0088. Play to Your Strengths : 1 ใน 109 หนังสือควรอ่าน จาก นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
Play to Your Strengths: Managing Your Company's Internal Labor Markets for Lasting Competitive Advantage by Haig R. Nalbantian, Richard A. Guzzo, Dave Kieffer, Jay Doherty
Write a Review
Publisher: McGraw-Hill Companies, The Pub. Date: September 2003 ISBN-13: 9780071422536 Sales Rank: 419,158 272pp Edition Description: First Edition Edition Number: 1
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ได้แนะนำหนังสือเล่มใหม่อีก 2 เล่ม เล่มที่ 2 คือ Play to Your Strengths: Managing Your Company's Internal Labor Markets for Lasting Competitive Advantage by Haig R. Nalbantian, Richard A. Guzzo, Dave Kieffer, Jay Doherty
Create Date : 11 มีนาคม 2551 |
Last Update : 11 มีนาคม 2551 15:50:04 น. |
|
2 comments
|
Counter : 726 Pageviews. |
|
|
|
ปาฐกถาพิเศษของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เรื่อง คลังสมองกับการพัฒนาประเทศทางด้านสังคม
ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการนักวิชาการเพื่อการพัฒนาประเทศ ครั้งที่ 2
ณ ห้องมิราเคิล แกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิลแกรนด์
วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน 2547 เวลา 09.30 น.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ปลัดกระทรวงกลาโหม
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักวิชาการที่รักและเคารพทั้งหลาย
วันนี้ผมรู้สึกยินดีและดีใจที่ได้มาพบบุคคลซึ่งมีความรู้ มีการศึกษาสูง ที่จะได้มาช่วยกันคิด เพื่อการพัฒนาประเทศให้ถูกทิศถูกทาง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลง หลายประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว แต่ประเทศที่มีปัญหาต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด คือประเทศที่มีระบบ 2 สังคมในประเทศเดียวกัน คือประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีส่วนหนึ่งเป็นสังคมชนบท สังคมที่มีการศึกษาน้อย สังคมที่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งข้อมูลและแหล่งเงินทุนน้อย กับสังคมเมืองซึ่งเต็มไปด้วยคนซึ่งมีการศึกษาดี มีโอกาสสูง เพราะฉะนั้นประเทศที่มีปัญหา 2 สังคมจะเป็นประเทศที่มีปัญหาในเรื่องแนวทางที่ตัวเองจะเดิน ทุกประเทศ ทั่วโลกจะเป็นคล้ายอย่างนี้ เพราะเป็นในลักษณะที่ไม่สามารถใช้นโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะครอบคลุมทั้งสองสังคม ได้แทบทุกนโยบาย เพราะฉะนั้นจึงมี 2 แนวทางตลอดเวลา แต่การทำ 2 แนวทางเป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าความขัดแย้งทางความคิดจะมี บางคนอยู่โลกของซีกหนึ่ง เหมือนคนเห็นแต่กลางวัน จะรู้ว่าโลกนี้มีแต่แสงสว่างสูง มีความร้อน ส่วนอีกซีกหนึ่งที่อยู่กลางคืน จะมองเห็นแต่ความมืด เหมือนคนที่อยู่ในอลาสก้า กับคนที่อยู่ในทะเลทรายซาฮาร่า คงคุยกันยาก คล้าย ๆ อย่างนั้น แต่ทำอย่างไรจึงจะทำให้ 2 มิตินั้นเป็นมิติที่เกื้อกูลและเข้าใจกัน
