ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
<<
กันยายน 2561
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
20 กันยายน 2561
 
All Blogs
 
รัสเซียดับไฟบ่อแก๊สเพลิงด้วยระเบิดนิวเคลียร์







Schaliegas: USSR Gas Well Blow Out = Nuclear Bomb Puts Out Fire







ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 สองมหาอำนาจนิวเคลียร์ของโลก
คือ สหรัฐอเมริกา กับ สหภาพโซเวียตรัสเซีย
ทั้งสองชาติต่างเริ่มมองหาวิธีที่จะใช้ประโยชน์จาก
พลังงานมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาจากระเบิดนิวเคลียร์
เพื่อเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมการผลิต
เช่น การวางแผนจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์
เพื่อจะขุดคลองปานามาเส้นใหม่
การสร้างท่าเทียบเรือในอลาสก้า
การขุดค้นภูเขาหาแร่ธาตุ
และโครงการอื่น ๆ อีกมากมาย
ที่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายดินและหินเป็นจำนวนมหาศาล


ภายใต้โครงการ Operation Plowshare
สหรัฐอเมริกาได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในทะเลทรายเนวาดา 27 ครั้ง
ซึ่งยังมีผลตกค้างจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ในครั้งนั้น
ที่ยังสามารถมองเห็นรูปปล่องภูเขาไฟในพื้นทะเลทรายได้
ปล่องภูเขาไฟที่เหมือนรูปอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุด
ชื่อ Sedan ในปี ค.ศ. 1962
ซึ่งในปัจจุบันนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว


แม้ว่า สหภาพโซเวียตจะได้ทำการทดสอบอย่างระมัดระวัง
ภายใต้รหัสโครงการการระเบิดนิวเคลียร์เพื่อเศรษฐกิจแห่งชาติ
ด้วยการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเล็กเป็นจำนวน 158 ครั้ง
ทั้งนี้โดยมีเป้าหมาย เพื่อค้นหาแหล่งน้ำมันใต้ดิน
สร้างถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่สำหรับการจัดเก็บแก๊สธรรมชาติ
เปิดหน้าเหมืองแร่จากหุบเขาต่าง ๆ
ขุดคลองสายต่าง ๆ และการสร้างเขื่อนในที่ต่าง ๆ


เพราะมีครั้งหนึ่ง เมื่อทำการสำรวจแหล่งน้ำมันแล้ว
กัมมันตภาพรังสีกลับปนเปื้อนพื้นที่ส่วนใหญ่
ที่มีประชากรอยู่กันอย่างหนาแน่นใกล้แม่น้ำ Volga


และในอีกครั้งหนึ่ง ที่ทำการระเบิดดินใกล้แม่น้ำ Chagan
เพื่อทดสอบว่าจะสามารถสร้างแก้มลิง/อ่างเก็บน้ำได้หรือไม่
แน่นอนว่าได้แก้มลิง/อ่างเก็บน้ำตามที่ต้องการ
แต่กลับปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีจนถึงทุกวันนี้


นับว่า มันเป็นช่วงเวลาที่พิสูจน์ตนเองถึงคุณและโทษระเบิดนิวเคลียร์


ในปี 1963
บ่อแก๊สในแหล่งผลิต Urtabulak ของเมือง Bukhara ในภาคใต้ของ Uzbekistan
ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้
เกิดการระเบิดที่ระดับความลึกชั้นใต้ดิน 2.4 กิโลเมตร
ทำให้เกิดการลุกไหม้เหนือผิวดินกินเวลาถึง 3 ปี
ผลการเผาไหม้อย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน
ทำให้เกิดการสูญเสียแก๊สไปมากกว่า 12 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน
ซึ่งปริมาณแก๊สดังกล่าวเพียงพอต่อความต้องการ
กับการใช้งานด้านพลังงานของมหานคร St. Petersburg


