0153. ยุทธศาสตร์โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น
Resource://www.mfa.go.th/internet/BDU/fashion.doc
ยุทธศาสตร์โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น
ความเป็นมา
- คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ 21 มกราคม 2546 เห็นชอบโครงการกิจกรรมเปิดตัวโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น และเมื่อ 10 เมษายน 2546 เห็นชอบโครงการฯ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีคำสั่งตั้งสำนักงานโครงการฯ เมื่อ 21 เมษายน 2546
- อุตสาหกรรมแฟชั่น ประกอบไปด้วย อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง และอุตสาหกรรมอัญมณี และเครื่องประดับ โดยมี 10,207 โรงงาน คนงาน ประมาณ 1.58 ล้านคน โดยมี มูลค่าการส่งออกในปี 2545 ประมาณ 346,822.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.2 ของ GDP
- ปัญหาที่ประสบของอุตสาหกรรมแฟชั่น คือแนวโน้มการส่งออกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2545 (ยกเว้น อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ) โดยปัจจัยของการถดถอย ได้แก่ ผู้ประกอบการของไทยส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้รับจ้างผลิต Original Equipment Manufacture: OEM ผลิตสินค้าคุณภาพระดับล่าง และไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งมีการแข่งขันสูงขึ้นจากประเทศที่มีต้นทุนและค่าจ้างแรงงานต่ำ (จีน เวียดนามและอินโดนีเซีย) ประกอบกับการเปิดเสรีสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม กรอบ WTO ในปี 2548 และการสิ้นสุดลงของระบบ โควต้าการส่งออกที่ได้รับจากประเทศต่างๆ สหรัฐฯ EU และญี่ปุ่น
วัตถุประสงค์
- สร้างคน สร้างธุรกิจ และสร้างเมือง เพื่อให้ไทยมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นด้านแฟชั่น และตราสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับ สร้างมูลค่าเพิ่มในการส่งออก งบประมาณและรายได้ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางแฟชั่นอย่างแท้จริง
- กำหนดวิสัยทัศน์ว่า ปี 2548 กรุงเทพฯจะเป็นผู้นำแฟชั่นและศูนย์กลางธุรกิจแฟชั่นในอาเซียน ปี 2550 กรุงเทพฯ จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแฟชั่นในเอเชีย (แฟชั่นเมืองร้อน) และปี 2555 กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางแฟชั่นอีกแห่งหนึ่งของโลก
แนวทางการดำเนินการ
โครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น ใช้ยุทธศาสตร์ของ การตลาดด้านแฟชั่น เป็นตัวฉุดนำการพัฒนาทั้งระบบ (คือ ฉุดดึงและสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกอุตสาหกรรมที่เก่ยวข้องกับคำว่า แฟชั่น ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ครบวงจรขยายตัวและเติบโตไปด้วยกันหมด) การดำเนินโครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น ในระยะแรกมีเวลา 18 เดือน มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าเพิ่ม การปรับปรุงคุณภาพเน้น high end และมาตรฐานของสินค้า การพัฒนาเครื่องหมายการค้า พัฒนาสินค้าใหม่ พัฒนาการตลาดเฉพาะ (Niche Market) การส่งเสริมการสนับสนุนการเชื่อมโยงทั้งวงจรการผลิตและการ พัฒนาศักยภาพประสิทธิภาพบุคลากรภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
มาตราการในการสร้างให้กรุงเทพฯเมืองแฟชั่น มี 3 มิติ ที่จะดำเนินไปพร้อมกันแบบบูรณาการ
- ด้านการสร้างคน -เน้นการต่อยอดให้แก่ผู้จบการศึกษาด้านแฟชั่น อาจารย์และบุคลากรในอุตสาหกรรมแฟชั่น เพื่อให้นักออกแบบ นักธุรกิจสินค้าแฟชั่น และ เจ้าหน้าที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิค โดยจะเปลี่ยนจาก ผู้รับจ้างผลิต OEM เป็นผู้ออกแบบสินค้าและมีตรายี่ห้อตัวเอง (Original Design/Brand Manufacture)
