" เรื่องราวต่างๆเป็นดั่งทองคำในเทพนิยาย เมื่อคุณแจกจ่ายไปมากขึ้น คุณก็ได้รับกลับมามากขึ้น " พอลลี แมคไกวร์
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2556
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
30 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 

001. จักรพรรดิเมจิ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จักรพรรดิเมจิ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ

(ญี่ปุ่น: 明治天皇 Meiji-tennō )
(3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2395 — 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2455)

พระนามเดิม มุสึฮิโตะ (睦仁) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 122 ของประเทศญี่ปุ่น ครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2410 ด้วยพระชนมายุเพียง 14 พรรษา จนเสด็จสรรคต






001.สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ


ขึ้นครองราชย์

เจ้าชายมุสึฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2410 หลังการสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิโคเม พระราชบิดาที่ประชวรด้วยไข้ทรพิษ ประมาณ 4 วัน

ในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2411 กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ และ ต่อต้านอำนาจของโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ ประกาศนโยบายฟื้นฟูพระราชอำนาจแห่งจักรพรรดิ ณ พระราชวังเคียวโตะ ซึ่งต่อมาในเดือนเดียวกันนั้น กองกำลังของกลุ่มผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์จากแคว้นโจชูและแคว้นซะสึมะได้กำชัยอย่างเด็ดขาดในสงครามโทะบะ-ฟุชิมิ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความล่มสลายของรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะลงไปอีก สงครามกลางเมืองได้ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว จนกระทั่งกองกำลังของตระกูลโทะกุงะวะปราชัยอย่างราบคาบในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2412





002. พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ


พระราชประวัติ

สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ใน สมเด็จพระจักรพรรดิโคเม (พระราชโอรสองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์หลังประสูติไม่นาน) เสด็จพระราชสมภพ ณ นครเคียวโตะ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1852 เพียง 8 เดือนก่อนกองทัพเรือดำ ของนายพลแมทธิว เพอร์รี่ แห่งสหรัฐอเมริกาจะยกมาถึงอ่าวโตเกียวและเพียง 2 ปีก่อนที่ สนธิสัญญาอยุติธรรม ฉบับแรกจะมีขึ้น โดยโชกุนโทะกุงะวะ โยะชิโนะบุ ยอมลงนามร่วมกับนายพลเพอร์รี่ เมื่อปี ค.ศ. 1854

พระนางโยชิโกะ พระราชมารดา เป็นผู้ที่มีความสำคัญในราชสำนัก และเป็นบุตรีของนะกะยะมะ ทะดะยะซุ ประธานองคมนตรี เมื่อยังทรงพระเยาว์สมเด็จพระจักรพรรดิทรงพระนามว่า เจ้าชายสุเกะ (สุเกะ โนะ มิยะ) และได้เสด็จไปประทับอยู่ในความดูแลของตระกูลนะคะยะมะ เพราะการดูแลพระราชโอรสและพระราชธิดาถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า ให้มอบหมายเป็นหน้าที่ของตระกูลใหญ่ในวังหลวงตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ตระกูลนาคายามะจึงได้เอาธุระดูแลการศึกษาในชั้นต้นของเจ้าชายองค์น้อย

เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ก็ได้ทรงแต่งตั้งให้ นิโจ นะริยุกิ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพื่อถวายคำแนะนำทางการเมือง แต่ดูเหมือนว่าตำแหน่งที่มีอายุการทำงานสั้นๆนี้ เป็นเพียงพิธีการอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะนิโจไม่ได้มีบทบาทต่อพระองค์เท่าไรนัก ยังมีอีกคนที่มีอิทธิพลต่อแนวพระราชดำริในทางรัฐศาสตร์การเมืองและบริหารอีกมาก

เมื่อพระชนมายุยังน้อย เจ้าชายสุเกะทรงอยู่ในโลกต่างหากจากโลกภายนอก พระองค์และพระสหายทั้งหลายที่ได้รับการคัดเลือกมาจากเชื้อพระวงศ์และตระกูลขุนนางต่างๆ เช่นเจ้าชายไซองจิ คิมโมจิ ที่จะเข้ามาปกครองวังหลวงในช่วงปลายรัชสมัยไทโช และต้นรัชสมัยโชวะ ได้รับการอบรมจากพระพี่เลี้ยง (เนียวกัง) ที่คอยสอดส่องดูแลทั้งกลางวันและกลางคืน