เมื่อหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อควบคุมไฟไหม้บ่อแก๊สเพลิง
ต่างประสบกับล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
รัฐบาลสหภาพโซเวียตรัสเซียจึงเริ่มสอบถาม
นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ
บรรดานักธรณีวิทยาและนักฟิสิกส์ของโครงการนิวเคลียร์
ต่างได้ทำการคำนวณว่า ถ้ามีการระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมา
พื้นที่ใกล้กับการระเบิดนิวเคลียร์จะสร้างแรงกดดัน
กลุ่มเมฆหมอกเศษหินเศษดินขนาดยักษ์
ที่จะสามารถปกคลุมและปิดหลุมใด ๆ ได้
ภายในระยะทาง 25 ถึง 50 เมตรจากการระเบิด
แรงระเบิดที่จำเป็นมีการคำนวณว่าจะต้องใช้แรงระเบิดถึง 30 kiloton
หรือประมาณว่าเป็น 2 เท่าที่ใช้ระเบิดใน Hiroshima





Diagram of explosive yield vs mushroom cloud height,
illustrating the difference between 22 kiloton Fat Man and 15 megaton Castle Bravo explosions





ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1966
มีการขุดเจาะหลุมที่ลาดเอียงเล็กน้อย
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างกว่า 1 ฟุตจำนวน 2 หลุม
โดยเริ่มขุดเจาะหลุมพร้อม ๆ กัน
อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับบ่อแก๊สเพลิง
ที่ลุกเผาไหม้อย่างไม่สามารถควบคุมได้
ผลคือ ขุดได้ที่ระดับความลึก 1,400 เมตร
คิดเป็นระยะทางห่างประมาณ 35 เมตรจากบ่อแก๊สเพลิง
มีการวางระเบิดนิวเคลียร์ลงในหลุมหนึ่ง
หลุมลูกนั้นถูกกลบทับเต็มไปด้วยปูนซีเมนต์
โดยเหตุผลที่ว่าหลังจากที่ระเบิดขึ้นมาแล้ว
จะป้องกันไม่ให้มีการปะทุใด ๆ ขึ้นสู่ผิวดินอีก


หนังสือพิมพ์โซเวียต Pravda Vostoka of Tashkent
ได้เผยแพร่รายงานการทดลองในเวลานั้น

" วันหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเย็นในปี 1966
การสั่นสะเทือนเลือนลั่นชั้นใต้ดินที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ได้ส่งผลต่อหย่อมหญ้าที่ขึ้นกันอยู่กระจัดกระจายบนพื้นทรายสีขาว
มีหมอกควันพวยพุ่งขึ้นเหนือพื้นทะเลทราย
ไฟแสงสีส้มของเปลวเพลิงบ่อแก๊สค่อย ๆ มอดดับลงอย่างช้า ๆ
จากนั้นค่อย ๆ ลุกไหม้อย่างรวดเร็วขึ้น
แล้วค่อย ๆ กระพริบ จนดับลงในที่สุด
นับเป็นครั้งแรกจาก 1,064 วัน
ที่ความเงียบสงบได้มาเยี่ยมเยือนพื้นที่แห่งนี้
เสียงคำรามของแก๊สติดไฟเหมือนเครื่องบิน Jet ก็สงบลง "


มันใช้เวลาเพียง 23 วินาทีเท่านั้น
ในการดับเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมา
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้
คือ ผลการทำงานที่น่าทึ่งมาก
แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ระเบิดนิวเคลียร์
ถูกจุดชนวนให้ระเบิดขึ้นมา
แล้วตามด้วยการดับไฟในบ่อแก๊ส


นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ที่มีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์เพื่อดับไฟบ่อแก๊สเพลิง
และมันก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย


หลายเดือนต่อมา
เกิดไฟไหม้อีกครั้งเกิดขึ้นที่บริเวณแหล่งแก๊ส Pamuk
แล้วไฟยังลุกลามไปยังบริเวณหลุมแก๊สเล็ก ๆ ที่รั่วใกล้เคียงอีกหลายหลุม
คราวนี้จึงมีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 47 Kiloton
ฝังลงในหลุมที่ขุดเจาะขึ้นที่ระดับความลึก 2,440 เมตร
แล้วทำการจุดระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เพราะมีรูรั่วขนาดใหญ่และหลายหลุมมาก
จึงกินเวลาถึง 7 วัน ก่อนที่ไฟที่มอดไหม้จะดับลงหมดสิ้นเชิง


