มีเอกสารปูมเรือโบราณ
จากฝั่งอ่าวไทยไปกลับฝั่งอันดามัน
ที่คลองท่อมกระบี่ลัดเลาะไปตามสายน้ำ
มาลงที่พะโต๊ะ ชุมพร หรือที่สุราษฏร์ธานี
ในบางจุดอาจจะต้องยกเรือขึ้นฝั่งแล้วเข็นไปลงสายน้ำ
เพราะเรือในสมัยก่อนไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากมายนัก
ยิ่งในฤดูน้ำหลากยิ่งเดินทางง่ายขึ้น
ในการเดินทางไปกลับมาระหว่างฝั่งอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน
ทั้งนี้มีหลักฐานยืนยันทางโบราณคดี
จากร่องรอยลูกปัดที่ขุดค้นได้ตามรายทาง
แม่น้ำลำคลองที่เป็นเส้นทางลัดในอดีต
อีกเส้นตรงแถวเกาะหมาก(ปีนัง) มาเลย์
ขึ้นมาทางเหนือที่ปะลิศใกล้เกาะลังกาวี
แต่ไม่นิยมเพราะผ่านป่าเขาสูง
มักเดินผ่านไทรบุรี(เกดาห์) เดินเท้าขึ้นเหนือ
หรือล่องเรือตามคลองอู่ตะเภาเข้าบ้านทุ่งหาดใหญ่ อำเภอเหนือ(หาดใหญ่)
ไปออกทะเลน้อยที่ด้านหลังเกาะยอสงขลา
สง=กรง/ดง ขาล=เสือ เสือปลา(เขมร)
มีชื่อสงขลาในตำนานเมือง 12 นักษัตร
กับ หลาหยบเสือ สร้างสมัยรัชกาลที่ 3
ส่วนชื่อ ซิงโกล่า Singora เพราะฝรั่งกับแขกอินเดีย
มองเห็นเกาะหนู เกาะแมว ในทะเลสงขลา
จินตนาการแล้วดูเหมือนสิงห์หมอบอยู่ทั้งคู่
หรืออาจจะออกเสียงสงขลา บ่ได้
ในสมัย สุลต่านสุไลมาน หรือ ทวดหุม เรืองอำนาจ
ท่าเรือสงขลาเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญพอ ๆ กับปัตตานี
ท่านเป็นต้นสกุล ณ พัทลุง กับ อาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี
อีกเส้นทางเดินลัดเลาะจากไทรบุรี
เดินตามทางเดินในป่าไม้กับล่องเรือบางจุด
ตรงแม่น้ำปัตตานีที่มายังฟาตอนี(ปัตตานี) ได้
มีในหนังสือบันทึกปูมเรือโบราณ
ร่องรอยเส้นทางน้ำในอดีต
หาดใหญ่ช่วงน้ำท่วมในเมืองหนักมาก
ที่เคยเจอกับตนเองไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งขึ้นไป
คนจากเกาะยอ/สงขลา ชาวเรือจากทะเลน้อย
ทะเลน้อย มี ควนเนียง บางกล่ำ จะทิ้งพระ ระโนฏ พัทลุง
มักจะแล่นเรือหางยาวเข้ามาในตัวเมืองหาดใหญ่ข่วงน้ำท่วมได้เลย
แบบบางคนมาช่วยเหลือชาวบ้านส่วนหนึ่ง
บางคนก็มาชมหายนะของผู้คนแบบชื่นชอบส่วนหนึ่ง
บางคนก็ถือโอกาสมาลักขโมยข้าวของชาวบ้านส่วนหนึ่ง
ของยอดนิยมที่ชอบขโมย คือ รถเครื่อง(รถจักรยานยนต์) ที่จมน้ำ
จะช่วยกันขนขึ้นเรือหางยาวแล่นหนีกลับไปยังทะเลน้อย
แล้วทำการซ่อมแซมขับใช้ตามหมู่บ้านเป็นรถเถื่อน
หรือชำแหละเป็นชิ้นส่วนอะหลั่ยขายต่อไป
ที่รู้เพราะตำรวจจับโจรตามซุ้มพวกนี้ได้จำนวนหนึ่ง
ทะเลน้อยในแผนที่โบราณบางฉบับ
มักจะเขียนว่ามีร่องน้ำไหลออกสู่อ่าวไทย
