034. รั้วแห่งการกักกัน หน้าต่างแห่งโอกาส ยุทธศาสตร์ใหม่ของประชาชนในสมรภูมิโลกาภิวัตน์
Fences and Windows
Dispatches from the Front Lines of the Globalization Debate.
รั้วแห่งการกักกัน หน้าต่างแห่งโอกาส
ยุทธศาสตร์ใหม่ของประชาชนในสมรภูมิโลกาภิวัตน์
นาโอมี ไคลน์ เขียน
พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ แปล
ภัควดี วีระภาสพงษ์ บรรณาธิการ
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ขนาด ๑๔.๕ x ๒๑ ซม. จำนวน ๓๒๐ หน้า ราคา ๒๕๐ บาท
ผลงานรวมข้อเขียนที่ท้าทาย ชาญฉลาด และมีเสน่ห์ของ นาโอมี ไคลน์ ผู้มีส่วนร่วมอย่างมากในการผลักดันให้เกิดการอภิปรายในประเด็นว่าด้วยโลกาภิวัตน์ ผลกระทบ และอนาคตของมัน ข้อเขียนในเล่มดังกล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเดินขบวน และการประชุมสุดยอดในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นรายงานจากผู้อยู่ในสถานการณ์แนวหน้าของการอภิปรายประเด็นโลกาภิวัตน์ ช่วยให้เราเท่าทันถึงการประท้วงและโอกาส ความหวังสำหรับการเปลี่ยนแปลง และอุปสรรคที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขัดขวางการเปลี่ยนแปลงนั้นเรื่องราวการต่อสู้ของประชาชนที่พยายามแย่งชิงโลกาภิวัตน์มาจากเงื้อมมือของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ให้กลับมาเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงเล่มนี้ เป็นงานเขียนเพื่อความอยู่รอดในโลกแห่งเศรษฐกิจ เป็นบันทึกของโลกาภิวัตน์และผลลัพธ์ที่ตามมา เป็นเอกสารที่มีเอกลักษณ์และปรากฏขึ้นอย่างเหมาะเจาะกับช่วงแห่งประวัติศาสตร์นี้
Source://www.komol.com/autopage/show_page.php?t=46&s_id=3&d_id=8
รั้วแห่งการกักกัน หน้าต่างแห่งโอกาส พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ นักวิชาการและนักแปลอิสระ
บทความนี้ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่โดยคุณพิภพ อุดมอิทธิพงศ์ ผู้แปลหนังสือเรื่อง รั้วกับหน้าต่าง เขียนโดย นาโอมี ไคลน์ เรื่องราวของการต่อสู้ของประชาชนทั่วโลกกับอำนาจทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ในยุคโลกาภิวัตน์
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา) บทความฟรี มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 696 เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๘
Naomi Klein นาโอมี ไคลน์
คำนำ รั้วแห่งการกักกัน หน้าต่างแห่งโอกาส
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ภาคต่อจาก No Logo ซึ่งว่าด้วยการเติบโตขึ้นของขบวนการต่อต้านบรรษัท และเป็นหนังสือที่ดิฉันเขียนระหว่างปี พ.ศ. 2538 ถึง 2542 หนังสือเล่มนั้นเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ ในขณะที่ รั้วกับหน้าต่าง เป็นข่าวสารจากแนวหน้าของสมรภูมิการต่อสู้ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการตีพิมพ์ No Logo หนังสือเล่มดังกล่าวกำลังได้รับการตีพิมพ์
ในขณะที่ขบวนการที่เปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งบันทึกไว้ใน No Logo เริ่มปฏิบัติการจนเป็นที่รับรู้ในโลกแห่งอุตสาหกรรมกระแสหลัก โดยมากเป็นผลมาจากการประท้วงที่กรุงซีแอตเติลในระหว่างการประชุมองค์การค้าโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2542 เพียงชั่วข้ามคืน ดิฉันพบว่าตัวเองพลอยติดร่างแหเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายระดับโลกที่ตั้งคำถามที่สำคัญที่สุดในยุคของเรา กล่าวคือ อะไรเป็นคุณค่าที่กำหนดกฎเกณฑ์ในโลกยุคโลกาภิวัตน์
สิ่งที่เริ่มต้นจากการเดินทางเพื่อโฆษณาหนังสือเป็นเวลาสองสัปดาห์ ได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ทอดยาวถึงสองปีครึ่ง และการเดินทางไป 22 ประเทศ เหตุการณ์นี้ได้นำดิฉันไปสู่ท้องถนนที่คราคร่ำด้วยก๊าซน้ำตาในเมืองควีเบคซิตี้ และกรุงปราก ไปยังการรวมตัวประท้วงในย่านชุมชนกรุงบัวโนสไอเรส ไปยังการตั้งค่ายพักแรมของนักกิจกรรม เพื่อต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ในทะเลทรายตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย และไปจนถึงการได้ร่วมอภิปรายอย่างเป็นทางการกับบรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ ในยุโรป
การค้นคว้าอย่างจริงจังเป็นเวลาสี่ปีเพื่อเขียนหนังสือ No Logo แทบไม่ได้เตรียมให้ดิฉันพร้อมสำหรับเผชิญหน้ากับภารกิจเหล่านี้ แม้ว่าสื่อมวลชนจะขนานนามว่าดิฉันเป็นหนึ่งใน "ผู้นำ" หรือเป็น "โฆษก" ของกลุ่มผู้ประท้วงทั่วโลก ความจริงก็คือตัวดิฉันเองไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเมือง และไม่ชอบการอยู่ในฝูงชนขนาดใหญ่ ครั้งแรกที่ดิฉันต้องกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ ดิฉันเอาแต่มองบันทึกในระหว่างอ่านตลอดเวลา และไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลยตลอดช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
