โดยคณะผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่รัฐที่ลงมือดำเนินคดีต่อ
เพราะรู้สึกว่าคนผิดหลบหนีความยุติธรรมด้วยการตายของตนเอง
1. Oliver Cromwell
ภาพวาด Oliver Cromwell และกระโหลกศีรษะที่ถูกเสียบประจานหลังมรณกรรมOliver Cromwell คือ ผู้ที่เปลี่ยนผ่านศตวรรษที่ 17
หลังจากที่ประเทศอังกฤษเปลี่ยนนิกายศาสนาคริสต์เป็น
Protestant โดยกษัตริย์ที่ยังเชื่อมั่นในเรื่องพระผู้เป็นเจ้า
แต่ไม่ยอมรับว่าพระสันตปาปา คือ ตัวแทนของพระเจ้า
มีสิทธิต่าง ๆ เหนือกว่าบรรดากษัตริย์ทั้งปวงในยุโรป
และเป็นผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
Oliver Cromwell เป็นผู้ยึดมั่นในศาสนาและปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดมานานกว่า 20 ปี
ได้ตั้งข้อสังเกตว่า King Charles I ประพฤติตนเป็นชาว
Catholic มากเกินไป
บทบาททางการเมืองและการปกครองของ
King Charles I เช่น การเรียกเก็บภาษีโดยไม่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบและอนุมัติโดยรัฐสภา
ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีมานานแล้วในกฎบัตร
Magna Carta ของอังกฤษ
ทำให้เกิดความเกลียดชังและหวาดระแวงในหมู่พรรคพวกของ Oliver Cromwell
ที่คิดว่าการกระทำของ King Charles I คือ ระบอบราชาธิปไตยแบบเผด็จการสูงสุด
ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างทั้งสองฝ่ายในเวลาต่อมา
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ King Charles I ถูกล้มล้างอำนาจและถูกประหารชีวิต
Oliver Cromwell กลายเป็นผู้นำรัฐสภา ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ
1 ในสมาชิกจำนวน 59 คนที่ลงนามอนุมัติโทษประหารชีวิต King Charles I
หลังเหตุการณ์ประหารชีวิตกษัตริย์แล้ว
เครือจักรภพอังกฤษก็มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จากระบอบราชาธิปไตยเป็นระบอบใหม่
โดย Oliver Cromwell คือ เจ้าอารักขา
Lord Protectorมีบทบาทในการเมืองการปกครองจนกระทั่งตายในเวลาอีก 5 ปีต่อม
บุตรชายของ Oliver Cromwell ก็ขึ้นรับช่วงอำนาจต่อจากพ่อ
แต่ก็เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่เกินกว่า 1 ปีเท่านั้น
ก็ถูกล้มล้างอำนาจลงโดยพวกทหารอีกกลุ่มในเวลาต่อมา
มีการนำระบอบราชาธิปไตยกลับมาใช้ปกครองอีกครั้ง
โดยให้
Charles II ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่
ในทันทีที่ขึ้นสู่อำนาจ/ครองราชย์
King Charles II ได้สั่งให้มีการจับกุมและพิจารณาพิพากษา
ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล้มล้างอำนาจราชาธิปไตยกษัตริย์องค์ก่อน
จำเลย 59 คนที่ลงนามอนุมัติการประการชีวิตทุกคนจะถูกจับประหารชีวิต
ส่วนจำเลยคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในครั้งนั้นต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
แม้กระทั่งจำเลยบางรายที่มีส่วนในคดีนั้นจะตายไปแล้วก็ตาม
ยังมีการขุดศพขึ้นมาจากหลุมฝังศพส่วนตัวแล้วนำไปฝังยังสุสานรวมสาธารณะ
เป็นการลบหลู่เกียรติยศของผู้ตายและครอบครัวเสมือนศพคนไร้ญาติ
แต่สำหรับ Oliver Cromwell กับพวกอีก 3 ราย
John Bradshaw ประธานผู้พิพากษาศาลในครั้งนั้น
Henry Ireton แม่ทัพกองทัพฝ่ายรัฐสภาและบุตรเขยของ Oliver Cromwell
