0017. THE GURU GUIDE TO THE KNOWLEDGE ECONOMY : 1 ใน 109 หนังสือควรอ่าน จาก นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2544 นายกรัฐมนตรี ได้กล่าว ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ผู้นำภาคราชการ : ประสิทธิผลและความรับผิดชอบ ณ. โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพฯ มีข้อความตอนหนึ่งว่า....
...."อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังในหนังสือ The Guru Guide" เขาพูดถึงผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ สิ่งที่เป็นคุณสมบัติของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ก็คือ การเป็นผู้นำในการเล่าเรื่อง (Master of Story Teller) นั่น คือ การนำเสนอต้องดีต้องเก่ง ไม่เช่นนั้น ไม่สามารถสื่อวิสัยทัศน์ของตนเองให้กับคนในองค์กรได้รับรู้แล้วปฏิบัติตามได้ จะสื่อวิสัยทัศน์ตัวเองได้ ต้องเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี"
Create Date : 04 มีนาคม 2551 |
Last Update : 4 มีนาคม 2551 18:37:09 น. |
|
3 comments
|
Counter : 954 Pageviews. |
|
|
|
การแสดงปาฐกถาพิเศษ
ของ
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของชมรมนักบริหารข้าราชการพลเรือน
เรื่อง ผู้นำภาคราชการ : ประสิทธิผลและความรับผิดชอบ
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2544
ณ ห้องกมลทิพย์ โรงแรมสยามซิตี้
**************************
สวัสดีครับ ท่านเลขาธิการ ก.พ. ในฐานะประธานชมรมนักบริหารข้าราชการพลเรือน ท่านปลัดฯผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานชมรมนักบริหาร ข้าราชการพลเรือนตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เพื่อนข้าราชการ นักบริหาร และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมมีความยินดีที่วันนี้ได้มาร่วมในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2544 ของชมรมนักบริหารข้าราชการพลเรือน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่อยากจะให้ผมมาพูดเพื่อให้มีการตระหนักว่า ประเทศไทยจะต้องมีการปรับตัวอย่างไร ผู้บริหารต้องประสานพลังกันอย่างไร การรวมตัวของท่านในวันนี้ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะนำผู้บริหารระดับสูงได้อยู่ใกล้ชิดกัน เมื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์จากการทำงานและมีวิชาการผสมผสานกันได้บ้างก็จะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นของบ้านเมือง