แต่นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เราควรรู้สึกอาย คนนับจำนวนหมื่นและเพิ่มเป็นแสนคน ได้เข้าร่วมการเดินขบวนประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่าในแต่ละเดือน พวกเขาส่วนมากก็คล้ายกับดิฉันตรงที่ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่า จะมีโอกาสในการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจนกระทั่งในตอนนั้น ดูเหมือนว่าความล้มเหลวของแม่แบบเศรษฐกิจกระแสหลักที่เป็นอยู่ นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นจนยากจะเพิกเฉย ทั้งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวของบริษัทเอ็นรอนด้วยซ้ำ เพื่อที่จะสนองความต้องการของนักลงทุนระดับนานาชาติ
รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไม่พยายามตอบสนองความต้องการของประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามา ความต้องการเหล่านี้บางประการเป็นเรื่องพื้นฐานและจำเป็นเร่งด่วน อย่างเช่น ความต้องการด้านเวชภัณฑ์ ที่อยู่อาศัย ที่ดิน น้ำ ความต้องการบางอย่างเป็นเรื่องในเชิงนามธรรม อย่างเช่น โอกาสที่จะมีพื้นที่ทางวัฒนธรรม เพื่อติดต่อสัมพันธ์กันโดยไม่ได้อยู่บนฐานการค้า
การรวมกลุ่มและแบ่งปันกัน ไม่ว่าจะผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต คลื่นสัญญาณในวิทยุชุมชน หรือการพบกันตามท้องถนน การค้ำจุนโครงสร้างทั้งหมดนี้ไว้ เท่ากับเป็นการทรยศต่อความจำเป็นขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ที่ตอบสนองความต้องการและเน้นการมีส่วนร่วม ซึ่งไม่ได้ถูกซื้อและอุดหนุนโดยบริษัทเอ็นรอน และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
วิกฤติการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางไร้พรมแดน เศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วบนฐานของการมุ่งแสวงหากำไรระยะสั้น ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการแก้ปัญหาวิกฤติด้านนิเวศวิทยา และประชากรมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วน ทั้งยังไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานจากการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลไปสู่แหล่งพลังงานอันยั่งยืน
และแม้จะมีการให้สัญญาและจับมือตกลงอย่างเคร่งครัด แต่ระบบเศรษฐกิจโลกเช่นนี้ก็ไม่สามารถระดมทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV ในอัฟริกา ทั้งไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามพันธกิจระดับนานาชาติเพื่อลดความหิวโหย หรือแม้แต่จะแก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านอาหารในระดับพื้นฐานในยุโรป
เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเหตุใดขบวนการประท้วงจึงปะทุขึ้นในช่วงเวลานั้น ทั้ง ๆ ที่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมานานนับทศวรรษ แต่ส่วนหนึ่งเห็นจะเป็นผลมาจากกระบวนการโลกาภิวัตน์นั่นเอง เมื่องบประมาณที่ให้กับโรงเรียนถูกตัด หรือเมื่อแหล่งน้ำถูกทำให้มีมลพิษ แต่เดิมเรามักโยนความผิดในเรื่องพวกนี้ ให้กับการบริหารด้านการเงินที่ไร้ประสิทธิภาพ หรือไม่ก็ความฉ้อฉลอย่างเห็นได้ชัดของรัฐบาลในแต่ละประเทศ
แต่ปัจจุบัน สืบเนื่องจากข่าวสารข้อมูลที่แพร่และแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็วจนไร้พรมแดน พวกเราเริ่มมองเห็นแล้วว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น อันมีสาเหตุมาจากอุดมการณ์ในระดับโลกบางประการ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยนักการเมืองระดับชาติ แต่มีต้นตอโดยหลักมาจากความต้องการผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ และสถาบันนานาชาติเพียงจำนวนน้อย ซึ่งรวมไปถึงองค์การค้าโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลก
ข้อที่น่าหัวเราะกับการที่สื่อมวลชนตราหน้าพวกเราเป็นพวก "ต่อต้านโลกาภิวัตน์" ก็คือ อันที่จริง พวกเราในขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้ต่างหาก ที่ลงมือเปลี่ยนให้โลกาภิวัตน์กลายเป็นความจริงที่มีชีวิตชีวา มากเสียยิ่งกว่าสิ่งที่ผู้บริหารบรรษัทข้ามชาติ หรือนักบริหารที่เดินทางระหว่างประเทศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยพยายามทำ
ในที่ชุมนุมอย่างเช่นที่เวทีสังคมโลกในกรุงปอร์โต อัลเลเกร ใน "การประชุมสุดยอดทวนกระแส" ระหว่างการประชุมของธนาคารโลก ในเครือข่ายสื่อสารอย่างเช่น //www.tao.ca และ //www.indymedia.org โลกาภิวัตน์ไม่ได้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาแคบ ๆ อย่างเรื่องธุรกรรมการค้าและการท่องเที่ยวเท่านั้น หากเป็นกระบวนการอันละเอียดอ่อนที่เชื่อมโยงชะตากรรมของคนนับพัน ๆ คนเข้าด้วยกัน ด้วยการได้แลกเปลี่ยนความคิด บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นามธรรมนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตจริงในแต่ละวันของพวกเขาอย่างไร ขบวนการเหล่านี้ไม่ได้มีผู้นำในลักษณะเดิม ๆ หากเป็นกลุ่มของคนที่มุ่งมั่นจะเรียนรู้ และพร้อมจะส่งทอดความเป็นผู้นำต่อไป
เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่พบว่าตัวเองตกเข้ามาอยู่ข่ายใยระดับโลกเช่นนี้ ดิฉันเองก็เข้ามาข้องเกี่ยวในขณะที่มีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่อย่างจำกัด โดยมากก็เป็นความรู้เหมือนคนรุ่นหนุ่มสาวที่เติบโตขึ้นมาในสังคมอเมริกาเหนือและยุโรป ที่ระบบตลาดเข้ามาครอบงำมากเกินไป และคนจำนวนมากตกงาน
แต่เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ดิฉันเองได้สัมผัสกระบวนการโลกาภิวัตน์โดยผ่านขบวนการเหล่านี้ ได้รับรู้ถึงผลกระทบจากการลุ่มหลงในระบบตลาด ที่มีต่อชาวนาไร้ที่ดินในบราซิล ต่อครูในอาร์เจนตินา ต่อคนงานร้านอาหารฟาสต์ฟูดในอิตาลี ต่อกสิกรผู้ปลูกกาแฟในเม็กซิโก ต่อชาวสลัมในอัฟริกาใต้ ต่อผู้ค้าขายระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมในฝรั่งเศส ต่อแรงงานอพยพที่เก็บมะเขือเทศในฟลอริดา ต่อนักจัดตั้งของสหภาพแรงงานในฟิลิปปินส์ ต่อเด็กเร่ร่อนในกรุงโตรอนโตอันเป็นเมืองที่ดิฉันอาศัยอยู่
บันทึกฉบับนี้แสดงถึงเส้นโค้งแห่งการเรียนรู้ที่พุ่งสูงขึ้น เป็นส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ของกระบวนการขนาดใหญ่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลในระดับรากหญ้า ซึ่งช่วยให้คนจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างนักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมายด้านการค้าระหว่างประเทศหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิบัตร ให้มีกำลังใจเพื่อมีส่วนร่วมในการอภิปรายถึงอนาคตของเศรษฐกิจโลก
ข้อเขียนจากคอลัมน์ ความเรียง และสุนทรพจน์ที่ดิฉันเขียนให้กับ The Globe and Mail, The Guardian, The Los Angeles Times และสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ถูกเรียบเรียงขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ระหว่างพักแรมในโรงแรมยามดึกดื่น ภายหลังการประท้วงในกรุงวอชิงตันและเม็กซิโกซิตี้ ในศูนย์สื่ออิสระ และในระหว่างเดินทางต่อเครื่องบินหลายครั้ง (ดิฉันกำลังใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาเครื่องที่สอง ภายหลังจากที่สุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ด้านหน้าดิฉันในเที่ยวบินโดยสารชั้นประหยัดของแอร์แคนาดากดปุ่มเอนเบาะของเขา แล้วจากนั้นดิฉันก็ได้ยินเสียงหักแตกอันน่าสะพรึงกลัวของคอมพิวเตอร์)
บทความเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยข้อถกเถียงและข้อเท็จจริง ที่ดิฉันได้รวบรวมเพื่อใช้ในการอภิปรายกับนักเศรษฐศาสตร์แนวเสรีนิยมใหม่ รวมทั้งเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดที่ดิฉันได้รับจากการร่วมขบวนกับนักกิจกรรมตามท้องถนน บางส่วนก็เป็นความพยายามอย่างเร่งรีบ ที่จะผนวกเอาข้อมูลที่เพิ่งมาถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ของดิฉันไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ หรือไม่ก็เป็นการเขียนบทความเพื่อตอบโต้การรณรงค์บนข้อมูลที่ผิด ๆ เพื่อโจมตีเป้าหมายและกระบวนของผู้ประท้วง ความเรียงบางชิ้นโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสุนทรพจน์ ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน
แล้วทำไมถึงต้องรวมข้อเขียนขี้ประติ๋วเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นหนังสือเล่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงไม่กี่เดือนหลังจากที่นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศ"สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" ได้มีการเสนอว่าอะไรบางอย่างยุติลงแล้ว นักการเมืองบางคน (โดยเฉพาะเจ้าของนโยบายที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เจาะลึกโดยผู้ประท้วง) ได้รีบเร่งประกาศว่า สิ่งที่ยุติลงแล้วก็คือขบวนการเคลื่อนไหว ข้อกังวลที่ผู้ประท้วงชูขึ้นเพื่อชี้ถึงความล้มเหลวของโลกาภิวัตน์เป็นเรื่องไร้แก่นสาร พวกเขาอ้างถึงขั้นที่ว่า มันอาจเป็นเชื้อฟางให้ "ฝ่ายศัตรู" ด้วยซ้ำ
อันที่จริง การเพิ่มขึ้นของการใช้กำลังทหารและการปราบปรามในช่วงปีที่ผ่านมา ได้กระตุ้นให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดตามท้องถนนในกรุงโรม ลอนดอน บาร์เซโลน่าและบัวโนสไอเรส ทั้งยังส่งผลให้นักกิจกรรมจำนวนมาก ซึ่งแต่เดิมแค่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยในเชิงสัญลักษณ์อยู่ภายนอกที่ประชุมสุดยอด ได้หันมาปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อหาทางลดระดับความรุนแรงลง
ปฏิบัติการเหล่านี้มีทั้งการเข้าร่วมเป็น "เกราะมนุษย์" ในช่วงที่มีการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ที่โบสถ์แห่งชนพื้นเมือง (The Church of Nativity) ในกรุงเบ็ธเลเฮม รวมทั้งพยายามขวางกั้นไม่ให้มีการส่งกลับผู้ลี้ภัยในค่ายกักกันในยุโรปและออสเตรเลียอย่างผิดกฎหมาย ในขณะที่ขบวนการได้เคลื่อนเข้าสู่ขั้นตอนใหม่อันท้าทาย ดิฉันตระหนักว่าตัวเองได้เป็นประจักษ์พยานต่อสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ กล่าวคือ ช่วงเวลาที่น่าตื่นใจและเหมาะเจาะเมื่อสามัญชนในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องปะทะกับสมาคมผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้กำหนดชะตากรรมร่วมกันของเราทั้งหมด
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเพียงบันทึกไม่ใช่ข้อสรุป เป็นบันทึกถึงจุดเริ่มต้นอันสำคัญยิ่ง ช่วงเวลาสำคัญของอเมริกาเหนือ ที่เต็มไปด้วยการประทุขึ้นอย่างปิติของกลุ่มคนตามท้องถนนในกรุงซีแอตเติล และกลั่นตัวเป็นการเคลื่อนไหวในบทใหม่ภายหลังจากเหตุการณ์โจมตีที่คาดไม่ถึงในวันที่ 11 กันยายน
ยังมีสิ่งอื่นอีกที่กระตุ้นให้ดิฉันรวมบทความเหล่านี้เข้าด้วยกัน เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ระหว่างพลิกดูข่าวตัดเพื่อค้นหาข้อมูลด้านสถิติที่หายไปชิ้นหนึ่ง ประเด็นและภาพบางอย่างได้ผุดขึ้นในใจอย่างต่อเนื่อง ภาพหนึ่งคือภาพของรั้ว ภาพที่ปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าคือ เครื่องกีดขวางที่แบ่งแยกผู้คนออกจากสาธารณูปการที่เป็นของส่วนรวมแต่ดั้งเดิม ปิดกั้นพวกเขาจากที่ดินและน้ำอันจำเป็นอย่างมาก ปิดกั้นโอกาสที่จะเดินทางข้ามพรมแดน ปิดกั้นโอกาสในการแสดงความเห็นที่แตกต่างด้านการเมือง ปิดกั้นโอกาสในการเดินขบวนตามท้องถนน ทั้งยังปิดกั้นโอกาสที่นักการเมืองจะกำหนดนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของคนที่เลือกพวกเขาเข้ามา
รั้วบางรั้วไม่อาจมองเห็นได้โดยง่าย แต่มันมีอยู่ รั้วในทางนามธรรมผุดขึ้นรอบโรงเรียนในประเทศแซมเบีย เมื่อมีการนำระบบการศึกษา "ที่เก็บค่าเล่าเรียนจากผู้เรียน" มาใช้ตามคำแนะนำของธนาคารโลก เป็นเหตุให้คนนับล้าน ๆ คนไม่มีโอกาสเข้าเรียน รั้วบางรั้วผุดขึ้นรายรอบครอบครัวกสิกรรายย่อยในแคนาดา เมื่อรัฐบาลกำหนดนโยบายที่ทำให้เกษตรกรรมรายย่อยกลายเป็นรายการฟุ่มเฟือย และไม่สมควรได้รับการสนับสนุน ในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและการเจริญขึ้นของระบบเกษตรอุตสาหกรรม
รั้วที่มองไม่เห็นแต่มีอยู่จริง ได้ผุดขึ้นรายรอบแหล่งน้ำสะอาดในกรุงโซเวโต้ เมื่อราคาน้ำพุ่งสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากการแปรรูปเป็นเอกชน และประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปพึ่งพิงแหล่งน้ำที่มีมลภาวะ และยังมีรั้วที่ผุดขึ้นล้อมกรอบแนวคิดหลักของประชาธิปไตย เมื่อมีคนบอกประเทศอาร์เจนตินาว่า จะไม่ได้รับเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ นอกจากว่าจะต้องลดค่าใช้จ่ายด้านสังคมลง ส่งเสริมให้มีการแปรรูปทรัพยากรต่าง ๆ ให้เป็นของเอกชนมากขึ้น และยกเลิกการสนับสนุนอุตสาหกรรมท้องถิ่น
ข้อเสนอเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจที่มีแต่จะเสื่อมลง อันเป็นผลเนื่องมาจากนโยบายเหล่านี้เอง แน่นอนว่ารั้วเหล่านี้มีความเก่าแก่เช่นเดียวกับลัทธิอาณานิคม "ปฏิบัติการอย่างขูดเลือดขูดเนื้อเช่นนี้ เหมือนกับการเอาคุกตะรางมาขังประเทศเสรี" Eduardo Galeno เขียนไว้ในหนังสือ Open Veins of Latin America ซึ่งเขาอ้างถึงเงื่อนไขการให้เงินกู้ของอังกฤษต่อประเทศอาร์เจนตินาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2367 รั้วมักเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทุนนิยมเสมอมา ทั้งนี้เพื่อปกป้องทรัพย์สินจากการขโมย เพียงแต่รั้วเหล่านี้ทำหน้าที่ตามมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันสองประการ และเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน ในทัศนะของระบบตลาดการเงินระหว่างประเทศ
การเวนคืนทรัพย์สินของบรรษัทถือเป็นบาปสูงสุดที่รัฐบาลสังคมนิยมจะกระทำได้ (ให้ลองไปถามนายฮูโก้ ชาเวสของประเทศเวเนซูเอล่า หรือนายฟีเดล คาสโตรของประเทศคิวบาดู) แต่การคุ้มครองด้านทรัพย์สินที่ให้แก่บรรษัทต่าง ๆ ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี กลับไม่คุ้มครองไปถึงพลเมืองชาวอาร์เจนตินาผู้ฝากเงินที่หามาทั้งชีวิตในธนาคาร Citibank, Scotiabank, และ HSBC เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกเขาพบว่าเงินของตัวเองอันตรธานไปเฉย ๆ
ทั้งความเคารพต่อทรัพย์สินเอกชนของระบบตลาดที่ว่านี้ กลับไม่คุ้มครองลูกจ้างของบริษัทเอ็นรอนในสหรัฐอเมริกา ที่พบว่าพวกเขา ถูก "ตัดขาด" จากหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ของกองทุนบำเหน็จบำนาญ ไม่สามารถขายหุ้นเหล่านั้นได้ ทั้ง ๆ ที่ในเวลาเดียวกัน ผู้บริหารบริษัทเอ็นรอนกำลังเทขายทำกำไรจากหุ้นของตัวเองอย่างเมามัน
ในขณะเดียวกัน รั้วบางรั้วที่จำเป็นอย่างยิ่งกลับถูกโจมตี ในภาวะรีบเร่งให้เกิดการแปรรูป รั้วที่เคยดำรงอยู่เพื่อแบ่งแยกพื้นที่สาธารณะ ออกจากพื้นที่เอกชนได้ถูกยกเลิกไปแทบจะหมดสิ้น อาทิเช่น รั้วที่เคยปิดกั้นไม่ให้มีการโฆษณาในโรงเรียน รั้วที่แยกระหว่างกิจการเพื่อค้ากำไรกับบริการด้านสุขภาพ หรือรั้วที่ปิดกั้นไม่ให้เจ้าของกิจการข่าว ใช้สื่อของพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง พื้นที่สาธารณะที่ควรได้รับการคุ้มครองทุกพื้นที่ถูกบีบให้เปิดออก เพียงเพื่อให้ระบบตลาดล้อมรั้วกลับเข้าไปใหม่