- ด้านการสร้างธุรกิจ- จัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับแนวโน้มแฟชั่น โดยตั้งเป้าหมายมีผู้ได้รับข้อมูล 5,000 ราย และจะพัฒนาผู้ประกอบการทั้ง 3 สาขาอุตสาหกรรมประมาณ 950ราย การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าแฟชั่นไทย และการพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำด้านแฟชั่นระยะยาว
- ด้านการสร้างเมือง- จัด กิจกรรมสร้างภาพลักษณ์อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ งานแสดงสินค้าแฟชั่นโชว์ระดับโลก จัดเวิร์กช็อปแนวโน้มแฟชั่น เจาะตลาดเป้าหมาย โดยทำ Road Show เผยแพร่ผลงานแฟชั่นนักออกแบบไทย และจัดประกวดออกแบแฟชั่นนานาชาติ การบริหารจัดการโครงการ โครงสร้างและวิธีการบริหารโครงการ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ
1. คณะกรรมการบริหารโครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น มี รมว.อก. เป็นประธาน และผู้แทนจากภาครัฐและเอกชนและผู้ทรงคุณวุฒิในวงการแฟชั่นเป็นกรรมการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบาย เป้าหมาย แนวทาง แผนการดำเนินงาน รวมทั้งกำกับการดำเนินงานของโครงการฯในภาพรวม
2. คณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ มีผู้ช่วยรมว.อก. เป็น ประธาน มีผู้แทนจากภาคเอกชน 3 สาขาอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการส่งออก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสำนักงานเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม มีอำนาจหน้าที่กำหนดแผนปฏิบัติการ ติดตามกำกับการดำเนินงานและประเมินผลการปฏิบัติการงานตามโครงการ
3. สำนักงานโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น ขึ้นตรงต่อ รมว. อก. โดยทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการ ทั้งสองคณะ ประกอบด้วยฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติการ สำนักงานฯ ตั้งอยู่ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 02-202-4536 และ 02-2024537 โทรสาร 02-354-0380 และ 02-354-3272 เว็บไซต์ //www.bangkokfashioncity.com
4. ทีมที่ปรึกษามืออาชีพ
ผลที่คาดจะได้รับ
- คาดว่าจะมีการมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 335,000 ล้านบาทต่อปี แบ่งออกเป็นการใช้จ่ายของนัก ท่องเที่ยว นักธุรกิจ 3,500 ล้านบาท การค้าในศูนย์ธุรกิจแฟชั่นเพิ่มขึ้น 10,000 ล้านบาท การเจาะตลาด สร้างรายได้โดยตรง 3,000 ล้านบาท และการส่งออกของอุตสาหกรรมแฟชั่นเพิ่ม 17,000 ล้านบาท
- ปี 2548 กรุงเทพฯจะเป็นผู้นำแฟชั่นและศูนย์กลางธุรกิจแฟชั่นในอาเซียน ปี 2550 กรุงเทพฯ จะเป็น ศูนย์กลางธุรกิจแฟชั่นในเอเชีย (แฟชั่นเมืองร้อน) และปี 2555 กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางแฟชั่นอีกแห่งหนึ่งของโลก
โครงการเจาะตลาดเป้าหมาย ประจำปี 2548 ของสำนักงานโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น
- เมื่อเดือนกรกฎาคม 2546 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่นในวงเงิน 1,824.635 ล้านบาท จำนวน 11 โครงการย่อย ทุกโครงการมีการร่วมมือกันอย่างชัดเจนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
- โครงการเจาะตลาดเป้าหมาย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 11 โครงการย่อย ของสำนักงานโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น ประจำปี 2548 ได้แก่
o Trade Show ที่เมือง Basel ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในเดือนมีนาคม 2548
o In-store Promotion ที่สหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม 2548
o In-store Promotion และ Independent Show ที่ Oriental Place และ Temple of Heaven ที่จีน ในเดือนมิถุนายน 2548
o In-store Promotion และ Independent Show ที่ฝรั่งเศส ในเดือนกันยายน 2548
o In-store Promotion ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ในเดือนพฤศจิกายน 2548
บทบาทของกระทรวงฯ