สิ่งหนึ่งที่ผมจะขอยกที่เซอร์ ฟรานซิส เบคอน ได้พูดไว้ ท่านบอกว่า ถ้าเราอยากบรรลุความสำเร็จในสิ่งที่ไม่เคยสำเร็จมาก่อน ต้องอย่าทำเหมือนสิ่งซึ่งเคยพยายามทำมาแล้ว เพราะฉะนั้นต้องทำในแบบใหม่ ในความคิดใหม่ ในรูปแบบใหม่ มันถึงจะมีโอกาสบรรลุความสำเร็จในสิ่งซึ่งไม่เคยสำเร็จมาก่อนได้ เพราะฉะนั้นการมาพบปะพูดคุยกันนี้ ผมเชื่อว่า แน่นอน ส่วนหนึ่งเราเป็นข้าราชการ แล้วเราก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า วิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาทำให้เกิดการตื่นตัวในการที่จะกลับมา ทบทวนเรื่องการบริหาร เรื่องการจัดองค์กร การจัดโครงสร้างของการบริหารใหม่ เพราะเรากำลังคิดว่าที่ผ่านมานั้น น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกให้เรารู้ว่า มันไม่สำเร็จ
มีคำพูดคำหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษว่า satisfactory under performance เป็นคำที่ไม่รู้จะแปลอย่างไร แต่มีความหมายในตัวดีเหลือเกิน สรุปแล้วก็คือว่าเราทำงานมีผลงานดี (under performance)มาโดยตลอด แล้วเราก็ตั้งเกณฑ์ความพึงพอใจไว้ที่ผลงานนั้นแล้วจนกลายเป็นสัญลักษณ์ไป แล้วก็ทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆจนผลสุดท้าย เราก็เคยชิน จนคิดว่าสัญลักษณ์นั้นถูกต้อง แต่ความจริงแล้วมันเป็นสัญลักษณ์ของความพึงพอใจที่เป็น under performance ผมกำลังโยนคำเพื่อเอามาคิดกัน เพราะว่า หัวข้อที่ให้ผมพูดก็บอกว่าผู้นำภาคราชการ: ประสิทธิผลและความรับผิดชอบ ผมก็เลยมี คำพูดหลัก 2-3 คำ ที่จะมาพูดคุยเพื่อว่าคำพูดหลักเหล่านี้ จะช่วยให้เกิดความคิดอะไรขึ้นมา
วันนี้มันมีช่องว่าง(gap)ตั้งแต่โลกยันช่องว่างในประเทศและช่องว่างในองค์กร มันเป็นช่องว่างไปหมด ช่องว่างระดับโลกเขาเรียกว่าช่องว่างสถาปัตยกรรมของโลก (gap of global architecture) เพราะฉะนั้นสถาปัตยกรรมของกลไกทั้งหลายมันมีช่องว่างในตัวมันเอง ในภาครัฐก็มีช่องว่างระหว่างการเมือง ระหว่างภาคราชการ ระหว่างราชการกับประชาชน เพราะฉะนั้นสถาปัตยกรรมทั้งหลายต้องถูกทบทวน แล้วเรากำลังเข้าสู่โลกที่ความท้าท้ายเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงจากในอดีต สิ่งที่เราทำในอดีตนั้น เป็นสิ่งที่ผมอยากจะปลุกกระแสให้พวกเราได้ตระหนักว่าต้องทบทวน ต้องทบทวน แล้วก็ต้องทบทวน เหมือนกับว่าพอความรู้สึกมันหลวม จากที่เกาะไว้ที่เก่าแล้ว เราจัดใหม่ง่าย แต่ถ้าไม่หลวม มันติดแน่นอยู่ มันต้องแซะ กว่าจะจัดใหม่ยาก กว่าจะทำสถาปัตยกรรม ใหม่ ๆ ยาก เพราะฉะนั้นมันต้องยืดหยุ่น ด้วยทัศนคติไม่ยึดติด ด้วยความตระหนักว่า สิ่งที่ทำมาในอดีตใช้ไม่ได้อีกแล้ว มันเหลือน้อยที่ยังใช้ได้ เพราะว่ามีความท้าทายเกิดขึ้นใหม่ ๆ หลายเรื่องเหลือเกิน ความท้าท้ายหลายเรื่องที่ผมเคยพูดไว้ก็คือ ความท้าทายที่เราต้องเข้าสู่สังคมที่เป็นฐานความรู้ เป็นสังคมพื้นฐานความรู้ (knowledge based society) เศรษฐกิจจะต้องถูกสร้างให้เป็นเศรษฐกิจที่เป็นฐานความรู้ เพราะฉะนั้นความรู้จึงเป็นหัวใจของโลกข้างหน้า นั่นก็คือ ข้าราชการต้องพัฒนาตัวเอง เพราะสังคมข้างหน้าต้องเป็นสังคมแห่งความรู้