รั้วที่ปิดกั้นผลประโยชน์สาธารณะ ที่กำลังตกอยู่ใต้อันตรายรุนแรงอีกประการหนึ่งได้แก่ รั้วที่แบ่งแยกพืชดัดแปลงพันธุกรรมออกจากพืชธรรมชาติ บรรษัทเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่มีแต่ความมักง่ายในการป้องกันไม่ให้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมปลิวเข้าไปสู่เรือกสวนไร่นาด้านข้าง และปล่อยให้มันเติบโตจนเกิดการผสมเกสรข้ามพันธุ์ในหลายแห่งทั่วโลก ประชาชนไม่มีทางเลือกอีกต่อไปที่จะได้กินอาหารปลอดจากพืชดัดแปลงพันธุกรรม ทั้งนี้เพราะอาหารทั้งหมดล้วนถูกปนเปื้อน
รั้วที่คุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะดูจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รั้วซึ่งจำกัดอิสรภาพของเรากลับเพิ่มจำนวนขึ้นมากมาย
เมื่อดิฉันเริ่มสังเกตว่า ภาพลักษณ์ของรั้วผุดขึ้นในระหว่างการสนทนา การอภิปรายถกเถียง และในงานเขียนของดิฉันเอง ดิฉันรู้สึกว่าภาพนั้นมีความสำคัญอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การผนวกระบบเศรษฐกิจเข้าด้วยกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มักดำเนินไปภายใต้คำมั่นสัญญาว่าจะลดกำแพงกีดกั้นต่าง ๆ ลง ทั้งจะให้มีการเคลื่อนไหวและมีเสรีภาพเพิ่มมากขึ้น แต่กระนั้น 12 ปีภายหลังการเฉลิมฉลองการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน เราก็ยังตกอยู่ภายในรั้วต่าง ๆ มากมาย เราถูกปิดกั้นจากกันและกัน ถูกปิดกั้นจากโลกและจากความสามารถที่จะกล้าคิดว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้
กระบวนการด้านเศรษฐกิจที่ดำเนินไปภายใต้ถ้อยคำสวยหรูว่า "โลกาภิวัตน์" ได้แผ่ขยายครอบคลุมทุกปริมณฑลของชีวิต เปลี่ยนทุกกิจกรรมและทรัพยากรธรรมชาติให้กลายเป็นสินค้าที่ชั่งตวงวัดและเป็นเจ้าของได้ ดังที่นายเจอร์ราด กรีนฟิลด์ นักวิจัยด้านแรงงานแห่งฮ่องกงชี้ว่า ระบอบทุนนิยมในปัจจุบันไม่ใช่เป็นแค่การค้าแบบเดิม ๆ ซึ่งหมายถึงการขายสินค้าระหว่างประเทศได้มากขึ้น หากยังหมายถึงการพยายามตอบสนองความต้องการในการเติบโตของระบบตลาดอย่างไม่จำกัด ด้วยการเปลี่ยนสถานะของสิ่งที่เคยเป็น "สมบัติร่วม" และไม่อาจซื้อหาได้ของชุมชนให้กลายเป็น "สินค้า"
การรุกรานพื้นที่สาธารณะของภาคเอกชนได้แผ่ขยายเข้าไปยังภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเช่น ด้านสุขภาพและการศึกษา ทั้งยังในด้านแนวคิด พันธุกรรม เมล็ดพันธุ์ ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ มีการจดสิทธิบัตร และมีรั้วปกป้องคุ้มครอง ทั้งยังรวมถึงการรักษาแบบพื้นบ้าน พืชพรรณ น้ำ และแม้แต่เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ของมนุษย์ เมื่อลิขสิทธิ์กลายเป็นสินค้าจำนวนมากที่สุดที่สหรัฐอเมริกาส่งออก (มากกว่าการส่งออกสินค้าจากโรงงานหรืออาวุธ) เราต้องทำความเข้าใจว่ากฎหมายการค้านานาชาติ ไม่ใช่เพียงมุ่งทำลายกำแพงการค้าบางอย่าง แต่อันที่จริงเป็นกระบวนการที่สร้างกำแพงใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองความรู้ เทคโนโลยี และทรัพยากรที่ถูกแปรรูปเป็นของเอกชน
ข้อตกลงสิทธิการค้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา (Trade Related Intellectual Property Rights: TRIPS) ป้องกันไม่ให้ชาวนานำเมล็ดพันธุ์ที่จดสิทธิบัตรของบริษัทมอนซานโตมาเพาะปลูกซ้ำในฤดูกาลต่อไป และทำให้การผลิตยาสามัญราคาถูกของประเทศยากจนเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน เป็นเรื่องผิดกฎหมาย
โลกาภิวัตน์อยู่ในช่วงที่ถูกท้าทาย เพราะในพื้นที่อีกด้านหนึ่งของรั้วในจินตนาการเหล่านี้ ยังมีคนจริง ๆ ที่ถูกปิดกั้นโอกาสที่จะได้เข้าเรียน ที่จะได้ใช้บริการโรงพยาบาล ที่จะได้ทำงาน ที่จะได้ทำกินในพื้นที่ของตนเอง ที่จะมีที่อยู่อาศัย และมีชุมชน การแปรรูปขนานใหญ่และการลดการควบคุมจากภาครัฐ ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มของคนที่ถูกผลักออกจากระบบ เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เป็นกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตซึ่งถูกหาว่า "ล้าหลัง" เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการตอบสนองด้านความต้องการขั้นพื้นฐาน
รั้วที่แบ่งแยกสังคมเหล่านี้ทำได้กระทั่งกำจัดอุตสาหกรรมบางอย่างออกไปทั้งหมด ทั้งยังสามารถลบภาพของประเทศทั้งประเทศออกไปได้ด้วยซ้ำ ดังที่เกิดขึ้นกับประเทศอาร์เจนตินา ในกรณีของทวีปอัฟริกา ภาพของเกือบทั้งทวีปถูกลบเลือนออกไปจากการรับรู้ของโลก หลุดออกไปจากแผนที่ หลุดออกไปจากการนำเสนอข่าว และปรากฏขึ้นชั่วครั้งคราวเฉพาะเมื่อมีสงคราม เป็นเหตุให้คนทั้งโลกมองดูประชากรในทวีปนี้อย่างหวาดระแวงว่า พวกเขาอาจเป็นส่วนหนึ่งของกองทหารรับจ้าง อาจเป็นอาชญากรก่อการร้าย หรือเป็นพวกหัวรุนแรงต่อต้านอเมริกา
