0061. COMPASSIONATE CAPITALISM : 1 ใน 109 หนังสือควรอ่าน จาก นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีแนะนำหนังสือรวม 2 เล่ม เล่มที่ 2 ชื่อ Compassionate Capitallism ซึ่งเขียนโดย Marc Benioff และ Karen Southwick เล่มนี้ มีเนื้อหาที่พูดถึงว่า ทำอย่างไรองค์กรธุรกิจในระบบทุนนิยมจะสามารถดำรงความเป็นองค์กรที่ดีมีคุณธรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีพูดว่าระบบทุนนิยมเป็นระบบที่ขาดเมตตาโดยไม่สนใจว่าใครจะแพ้ โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้คณะรัฐมนตรีไปบอกข้าราชการว่าประเทศอยู่ในระบบทุนนิยมก็จริง แต่ ถ้าขาดเมตตาคนจนจะลำบาก...
Create Date : 10 มีนาคม 2551 |
Last Update : 10 มีนาคม 2551 12:51:10 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1467 Pageviews. |
|
|
|
บ้านเขาเมืองเรา : ดร.ไสว บุญมา กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2547
แนวคิดของเศรษฐกิจทุนนิยมมีมานานหลายพันปี และถูกรวบรวมขึ้นเป็นระบบโดย อดัม สมิธ เมื่อปี 2319 ปีนั้น สหรัฐ ถือกำเนิดและอยู่ในช่วงต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จนได้สมญาว่า คลื่นลูกที่ 2 ประเทศที่ก้าวหน้าใช้ระบบทุนนิยมมาเป็นเวลานาน และคงจะใช้ต่อไป เพราะได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า มีลักษณะคล้ายการปกครองระบอบประชาธิปไตย
นั่นคือ มีจุดอ่อนมาก แต่หากเปรียบเทียบกับระบบอื่น ซึ่งมนุษย์นำมาใช้ ยังมีจุดอ่อนน้อยกว่า ระบบทุนนิยมยืนหยัดอยู่ได้ แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จาก คลื่นลูกที่ 3 ซึ่งเกิดจากการปฏิวัติดิจิทัลเมื่อคอมพิวเตอร์แผ่กระจายไปทั่วโลก เมื่อราว 30 ปีที่แล้ว
ณ วันนี้ สังคมโลกจึงยึดระบบทุนนิยมเป็นหลักพัฒนา ยกเว้น คิวบาและเกาหลีเหนือ
ผู้ได้อ่านหนังสือเรื่อง It?s Alive และเรื่อง As the Future Catches You ซึ่งนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แนะนำอาจจำได้ว่า เทคโนโลยีก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงถี่ขึ้น การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งรุนแรงขึ้น และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมากขึ้น ทั้งระหว่างบุคคล และระหว่างสังคมที่ก้าวหน้ากับสังคมที่ล้าหลัง
หนังสือ 2 เล่มนี้ ชี้ให้เห็นว่า โลกเดินตามกระแสคลื่นลูกที่ 1 ซึ่งเกิดเมื่อมนุษย์รู้จักทำการเกษตรอยู่ราวหมื่นปี จึงเกิดคลื่นลูกที่ 2 ซึ่งครองโลกอยู่ 200 ปี ก่อนที่จะเกิดคลื่นลูกที่ 3 ตอนนี้คลื่นลูกที่ 4 ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมค่อยๆ ก่อตัวแล้ว
เมื่อตอนเริ่มต้นของคลื่นลูกที่ 2 ผู้ที่อยู่ในประเทศมั่งคั่ง มีรายได้ประมาณ 5 เท่าของผู้ที่อยู่ในประเทศยากจน ในระหว่างคลื่นลูกที่ 3 ความแตกต่างของรายได้นั้น กลายเป็น 390 เท่า บิล เกตส์ เพียงคนเดียวมีทรัพย์สินมากกว่ารายได้ประชาชาติของ 141 ประเทศ
คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 3 กันยายน อ้างถึงหนังสือ 2 เล่มชื่อ Nickel and Dimed และ The Working Poor เพื่อแสดงให้เห็นว่า ท่ามกลางความร่ำรวยมหาศาลของสังคมอเมริกัน ซึ่งบิล เกตส์ เป็นสมาชิกอยู่ ความยากจนมีอยู่แทบทุกหย่อมหญ้า นั่นแสดงถึงจุดอ่อนอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่เอื้อให้สหรัฐก้าวหน้า ทว่า ไม่สามารถขจัดความยากจนได้อย่างเด็ดขาด
ชาวอเมริกันจำนวนมากมองเห็นจุดอ่อนนั้น ชาร์ล แฮนดี้ ซึ่งเป็น 1 ใน 16 ปรมาจารย์ในหนังสือเรื่อง Rethinking the Future ซึ่งนายกฯ ทักษิณแนะนำเช่นกัน จึงเน้นว่า จุดมุ่งหมายของการทำธุรกิจควรจะเปลี่ยนจากเพื่อทำให้เจ้าของร่ำรวย ไปเป็นเพื่อบริการชุมชน แน่ละ นั่นคือแก่นของหนังสือแนะนำของนายกฯ ทักษิณ อีกเล่มหนึ่งชื่อ Compassionate Capitalism หรือ "ทุนนิยมแบบมีเมตตาธรรม" ซึ่งเสนอให้ผู้ประกอบการและนักธุรกิจตั้งจุดมุ่งหมายไว้ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า การให้คืนแก่ชุมชนเป็นส่วนสำคัญของการทำธุรกิจ อันที่จริงแนวคิดนี้ ไม่ใช่ของใหม่ในสังคมอเมริกัน ในสมัยที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังทำกันในครอบครัว บริษัทห้างร้านถือว่า การบริการหรือให้คืนแก่ชุมชนมีความสำคัญยิ่ง ผู้ที่สนใจไปอ่านหนังสือเรื่อง Celebration of Fools ซึ่งนายกฯ ทักษิณแนะนำย่อมจำได้ว่า ก่อนที่บริษัท J C Penny จะประสบวิกฤติเกือบล่มสลาย เพราะการมุ่งแสวงหากำไรทางลัดของผู้บริหาร
ผู้ก่อตั้งบริษัทถือว่า การให้บริการชุมชนสำคัญยิ่ง (หากไม่มีเวลาอ่านจะดูเพียงผ่านๆ เรื่อง "การเฉลิมฉลองของคนโง่" ในคอลัมน์นี้ประจำวันที่ 9 กรกฎาคมก็ได้) เมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มจ้างมือปืนรับจ้างผู้อ้างตัวเองว่าเป็น "มืออาชีพ" มาบริหาร จุดมุ่งหมายในด้านการให้บริการแก่ชุมชนหดหายไป เพราะความกดดันในการสร้างกำไร และผู้บริหารไม่มีความผูกพันกับชุมชนอย่างแนบแน่น เนื่องจากพวกเขาเป็นคนนอก ซึ่งเข้ามาบริหารกิจการเพียงชั่วคราว
ผู้เขียน "ทุนนิยมแบบมีเมตตาธรรม" เสนอการปฏิบัติของบริษัทต่างๆ มากมาย และนำข้อคิดที่ได้มารวมไว้สำหรับผู้จะนำไปปฏิบัติบ้าง เขาเสนอให้บริษัทห้างร้านสละ 1% ของผลกำไร เวลาของพนักงานและทรัพย์สินของบริษัทเพื่อการบริการหรือให้คืนแก่ชุมชน นอกจากเงินแล้ว ผู้บริหารและพนักงานควรใช้ความรู้ความสามารถและสายสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อบริการชุมชนด้วย แน่ละ "ชุมชน" มีหลายระดับ จากหมู่บ้านไปจนถึงโลกทั้งโลก
ผู้ที่ติดตามเรื่องการพัฒนาย่อมจำได้ว่า เมื่อหลายทศวรรษก่อน สมาชิกขององค์การสหประชาชาติเคยแสดงความจำนงว่า จะสละ 1% ของรายได้ประชาชาติ เพื่อพัฒนาชุมชนโลก (ณ วันนี้ ยังไม่มีใครทำได้)