เพราะฉะนั้นกระทรวงศึกษาธิการก็ดี สำนักงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้มาปรึกษากับผมว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะระดมคลังสมองของประเทศมาช่วยกันคิด มาช่วยกันทำ และสิ่งที่กำลังเปลี่ยนไปวันนี้ คือว่า วิชาการทั้งหลาย เทคโนโลยีทั้งหลายเริ่มไม่มีเส้นแบ่งเขต แต่ในขณะเดียวกันโดยวัฒนธรรมของไทยเรา เราชอบมี เส้นแบ่งเขต ซึ่งท่านจะเห็นว่าสวนทางกัน วิชาที่อยู่คนละขั้วคนละมุม เวลานี้กลับมารวมกัน เพื่อเกิดวิชาใหม่ เกิดขึ้น เกิดความรู้ใหม่เกิดขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ค่อยเกิดในสังคมไทย ทำให้เราเสียเปรียบ ถ้าไม่เกิดขึ้นเรา เสียเปรียบแน่นอน เพราะว่าเราจะไม่มีโอกาสมีความรู้ใหม่ๆ มีการค้นพบใหม่ๆ เราจะค้นพบในแนวเดิม และในแนวที่แพ้ทางคนอื่น เพราะว่าเราไปเรียนจากคนอื่นมา และเรายังอยู่ใน Limit ในมุมของใครของมัน แต่ถ้าเมื่อไหร่เราจับมือข้ามสายวิชาการ แล้วเกิดการประชุมร่วมกัน คิดร่วมกัน วิจัยร่วมกัน ศึกษาร่วมกันแล้วจะเกิดความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะเป็นความรู้ใหม่กว่าที่โลกมีหรือที่คนอื่นมี เพราะเกิดจากสิ่งใหม่ ถ้าไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีทางชนะคนอื่นได้ ผู้ชนะคือผู้คิดเกมใหม่ ผู้ที่ไปเล่นเกมคนอื่นตลอด อย่างเก่งที่สุดเสมอตัว เสมอตัวต้อง ตบมือให้แล้วว่าเก่งมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วจะแพ้ ฉะนั้นวันนี้ผมไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องแพ้ ชนะอย่างเดียว แต่ว่าเราเอง ถ้าท่านย้อนกลับไปนึกในอดีต ท่านจะเห็นว่าสมัย ดร.ชุมพล ไปเรียนเมืองนอก ตอนนั้น 18 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าแวะแถวญี่ปุ่นจะเห็นว่า 100 เยนเท่ากับ 7 บาท แต่วันนี้ไปถึงไหนแล้ว อันนั้นคือผลทางอ้อม ๆ คิดหยาบ ๆ ว่านั่นคือการแพ้การแข่งขัน แพ้การแข่งขัน คือ ศักยภาพกำลังซื้อของคนในประเทศจะลดด้อยกว่าประเทศอื่น และในที่สุดหมายความว่าเราต้องทำงานมากเพื่อเอาของก้อนใหญ่ ๆ ไปแลกของก้อนเล็ก ๆ จากเขา อันนั้นคือสัญญาณของการพ่ายแพ้การแข่งขัน วันนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเชิญท่านทั้งหลายมา
ท่านคงได้ยินถึงแม้ท่านจะไม่ได้อยู่ในสายวิทยาศาสตร์ ในเรื่องของการทำ DNA Mapping การทำแผนที่พันธุกรรม ว่าสามารถทำได้ เมื่อก่อนทำไม่ได้ เกิดทำได้เพราะอะไร เพราะนักชีววิทยา นักเคมี และนักฟิสิกส์ ซึ่งเป็นนักคอมพิวเตอร์ ได้มารวมกัน ร่วมกันคิดเอาวิชาต่าง ๆ ที่มี ที่ค้นพบแล้วเอามารวมกัน จึงเกิดศาสตร์ใหม่ขึ้น เกิดการ Code รหัส ATCG ที่ใช้ Code เมื่อ Code เสร็จก็ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือคำนวณ จึงสามารถทำแผนที่พันธุกรรมได้ เมื่อทำได้แล้วเกิดอะไรขึ้น เขากำลังบอกกันว่าในอนาคตข้างหน้าคุณอยากได้มนุษย์หน้าตาอย่างไร สีผมอะไร ในตาสีอะไร สามารถทำได้จากการทำ DNA แต่เราไม่จำเป็นต้องไปขนาดนั้น เราเอาแค่ความรู้พื้นฐานคือ Genome