ความสำเร็จครั้งที่ 2 นี้
ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์สหภาพโซเวียตรัสเซีย
เริ่มมีความมั่นใจในเทคนิคใหม่ในการควบคุมบ่อแก๊สเพลิง
ทำให้มีการใช้วิธีการนี้ในอีกหลายครั้ง
ด้วยการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในการดับไฟจากบ่อแก๊สเพลิง


ในเดือนพฤษภาคมปี 1972
มีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 14 Kiloton
ที่หลุมขุดเจาะลงใต้ดินลึก 1,700 เมตร
เพื่อปิดผนึกปากหลุมแก๊สที่เพิ่งขุดใช้งานได้เพียง 2 ปี
ที่แหล่งก๊าซ Mayskii ห่างจากเมือง Mary ในเอเชียกลาง
ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้


หลังจากนั้นอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมของปีเดียวกัน
หลุมแก๊สใน Ukraine ก็ถูกปิดผนึกด้วยระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 3.8 Kiloton
ที่ระดับความลึกมากกว่า 2.4 กิโลเมตร


ความพยายามครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี 1981
ในหลุมแก๊ส Kumzhinskiy ทางตอนเหนือ
ของเขตชายฝั่ง European Russia
มีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 37.6 Kiloton
ที่ระดับความลึกของหลุมขุดเจาะ 1,511 เมตร
แต่คราวนี้ไม่ได้ผล ไม่สามารถปิดผนึกหลุมแก๊สเพลิงได้
เพราะตำแหน่งของรอยรั่วไม่ทราบจุดที่แน่ชัด


การทดลองทั้งหมดสิ้นสุดลงใน 1989
เพราะสหภาพโซเวียตรัสเซียยอมรับกติกาสากล
เรื่องการระงับทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ชนิดใด ๆ ร่วมกับนานาชาติ


เรียบเรียง/ที่มา


https://bit.ly/2xe2KkD
https://bit.ly/2xfojl3
https://bit.ly/2xlIwVr
https://bit.ly/2xhBFfC







สภาพไฟไหม้บ่อน้ำมันได้ลุกลามออกมานอกเหนือการควบคุม
ด้านนอกเมืองคูเวตในระหว่างปฏิบัติการ Desert Storm Credit : David Mcleod




Soviet nuclear test. Chagan. Atomic Lake.





ในเดือนมกราคม 1965
มีการทดลองใช้ระเบิดนิวเคลียร์ที่ Chagan
บริเวณ Semipalatinsk Test Site ใน Kazakhstan
การทดลองครั้งนี้ เพื่อสร้างแก้มลิง/อ่างเก็บน้ำ
เป็นการทดลองครั้งแรกที่ใหญ่ที่สุด
ภายใต้โครงการ National Economy


มีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 140 kiloton
ที่อยู่ในหลุมที่ขุดเจาะระดับความลึก 178 เมตร
บนพื้นที่ส่วนที่แห้งแล้งของ Chagan River
ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเก็บกักน้ำในช่วงน้ำหลาก
ผลการระเบิดสร้างหลุมลึก
ที่มีขนาดกว้าง 400 เมตร ลึกราว 100 เมตร
มีการขุดทางน้ำเข้าไปขนาดกว้าง 20 ถึง 38 เมตร
เพื่อให้น้ำหลากจากแม่น้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำที่ระเบิดขึ้นมา


อ่างเก็บน้ำนี้รู้จักกันในชื่อว่า Lake Chagan
มีรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลงจากผลของการระเบิดครั้งแรก
แต่น้ำในอ่างเก็บน้ำนี้ กลับมีกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนมากกว่า 100 เท่า
ของระดับมาตรฐานการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีในน้ำกินน้ำใช้


ในช่วงทดลองโครงการครั้งนี้
รัฐบาลโซเวียตรัสเซียรู้สึกภูมิใจมากกับ Lake Chagan
มีการถ่ายทำภาพยนตร์ร่วมกับรัฐมนตรี Medium Machine Building Ministry
เพื่อโฆษณาชวนเชื่อโครงการนิวเคลียร์ของประเทศ
ด้วยการดำว่ายน้ำในอ่างเก็บน้ำ และให้น้ำกับปศุสัตว์ในพื้นที่
