ที่บริเวณใกล้กับนครศรีธรรมราชแถวด้านเหนือของหัวไทร
แต่บางท่านว่า อาจเคยมี/น่าจะเป็นช่วงน้ำหลาก
ซึ่งน่าจะมีการตรวจชั้นดินเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้
แบบได้ล้างตาให้หายสงสัยกันซักที
VIDEO พม่าไม่ได้รบไทย ในประวัติศาสตร์ไทยรบพม่า : สุจิตต์ วงษ์เทศในสมัยโบราณมีเส้นทางจากฝั่งอันดามันมาฝั่งอ่าวไทย
คือ เส้นทางทวายใกล้ด่านเจดีย์สามองค์
เข้าทางแควน้อยมาที่แม่น้ำแม่กลอง-ท่าเรือ
แล่นเรือตรงแม่น้ำพวนที่ไหลทวนน้ำไปที่พนมทวน
แล้วจะมีแม่น้ำที่ไหลต่อเชื่อมมาออกมาที่อู่ทอง-อโยธยา
เส้นทางบกผ่านทางเมืองมะริดตะนาวศรี
เดินทางบกผ่านด่านสิงขรประจวบคีรีขันธุ์
มาลงที่ชุมพรฝั่งอ่าวไทย เริ่มที่นาที่ 19-22
คนสยามเดิมที่มะริด ทวาย ตะนาวศรี สิงขร
ยังพูดภาษาไทยปักษ์ใต้ แต่ฟังยากมาก
มักจะอ้างว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่นในสมัยรัชกาลที่ 5
เพราะถ้าได้สัญชาติไทยจะได้สิทธิ์ประโยชน์แบบคนไทย
แต่ทางราชการต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีทางถนนชาวบ้านสายเขาพับผ้า
สร้างโดย พระยารัษฏานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
ตัดผ่านเทือกเขา นาโยง บ้านช่องเขา ตรัง ฝั่งอันดามัน
มาที่นาวง ก่อนถึงตัวเมืองพัทลุง ฝั่งอ่าวไทย
โดยจับโจรป่านำทางตามเส้นทางหลบหนีในเทือกเขา
กับใช้นักโทษทำงานโดยมีวันลดโทษให้ตามระเบียบ
นักโทษก็ชอบด้วยเพราะมีอิสระเสรีระดับหนึ่ง
พร้อมกับเกณฑ์แรงงานชาวบ้านมาทำถนน
ตามอำนาจเดิมของเจ้าเมืองและนายอำเภอ
ก่อนที่จะถูกยกเลิกไปหลังการปฏิวัติ 2475
เส้นทางนี้ใช้ติดต่อซื้อขายสินค้าในช่วงมรสุม
กับซื้อขายแร่ดีบุกที่มีมากในฝั่งอ่าวไทย
สองฝั่งทะเลนี้จะมีมรสุมสลับกันฝั่งละ 6 เดือน
รวมทั้งตรังและเมืองฝั่งอันดามันมักจะขาดแคลนข้าว
กอปรกับครอบครัวท่านเริ่มค้าขายแร่ดีบุกกับฝรั่งที่เกาะหมาก(ปีนัง)
ผ่านทางท่าเรือกันตังเป็นหลักในยุคนั้น
จวนของท่านผมเคยเขียนเรื่อง
ประตูผีที่ระนอง มีทางออกไปที่ ร้านถอดรองเท้า โรงกลวง
ยุคเจ้าของรุ่นแรก ลูกค้าต้องถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่า
ผ่านบ้านพักแกเข้าไปกินอาหารที่หลังบ้านแกที่เป็นร้านอาหาร
ซึ่งเป็นธรรมเนียมไทยเดิมกับแกรักความสะอาดมาก
ปานบอด ชีช้าง ยอดศิลปินที่เล่นได้ทั้งเพลงบอกและหนังตะลุง
เพลงบอกมักจะนิยมในนครศรีธรรมราชกับพัทลุง
บทดังที่ท่านเคยเอื้อนเอ่ยว่า
มาแต่ซัง(ตรัง) ม่ายหนัง ก็โนราห์
พัทลุงอู่ข้าวอู่ปลา แต่ชุมโจรา