Genome คือ เอาสิ่งมีชีวิตเดียวกันแต่มีลักษณะเด่น ลักษณะด้อยต่างกัน เลือก Gene ที่พึงประสงค์เอามารวมกัน สิ่งมีชีวิตนั้นจะออกมามีคุณภาพที่เปลี่ยนไป เช่น ทำ Genome ข้าว ทำ Genome มนุษย์หรือในอนาคต ในวันนี้ที่ผมกำลังพูดวกกลับมาที่นี่คือผมกำลังจะทำ Genome ทางวิชาการ หมายความว่าถ้าเรามีภารกิจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเราจะต้องใช้นักวิชาการที่มีความหลากหลาย หลายวิชาเอามารวมกัน เหมือนเป็นการตั้งทีมพิเศษขึ้นมา คือ Genome ทางวิชาการนั่นเอง เพื่อที่จะได้เอาคนที่มีความรู้หลากหลายไปรวมกันแก้ปัญหาหนึ่ง เรื่อง ไม่ใช่มิติเดียวแก้ปัญหา ทำไม่ได้ ถ้าหลายมิติมาช่วยกันคิด จะแก้ปัญหาได้ อันนั้นคล้าย ๆ อย่างนี้
วันนี้การที่ท่านมารวมกัน มีความรู้กันหลากหลาย มาจากพื้นฐานหลากหลาย แต่ว่าเรากำลังพูดกันว่าสายสังคม วันก่อนที่ผมพบกันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์เป็นสายวิทยาศาสตร์ วันนี้เราเรียกว่าสายสังคม ความจริงเดี๋ยวนี้เราก็เรียกว่าเป็น Science เหมือนกัน แต่คนละ Science อันนี้เป็น Social Science จริง ๆ แล้วก็แตกลูกกันมาหลายคณะ Social Science เราก็จะพูดกันตั้งแต่ Auguste Comte แตกมาเป็นคณะรัฐศาสตร์ แตกมาเป็น Criminology เพราะว่าเอาวิชาอื่นมารวมกัน เอา Psychology มารวม มาสร้างใหม่เป็น Criminology อย่างที่ ผมเรียนมา ความรู้ก็แตกไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเมื่อก่อนเรารู้ไม่ลึก พอเรารู้ลึกขึ้น เราก็แยกสาขาไปเรื่อย ๆ อันนี้เป็น สิ่งที่เป็นที่มาของการที่พวกเรามารวมกันอยู่ที่นี่ คือมีความรู้กันหลากหลาย
ทีนี้สิ่งที่ผมอยากจะเรียนท่านทั้งหลายว่า บางคนรับทุนจากรัฐบาล จากภาษีอากรประชาชน บางคนได้รับการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่ Subsidize ถึงแม้ท่านจะเสียเงินเอง แต่ Subsidize โดยงบประมาณของรัฐหรือภาษีอากรประชาชน บางท่านอาจจะเรียนเอกชนตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อเราเป็นคนไทย เราต้องการที่จะเอาสิ่งที่เราเรียนมาๆช่วยกัน ก็เป็นความตั้งใจที่สูงสุดแล้ว แต่ว่าถ้าปฏิบัติได้จริง จะเป็นสิ่งที่ดี วันนี้จะแบ่งกลุ่มออกมาเป็นกลุ่มต่าง ๆ เดี๋ยวผมจะขอกลับมาพูดนิดหนึ่งว่า รัฐบาลนี้มองสินทรัพย์ที่สำคัญของประเทศคือ มนุษย์ หรือที่เรียกว่าทุนทางมนุษย์ คือ Human Capital
Human Capital นี้สำคัญที่สุด เป็น Asset ที่หาได้ยาก เพราะฉะนั้นเราจะต้องบริหารจัดการให้ดี วันนี้ผมจึงพยายามทำทุกอย่างโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพราะเรากำลังต้องการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางทั้ง 2 ทาง ทางหนึ่งคือ Service ให้เขา อีกทางหนึ่งคือ ใช้เขาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ท่านลองมา นั่งดูว่าวันนี้เรามีสินทรัพย์อะไรในประเทศที่จะยั่งยืนของความเป็นประเทศ คือ ความเป็นทุนทางมนุษย์ เราจะสร้างขึ้นมาอย่างไร เราจะทำอย่างไรให้ทุนทางมนุษย์มีความเข้มแข็ง