Declassified U.S. Nuclear Test Film #30





การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่
เขตทดลอง Nevada Test Site ราว 90 ไมล์จาก Las Vegas
ภายใต้โครงการ Plowshare Program
เริ่มต้นขึ้น 6 กรกฏาคม 1962
หลังจากเริ่มต้นแผนการในเดือนมิถุนายน 1957
ภายใต้โครงการเพื่อสันติสุขและควบคุมพลังอำนาจระเบิดนิวเคลียร์
ที่จะสร้างพลังการทำลายและสร้างสรรค์อย่างมหาศาล
โดยมีแนวคิดว่าจะนำพลังงานนิวเคลียร์
มาใช้ในการขุดคลอง ระเบิดทางทำถนน ระเบิดภูเขาเพื่อหาแร่
และเป็นวิธีการที่น่าจะง่ายที่สุดในการขนย้ายดินและหินจำนวนมหาศาล


มีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ถึง 27 ครั้ง
มีเพียง 4 ครั้งที่สร้างหลุมอุกาบาตขนาดใหญ่
และมีหลุมชื่อ Sedan ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด


Sedan มีขนาดลึกถึง 194 เมตรจากระดับพื้นทราย
จากผลของระเบิดขนาดเทียบเท่า TNT 104 kiloton
หรือเทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ที่ใช้ใน Hiroshima จำนวน 8 ลูก
ผลการระเบิดครั้งแรกสร้างกรวยบนพื้นดิน 90 เมตรเหนือพื้นทะเลทราย
ภายในเวลาเพียงแค่ 3 วินาทีหลังจากการระเบิด
ระเบิดทรายออกไปถึง 12 ล้านตันที่ปลิวหายไป
กระจายไปในอากาศแล้วไปหล่นแถวพื้นที่ไกลออกไป
สร้างหลุมลึก 100 เมตรและกว้าง 390 เมตร


ผลการระเบิดทำให้ชาวบ้านอเมริกันจำนวน 13 ล้านคน
ต้องอพยพโยกย้ายออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
เพราะคาดว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสี
มันกินเวลา 7 เดือนกว่าที่ชาวบ้านจะกลับมาทำมากินในถิ่นเดิมได้


ในทุกวันนี้ ชาวบ้านสามารถเดินทางเข้าเยี่ยมชมหลุมดังกล่าวได้
โดยไม่จำเป็นต้องสวมชุดนิรภัยปัองกันสารปนเปื้อนกัมภาพรังสี
มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมหลุมอุตกาบาตที่สร้างขึ้นมากกว่าปีละ 10,000 คน
พื้นที่นี้อยู่ภายใต้การดูแลของ U.S. Department of Energy





















เรื่องเล่าไร้สาระ



เมืองไทยเคยมีคนคิดที่จะขุด คอคอดกระ
ช่วงระหว่างกระบี่กับสุราษฏร์ธานี
ด้วยการใช้ระเบิดนิวเคลียร์สมัย จอมพล ถนอม กิตติขจร
โดย นายเชาว์ เชาว์ขวัญยืน คือ ผู้จะขอสัมปทานในการขุด
แต่เรื่องยุติไปในที่สุดหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516


แนวคิดเรื่องการขุดคอคอดกระ
มีมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช
โดยวิศวกรชาวฝรั่งเศสที่มาสร้างพระราชวัง
และระบนน้ำประปาในเมืองลพบุรี
ได้มีการสำรวจเส้นทางขุดคอคอดกระไว้แล้ว
ตามเอกสารจดหมายเหตุ ลาลูแบร์


มีการรื้อฟื้นโครงการนี้อีกครั้ง
ในรัชสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยทางฝรั่งเศสจะขอสัมปทาน
แต่ทางอังกฤษคัดค้านอย่างแรง
ในรัชสมัยพระปิยะมหาราช
ทางอังกฤษจะขอสัมปทาน
แต่ทางฝรั่งเศสก็คัดค้านอย่างแรง
รวมทั้งเสนาบดีสยามต่างไม่เห็นด้วยอย่างแรง
เพราะกลัวการเสียดินแดนหัวเมืองปักษ์ใต้ของ พวกคนนอก
กับสองข้างฝั่งคลองขุดสยามให้กับต่างชาติ