อันที่จริง เป็นที่น่าสนใจว่า ประชาชนที่ถูกรั้วกีดกั้นออกไปจากโลกาภิวัตน์เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่หันมาใช้ความรุนแรงตอบโต้ พวกเขาส่วนมากเพียงแต่เคลื่อนย้ายตัวเองจากชนบทเข้าสู่เมือง จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง และนั่นทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับรั้วในความเป็นจริงที่แตกต่างออกไป เป็นรั้วที่ประกอบด้วยโซ่ ลวดหนาม เสริมความแข็งแรงด้วยคอนกรีต และได้รับการคุ้มกันด้วยปืนกล
เมื่อใดก็ตามที่ดิฉันได้ยินวลี "การค้าเสรี" ดิฉันอดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพโรงงานที่ถูกปิดล้อมอย่างมิดชิดที่ดิฉันมีโอกาสไปเยือนในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยประตู หอคอย และทหาร เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลออกไป และไม่ให้นักจัดตั้งสหภาพแรงงานเข้ามา
ในทำนองเดียวกัน ดิฉันคิดถึงการเดินทางครั้งล่าสุดไปยังทะเลทรายทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ที่ซึ่งดิฉันได้ไปเยือนศูนย์กักกันวูเมราอันอื้อฉาว ศูนย์แห่งนี้อยู่ห่างออกไป 500 กิโลเมตรจากเมืองที่ใกล้ที่สุด แต่เดิมวูเมราเป็นค่ายทหารที่ถูกเปลี่ยนเป็นค่ายกักกันผู้อพยพของเอกชน และเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทลูกของบริษัท Wackenhut ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยจากสหรัฐอเมริกา
ที่ค่ายกักกันวูเมรา ผู้อพยพชาวอัฟกานิสถานและอิรักหลายร้อยคน ผู้ซึ่งหลบหนีจากการกดขี่และระบอบเผด็จการในประเทศตนเอง มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกภายนอกได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังรั้ว จนพวกเขาต้องประท้วงด้วยการอดอาหาร ด้วยการกระโดดจากหลังคาของค่ายกักกัน ดื่มแชมพู และเย็บปากตัวเองด้วยเส้นด้าย
ทุกวันนี้ ในหน้าหนังสือพิมพ์เต็มไปด้วยรายงานอันน่ากลัวของผู้อพยพที่ต้องการลักลอบข้ามพรมแดน โดยหลบซ่อนอยู่ในกองสินค้าซึ่งมีเสรีภาพในการเดินทางมากกว่าที่พวกเขามีเสียอีก ในเดือนธันวาคม 2544 มีการพบศพผู้อพยพชาวโรมาเนียแปดคน ประกอบด้วยเด็กสองคน ในตู้สินค้าที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน พวกเขาขาดอากาศหายใจระหว่างการเดินทางอันยาวนานในท้องทะเล
ในปีเดียวกัน มีการพบศพสองศพของผู้อพยพที่เมือง Eau Claire รัฐวิสคอนซิน ในเรือขนส่งสินค้าสุขภัณฑ์ ในปีก่อนหน้านั้น ผู้อพยพชาวจีน 54 คนจากมณฑลฝูเจี้ยนตายเพราะขาดอากาศหายใจ ในท้ายรถบรรทุกที่เมืองโดเวอร์ ประเทศอังกฤษ
รั้วต่าง ๆ เหล่านี้เชื่อมโยงกัน รั้วจริงที่เป็นลวดหนามเหล็กมีความจำเป็นเพื่อเสริมแรงให้กับรั้วในจินตนาการ ซึ่งเป็นรั้วที่ปิดกั้นไม่ให้ทรัพยากรและความมั่งคั่งตกไปถึงมือของผู้คนจำนวนมาก การปิดกั้นความมั่งคั่งสาธารณะเหล่านี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มียุทธศาสตร์ควบคู่ที่มุ่งควบคุมการประท้วงและการเดินทางของสาธารณชน บริษัทรักษาความปลอดภัยมีกิจการใหญ่โตที่สุดในเมือง ซึ่งมีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมากที่สุด อย่างเช่น ในกรุงโจฮันเนสเบิร์ก ซาวเปาโล นิวเดลี พวกเขาขายประตูเหล็ก รถกันกระสุน ระบบเตือนภัยทันสมัยและให้บริการเช่ายามรักษาความปลอดภัยส่วนตัว
ชาวบราซิลใช้เงิน 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อรักษาความปลอดภัยส่วนตัวในแต่ละปี และจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 40,000 คน มีมากกว่าจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเกือบสี่เท่า ในสังคมที่แบ่งแยกกันสุดขั้วอย่างอัฟริกาใต้ ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาความปลอดภัยส่วนตัวในแต่ละปีเพิ่มสูงถึง 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าสามเท่าของงบประมาณรัฐบาลในแต่ละปีที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาว์แก่ประชาชน
ในขณะนี้ ดูเหมือนอาคารรั้วรอบขอบชิดที่ปิดกั้นคนรวยจากคนจนเป็นเพียงองค์ประกอบเล็ก ๆ ของระบบรักษาความปลอดภัยระดับโลกที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยหาได้เป็นหมู่บ้านแห่งโลกที่มุ่งลดระดับรั้วและกำแพงลงอย่างที่สัญญาไม่ หากกลายเป็นเครือข่ายของป้อมปราการที่เชื่อมโยงกันด้วยเส้นทางการค้า ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยกำลังทหารอย่างหนาแน่น
ถ้าภาพที่บรรยายมานี้ดูสุดขั้วเกินไป ก็คงเป็นผลมาจากการที่พวกเราส่วนใหญ่ในตะวันตกแทบไม่เคยเห็นรั้วและกองทหารเหล่านี้จริง ๆ โรงงานที่ปิดกั้นอย่างหนาแน่น และค่ายกักกันผู้อพยพต่างถูกขับออกไปยังพื้นที่ห่างไกล เพื่อไม่ให้มีโอกาสท้าทายต่อวาทศิลป์จอมปลอมที่บอกว่าโลกของเราไร้พรมแดน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รั้วบางรั้วได้ปรากฏชัดเจนขึ้นในสายตาของเรา โดยมักจะเกิดขึ้นอย่างเหมาะเจาะในช่วงที่มีการประชุมสุดยอด เพื่อพัฒนาแม่แบบโลกาภิวัตน์อันโหดร้าย
ดูเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว เมื่อใดที่ผู้นำโลกต้องการพบปะเพื่อเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ๆ พวกเขาจำเป็นต้องสร้างป้อมปราการยุคใหม่ขึ้นมา เพื่อปกป้องตนเองจากความกราดเกรี้ยวของสาธารณชน ด้วยการนำรถถังมาประจำการ ใช้ก๊าซน้ำตา ใช้เครื่องฉีดน้ำกำลังแรง และใช้สุนัขโจมตี