Robert Blake ผู้บัญชาการกองทัพฝ่ายรัฐสภา
ทุกคนต่างต้องรับโทษประหารชีวิต
ใบมรณะบัตรของ King Charles I of England ที่มีรอยตราประทับและลายมือชื่อ
ลายมือชื่อของ Oliver Cromwell ที่สามด้านล่างจากซ้ายในวันครบรอบ 12 ปีของการตายของ King Charles I
ศพของ Olever Cromwell ถูกขุดขึ้นมาจากสุสานหลวง
Westminster Abbeyแล้วนำศพมาแขวนคอกับโซ่เหล็กที่ Tyburn
ในตอนบ่าย ศพถูกนำลงมาแล้วตัดหัวอีกครั้งหนึ่ง
หัวของ Oliver Cromwell ถูกเสียบประจานกับท่อนไม้สูง 20 ฟุต
วางเด่นเป็นสง่าเหนือ Westminster Hall เป็นเวลาเกือบ 25 ปี
เป็นเวลาเกือบ 200 กว่าปี
ที่หัวกระโหลกของ Oliver Cromwell
มีการเปลี่ยนผ่านมือโดยผู้ครอบครองหลายคน
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1960
จึงมีพิธีฝังหัวกระโหลกของ Oliver Cromwell อย่างสมเกียรติ
ณ สุสานลับแห่งหนึ่งใน Sidney Sussex College แคว้น Cambridge
2. Pope Formosus
การพิจารณาคดีหลังมรณกรรมของ Pope FormosusPope Formosus ดำรงตำแหน่งเป็น Bishop of Rome
ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.891 จนกระทั่งมตะในปีค.ศ. 896
ในทันทีที่ขึ้นครองอำนาจเป็นพระสันตปาปา
Pope Formosus กลับหมกมุ่นแต่เรื่องการโต้เถียงและขัดแย้งกับ
จักรวรรดิ์โรมันศักดิ์สิทธิ์
Holy Roman Empire และจักรพรรดิ์
Byzantine Emperorsว่าพระสันตปาปาต้องเหนือกว่าทั้งสองพระองค์
ยิ่งจักรพรรดิแห่งโรมัน
Guy III มีอำนาจเพิ่มมากยิ่งขึ้น
Pope Formosus ยิ่งไม่ไว้วางใจอย่างแรง
Pope Formosus จึงได้ชักชวน
Arnulf of Carinthiaให้บุกคาบสมุทรอิตาลีและปลดปล่อยอิตาลี
ออกจากการควบคุมของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
การรบของ Arnulf of Carinthia ประสบความสำเร็จ
เพราะเรื่องที่บังเอิญและโชคดีที่ Guy III เสียชีวิตอย่างกระทันหัน
ทำให้ Arnulf of Carinthia เส้นทางเปิดโล่งสบาย ๆ
ได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังค์สูงสุดของจักรพรรดิโรมัน
Pope Formosus ยิ่งมีความสุขมากยิ่งขึ้น
ยิ่งกว่านั้นได้สวมมงกุฎให้ Arnulf of Carinthia จักรพรรดิ์องค์ใหม่
ซึ่งแสดงนัยว่าพระสันตปาปามีอำนาจเหนือกว่าจักรพรรดิ์
ในขณะเดียวกัน
Lambert พระโอรสของ Guy III
ต้องถูกขับไล่ออกนอกประเทศ
Arnulf of Carinthia ก็ยิ่งรุกรบลงทางตอนใต้อีก
แต่แล้วเกิดอาการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง
ทำให้ Arnulf of Carinthia ต้องยกทัพกลับไปที่ Bavaria
ในปีเดียวกันนี้ Pope Formosus ก็สิ้นพระชมน์
Lambert จึงได้หวนคืนทวงอำนาจกลับมาอีกครั้ง
และได้ขึ้นครองราชย์อาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์
จักรพรรดิ Lambert ได้ตัดสินพระทัยว่า
Pope Formosus มีความผิดฐานกบฏ
จำเป็นต้องถูกพิจารณาคดีเพื่อลงโทษ
ข้อหาต่อต้านจักรพรรดิ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์
โดยละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า Pope Formosus
สิ้นพระชมม์ไปนานกว่า 9 เดือนแล้ว
แต่ก็ยังมีการจัดตั้งศาลจำลองขึ้นมา
ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า
Cadaver Synod โดย
Pope Stephen VI พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
ยอมทำตามคำแนะนำ/คำสั่งของจักรรพรรดิ์ Lambert