พวกคนนอกหัวแข็งปกครองยาก
ต้องอนุโลมตามวัฒนธรรมท้องถิ่น
กรมพระยาดำรงเดชานุภาพ
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มีหนังสือราชการโต้ตอบกับ
กรมกรมหลวงลพบุรีราเมศร์
สมุหเทศาภิบาลและอุปราชมณฑลภาคใต้
เพราะทรงทูลพระองค์เรื่องที่ทรงไม่พอพระทัย
ที่คนนอกไม่ยอมใช้เคียวเกี่ยวข้าวแบบคนภาคกลาง
แต่ยอมใช้ แกะ ตัดคอรวงข้าวทีละไม่กี่รวง


ภูมิประเทศภาคใต้มักจะมีฝนแปดแดดสี่
แต่ละสัปดาห์แม้ในฤดูร้อนมักจะมีฝนตกไม่วันใดก็วันหนึ่ง
แค่ล่วงเลยเกินสัปดาห์ก็มักจะบอกว่าฝนแล้งแล้ว
การเกี่ยวข้าวจะทำให้กองข้าวเปียกชื้นจากพื้นดินที่เปียกแฉะ
เพราะภาคใต้ไม่มีช่วงหน้าแล้งแบบทางภาคกลางขึ้นไป
รวมทั้งข้าวพื้นเมืองมักจะสุกไม่พร้อมกัน
การใช้แกะจึงเลือกตัดรวงข้าวที่สุกแล้วได้
แล้วค่อยมาตัดรวงข้าวที่ไม่สุกในวันหลัง
รวมทั้งไม่ต้องเสียเวลาฟัดข้าวแบบภาคอื่น





วีธีเกี่ยวข้าวแบบวิถีชาวนาดั้งเดิมด้วย แกะ





ในสนธิสัญญาสงบศึกกับอังกฤษ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี
ก็มีข้อตกลงเอกสารลับที่ตอนนี้เปิดเผยแล้ว
ระบุว่าห้ามสยามขุดคอคอดกระ
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอังกฤษ
นัยว่าจะทำให้อังกฤษเสียการควบคุม
เมืองท่าสิงคโปร์และช่องแคบสุมาตรา


เรื่องการขุดคอคอดกระเป็นมหากาพย์ของไทย
เป็นเรื่องทางการเมืองที่หาเงินหาเสียงได้ทุกยุคทุกสมัย
จุดประเด็นเผ็ดร้อนทางวาทกรรมและความคิดได้ทุกครั้ง
รวมทั้งช่องทางหากินกับการประเมินโครงการ
การสำรวจเส้นทางขุดคอคอดกระ
จนมีบทสรุปเท่าที่เคยอ่านเจอมีไม่น้อยกว่า 4 เส้น
สตูล - สงขลา ตรัง - นครศรีธรรมราช
ระนอง ประจวบคีรีขันธุ์ - ชุมพร กระบี่ - สุราษฏร์ธานี


ในสมัยนายกรัฐมนตรี พลเอก ชาติชาย​ ชุณหะวัณ
ได้ริเริ่มโครงการ สะพานแผ่นดิน
ที่สร้างถนน 4 ช่องทางจราจร ห่างกันระยะทาง 1 กิโลเมตร
เป็นแนวที่ว่างตรงกลางจาก ขนอม - กระบี่
เพื่อสำรองเนื้อที่ไว้ทำเป็นทางรถไฟขนตู้ Containers
พร้อมวางท่อสูบน้ำมันจากกระบี่มาลงเรือบรรทุกน้ำมันที่ขนอม สุราษฏร์ธานี
กับท่อน้ำดิบจากฝั่งขนอม สุราษฏร์ธานี ไปเติมเรือบรรทุกน้ำมันที่กระบี่
ที่สุราษฏร์ธานีจะเข้าทางเส้นบ้านนาเดิม

แต่ผลการปฏิวัติ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534
ทำให้โครงการนี้สิ้นสุดลงไปโดยปริยาย