เมื่อเมืองควิเบกซิตี้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดแห่งทวีปอเมริกา ในเดือนเมษายน 2544 รัฐบาลแคนาดาได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ด้วยการสร้างกรงขึ้นรายรอบไม่เฉพาะรอบศูนย์การประชุม แต่ล้อมบริเวณใจกลางเมืองทั้งหมดเอาไว้ และบังคับให้ผู้อยู่อาศัยแถวนั้นต้องแสดงหลักฐาน เพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังบ้านของตนเองหรือสถานที่ทำงาน
อีกยุทธศาสตร์หนึ่งที่ได้รับความนิยมคือ การจัดประชุมสุดยอดในสถานที่ที่เดินทางไปถึงได้ยาก ดังการจัดประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้งแปดเมื่อปี 2545 ในแถบที่ลึกเข้าไปในเทือกเขาร็อคกี้ของประเทศแคนาดา และการจัดประชุมองค์การค้าโลกปี 2544 ในประเทศกาตาร์ที่เป็นเผด็จการ และผู้นำประเทศออกกฎหมายห้ามชุมนุมประท้วงทางการเมืองทุกรูปแบบ
"สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" ได้กลายเป็นรั้วอีกอย่างหนึ่งที่ผู้จัดการประชุมสุดยอดนำมาใช้ เพื่ออธิบายว่า เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถอนุญาตให้มีการชุมนุมประท้วงในช่วงเวลาดังกล่าวได้ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือ การสร้างภาพโยงผู้ประท้วงที่อยู่ในกรอบของกฎหมายเข้ากับผู้ก่อการร้ายที่มุ่งทำลาย
แต่การเผชิญหน้าที่ถูกรายงานว่าเป็นประสบการณ์อันโหดร้าย มักเป็นประสบการณ์ของความครึกครื้นรื่นเริงเช่นกัน เป็นทั้งการทดลองทางเลือกใหม่ ๆ ในสังคมของการจัดตั้ง เท่า ๆ กับเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แม่แบบที่ดำรงอยู่ ครั้งแรกที่ดิฉันได้เข้าร่วมในการประชุมเพื่อต่อต้านการประชุมสุดยอด ดิฉันจำได้ถึงความรู้สึกพลุ่งพล่านว่า มันเปรียบเสมือนประตูทางการเมืองกำลังเปิดออก เป็นช่องทาง เป็นหน้าต่าง หรือเป็น "รอยแยกในประวัติศาสตร์" ตามวลีที่งดงามของรองผู้บัญชาการมาร์กอส
ช่องที่เปิดกว้างนี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับบานหน้าต่างที่แตกของร้านแมคโดนัลด์แถวนั้น ซึ่งมักเป็นภาพที่ช่างกล้องโทรทัศน์ชอบถ่ายให้เห็น แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือเป็นความรู้สึกถึงโอกาส เป็นการระเบิดออกของอากาศบริสุทธิ์ เป็นออกซิเจนที่พุ่งขึ้นสู่สมองเรา การประท้วงเหล่านี้ ซึ่งอันที่จริงเป็นการเรียนรู้ระบบการเมืองโลกอย่างเข้มข้นและยาวนานนับสัปดาห์
การประชุมวางแผนยุทธศาสตร์ยามดึกดื่นซึ่งต้องมีการแปลพร้อมกันถึงหกภาษา กิจกรรมรื่นเริงที่มีทั้งดนตรีและละครเร่ ทั้งหมดนี้เหมือนการก้าวเข้าสู่อีกจักรวาลหนึ่ง เพียงชั่วข้ามคืน สถานที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นเหมือนเมืองแห่งทางเลือกของโลก เมื่อความเร่งด่วนเข้ามาแทนที่การยอมจำนน เมื่อเครื่องหมายการค้าของบรรษัทต้องมีกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มครอง เมื่อประชาชนมีสิทธิเหนือรถยนต์ ศิลปกรรมมีอยู่เกลื่อนกลาด คนแปลกหน้าพูดจากันและความหวังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างถอนรากถอนโคน ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นแค่ความคิดแผลง ๆ หรือพ้นยุคอีกต่อไป หากเป็นความคิดที่ดูจะสมเหตุผลมากที่สุดในโลก
แม้แต่มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ก็ถูกนำมาประกอบในข้อความที่นักกิจกรรมสื่อออกไป กล่าวคือ รั้วที่ล้อมรอบการประชุมสุดยอดเหล่านั้น ถูกเทียบว่าเป็นเหมือนแม่แบบเศรษฐกิจที่กีดกันคนนับพันล้านคน ให้ตกสู่ความยากจนและแบ่งแยกให้โดดเดี่ยว การเผชิญหน้าเกิดขึ้นที่รั้ว แต่ไม่ใช่แค่การเผชิญหน้าระหว่างกระบองกับก้อนอิฐ หรือการตอบโต้กระสุนก๊าซน้ำตาด้วยไม้ตีฮอกกี้ หรือการต่อสู้กับเครื่องฉีดน้ำกำลังสูงด้วยปืนฉีดน้ำเด็กเล่น และการล้อเลียนเสียงครางหึ่ง ๆ ของเฮลิคอปเตอร์ด้วยฝูงเครื่องบินกระดาษ
- ในระหว่างการประชุมสุดยอดของทวีปอเมริกา ที่เมืองควิเบกซิตี้ นักกิจกรรมกลุ่มหนึ่งสร้างเครื่องยิงลูกหินแบบสมัยกลาง และเข็นเครื่องยิงลูกหินนี้ไปประชิดรั้วสูงสามเมตรที่สร้างล้อมรอบใจกลางเมืองไว้ และยิงตุ๊กตาหมีข้ามรั้วเข้าไป
- ที่กรุงปราก ในระหว่างการประชุมของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ กลุ่ม Tute Bianche ซึ่งเป็นกลุ่มปฏิบัติการซึ่งหน้าจากอิตาลี ตัดสินใจไม่เผชิญหน้ากับตำรวจปราบจลาจลที่แต่งกายในชุดดำและใส่หน้ากากสกี ทั้งยังคาดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ดูน่ากลัว พวกเขาเลือกเดินเป็นแผงเข้าไปหาแถวของเจ้าหน้าที่โดยใส่ชุดรัดรูปสีขาวที่ปะเต็มไปด้วยเศษยางรถยนต์และแผ่นโฟมเล็ก ๆ เป็นเสมือนการเผชิญหน้าระหว่าง"ดาร์ธเวเดอร์"กับ"กองทัพมนุษย์มิชเชลิน" เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเอาชนะได้
- ในขณะเดียวกันในอีกที่หนึ่งของเมือง กองทัพของ "เทวดาสีชมพู" ที่สวมวิกผมของตัวตลก ใส่ชุดราตรีสีเงินกับสีชมพู และใส่รองเท้าส้นสูง ปีนป่ายข้ามกำแพงสูงชันที่ล้อมรอบศูนย์การประชุมเอาไว้
