพตเทพสุดา กวักมาซึ่งสุวรรณรัตน์
สรรพสมบัติโอฬาร จะแจ้งการพิธี
มารับพลีทั้งหลายไซร้ แล้วให้พระศรีสวัสดิ์
ปัดสรรพภัยทุกประการ นำศฤงคารโภคาทั่วทุกสิ่งมา
เพิ่มพูนประมูลมากธนสาร นานมาโดยเนืองนิตย์
ประสิทธิแต่ปวงข้าพเจ้า ตามขนบเค้าแบบบรรพ์..."
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี นักโบราณคดีกรมศิลปากร
ไม่ยืนยันว่านางกวักกับนิลบรรพตเทพสุดาเป็นเทพีองค์เดียวกัน
นิทานพื้นบ้านลพบุรี
นางกวักรับอิทธิพลจากรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1
มีเนื้อเรื่องว่าพระรามได้ต่อสู้กับท้าวกกขนาก เจ้าเมืองสิงขรผู้มีใจอยุติธรรม
(รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 เรียกท้าวอุณาราช)
ด้วยการแผลงศรพรหมมาสตร์ตรึงท้าวกกขนาก
ไว้บนเขาวงพระจันทร์และสาปว่า
ท้าวกกขนากจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อถึงยุคพระศรีอาริย์เท่านั้น
หรือลูกศรถูกรดด้วยน้ำส้มสายชู
ทำให้ในสมัยก่อน ลพบุรีจะหาซื้อน้ำส้มสายชูยากมาก
เพราะกลัวจะไปแก้คำสาป
นางนงประจันทร์ธิดาท้าวกกขนากจึงเพียรทอผ้าไตรจีวร
จากใยบัวเตรียมถวายพระศรีอาริย์ในอนาคต
วันดีคืนดีนางนงประจันทร์จะแปลงกายเป็นหญิงสาว
มาขอซื้อน้ำส้มสายชูหวังใจจะทำน้ำส้มนั้น ไปราดรดศรพรหมมาสตร์
ชาวบ้านที่ทราบดังนั้นก็โกรธและรังเกียจนางนงประจันทร์
ด้วยเกรงว่าหากท้าวกกขนากหลุดพ้นออกมาก็จะทำร้ายผู้คนอีก
ด้วยเหตุนี้ ปู่เจ้าเขาเขียวซึ่งเป็นสหายสนิทของท้าวกกขนาก
เกิดมีใจสงสารนางนงประจันทร์
จึงส่งนางกวักซึ่งเป็นธิดาไปอยู่เป็นเพื่อนนางนงประจันทร์
หลังจากนั้นเป็นต้นมา จากเดิมที่เคยมีผู้คนรังเกียจนางนงประจันทร์
ก็กลับมีแต่คนรักใคร่ นำลาภมาให้
นางนงประจันทร์จึงยกย่องนางกวักว่า
เป็นหญิงผู้นำความสมบูรณ์ในโภคทรัพย์
นางกวักของพุทธ
หลังจากที่ไทยรับศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ
นางกวักจึงมีต้นกำเนิดในประเทศอินเดียมาแต่ยุคพุทธกาล
นางกวักมีนามเดิมว่าสุภาวดี เกิดที่เมืองมิจฉิกาสัณฑนคร
เป็นธิดาของสุจิตต์พราหมณ์ กับมารดาชื่อสุมณฑา
ครั้นจำเริญวัยได้เดินทางไปค้าขายกับบิดา
ระหว่างทางได้พบกับพระอรหันต์สองคือ
พระมหากัสสปะและพระสีวลี
ซึ่งได้ประสาทพรให้นางสุภาวดีให้เป็นผู้เจริญร่ำรวยจากการค้าขาย
ทำให้ครอบครัวของนางร่ำรวยขึ้น
โดยสุภาวดีและครอบครัวมักทำบุญและบริจาคทานอยู่เป็นนิจ
หลังนางสุภาวดีเสียชีวิตจึงมีการสร้างรูปขึ้นมาเคารพบูชา
ทว่าคติการนับถือนางกวักไม่เคยมีในประเทศอินเดีย
เข้าใจว่าคงแต่งเรื่องให้นางกวักมีความเป็นมายาวนาน
นางกวักตามคติไทยมีลักษณะเป็นรูปหญิงสวมเครื่องแต่งกาย
และเครื่องประดับอย่างธรรมเนียมไทย นั่งพับเพียบ
มือซ้ายวางลงแตะข้างลำตัวหรือวางบนตัก
หรืออาจถือถุงเงินที่มีการจดจารคาถาหัวใจสีวลี (พระสงฆ์ผู้เป็นเลิศด้านโชคลาภ)
ส่วนมือขวายกขึ้นระดับไหล่ทำท่ากวักมือหรือเรียกเข้ามาหา
ซึ่งมือขวาที่ยกนั้นหากอยู่สูงกว่าปากมีความหมายว่า กินไม่หมด
ถ้าหากต่ำกว่าปากจะมีความหมายว่า กินไม่พอ
แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้นางกวัก
มีทรวดทรงหรือท่าทางที่ต่างไปจากเดิม
อาทิ มีรูปพรรณอวบอ้วน ยกมือกวักทั้งสองข้าง
หรือการเพิ่มมือกวักให้มีจำนวนมากขึ้น
บ้างก็เสริมแต่งให้มีเครื่องแต่งกายที่หลากหลาย
อาทิ สวมแว่นกันแดดหรือถือกระเป๋ามียี่ห้อ
ส่วนนางกวักในคติล้านนา
จะเป็นรูปหญิงสวมเครื่องแต่งกายพื้นเมืองล้านนา
รูปพรรณงดงามสมส่วน ยกมือซ้ายขึ้นกวักโดยยกสูงขึ้นเหนือใบหู
สะพายถุงเงินถุงทองไว้ด้านหลัง
นางกวัก มีพื้นฐานมาจากศาสนาผี
ซึ่งเป็นศาสนาพื้นเมืองดั้งเดิมของไทย
แต่ก็ได้รับการเคารพนับถือยิ่งโดยเฉพาะ
ในหมู่พ่อค้าแม่ค้าที่เป็นพุทธศาสนิกชน
เพราะเชื่อว่านางกวักจะกวักเรียกลูกค้าให้เข้ามาอุดหนุนสินค้า
เปรียบดั่งการกวักเงินกวักทองมาให้
รวมไปถึงคติเมตตามหานิยม
ดลบันดาลให้คนที่เกลียดกลับมารัก
ผู้คนที่นับถือจะนำรูปปั้นนางกวักตั้งไว้
บนหิ้งหรือมุมใดมุมหนึ่งของร้านค้า
มีการถวายน้ำแดงและพวงมาลัยไปเซ่นไหว้
Credit :
https://bit.ly/2MM8GqZ