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเพิ่งเล่าให้คณะรัฐมนตรีฟังเมื่อวานนี้ ชื่อเรื่องว่า Play to Your Strengths เป็นหนังสือที่ออกมาปีนี้ 2004 แต่งโดย Haig R. Nalbantian, et al. คือมีผู้แต่ง 4 คน เป็นหนังสือของ McGraw-Hill 200 กว่าหน้า หนังสือเล่มนี้เน้นในเรื่องของ Human Capital คือ สรุปแล้วว่าเราจะต้องสร้างองค์กรของเราให้เข้มแข็ง โดยการสร้างทรัพยากรมนุษย์แล้วให้ถือว่าเรื่องของคนเป็นการลงทุน อย่าถือว่าคนเป็น ค่าใช้จ่าย ถ้าเมื่อไรถือว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง องค์กรนั้นมีวิสัยทัศน์แคบ องค์กรนั้นพังทลายในที่สุด ต้องถือว่าการที่ท่านทั้งหลายไปเรียนหนังสือมานี้ และจะสร้างเด็ก Generation ใหม่นี้ การที่เราจะดูแลคนทั้งหมดเป็นการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่เข้มแข็ง เพราะว่าไม่มีใครและไม่มีอะไรที่จะผลิตและขายได้ดีไปกว่าสิ่งที่มาจากสมองและสองมือของมนุษย์ เพราะฉะนั้นวันนี้เรื่องของมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่สิ่งที่ผมอยากจะเรียนว่าที่ผมกลับมาพูดกันตลอดเวลาและระดมคนมาช่วยกันคิดช่วยกันทำ ระดมพวกท่านมานี้ เพราะอยากเห็นท่านไปทำต่อ อยากเห็นท่านทั้งหลายเมื่อวันนี้รู้จักกันแล้ว ได้เกิดการสร้างประชาคมของหมู่ผู้มีความรู้ มีการศึกษาทั้งหลาย เพื่อจะนำไปสู่สิ่งที่เป็นปัญญาของสังคมต่อไป แน่นอนความรู้ไม่จำเป็นต้องเรียนมาอย่างเดียว การเรียนให้ฐานที่จะนำไปคิดต่อ เรียนต่อ แต่ไม่ใช่เรียนมาแล้ว เป็นเครื่องมือที่บอกว่าเราจะต้องเก่งกว่า คนอื่น แต่อย่างน้อยคือเป็นเครื่องมือที่สร้างฐานให้ท่านมีความรู้ มีหลักคิด มีหลักที่เรียนต่อ วิจัยและค้นคว้าต่อ เพื่อไปหาประสบการณ์ และนำประสบการณ์กับทฤษฎีมารวมกัน เพื่อให้เกิดหลักในการทำงานของท่าน เพราะฉะนั้นวันนี้เรื่องของความรู้จึงเป็นเรื่องที่เราอยากจะส่งเสริมเต็มที่
ทีนี้ผมจะย้อนกลับมาที่หนังสือ Play to Your Strengths อีกครั้ง คือเขาบอกว่าสิ่งที่สำคัญของมนุษย์คืออยากให้เน้นเรื่องของ System Thinking เพราะว่าจุดอ่อนของเราคือเราไม่มี System Thinking คือไม่ได้คิดอะไรเป็นองค์รวม ไม่มองระบบรวม มองแยกส่วนตลอดเวลา อันนี้คือจุดอ่อนที่ทำให้มนุษย์ขาดศักยภาพ ทั้งที่มีความรู้ มนุษย์ที่มีความรู้ มีการศึกษาดี แต่ถ้าไม่มี System Thinking เหนื่อย เพราะจะไม่เข้าใจอะไรใน ภาพรวมในระบบรวม ถ้าเข้าใจในระบบรวม ความเชื่อมโยงของ Sub System ซึ่งอยู่ใน System เดียวกันได้ และเข้าใจว่า System ทุกอย่าง ระบบทุกอย่างไม่ได้อยู่ในที่ว่างเปล่า แต่มีสิ่งห่อหุ้ม ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ ความรู้ที่เรียนมาจะเพิ่มพูนไปไม่รู้เรื่องเลย ทีนี้สิ่งที่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งก็คือว่าสังคมของวิชาการ เป็นสังคมที่บางครั้งมี Say and Do Gap สูง Say and Do Gap คือ Say พูดอย่างนี้ คิดอย่างนี้แต่ว่าเวลาทำแล้วไปอีกอย่างหนึ่ง คือมี Gap สูง ทำอย่างไรถึงจะลด Say and Do Gap อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราเกี่ยวข้อง