มีเอกสารปูมเรือโบราณ
จากฝั่งอ่าวไทยไปกลับฝั่งอันดามัน
ที่คลองท่อมกระบี่ลัดเลาะไปตามสายน้ำ
มาลงที่พะโต๊ะ ชุมพร หรือที่สุราษฏร์ธานี
ในบางจุดอาจจะต้องยกเรือขึ้นฝั่งแล้วเข็นไปลงสายน้ำ
เพราะเรือในสมัยก่อนไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากมายนัก
ยิ่งในฤดูน้ำหลากยิ่งเดินทางง่ายขึ้น
ในการเดินทางไปกลับมาระหว่างฝั่งอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน
ทั้งนี้มีหลักฐานยืนยันทางโบราณคดี
จากร่องรอยลูกปัดที่ขุดค้นได้ตามรายทาง
แม่น้ำลำคลองที่เป็นเส้นทางลัดในอดีต


อีกเส้นตรงแถวเกาะหมาก(ปีนัง) มาเลย์
ขึ้นมาทางเหนือที่ปะลิศใกล้เกาะลังกาวี
แต่ไม่นิยมเพราะผ่านป่าเขาสูง
มักเดินผ่านไทรบุรี(เกดาห์) เดินเท้าขึ้นเหนือ
หรือล่องเรือตามคลองอู่ตะเภาเข้าบ้านทุ่งหาดใหญ่ อำเภอเหนือ(หาดใหญ่)
ไปออกทะเลน้อยที่ด้านหลังเกาะยอสงขลา
สง=กรง/ดง ขาล=เสือ เสือปลา(เขมร)
มีชื่อสงขลาในตำนานเมือง 12 นักษัตร
กับ หลาหยบเสือ สร้างสมัยรัชกาลที่ 3
ส่วนชื่อ ซิงโกล่า Singora เพราะฝรั่งกับแขกอินเดีย
มองเห็นเกาะหนู เกาะแมว ในทะเลสงขลา
จินตนาการแล้วดูเหมือนสิงห์หมอบอยู่ทั้งคู่
หรืออาจจะออกเสียงสงขลา บ่ได้
ในสมัย สุลต่านสุไลมาน หรือ ทวดหุม เรืองอำนาจ
ท่าเรือสงขลาเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญพอ ๆ กับปัตตานี
ท่านเป็นต้นสกุล ณ พัทลุง กับ อาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี


อีกเส้นทางเดินลัดเลาะจากไทรบุรี
เดินตามทางเดินในป่าไม้กับล่องเรือบางจุด
ตรงแม่น้ำปัตตานีที่มายังฟาตอนี(ปัตตานี) ได้
มีในหนังสือบันทึกปูมเรือโบราณ







ร่องรอยเส้นทางน้ำในอดีต
หาดใหญ่ช่วงน้ำท่วมในเมืองหนักมาก
ที่เคยเจอกับตนเองไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งขึ้นไป
คนจากเกาะยอ/สงขลา ชาวเรือจากทะเลน้อย
ทะเลน้อย มี ควนเนียง บางกล่ำ จะทิ้งพระ ระโนฏ พัทลุง
มักจะแล่นเรือหางยาวเข้ามาในตัวเมืองหาดใหญ่ข่วงน้ำท่วมได้เลย
แบบบางคนมาช่วยเหลือชาวบ้านส่วนหนึ่ง
บางคนก็มาชมหายนะของผู้คนแบบชื่นชอบส่วนหนึ่ง
บางคนก็ถือโอกาสมาลักขโมยข้าวของชาวบ้านส่วนหนึ่ง
ของยอดนิยมที่ชอบขโมย คือ รถเครื่อง(รถจักรยานยนต์) ที่จมน้ำ
จะช่วยกันขนขึ้นเรือหางยาวแล่นหนีกลับไปยังทะเลน้อย
แล้วทำการซ่อมแซมขับใช้ตามหมู่บ้านเป็นรถเถื่อน
หรือชำแหละเป็นชิ้นส่วนอะหลั่ยขายต่อไป
ที่รู้เพราะตำรวจจับโจรตามซุ้มพวกนี้ได้จำนวนหนึ่ง


ทะเลน้อยในแผนที่โบราณบางฉบับ
มักจะเขียนว่ามีร่องน้ำไหลออกสู่อ่าวไทย
ที่บริเวณใกล้กับนครศรีธรรมราชแถวด้านเหนือของหัวไทร
แต่บางท่านว่า อาจเคยมี/น่าจะเป็นช่วงน้ำหลาก
ซึ่งน่าจะมีการตรวจชั้นดินเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้
แบบได้ล้างตาให้หายสงสัยกันซักที