ความท้าท้ายอันที่ 2 ก็คือ เมื่อก่อนความเชื่อมโยงของปัญหาไม่มีมากเหมือนเดี๋ยวนี้ วันนี้ความเชื่อมโยงของปัญหามีมาก เราคิดในทางลบ ที่เราเป็นคนส่งออกไปก็คือ การที่เรามีวิกฤติค่าเงินบาทครั้งที่แล้ว ส่งผลตามไปทั่วโลก เพราะความเชื่อมโยงของสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วความเชื่อมโยงของวิกฤติตรงนั้นค่าเงินบาทลดไปหมด ความเชื่อมโยงของการแข่งขัน ความเชื่อมโยงของความท้าทาย มันเป็นเรื่องของระดับโลก มันไม่ใช่เป็นเรื่องของแต่ละมิติของตัวมันเอง ไม่ใช่อีกแล้ว ความท้าทายในสิ่งที่ต้องทำในสิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น ความท้าทายที่ต้องมีความคิดใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ต้องเกิดขึ้นนั่นคือสิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องพบ ความท้าทายในเรื่องของการสร้างศักยภาพของประเทศที่ต้องเร็ว เพราะว่าการแข่งขันทั้งหมดเปลี่ยนจากการแข่งขันเดิม ๆ มาเป็นแข่งขันที่ความรวดเร็ว เพราะฉะนั้นภาคราชการก็ต้องเร็ว ไม่เร็วก็จะส่งผลต่อภาคเอกชนและภาคประชาชนซึ่งต้องเร็วเหมือนกัน ความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการรับบริการของประชาชน เมื่อก่อนการรับบริการของประชาชน ประชาชนอดทน นั่งรอ งอนง้อ แต่วันนี้ไม่ใช่ วันนี้ไปอีกแบบยิ่งเป็นระบบประชาธิปไตย การสื่อสารโทรคมนาคมดีขึ้น การเปรียบเทียบเกิดขึ้นความแตกต่างของบริการเกิดขึ้น ประชาชนก็อยากเลือกแต่สิ่งที่ดี นี่คือความท้าทายทั้งหลายที่ผมอยากจะเรียนว่ามันเป็นสิ่งที่กำลังท้าทายท่าน
สิ่งที่เรากำลังพูดเรื่องผู้นำภาคราชการ ตรงนี้มีความหมายลึกซึ้ง คนจะเป็นผู้นำนั้น ไม่ใช่เป็นผู้นำเพราะกฎหมายให้เป็นผู้นำ คำว่าผู้นำนั้นมีความลึกซึ้ง บางทีไม่มีฐานะตามกฎหมาย แต่ก็นำได้ดีเพราะความสามารถพิเศษ (charisma) เพราะว่าความสามารถพิเศษเป็นหัวใจสำคัญมากของการเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้นำในราชการนั้น แน่นอนว่ามีสถานภาพตามกฎหมาย แต่ถ้าใครไม่สร้างความสามารถพิเศษ ไม่สร้างคุณลักษณะของผู้นำที่ดีขึ้นมาแล้วนั้น ท่านจะกลายเป็นผู้นำเพราะกฎหมายอนุญาตให้ท่านเป็นผู้นำ เท่านั้น ความรัก ความศรัทธา ความร่วมมือในการที่จะเดินไปกับท่าน ร่วมหัวจมท้ายต่อความสำเร็จขององค์กรกับท่าน มันจะน้อย วันนี้ต้องยอมรับว่า ทั่วโลกวันนี้ประสิทธิภาพอยู่ที่คำว่า ผู้นำ เพราะผู้นำคือแทบทุกอย่างขององค์กร องค์กรตั้งใหม่ ผู้นำคือคนซึ่งกำหนดวัฒนธรรมองค์กรนั้น