นักกิจกรรมเหล่านี้มีความมุ่งมั่นอย่างมาก ที่จะก่อกวนระเบียบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ แต่ยุทธวิธีของพวกเขาสะท้อนถึงการปฏิเสธการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง เป้าหมายของพวกเขา ซึ่งดิฉันเขียนถึงในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อแย่งชิงอำนาจให้ตนเอง หากเพื่อท้าทายต่อหลักการของการรวมศูนย์อำนาจ หน้าต่างในแบบอื่น ๆ ได้เปิดออกเช่นกัน กล่าวคือการวางแผนอย่างเงียบ ๆ เพื่อยึดคืนพื้นที่และทรัพย์สินที่ถูกแปรรูปให้เป็นของเอกชน ให้กลับมาเป็นประโยชน์ของภาคสาธารณะอีกครั้ง บางทีก็มาในรูปของนักศึกษาที่ปฏิเสธไม่ให้มีการโฆษณาในห้องเรียน หรือการแลกเปลี่ยนเพลงทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือการจัดตั้งศูนย์สื่ออิสระด้วยการแจกจ่ายซอฟแวร์โดยไม่คิดมูลค่า
บางครั้งก็มาในรูปของชาวนาไทยที่ปลูกผักปลอดสารพิษบนสนามกอล์ฟที่ได้รับการชลประทานมากเกินไป หรือการที่ชาวนาไร้ที่ดินในประเทศบราซิลตัดทำลายรั้วล้อมรอบที่ดินทิ้งร้าง และเปลี่ยนให้เป็นที่ดินทำกินในรูปของสหกรณ์การเกษตร บางครั้งก็เป็นกรณีคนงานชาวโบลิเวียที่ต่อต้านการแปรรูปแหล่งน้ำให้เป็นของเอกชน หรือชาวเมืองในอัฟริกาใต้ที่ต่อเชื่อมสายไฟฟ้าไปสู่ย่านชุมชนของตน พร้อมคำขวัญว่า พลังงานสู่ประชาชน
และเมื่อได้กรรมสิทธิ์เหล่านี้คืนมาแล้ว พื้นที่เหล่านี้ยังถูกจัดสร้างขึ้นใหม่ ในที่ประชุมของหมู่บ้าน ของเทศบาล ในศูนย์สื่ออิสระ ในป่าชุมชนและในสวนชุมชน พวกเขาสร้างวัฒนธรรมใหม่ของประชาธิปไตยทางตรงขึ้นมาอย่างมีพลัง มีรากฐานและได้รับการสนับสนุนจากการมีส่วนร่วมโดยตรง ซึ่งไม่ถูกสกัดกั้นและหมดกำลังใจไปกับการเป็นแต่ผู้ชมที่เฉื่อยชา
แม้จะมีความพยายามแปรรูปมากมาย แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ต้องการถูกครอบครอง ดนตรี น้ำ เมล็ดพันธ์ กระแสไฟฟ้า แนวคิด สิ่งเหล่านี้ล้วนพยายามทำลายรั้วที่สร้างขึ้นมาล้อมรอบ สิ่งเหล่านี้มีธรรมชาติที่ต่อต้านการถูกล้อมกรอบ มีแนวโน้มที่จะหาทางรอดจากการควบคุม การผสมข้ามสายพันธุ์ การไหลลอดรั้ว และการหนีออกไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่
ในขณะที่เขียนนี้ ดิฉันไม่มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า อะไรจะเกิดขึ้นจากพื้นที่ที่ได้รับการปลดปล่อยเหล่านี้ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจะมีความแข็งแรงมากพอที่จะต้านทานการโจมตีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารที่ทวีกำลังขึ้น พร้อมไปกับการจงใจทำให้เส้นแบ่งระหว่างผู้ก่อการร้ายกับนักกิจกรรมสับสนมากขึ้นทุกที คำถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปอยู่ในใจดิฉันเสมอ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนร่วมในการสร้างขบวนการนานาชาตินี้
แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การพยายามตอบคำถามดังกล่าว หากเป็นการนำเสนอทัศนะที่มีต่อช่วงชีวิตในยามเริ่มต้นของขบวนการที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเมืองซีแอตเติลและพัฒนาขึ้นตลอดช่วงเหตุการณ์ 11 กันยายนและภายหลังจากนั้น ดิฉันตัดสินใจไม่ปรับปรุงบทความเหล่านี้ใหม่ นอกเสียจากการแก้ไขเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งจะเห็นได้จากสัญลักษณ์วงเล็บเหลี่ยม ([]) หรืออาจมีการเขียนเพิ่มเติมถึงแหล่งอ้างอิง หรือการอธิบายบางประเด็นเพิ่มเติม
ดิฉันขอนำเสนอบทความเหล่านี้ (ส่วนใหญ่เรียงตามลำดับเวลา) อย่างที่มันเป็น นั่นคือ เป็นเสมือนไปรษณียบัตรจากช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้น เป็นเสมือนบันทึกบทแรกของเรื่องราวอันเก่าแก่และดำเนินมาอย่างสืบเนื่อง บันทึกของผู้คนที่มุ่งทลายกำแพงที่พยายามปิดกั้นพวกเขา เพื่อเปิดหน้าต่างออก หายใจลึก ๆ และสัมผัสกับเสรีภาพ
พิภพ อุดมอิทธิพงศ์
บทความนี้นำมาจาก //www.midnightuniv.org/midnight2545/document95286.html
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือรวมบทความที่น่าสนใจของ นาโอมิ ไคน์ นักเขียนชื่อดังที่ได้รับฉายาว่าเป็นโฆษกของขบวนการต่อต้านเสรีนิยมใหม่ ผู้เขียนหนังสือที่โด่งดัง ที่ชื่อ No logo ที่ได้รับความนิยมจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมทั่วไป และถูกแซวว่าเป็น The Capitalism ในยุคโลกาภิวัฒน์ หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมบทความเกี่ยวกับสถานการณ์ ปัญหา และการต่อสู้ของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากระบบโลกาภิวัฒน์เสรีนิยมใหม่
หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
Source://www.yimwhan.com/board/show.php?user=soundofstreet&topic=3&Cate=8
--------------------------------------------------------------
Create Date : 21 ธันวาคม 2557 |
|
3 comments |
Last Update : 21 ธันวาคม 2557 19:55:38 น. |
Counter : 3219 Pageviews. |
|
|
|