ผู้เขียนยกตัวอย่างของมหาเศรษฐีอเมริกันหลายคน โดยเฉพาะบิล เกตส์ ซึ่งร่ำรวยที่สุดในโลก และตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือชุมชน ทั้งในระดับเมืองที่เขาอาศัยอยู่และในระดับโลก เช่น การรณรงค์เพื่อกวาดล้างโรคเอดส์และวัณโรค
รายงานเมื่อวันที่ 10 กันยายน บ่งว่า บิล เกตส์ บริจาคเงินไปแล้วราว 27,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น เขายังประกาศว่า เมื่อเขาตายเขาจะกันทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูกเพียง 5% เท่านั้น ส่วนอีก 95% เขาจะยกให้มูลนิธิ
ผู้อ่านคอลัมน์นี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาคงจำได้ว่า จอร์จ โซรอส บริจาคเงินไปแล้วราว 5,000 ล้านดอลลาร์ สนับการปลูกฝังระบอบประชาธิปไตยในส่วนต่างๆ ของโลก
Marc Benioff ผู้เขียน Compassionate Capitalism เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งพยายามช่วยทำชุมชนของเขาให้น่าอยู่ เขาเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่มีความตระหนักว่า เขาเอาไปไม่ได้และใช้ไม่หมด การสร้างกุศลด้วยการช่วยทำให้ชุมชนดีขึ้น จะทำให้โลกน่าอยู่ พวกเขาทำจริงๆ ไม่ใช่บอกให้แต่คนอื่นทำ หรือมุ่งสร้างภาพเหมือนกับหนึ่งในคำแนะนำในหนังสือเรื่อง The Underdog Advantage
น่าสังเกตว่า หนังสือที่นายกฯ ทักษิณแนะนำล่าสุดเล่มนี้ มีคำพูดของ นายพลจอร์จ แพตตัน อันแสนหยาบที่ว่า The idea is not to die for your country. The idea is to get the other son of a bitch to die for his country. หนังสือเล่มนี้และคำพูดนี้อาจชี้ให้เห็นว่า นายกฯ ยังจะสร้างภาพต่อไป และกำลังบอกให้คนอื่นเป็น "นายทุนผู้มีเมตตาธรรม"
ตามสามัญสำนึก เนื่องจากคณะรัฐมนตรีดูจะเป็นมหาเศรษฐีกันถ้วนหน้า หากจะทำให้เกิดศรัทธา พวกเขาน่าจะทำเป็นตัวอย่างก่อน ไม่ใช่ทำเพียงเพื่อการสร้างภาพ เพราะคนจะรู้ทันอย่างรวดเร็ว หากไม่แน่ใจในภาษาไทยที่เขียนมา ก็อาจนึกถึงภาษาฝรั่งที่ว่า Charity begins at home. และ You cannot fool all people all the time. หากทำได้เมืองไทยอาจจะเดินเข้ายุคหลังวัตถุนิยม (Post-materialism) ก่อนสังคมอื่น
ยุคนั้นเป็นอย่างไร และทำไมเราต้องการยุคนั้น เพื่อลดจุดอ่อนของระบบทุนนิยม และโต้คลื่นลูกที่ 4 และลูกที่จะตามมา กรุณาอ่านหนังสือเรื่อง The Progress Paradox หากไม่มีเวลาก็อ่านเพียงผ่านๆ คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 13 และ 20 กุมภาพันธ์ หากไม่มีเวลาจริงๆ ขอเรียนว่า หนังสือเล่มนี้มีข้อมูลมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า ความร่ำรวยจนเหลือกิน เหลือใช้ ไม่ก่อให้เกิดความสุขเพิ่มขึ้น ตรงข้ามอาจนำความทุกข์มาให้
แน่ละ การจำกัดความมั่งมีให้อยู่ในระดับพอกินพอใช้ คือการให้คืนแก่ชุมชน บิล เกตส์ เป็นต้นแบบที่มหาเศรษฐีเช่นคณะรัฐมนตรีไทยน่าจะทำตาม
Resource:
//www.nidambe11.net/ekonomiz/2004q3/article2004sep24p2.htm