นั่นคือ สถาปัตยกรรมที่สำคัญขององค์กรอันหนึ่ง ก็คือวัฒนธรรมองค์กร แล้วผู้นำที่เข้มแข็ง ถึงแม้ว่าองค์กรนั้นตั้งมาเดิมแล้ว ก็ยังสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมได้ วัฒนธรรมองค์กรเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่หล่อลื่นองค์กรนั้น ที่จุดประกายให้องค์กรนั้นเดินได้เข้มแข็ง เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมองค์กรสำคัญมาก วัฒนธรรมองค์กรมีทั้งดีก็ได้ไม่ดีก็ได้ อยู่ที่การเลือกวัฒนธรรมองค์กรที่ถูกต้อง เหมาะกับกาลเวลา บางองค์กรทำวัฒนธรรมไว้ดีมากเหลือเกิน แต่ไม่ยืดหยุ่น เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ตกโลกเลยครับ เพราะว่าผู้นำต้องคิดตลอดเวลาว่า องค์กรคือสิ่งมีชีวิต เพราะฉะนั้น ผู้นำต้องรู้วิธีการปรับตัว เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวหรือพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก ต้องเลี้ยงลูกไม่เหมือนกันในกาลเวลา ตอนลูกเป็นทารกต้องเลี้ยงอย่างไร ตอนลูกหัดเดินแล้วต้องเลี้ยงอย่างไร ลูกเริ่มเข้าโรงเรียนเลี้ยงอย่างไร ลูกเป็นวัยรุ่นเลี้ยงอย่างไร ลูกจบแล้วแต่งงานแล้วเลี้ยงอย่างไร ถ้าเราพัฒนาไม่ได้เราก็คิดว่าจะเลี้ยงลูกเป็นทารกตลอด แต่งงานแล้วก็ยังเป็นทารกอยู่ ลูกก็คงหน่อมแน้มเหมือนกัน ก็ต้องดูให้ดี นั่นคือการเปลี่ยนตัวเองตลอดเวลา ผู้นำจึงเป็นหัวใจสำคัญ
ระยะหลัง ๆ หนังสือที่ออกมาเกี่ยวกับความเป็นผู้นำมีมาก เพราะผมเป็นคนที่รับหนังสือประมาณเดือนละ 8 เล่ม แต่ช่วงนี้อ่านได้ประมาณเดือนละ 4 เล่ม 8 เล่มที่ได้รับเป็นเรื่อง เกี่ยวกับผู้นำ อย่างน้อย 3 เล่ม เพราะว่าโลกข้างหน้ามันไม่มีรูปแบบ มันไม่มีรูปแบบ เขาเรียกว่าเป็นโลกของความไร้รูปแบบ (world of volatility) คือมีความเปลี่ยนแปลงสูงมาก เพราะฉะนั้นความเป็นผู้นำจึงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จก่อนที่จะไปดูเรื่องประสิทธิภาพประสิทธิผล การสร้างความเป็นผู้นำ (build leadership) จะเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรทุกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งแต่ละท่านที่ขึ้นมาในตำแหน่งผู้อำนวยการกอง อธิบดีทั้งหลาย ผู้นำตัวนี้มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าผู้นำในอดีต ผู้นำในยุคนี้ต้องเป็นผู้นำของคนที่มีความรู้ มีการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ถ้าท่านไม่รู้เท่าทันแล้วก็ไม่เรียนรู้ ไม่รู้ไม่เป็นไรแต่พร้อมเรียนรู้ไปกับคนในองค์กร แล้วพร้อมนำองค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ตรงนั้นคือผู้นำชั้นยอด นอกเหนือจากความสามารถพิเศษทั่วไป เช่นต้องเป็นผู้เสียสละ ต้องไม่เอาเปรียบลูกน้อง ไม่ขายตำแหน่งลูกน้อง เป็นต้น โลกยุคใหม่เป็นโลกแห่งความรู้ เพราะฉะนั้นผู้นำองค์กรต้องรู้จักคำว่าเรียนรู้ เรียนมาน้อยก็ไม่เป็นไร เรามีลูกน้องเป็นดอกเตอร์ต้องภูมิใจและใช้งานเยอะ ๆ ให้มาสอนเราบ้าง แล้วต้องมีความสุขที่จะเรียนกับลูกน้อง อย่าอายที่จะเรียนกับลูกน้อง เรียนเสร็จเอาความรู้ลูกน้องมาหมด เราเหนือชั้นกว่า เพราะหนึ่งโดยตำแหน่งเราใหญ่กว่า สองประสบการณ์เราเยอะกว่า สามเราแก่กว่า เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ความรู้มาเราจะเก่งกว่าทันที จึงควรที่จะเรียนรู้และให้องค์กรเรียนรู้ตลอด เราจึงจะเป็นผู้นำยุคใหม่ได้ดีที่สุด ผู้นำที่ดีต้องกล้าคิดกล้านำ ต้องเป็นผันำความเปลี่ยนแปลง (change leader) เพราะโลกเดี๋ยวนี้มันต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าผู้นำไม่เป็นผู้นำของความเปลี่ยนแปลง ก็จบ
อย่างที่ เซอร์ ฟรานซิส เบคอน พูด ถ้าเราไม่เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องทำแบบเก่า เราจะไม่รู้จักคำว่า ทำอย่างไร (how to) รู้จักอย่างเดียวคือ ฉันด้วย (me too) นั่นคือ สิ่งที่ผมอยากจะเห็นข้าราชการทั้งหลาย วันนี้ต้องเปลี่ยนมิติหมดเลย ผมรู้ว่าท่านเป็นพวกมีสติปัญญาที่ดี มีความรู้ดี มีประสบการณ์ดี แต่ขาดความเป็นผู้นำ ขาดความกล้าในการริเริ่ม เพราะไปเกรงใจกันเอง เกรงใจยศ คือมี 2 แบบ แบบไทย ๆ และแบบข้าราชการไทยซ้ำไปอีก อันนี้คือจุดอ่อนของการสร้างความเป็นผู้นำที่มีปัญหา วันนี้รัฐบาลนี้จึงมาขอเชิญชวนท่านว่าใครมีความเป็นผู้นำเท่าไรเอาออกมาให้หมด คือต้องกล้าในการแสดงความเป็นผู้นำ ต้องกล้าเสนอวิสัยทัศน์ ต้องกล้าเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยคือการเปลี่ยนองค์กรของท่าน อย่างน้อยคือการเปลี่ยนมิติในการคิดของคนในองค์กรให้ได้ เพราะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในยุคต่อไป
ผมอยากจะเรียนให้ท่านผู้บริหารส่วนราชการได้ทราบว่า ผมอยากปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรมใหม่ แล้วเกิดการกระจายอำนาจ (delegation of power) อย่างแท้จริง ไม่ใช่จะกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญ อันนี้กระจายอำนาจการบริหาร การกระจายอำนาจการบริหารมุ่งไปสู่การจัดองค์กรที่มีชั้นของการทำงานให้น้อยชั้นลง มอบอำนาจลงไประดับล่างให้มากที่สุด เพื่อให้การตัดสินใจนั้นเสร็จสิ้นเร็ว การบริการประชาชนเร็ว การแก้ปัญหาเร็วแต่ยังมีประสิทธิภาพ อย่างน้อยมากกว่าเดิม ถ้าเท่าเดิมผมถือว่ายังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะผมไม่อยากใช้คำว่าความพอใจภายใต้การปฏิบัติงาน (satisfactory under performance) ฉะนั้นผมจึงต้องมาสร้างสัญลักษณ์ของความพึงพอใจใหม่ โดยสร้างบนความคาดหวังใหม่ของสังคมที่มีต่อระบบราชการ เราจะใช้ความ คาดหวังเก่าของสังคมที่มีต่อระบบราชการไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเราจะใช้ความคาดหวังใหม่ที่มีต่อระบบราชการ เราก็ต้องปรับโครงสร้างของระบบราชการให้เร็ว ซึ่งการปรับโครงสร้างของระบบราชการ ผมอยากเห็นการทำงานในแนวดิ่งและแนวราบไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะไม่สามารถทำงานในลักษณะของการเป็นองค์กรเครือข่ายได้ เราจะทำงานในลักษณะการแบ่งงานเป็นแท่ง ๆ เป็นงานใครงานมัน แล้วยิ่งแบ่ง ยิ่งเป็นนิติบุคคล เรายิ่งก่อกำแพงเข้าหากัน มีเส้นลวดไฟฟ้าอยู่ข้างบน ถ้าข้ามมาแล้วจะช๊อต เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้สิ่งเหล่านี้ไม่มีกำแพง ไม่มีกำแพงกั้นเลยระหว่างส่วนราชการ แต่ตอนเริ่มต้นใหม่ ต้องเรียนว่าต้องขลุกขลักบ้างผิดถูกบ้าง ไม่ใช่จับขึ้นแต่ศาลรัฐธรรมนูญ คือการขลุกขลักผิดถูกบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจะรอให้สมบูรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยทำ ก็รอพวกเราตายไปแล้วก่อน มันไม่มีทางครับ ขอให้มันเป็นทิศทางที่ถูก แล้วมันดีกว่าเดิม ทำเลย ขลุกขลักอย่าร้อง อย่าโวย แล้วเราแต่งไปแก้ไป ระหว่างกระบวนการ แน่นอนครับ ไม่มีอะไรสวยงาม อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ได้แอปเปิ้ลมาลูกหนึ่งดูสวยงามมาก หั่นแล้วใส่ในเครื่องปั่น พอกดปุ่มแล้ว ก็จะดูเละเสียงก็หนวกหู พอกระบวนการเสร็จออกมาเป็นน้ำแอปเปิ้ล สวย อร่อย เพราะฉะนั้น ระหว่างอยู่ในกระบวนการ มันต้องขลุกขลัก ไม่สวยงาม ไม่เป็นไร ขอให้เรารู้ว่าเรากำลังทำลูกแอปเปิ้ลให้เป็นน้ำแอปเปิ้ล ถ้าเรารู้ เราเข้าใจมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน แล้วเราตั้งใจทำอย่างนี้เหมือนกันแล้ว ไม่เป็นไรระหว่างนั้นหนวกหูหน่อยก็ทนเอา เพราะเดี๋ยวจะเป็นน้ำแอปเปิ้ลแล้ว แต่ถ้าเราทนอะไรไม่ได้มาถึงก็บอกว่าแอปเปิ้ลดี ๆ มาปล่อยให้เละได้อย่างไร คนประเภทนี้เป็นเผด็จการแบบฮิตเลอร์ ไม่เลี้ยงแล้ว คนประเภทนี้ต้องให้ไปอยู่อีกที่หนึ่ง เพราะว่าอยู่ไปสังคมก็ไม่พัฒนาเพราะหาเรื่องติคนทั้งวัน ต้องบอกว่าเอาผ้ามาปิดเครื่องปั่นได้ไหม เสียงจะได้เบาหน่อย อย่างนี้สร้างสรรค์ นี่คือจุดที่เราต้องเข้าใจตรงนี้ตรงกันแล้วเราจะเดินด้วยกัน วันนี้การปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรมต้องอย่าปรับเพื่อพวกเราจะได้มีตำแหน่งปลัดกระทรวงเพิ่มขึ้น หรือมีอธิบดีมากขึ้น ไม่ใช่ ตรงนั้นถ้ามันจะเพิ่มก็ให้เพิ่ม ถ้ามันไม่เพิ่มก็คือไม่เพิ่ม ต้องไปเป้าใหญ่ก่อนคือ ภารกิจของเราคืออะไร ถ้าเรารู้ภารกิจของเราคืออะไร