พม่าไม่ได้รบไทย ในประวัติศาสตร์ไทยรบพม่า : สุจิตต์ วงษ์เทศ





ในสมัยโบราณมีเส้นทางจากฝั่งอันดามันมาฝั่งอ่าวไทย
คือ เส้นทางทวายใกล้ด่านเจดีย์สามองค์
เข้าทางแควน้อยมาที่แม่น้ำแม่กลอง-ท่าเรือ
แล่นเรือตรงแม่น้ำพวนที่ไหลทวนน้ำไปที่พนมทวน
แล้วจะมีแม่น้ำที่ไหลต่อเชื่อมมาออกมาที่อู่ทอง-อโยธยา


เส้นทางบกผ่านทางเมืองมะริดตะนาวศรี
เดินทางบกผ่านด่านสิงขรประจวบคีรีขันธุ์
มาลงที่ชุมพรฝั่งอ่าวไทย เริ่มที่นาที่ 19-22


คนสยามเดิมที่มะริด ทวาย ตะนาวศรี สิงขร
ยังพูดภาษาไทยปักษ์ใต้ แต่ฟังยากมาก
มักจะอ้างว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่นในสมัยรัชกาลที่ 5
เพราะถ้าได้สัญชาติไทยจะได้สิทธิ์ประโยชน์แบบคนไทย
แต่ทางราชการต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด


ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีทางถนนชาวบ้านสายเขาพับผ้า
สร้างโดย พระยารัษฏานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
ตัดผ่านเทือกเขา นาโยง บ้านช่องเขา ตรัง ฝั่งอันดามัน
มาที่นาวง ก่อนถึงตัวเมืองพัทลุง ฝั่งอ่าวไทย
โดยจับโจรป่านำทางตามเส้นทางหลบหนีในเทือกเขา
กับใช้นักโทษทำงานโดยมีวันลดโทษให้ตามระเบียบ
นักโทษก็ชอบด้วยเพราะมีอิสระเสรีระดับหนึ่ง
พร้อมกับเกณฑ์แรงงานชาวบ้านมาทำถนน
ตามอำนาจเดิมของเจ้าเมืองและนายอำเภอ
ก่อนที่จะถูกยกเลิกไปหลังการปฏิวัติ 2475


เส้นทางนี้ใช้ติดต่อซื้อขายสินค้าในช่วงมรสุม
กับซื้อขายแร่ดีบุกที่มีมากในฝั่งอ่าวไทย
สองฝั่งทะเลนี้จะมีมรสุมสลับกันฝั่งละ 6 เดือน
รวมทั้งตรังและเมืองฝั่งอันดามันมักจะขาดแคลนข้าว
กอปรกับครอบครัวท่านเริ่มค้าขายแร่ดีบุกกับฝรั่งที่เกาะหมาก(ปีนัง)
ผ่านทางท่าเรือกันตังเป็นหลักในยุคนั้น

จวนของท่านผมเคยเขียนเรื่อง ประตูผีที่ระนอง
มีทางออกไปที่ ร้านถอดรองเท้า โรงกลวง
ยุคเจ้าของรุ่นแรก ลูกค้าต้องถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่า
ผ่านบ้านพักแกเข้าไปกินอาหารที่หลังบ้านแกที่เป็นร้านอาหาร
ซึ่งเป็นธรรมเนียมไทยเดิมกับแกรักความสะอาดมาก












ปานบอด ชีช้าง ยอดศิลปินที่เล่นได้ทั้งเพลงบอกและหนังตะลุง
เพลงบอกมักจะนิยมในนครศรีธรรมราชกับพัทลุง
บทดังที่ท่านเคยเอื้อนเอ่ยว่า
มาแต่ซัง(ตรัง) ม่ายหนัง ก็โนราห์
พัทลุงอู่ข้าวอู่ปลา แต่ชุมโจรา


มีครั้งหนึ่งท่านเล่นหนังตะลุง
ถึงตอนยักษ์ออกฤทธิ์ตามหนัง
เด็กง่วงนอนเลยหยิบตัวฤาษีแทนตัวยักษ์
เพราะท่านตาบอดมองไม่เห็น
ชาวบ้านต่างโห่ว่า ผิดตัว ๆ
ท่านแก้ไขสถานะการณ์โดยร้องว่า
" บัดนั้น ยักษ์แปลงกายเป็นฤาษี
อัศจรรย์จรลีแปลงกลับเป็นยักษา "
หลังจากเด็กหยิบตัวฤาษีให้แทนแล้ว