พระศพของ Pope Formosus ที่ย่อยสลายไปบางส่วนแล้ว
ถูกขุดขึ้นมาให้สวมเครื่องแบบของพระสันตะปาปา
และจัดศพให้นั่งบนบัลลังก์เหมือนพระสันตปาปา
เรื่องนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่
Pope Formosus ถูกตัดสินว่ามีความผิด
และให้ถอดเสื้อคลุม/ถอดยศของพระสันตะปาปา
Pope Stephen VI จึงมีคำสั่งให้ตัดนิ้วมือขวาสามนิ้ว
แล้วโยนศพลงในแม่น้ำ
Tiber River
3. Gilles van Ledenberg
การแขวนคอ Gillis van Leedenberg หลังมรณกรรมGilles van Ledenberg เป็นรัฐมนตรีของรัฐ
Utrecht ขณะที่ยังทำงานอยู่ก็ถูกจับกุมในปี ค.ศ. 1618
ด้วยข้อหาก่อให้เกิดความไม่สงบทางสังคม
ในช่วงระยะเวลา 12 ปีของ
Truce ช่วงระยะเวลาสู้รบของชาวดัชต์
เพื่อปลดแอกและมีอิสรภาพจากสเปน
Gilles van Ledenberg กลัวการถูกลงโทษและถูกทรมาน
จึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยหวังว่าการตายของตนจะทำให้ทุกอย่างยุติลง
การพิจารณาคดีจะสิ้นสุดและศาลจะไม่สามารถยึดทรัพย์สินครอบครัวของตนได้
แต่ Gilles van Ledenberg คิดผิดเพราะยังคงถูกตัดสินว่า มีความผิดจริง
และสมรู้ร่วมคิดกับ
Johan van Oldenbarnevelt จำเลยอีกคนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเช่นกัน
ศพของ Gilles van Ledenberg ที่ยังคงอยู่ในโลงศพก็ถูกแขวนบนตะแลงแกง
5. John Wycliffe
กระดูกของ John Wycliffe ถูกขุดขึ้นมาเผาในปี ค.ศ.1428John Wycliffe มักจะถูกเรียกกันว่า ดาวรุ่งแห่งการปฏิรูปศาสนา
เป็นหนึ่งในบาทหลวงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของนิกายโรมันคาทอลิก
John Wycliffe ไม่เชื่อในเรื่องอำนาจพระสันตะปาปาอย่างแข็งขัน
โดยยืนยันว่าคริสเตียนทุกคนควรพึ่งพาพระคัมภีร์
มากกว่าคำสอนของพระสันตะปาปาและบาทหลวง
John Wycliffe กล้าพูดอย่างกล้าหาญ
เพราะต่อต้านกับสถานะพิเศษของบาทหลวง
ที่กินอยู่กันอย่างฟุ่มเฟือยและมีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา
ทั้งการมีพิธีกรรมที่หรูหราฟุ่มเฟือยของบาทหลวง
John Wycliffe ยังไม่เห็นด้วยกับการที่บาทหลวงต้องเป็นโสด
การแสวงบุญ แนวคิดเรื่องสถานที่วิญญาณรับโทษทัณฑ์ก่อนขึ้นสวรรค์
และการสวดขออธิษฐานจากนักบุญต่าง ๆ นานา
John Wycliffe เชื่อว่าวงการบาทหลวงมีการทุจริต
และมีบาทหลวงหลายคนประพฤติผิดศีลธรรม
แต่แสแสร้งว่าประพฤติปฏิบัติตนตามศีลศักดิ์สิทธิ์
มุมมองนอกรีตของ John Wycliffe
ทำให้สร้างศัตรูที่เกลียดชัง John Wycliffe ได้มากที่สุด
ในปีค.ศ.1415
Council of Constance(ศาลศาสนจักรคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค มีหน้าที่พิจารณาตัดสินคดีความผิดของ
ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดต่อบทบัญญัติทางศาสนาคริสต์ หรือล่วงละเมิดต่อพระเจ้า) ได้ประกาศว่า
John Wycliffe เป็นคนนอกรีตและงานเขียนทุกชนิดของ John Wycliffe เป็นหนังสือต้องห้าม
ทั้งยังระบุว่า ร่างกายของ Wycliffe ต้องถูกลบออกจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์
มีการปฏิบัติตามคำพิพากษานี้ในปีค.ศ.1428
44 ปีหลังมรณกรรมของ John Wycliffe
ศพของ John Wycliffe ถูกขุดขึ้นมาเผา
และกองขี้เถ้าทั้งหมดถูกโยนลงไปในแม่น้ำ
เรียบเรียง/ที่มาhttps://bit.ly/2nxEPYw
ประเทศหนึ่งนะครับ แหะ ๆ ออกกฏหมายเพื่อจัดการย้อน
หลังได้..
เศร้า..