มีครั้งหนึ่งท่านเล่นหนังตะลุง
ถึงตอนยักษ์ออกฤทธิ์ตามหนัง
เด็กง่วงนอนเลยหยิบตัวฤาษีแทนตัวยักษ์
เพราะท่านตาบอดมองไม่เห็น
ชาวบ้านต่างโห่ว่า ผิดตัว ๆ
ท่านแก้ไขสถานะการณ์โดยร้องว่า
" บัดนั้น ยักษ์แปลงกายเป็นฤาษี
อัศจรรย์จรลีแปลงกลับเป็นยักษา "
หลังจากเด็กหยิบตัวฤาษีให้แทนแล้ว
ตัวหนังตะลุง รูปยักษ์ รูปฤาษี กับตัวตลกบางตัว
นายหนังตะลุงจะให้ความเคารพเป็นพิเศษ
ตัวตลกหนังตะลุงมักมีตัวตนจริง
เช่น เท่ง หนูนุ้ย สะหม้อ โถ ยอดทอง
นายหนังฯ คนแรกต้องไปขออนุญาตเจ้าตัว
และขอขมาลาโทษก่อนขอตัดตัวหนัง
ว่าต้องให้อภัยไม่เคืองโกรธ
ถ้านำมาเล่นล้อเลียนกันสืบต่อ ๆ กัน
และการได้ตัดตัวหนังถือว่าเป็นเกียรติอย่างแรง
อำเภอจะทิ้งพระ เพิ่งจะจัด ตำนานบ้านเกิดลุงเท่ง
ตัวหนังตะลุงนี้มีอายุประมาณ 200 ปีแล้ว
ลุงเท่งมีอาชีพ ขึ้นตาลโตนด ทำน้ำตาลโตนด และออกทะเลหากุ้งปลา
แต่จริง ๆ ลุงเท่งน่าจะชอบทำหวาก (น้ำตาลเมา) แบบชาวบ้าน
โดยใส่เปลือก ไม้เคี่ยม ให้มีรสขมกับบูดช้าแบบหญ้า ฮ้อป Hop
ลุงเท่งชอบพูดจาตลกโปกฮา มีเล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิง และคารมคมคาย
จะทิ้งพระยังมีตำนานว่าเป็นบ้านเกิดของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
มีรูปปั้น ลุงเท่งที่หน้าโรงพยาบาลหาดใหญ่
ชาวบ้านมักจะชอบเรียกว่า ตา หรือ ทวด
เพราะถูกหวยมาเลย์ที่มีอัตราจ่ายมากกว่าหวยไทย
รวมทั้งญาติพี่น้องบนให้คนไข้หายป่วยหายไข้
แต่แพทย์และพยาบาลมักจะบอกว่า
หายเพราะการรักษา ก่อนหายเพราะการบน
ภาพหลังพิธีชิงเปรต/บุณย์เดือนสิบ หลายปีก่อน
วัดนี้เก่าแก่พอ ๆ กับวัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
มีพระนอน/ทวดนอน เจดีย์พระสารีริกธาตุ
และเป็นวัดประจำตระกูล สุวรรณคีรี
ที่โด่งดังมี ศ.ภิญโญ อำนวย ไตรรงค์
เป็นผู้อุปถัมถ์วัดนี้ต่อจาก กำนันซ้อน สุวรรณคีรี
อดีตกำนันตำบลจะทิ้งพระ
ตระกูลนี้เชื้อสายอดีตเจ้าเมืองสงขลา ณ สงขลา
จะทิ้ง = ชัก/ลาก ยังมีประเพณีเรือชักพระในทะเลสาบสงขลา
อำมาตย์เมืองหลวงมาเปลี่ยนชื่อเป็น สทิงพระ
มีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ จำนวน 1,320 คำ
ที่มา เปรมินทร์ คาระวี
ท่าแซะ=อานม้า กะเปอร์=จระเข้ กำปง=ท่าน้ำ
สะเดา=ร้อน ตะเครียะ=เย็น ระโนฎ=ต้นตาลโตนด
พัง=ตระพังที่เก็บน้ำ ชะแม=ต้นสาคู ละมอ=ก้อนหิน ละงู=งา
แต่อย่างว่าเขมรเคยเป็นเมืองขึ้น/ด้อยพัฒนากว่าไทย
การยอมรับคำนิรุกติศาสตร์ว่ามาจากเขมร จึงมีน้อย
มักจะโยงไปที่ต้นไม้ใบหญ้า ฯลฯ