ผมอยากจะให้ดูตรงนี้ว่า รัฐบาลวันนี้เน้นเรื่องคนอย่างไร ผมอยากเห็นมนุษย์ ผมพูดหลายเวทีแล้ว คนไทยมีสุขภาพที่ดี 3 ด้านคือ สุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตที่ดี และสุขภาพทางปัญญาที่ดี หรือที่เรียกว่า Physical Health, Mental Health, Intellectual Health ถ้าเราได้คนไทยที่มีสิ่งพึงประสงค์ทั้ง 3 อย่าง แต่มนุษย์ไม่ค่อยมีทั้งหมด 3 อย่างเพราะพระเจ้าไม่ค่อยให้มาพร้อมกัน ไม่เป็นไรบางคนได้ 3 เต็มบ้างไม่เต็มบ้างไม่เป็นไร แต่เราต้องพยายามให้ได้มากที่สุด คนที่มี Physical Health อย่างเดียวก็มีประโยชน์ คนที่มี Mental Health อย่างเดียวก็มีประโยชน์ คนที่มี Intellectual Health อย่างเดียวก็มีประโยชน์ แต่ถ้ามี Health ที่มากกว่า 1 จะยิ่งมีประโยชน์มากขึ้น ถ้ามี Health ทั้ง 3 ยิ่งมีประโยชน์มากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงยอมลงทุนตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็น Physical Health
วันนี้เรากำลังจะมองเรื่องของ Mental Health และ Intellectual Health Intellectual Health เราจะมองเรื่องการศึกษา Mental Health คือปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเลี้ยงดูลูก ผมกำลังจะทำทั้ง 3 สาขา เอาจริงเอาจังกับมัน ที่ผมพูดอย่างนี้เพื่อที่เราจะได้เห็นแนวทางร่วมกันว่าเรากำลังจะให้ความสำคัญต่อทรัพยากรมนุษย์ ในที่นี้คือ คนไทยทั้งประเทศ แต่แน่นอนเราจะ Target ไปที่กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มผู้ที่ต้องไปเป็นตัวแม่ทัพนายกอง เหมือนกับสมมติว่าเราเป็นทหาร มีนายสิบ นายร้อย นายพัน นายพล อันนี้เป็นเรื่องที่จะต้องจัดกำลัง เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็เช่นกัน ผมกำลังต้องการสร้างสังคมไทยที่คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรงทั้ง 3 ด้าน เรื่องของ Mental Health จะรวมเรื่องคุณธรรม จริยธรรมด้วย อันนี้กำลังทำ
ผมได้ตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ขึ้นมาเป็นองค์การมหาชน มีงบประมาณสูง เพื่อที่ผมจะมีแท่งต่าง ๆ เอาไปทำงาน แท่งแรกคือเรื่องของพิพิธภัณฑ์ ผมไม่อยากให้พิพิธภัณฑ์เป็นโกดังเก็บของเก่า เป็น Antique Warehouse ผมต้องการให้พิพิธภัณฑ์นั้นเป็นที่เรียนรู้ ทั้งหมดต้องกลับไปที่ความรู้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องสร้างพิพิธภัณฑ์ จัดพิพิธภัณฑ์ จัด Display จัดการ Presentation ทั้งหลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้ แท่งที่ 2 คือ ห้องสมุด ผมต้องการสร้างห้องสมุดที่มีชีวิต ไม่ใช่ห้องสมุดที่เก็บหนังสืออย่างเดียวเท่านั้น แต่มีชีวิต น่าอ่าน ชวนอ่าน บรรยากาศดี สะดวก มีหนังสือเปลี่ยนแปลงมีหนังสือใหม่และหนังสือเก่าเก็บต่อเนื่องไป อันนี้จะต้องทำให้ได้ แท่งที่ 3 ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง จะไปสร้างเรื่องคุณธรรม จริยธรรมให้กับสังคมไทยเพิ่มเติม เพราะเนื่องจากว่าเวลานี้ บางครั้งเราลืมพวกนี้นานไป แท่งที่ 4 คือ เรื่องของ Life science เรื่องของ Bio-technology เรากำลังจะสร้างขึ้นมา เพราะเราเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ เราใช้ประโยชน์กับมันน้อย แท่งที่ 5 คือ แท่งที่มองพัฒนาการของเด็ก ทั้งพัฒนาการทางด้านของสุขอนามัยและพัฒนาการทางการเรียนรู้ ไปพร้อม ๆ กันที่เราเรียกกันว่า Brain Based Learning อันนี้เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง
วันนี้เรามีนักการศึกษาอยู่ที่นี่มาก เรื่องของการศึกษา ถ้ามองว่าเมื่อไรเรื่องของการศึกษาเป็นเรื่องของนักการศึกษาเท่านั้น เป็นธุระของนักการศึกษาเท่านั้น ทุกอย่างก็จบ การศึกษาก็จบ นี่คือสิ่งที่ผิดพลาดกันมานาน เพราะเราต่างคนต่างอยู่ เรามองว่าการศึกษาเป็นเรื่องของนักการศึกษา ความจริงการศึกษาจะต้องประกอบทีมหรือที่นาย Tom Peters พูดในหนังสือ Re-imagine! ถึงเรื่อง Hollywood Model Hollywood Model กับ Genome ทางวิชาการ คล้ายกันคือเอาคนที่ถนัดในเรื่องที่เราต้องการจะแก้ปัญหามาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ เหมือนสร้างหนังเรื่องหนึ่ง คุณจะสร้างหนังบู๊ คุณต้องหาพระเอกหนังบู๊ คุณจะเอาพระเอกหนังชีวิตมาทำหนังบู๊คงทำไม่ได้ ผู้กำกับที่ไม่เคยทำหนังบู๊เลยทำแต่หนังสารคดีทั้งเรื่องมาทำหนังบู๊จะไม่เข้าใจ อะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นเหมือนกันที่เราเรียกกันว่า Hollywood Model คือว่านักการศึกษาคงต้องยอมรับแนวคิดของ Psychiatrist พวกนักจิตวิทยา และทางด้าน Neuro เพื่อดูพัฒนาการทางสมอง ซึ่งเขาบอกว่าช่วงเด็กโตเท่านี้ เด็กเรียนรู้รับได้แค่นี้ เรียนรู้อย่างนี้ รับได้เท่านี้ แต่ละช่วงในการรับรู้ไม่เหมือนกัน จะมีทีมที่ทำเป็นเรื่องเป็นราว ทีมเหล่านี้จะมีการทำ Outsource เรื่องของ Research เพื่อจะนำมาทำนอกระบบราชการ เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้วใส่เข้าไปในระบบทีหลัง ถ้าเมื่อไรเราคิดจะเปลี่ยนแปลงอยู่ในระบบ เปลี่ยนไม่ได้เพราะถูกกลืน เพราะระบบใหญ่กว่า ฉะนั้นรัฐบาลจึงใช้วิธีการว่าเอาออกมานอกระบบ มาคิดมาทำ อะไรเรียบร้อยแล้ว ขยายจนถึงแข็งแรงจุดหนึ่ง แล้วจึงใส่เข้ากลับคืนสู่ระบบ ทั้งหมดจะกลับคืนสู่ระบบ แต่ช่วงแรกต้องทำนอกระบบก่อน นี่คือแนวคิดที่เน้นเรื่องของมนุษย์ เน้นเรื่องของสุขภาพ เน้นเรื่องของจริยธรรม คุณธรรมและภาวะจิตใจ และเรื่องของปัญญาความรู้ จะทำไปพร้อม ๆ กัน
ทีนี้เรามานั่งดูว่าเราจะจัดการอย่างไรกับมนุษย์ของเรา 3 Generation Generation ที่แก่หน่อยเรียกว่า My Generation คือผมไม่กล้าเรียก Old เพราะหลายท่านเด็กกว่าผมมาก ประมาณแถวหน้านี้ได้ ถ้าแถวหลังเรียกว่าไม่ใช่ My Generation คือ Generation ผม เป็น Generation ที่วันนั้นเติบโตมา Globalization ยังไม่ค่อยมาก ระบบการไหลเวียนของคน ทุน ความรู้ เทคโนโลยี สินค้า บริการ ยังอยู่ในดีกรีที่ต่ำ เรายังไม่ค่อยเรียกกัน เรายังไม่มีคำศัพท์ Globalization คนค่อนข้างต่างคนต่างอยู่ การพัฒนาการ การเรียนรู้ ยังเป็นการ ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบหลายวิชา กับการเรียนกับสถานการณ์ ปน ๆ กันอยู่ เพราะฉะนั้นรุ่น Generation ผมยังไม่เสียหายเท่าไรกับระบบ คือเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกันทางสังคมยังดีอยู่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ยังเลี้ยงดูอยู่ด้วยกัน จริยธรรม คุณธรรม ยังถูกเกลาเพราะทุนนิยมยังบทบาทไม่รุนแรงเท่า