ตรงนั้นละครับที่เราจะจัดโครงสร้างเพื่อรองรับภารกิจนั้น ๆ แน่นอนครับ มันจะเกิดอะไรเพิ่มขึ้นตามนั้นก็ไม่เป็นไร ปลัดกระทรวงจะเพิ่ม อธิบดีจะเพิ่มก็ไม่เป็นไร หรือจะลดก็ต้องไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่เอาโครงสร้างมานำเพราะว่าเนื่องจากมีคนซี 8 หรือ ซี 9 อยู่ 295 คน เพราะฉะนั้นโครงสร้างต้องมีครบ 295 คน เพื่อจะมีหัวตรงนี้นั่งให้ครบ ถ้าอย่างนั้นมันเจ๊งตั้งแต่วันแรก ต้องมองตั้งแต่ภารกิจคืออะไร แล้วเราจะมีโครงสร้างรองรับภารกิจอย่างไร แล้วค่อยใส่ตัวคนที่มีอยู่ลงไป เกินก็ไม่เป็นไร เหลือก็ไม่เป็นไร เราปาดได้เพิ่มได้ เพราะฉะนั้น วันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อายุเท่าผมหรือแก่กว่าผมเป็นต้นไป ต้องคิดถึงคนรุ่นต่อไปอย่างเดียว ต้องเลิกคิดถึงตัวเราได้แล้ว วันนี้มาถึงขนาดนี้ก็เหนือกว่าสังคมโดยเฉลี่ยมากแล้ว วันนี้ต้องคิดว่าวางอะไร เพื่อคนรุ่นหลัง นั่นคือสิ่งที่สำคัญ
ผมจะเล่าวิธีคิดของนายกฯฮุนเซ็นให้ฟัง ท่านเป็นคนที่รบอยู่ในป่ามาตลอดชีวิต แล้วมาเป็นนายกฯ วิธีคิดท่านปรับตลอดเวลา ล่าสุดที่พูดกับผมเรื่องการปักปันเขตแดน ผมบอกท่านว่าผมกับมาเลเซียจะจบแล้ว กับลาวเรามีข้อตกลงว่า 2002 บนบกเสร็จ 2003 ในน้ำเสร็จ กัมพูชากับผมถือว่าระหว่างยุคของเรา 2 คน ปักปันเขตแดนต้องจบ ไม่จบไม่ได้ อย่ามายึกยัก ท่านฮุนเซ็นบอกว่ายุโรปเขามีหนังสือเดินทางเล่มเดียวไปไหนก็ได้ เดี๋ยวนี้เขาพูดถึงโลกไร้พรมแดน (borderless world) แล้ว พวกเรามาเสียเวลาเรื่องชายแดนนิดเดียว ผมก็เลยเอาตรงนี้ไปเล่าให้ท่านตันฉ่วยที่พม่าผมบอกว่า ประเทศกำลังพัฒนาทะเลาะกันเรื่องชายแดนบางทีภูเขาลูกเดียวแย่งกันอยู่ได้ เอาปืนยิงกัน ชาวบ้านก็ไม่รู้นึกว่าแถวนี้ไม่มีความสงบ รบกัน แย่งภูเขามาได้ลูกหนึ่งก็เอามาระเบิดหิน มันไม่ใช่ มันต้องดูลักษณะของไม่มีใครได้ไม่มีใครเสียก็จบ มารบกันทำไม มาช่วยกันแก้ปัญหาดีกว่า อย่าให้ประเทศพัฒนาแล้วหัวเราะเราเขากำลังเป็นโลกไร้พรมแดนแล้ว อย่างท่านฮุนเซ็นพูด ท่านตันฉ่วยหัวเราะชอบใจเรื่องปัญหาชายแดนเลยง่าย วิธีคิด วิธีนำเสนอจึงเป็นอีกอันหนึ่งของสไตล์ผู้นำในยุคใหม่ ถ้านำเสนอผิด จบเลย อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังในหนังสือ The Guru Guide เขาพูดถึง ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ สิ่งที่เป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ก็คือ การเป็นผู้นำในการเล่าเรื่อง (master of story teller) นั่นก็คือการนำเสนอต้องดีต้องเก่ง ไม่เช่นนั้นไม่สามารถสื่อวิสัยทัศน์ของตนเองให้กับคนในองค์กรได้รับรู้แล้วเพื่อปฏิบัติตามได้ จะสื่อวิสัยทัศน์ตัวเองได้ต้องเป็นนักเล่าเรื่อง (story teller)ที่ดี