0060. WHEN YOU SAY YES BUT MEAN NO : 1 ใน 106 หนังสือควรอ่าน จาก นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี และ แนะนำหนังสือรวม 2 เล่ม คือ When You Say Yes But Mean No ซึ่งเขียนโดย Leslie A. Perlow เล่มนี้ นายกรัฐมนตรี ได้อ้างเนื้อหาบ้างส่วนให้คณะรัฐมนตรีฟังว่า...
..."นักบริหาร ต้องมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น จะต้องดูทั้ง Productivity และ Creativity ขององค์กร ต้องเข้าใจสภาพจิตใจของพนักงาน หมั่นสังเกตแนวความคิด และ ความสัมพันธ์ของคนในองค์กร คนที่นิ่งเฉยอาจไม่เห็นด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของการป้องกันตนเอง (Self Protection) เมื่อเกิดความกลัวจะทำให้บุคคลกล้าแสดงออกน้อยลง ส่งผลให้ทางเลือกในการแก้ปัญหามีน้อยลง และ Job Satisfaction จะลดลงด้วย ดังนั้น ผู้บริหาร จะต้องเปิดโอกาสให้คนกล้าแสดงออก และ ให้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขององค์กร หมั่นสร้างแนวร่วมและพัฒนาการทำงานเป็นทีมเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์"
Create Date : 10 มีนาคม 2551 |
Last Update : 10 มีนาคม 2551 12:26:50 น. |
|
7 comments
|
Counter : 1057 Pageviews. |
|
|
|
หนังสือน่าอ่าน
When You Say YES But Mean NO
การนิ่งเงียบไม่ช่วยแก้ไขความขัดแย้งซ้ำยังทำลายบริษัท
วัฒนธรรมการทำงานของเรามักไม่นิยมความขัดแย้ง ทำให้พนักงานต้องจำใจพยักหน้าทั้งๆ ที่ใจอยากค้าน ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการที่ในที่ทำงานมีบรรยากาศที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่า เขาคงจะต้องตกงานหากแสดงความเห็นที่ขัดแย้งออกมา หรือไม่ก็อาจทำให้ลูกค้ารายสำคัญต้องหลุดมือไป หากขืนแสดงความขัดแย้งกับลูกค้า แต่ Leslie A. Perlow กลับไม่เห็นเช่นนั้น Perlow ผู้เป็นนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมและรองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Harvard Business School ชี้ว่า การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มีพลังในตัวเอง แต่การนิ่งเงียบเก็บความรู้สึกไม่เห็นด้วยไว้ในใจต่างหาก ที่จะทำลายความสัมพันธ์ทางธุรกิจตลอดจนถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว
วังวนแห่งความนิ่งเงียบ
Perlow ชี้ว่าเมื่อเรานิ่งเงียบในครั้งแรก เราจะมีแนวโน้มที่จะนิ่งเงียบต่อไปเรื่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนถลำลงสู่ "วังวนแห่งความนิ่งเงียบ" โดยหารู้ไม่ว่าเรากำลังทำสิ่งที่เสี่ยงต่อการสูญเสียตัวเอง สูญเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่น กระทั่งสูญเสียงานที่เราทำอยู่ การนิ่งเงียบเมื่อรู้สึกไม่เห็นด้วย การเก็บความรู้สึกและการจำใจแสดงความเห็นด้วย ไม่ใช่วิธีแก้ไขความขัดแย้ง แต่กลับทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ ผิดหวัง กังวลหรือแม้แต่โกรธ แล้วเราก็จะโทษคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราอารมณ์ไม่ดี หรือไม่ก็ไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองกำลังอารมณ์บูด การทำเช่นนี้รังแต่จะเพิ่มความไม่สบายใจให้ตัวเองจนในที่สุดจะกลายเป็นการปกป้องตัวเองมากจนเกินไป ซึ่งกลับจะทำร้ายความสัมพันธ์กับผู้อื่นให้เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว จนเหลืออยู่แต่ความรู้สึกไม่ไว้วางใจและความกลัว
การนิ่งเงียบไม่กล้าแสดงความแตกต่างออกมาส่งผลเสียต่อองค์กรดังนี้
- องค์กรจะไม่ได้รับความคิดใหม่ๆ เพราะไม่มีใครกล้าที่จะคิดต่าง จึงขาดการค้นพบทางเลือกใหม่ๆ
- อารมณ์ไม่ดีที่ไม่สามารถระบายออกมาจะเก็บกดอยู่ภายในใจส่งผลเสียต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนกระทบความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
- ผู้บริหารจะไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่ให้ภาพอีกด้านหนึ่ง ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด
- ประสิทธิภาพการผลิตและความคิดสร้างสรรค์ในองค์กรหดหาย
การไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระย่อมกลายเป็นความอัดอั้นตันใจ และทำให้พนักงานหมดความกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วม เพราะเมื่อคนเรารู้สึกว่าความคิดของตนไม่ได้รับการให้ความสำคัญ ก็จะรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า และจะแยกตัวออกจากงานและองค์กร ทำให้ความรู้สึกพึงพอใจในงานลดต่ำลง บริษัทก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย
แบบแผนทิ้ง
Perlow เสนอทางแก้สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในวังวนแห่งความนิ่งเงียบดังนี้
- หยุดโทษคนอื่นและกล้าที่จะรับผลที่เกิดขึ้นในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง
- ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร จงให้เกียรติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
- ทำต่างไปจากแบบแผนที่เคยปฏิบัติกันมาบ้างเพราะนี่เป็นวิธีที่จะทำให้เกิดการค้นพบทางเลือกใหม่ๆ
- สร้างพันธมิตรซึ่งจะทำให้ได้รับประโยชน์จากการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น
Resource://www.shincorp.com/interdb/iNewsT-form.asp?news_no=95&cateid=120&searchField=