- กระทรวงฯ ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนยุทธศาสตร์โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ มีบทบาทในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์สินค้าอุตสาหกรรมแฟชั่น และขยายตลาดในต่างประเทศร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่แบบบูรณาการ
- ในปี 2548 กระทรวงฯ ได้จัดสรรงบประมาณทีมประเทศไทยประจำปีงบประมาณ ให้แก่โครงการจัดงานประกวด Thai Young Fashion Designer ของ สอท. ณ กรุงลอนดอน และโครงการแสดงแบบแฟชั่นเสื้อผ้าของนักออกแบบไทยของ สอท. ณ กรุงปารีส รวมทั้งโครงการส่งเสริมไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนด้านการออกแบบแฟชั่น/วิชาชีพการเสริมสวย ในงานแสดงสินค้าไทยที่กรุงพนมเปญ ของสอท. ณ กรุงพนมเปญด้วย
กองสนเทศเศรษฐกิจ 4 สิงหาคม 2548
Thailand Team จะสร้าง Mission: Impossible
Create Date : 07 มกราคม 2552 |
Last Update : 7 มกราคม 2552 8:35:29 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3746 Pageviews. |
|
|
|
สรุปการอภิปราย โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น
วันที่ 28 สิงหาคม 2546
ในโอกาสที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดการประชุมเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกที่กรุงเทพ ฯ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 4 กันยายน 2546 นั้น หัวข้อหนึ่งที่ได้รับเลือกเป็นหัวข้ออภิปรายในที่ประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 คือ โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญนโยบายหนึ่งของรัฐบาล
โดยมีวิทยากร ประกอบด้วย
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น กระทรวงอุตสาหกรรม
นายสุชาติ จันทรานาคราช นายกสมาคมอุตสาหกรหรมเครื่องนุ่งห่มไทย
นายพงษ์ อิงคสิทธิ์ อุปนายกสมาคมเครื่องหนังไทย
นายพรสิทธิ์ ศรีอรทัยกุล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โดยมีนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย
ภาพรวมโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น
โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่นมีความสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ การเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของประเทศ เป็นการปรับตัวรับกับสถานการณ์ในเชิงรุก และตรงกับความต้องการของภาคเอกชน โดยมีภาครัฐเป็นผู้ประสานงาน
อุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย นับเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมากในแต่ละปี โดยมียอดส่งออกในปี 2545 อยู่ที่ 346,822.3 ล้านบาท มีจำนวนโรงงานในอุตสาหกรรมนี้ทั้งสิ้น 10,207 โรง และเป็นที่ว่าจ้างแรงงานมากถึง 1.58 ล้านคน ทั้งนี้ อุตสาหกรรมแฟชั่น ประกอบด้วยอุตสาหกรรมหลัก 3 อุตสาหกรรม คือ
1.อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
2.อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และ
3.อุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง
โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น ได้เริ่มดำเนินโครงการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2546 โดยได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 1,825 ล้านบาท ตั้งเป้าการดำเนินโครงการไว้ 3 ระยะ คือ
ระยะแรก ใช้เวลาดำเนินงาน 18 เดือน เพื่อให้กรุงเทพ ฯ เป็นศูนย์กลางแฟชั่นในอาเซี่ยนให้ได้ภายในเดือนมกราคม 2546
ระยะที่สอง การเป็นศูนย์กลางแฟชั่นในภูมิภาค ภายในระยะเวลา 3 ปี
และระยะสุดท้าย คือ การเป็นศูนย์กลางแฟชั่นแห่งหนึ่งของโลก ภายในปี 2555
กลยุทธที่ใช้รองรับการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย การสร้างคน เน้น การพัฒนาบุคลากรด้านแฟชั่น การสร้างธุรกิจ เน้น การพัฒนาเชื่อมโยงธุรกิจแฟชั่น และการสร้างเมือง เน้น การพัฒนาภาพลักษณ์กรุงเทพ ฯ เมืองแฟชั่น
ภาพรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอุตสาหกรรมหนึ่งของประเทศไทย ปัจจุบันมีโรงงานที่ประกอบกิจการประเภทนี้รวมทั้งสิ้น 4,570 โรงงาน และเป็นแหล่งจ้างงานกว่า 1.1 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของจำนวนการจ้างงานทั้งหมดของประเทศไทย (5,039,700 คน)
ประเทศคู่แข่งที่สำคัญของไทย คือ จีน อินเดีย และเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการเปิดเสรีทางการค้าในปี 2548 จะทำประเทศเหล่านี้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับไทยมากยิ่งขึ้น
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยมีจุดแข็ง คือ การมีอุตสาหกรรมอื่นมารองรับ ผู้ผลิตเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ แรงงานมีทักษะและฝึกฝนได้ ผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก เป็นอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญทางด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม แรงงาน มาตรฐานความปลอดภัย และสุขอนามัยในสถานประกอบการ และความมีเสถียรภาพทางกการเมืองและเศรษฐกิจ
จุดอ่อนของอุตสาหกรรมนี้ คือ ค่าแรงงานสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ขาดวัตถุดิบที่มีนวัตกรรม ขาดความเชื่อมโยงที่ดีระหว่างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ขาดนวัตกรรมในตัวสินค้า และการขาดบุคลากรในระดับวิศวกร ช่างเทคนิค และนักออกแบบ
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ
โครงสร้างของอุตสาหกรรม ฯ ประกอบด้วย การทำเหมืองแร่รัตนชาติ อุตสาหกรรมเผาพลอย อุตสาหกรรมเครื่องประดับ และการนำเข้าวัตถุดิบ และการส่งออกผลิตภัณฑ์
บทบาทของอุตสาหกรรม ฯ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย มีอยู่ 2 ด้าน ทั้งผู้ประกอบการ และการจ้างงาน โดยบทบาทต่อผู้ประกอบการนั้น มีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในอุตสาหกรรม ฯ ประมาณ 2,000 ราย และอุตสาหกรรมในครัวเรือนมากกว่า 10,000 ราย ขณะที่อุตสาหกรรม ฯ มีการจ้างงานทั้งสิ้น 900,000 คน โดยอยู่ในภาคการส่งออก 700,000 คน และอีก 200,000 คนเป็นแรงงานผลิตภายในประเทศ
จุดแข็งของอุตสาหกรรม ฯ คือ การมีฐานผลิตขนาดใหญ่ มีความสามารถพิเศษในการหุงหรือเผาพลอย มีฝีมือการเจียระไนอัญมณี และการเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ขณะที่จุดอ่อนของอุตสาหกรรม ฯ คือ ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศและขาดการวางแผนอย่างเป็นระบบด้านการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบ การขาดแคลนนักออกแบบที่มีความสามารถสูง และการมีตราสินค้าเป็นของตนเองน้อยมาก
อุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง
ประกอบด้วยอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องหนังและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น การฟอกหนัง การผลิตรองเท้า และการผลิตกระเป๋า เป็นต้น
จุดแข็งของอุตสาหกรรม ฯ คือ มี Business Networking การมีตราสินค้าเป็นของตนเอง มีแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพสูง และการมี credit ด้านการลิต
จุดอ่อนของอุตสาหกรรม ฯ คือ การขาดนักออกแบบมืออาชีพ ค่าจ้างแรงงานและการผลิตสูง และการขาดการทำการตลาดในเชิงรุก
สรุป
โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จะมีความเข้มแข็งและมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ ต้องอาศัยการประสานงานและการสนับสนุนทั้งจากหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนับสนุนของเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก ในการประชาสัมพันธ์ และแสวงหาโอกาสทางการตลาดที่มีอยู่ในแต่ละประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลกลับมาสู่ส่วนกลาง ใช้ประกอบการพิจารณาจัดกลยุทธดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
************************