ตัวหนังตะลุง รูปยักษ์ รูปฤาษี กับตัวตลกบางตัว
นายหนังตะลุงจะให้ความเคารพเป็นพิเศษ
ตัวตลกหนังตะลุงมักมีตัวตนจริง
เช่น เท่ง หนูนุ้ย สะหม้อ โถ ยอดทอง
นายหนังฯ คนแรกต้องไปขออนุญาตเจ้าตัว
และขอขมาลาโทษก่อนขอตัดตัวหนัง
ว่าต้องให้อภัยไม่เคืองโกรธ
ถ้านำมาเล่นล้อเลียนกันสืบต่อ ๆ กัน
และการได้ตัดตัวหนังถือว่าเป็นเกียรติอย่างแรง


อำเภอจะทิ้งพระ เพิ่งจะจัด ตำนานบ้านเกิดลุงเท่ง
ตัวหนังตะลุงนี้มีอายุประมาณ 200 ปีแล้ว
ลุงเท่งมีอาชีพ ขึ้นตาลโตนด ทำน้ำตาลโตนด และออกทะเลหากุ้งปลา
แต่จริง ๆ ลุงเท่งน่าจะชอบทำหวาก (น้ำตาลเมา) แบบชาวบ้าน
โดยใส่เปลือก ไม้เคี่ยม ให้มีรสขมกับบูดช้าแบบหญ้า ฮ้อป Hop
ลุงเท่งชอบพูดจาตลกโปกฮา มีเล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิง และคารมคมคาย

จะทิ้งพระยังมีตำนานว่าเป็นบ้านเกิดของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

มีรูปปั้น ลุงเท่งที่หน้าโรงพยาบาลหาดใหญ่
ชาวบ้านมักจะชอบเรียกว่า ตา หรือ ทวด
เพราะถูกหวยมาเลย์ที่มีอัตราจ่ายมากกว่าหวยไทย
รวมทั้งญาติพี่น้องบนให้คนไข้หายป่วยหายไข้
แต่แพทย์และพยาบาลมักจะบอกว่า
หายเพราะการรักษา ก่อนหายเพราะการบน












ภาพหลังพิธีชิงเปรต/บุณย์เดือนสิบ หลายปีก่อน
วัดนี้เก่าแก่พอ ๆ กับวัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
มีพระนอน/ทวดนอน เจดีย์พระสารีริกธาตุ
และเป็นวัดประจำตระกูล สุวรรณคีรี
ที่โด่งดังมี ศ.ภิญโญ อำนวย ไตรรงค์
เป็นผู้อุปถัมถ์วัดนี้ต่อจาก กำนันซ้อน สุวรรณคีรี
อดีตกำนันตำบลจะทิ้งพระ
ตระกูลนี้เชื้อสายอดีตเจ้าเมืองสงขลา ณ สงขลา

จะทิ้ง = ชัก/ลาก ยังมีประเพณีเรือชักพระในทะเลสาบสงขลา

อำมาตย์เมืองหลวงมาเปลี่ยนชื่อเป็น สทิงพระ

มีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ จำนวน 1,320 คำ
ที่มา เปรมินทร์ คาระวี
ท่าแซะ=อานม้า กะเปอร์=จระเข้ กำปง=ท่าน้ำ
สะเดา=ร้อน ตะเครียะ=เย็น ระโนฎ=ต้นตาลโตนด
พัง=ตระพังที่เก็บน้ำ ชะแม=ต้นสาคู ละมอ=ก้อนหิน ละงู=งา


แต่อย่างว่าเขมรเคยเป็นเมืองขึ้น/ด้อยพัฒนากว่าไทย
การยอมรับคำนิรุกติศาสตร์ว่ามาจากเขมร จึงมีน้อย
มักจะโยงไปที่ต้นไม้ใบหญ้า ฯลฯ







Create Date : 20 กันยายน 2561
Last Update : 20 กันยายน 2561 22:06:54 น. 0 comments
Counter : 2811 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ


ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.