ตอนนั้นยังเป็นโลกยุคสงครามเย็น ระบอบประชาธิปไตยจ๋ายังไม่เข้ามา ระบบทุนนิยมจ๋ายังไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นยังเป็นบาง ๆ ของทุนนิยมและยังมีความหนาของภูมิคุ้มกัน ยังมีการเรียนรู้ ซึ่งระบบอังกฤษยังมีอิทธิพลอยู่มาก ยังมีผลดีอยู่ เพราะตรงนั้นรุ่นผมหรือแก่กว่าหรือในอเมริกาเรียกยุค Baby Boom อายุแถว Baby Boom พวกนี้ปัญหายังน้อยแต่ Current Generation คือ Generation ปัจจุบัน เป็น Generation ที่ต้องช่วยกัน คือการแก้ปัญหาต้องแก้ทั้งหมด Generation ปัจจุบัน คือคนที่อายุประมาณ 20-40 ปี ที่ผมพูดแค่นี้ไม่ใช่ผมอายุเพิ่ง 40 แก่ ๆ หรือ 50 ต้น แต่ผม 50 กลาง ๆ แล้ว เพราะฉะนั้น รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ Democracy เต็มที่ สิ่งที่ติดตามมากับ Democracy คือ Capitalism Economy เมื่อเศรษฐกิจทุนนิยมเข้ามาก็เกิดการแข่งขันสูง นำไปสู่ Materialism วัตถุนิยม นำไปสู่การแข่งขันการสะสม Wealth นำไปสู่การ แข่งขันการสะสม Wealth นำไปสู่การแข่งขันเพื่อเอาตัวรอด ในที่สุดเวลาที่จะดูแลลูก เวลาที่จะดูแล Generation หลัง ๆ ลดน้อยลง แสดงให้เห็นว่า ภูมิคุ้มกันทางสังคมลดลง และนอกจากนั้นระบบการศึกษาเริ่มเห็นความ ล้าสมัยอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นระบบการศึกษาที่ได้รับอิทธิพลจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมหรือคลื่นลูกที่สอง ยังเป็นอุตสาหกรรมในลักษณะของ Piecemeal คือเรียนเป็นชิ้น ๆ เรียนแบบอุตสาหกรรม การจัดองค์กรเป็นแบบ Detroit Model เป็นสายการผลิต เป็นลักษณะแบบนั้น เพราะฉะนั้นจะทำให้การเข้าใจที่เรียกว่า System Thinking อ่อน ภูมิคุ้มกันอ่อน ระบบ Thinking มีปัญหาเพราะอิทธิพลของระบบวิธีคิดระบบ Socrates Plato Aristotle ยังอยู่ Dr. (Edward) de Bono ยังมาไม่ถึง ยังเป็นแนวนี้อยู่ ดังนั้นเราจะต้องช่วยกันสร้าง Generation นี้
ที่ผมพูดอย่างนี้เพราะพวกท่านเป็นคนที่ได้รับการศึกษามากมาย ไปเห็นอะไรต่ออะไรมากมาย แต่เราต้องมาช่วยกันว่า Current Generation จะแก้ปัญหาอย่างไร อันนั้นอันที่หนึ่ง ทีนี้ Future Generation คือ เด็กที่ยังตัวเล็ก ๆ วันนี้อยู่และที่กำลังจะเกิดเข้ามาตรงนี้สำคัญ เพราะฉะนั้นวันนี้ My Generation มีหน้าที่ Correct แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปเพื่อให้ Current Generation หรือ Generation ปัจจุบันได้เติบโต ได้อยู่ในสังคมที่ดีและปรับวัฒนธรรม วิธีคิดต่าง ๆ และปรับวิธีทำมาหากินต่าง ๆ เพื่อให้เขาอยู่รอด มีกำลังที่จะ Raise Generation ใหม่ ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ อันนี้คือวิธีคิดที่กำลังคิดอยู่อย่างมาก ทำไมผมถึงพูดว่าตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไปจะมีของขวัญให้เด็กเกิดใหม่ทุกครอบครัว ทุกคน เพราะอะไร เพราะเราเริ่มดูแลตั้งแต่เด็ก ว่าเลี้ยงดูถูกต้องหรือไม่ การอบรม การให้การศึกษา การปูพื้นฐานวิธีคิดให้กับเด็ก ใส่เติม Software เข้าไปในสมอง ตั้งแต่เด็กเกิดใหม่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าผิดคือผิด ถ้าผิดแก้ยาก เพราะอะไร