ในปี ค.ศ. 1860 เจ้าชายสุเกะได้รับพระราชทานพระนามเป็นเจ้าชายมุสึฮิโตะ และได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาท ขณะนั้นเจ้านายสำคัญในราชวงศ์หลายพระองค์ รวมทั้งเจ้าชายอิวะกุระ โทะโมะมิ และ เจ้าชายซันโจ ซะเนะโตะมิ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่ององค์รัชทายาท ต่อมาเจ้านายเหล่านี้ยังเป็นผู้จัดแจงและตระเตรียมพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระองค์กับเจ้าหญิงอิชิโจ ฮารุโกะ พระธิดาในเจ้าชายอิชิโจ ทะดะกะ เสนาบดีฝ่ายซ้าย ทั้งสองพระองค์ไม่มีพระราชโอรสพระธิดาด้วยกัน แต่มีบันทึกว่า สมเด็จพระจักรพรรดิโปรดที่จะเสด็จไปพบสมเด็จพระจักรพรรดินีแทบทุกวัน เดือนเมษายน ค.ศ. 1914 เมื่อพระนางสรรคตก็ได้รับพระราชทานพระสมัญญานามเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเคน

เจ้าชายอิวะกุระ เจ้าชายซันโจ กับคิโดะ ทะคะโยะชิ แห่งโจชู และคนสำคัญอื่นๆ ในสมัยฟื้นฟูพระราชอำนาจได้ร่วมกันร่างพระราชโองการและพระราชกฤษฎีกาฉบับแรกในรัชสมัยเมจิขึ้น เช่น สัตยาบันแห่งคณะปฏิรูป ที่ประกาศเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1868 เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย และมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า

" จงค้นคว้าและรวบรวมวิทยาการทั้งหลายทั่วโลก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่การปกครองแผ่นดินแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิ "

การที่สมเด็จพระจักรพรรดิไม่ได้เสด็จออกนอกนครเคียวโตะเลยตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1867 จนกระทั่งได้เสด็จไปยังนครโอซะกะในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1868 ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ต้องใช้พระวิริยอุตสาหะยาวนานเพียงใด กว่าจะล่วงพ้นวิสัยทัศน์อันคับแคบของเหล่าข้าราชการในช่วงต้นรัชสมัยไปได้ โลกทัศน์ของพระองค์ขยับขยายอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1868 หลังจากที่คณะรัฐบาลแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปยังนครโตเกียว สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปยังนครหลวงใหม่เป็นครั้งแรก ไพร่พลในขบวนเสด็จครั้งนั้นมีจำนวนถึง 3,300 ชีวิต ระหว่างทางได้ทอดพระเนตรดูผืนน้ำทะเลเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน

เหตุการณ์นี้ทำให้คิโดะ ทะกะโยะชิ ที่โดยเสด็จอยู่ด้วยบันทึกไว้ว่า

"ข้าพเจ้าตื้นตันจนมีน้ำตา เมื่อตระหนักว่านี่คือจุดเริ่มต้นแห่งยุคสมัยที่พระบรมเดชานุภาพจะได้แผ่ไปทั่วโลกอันไพศาล"

ครั้นขบวนเสด็จถึงกรุงโตเกียวในวันที่ 5 พฤศจิกายน พสกนิกรมากมายหลายหมื่นมาเฝ้ารอรับเสด็จอยู่ทั้งสองข้างทาง เพื่อถวายความจงรักภักดี พร้อมกันนั้น พระราชยานประดับรูปไก่ฟ้าทองคำก็เคลื่อนตรงไปยังปราสาทเอะโดะ อดีตที่พำนักของโชกุนที่จะใช้เป็นที่ประทับ อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1869 สมเด็จพระจักรพรรดิเสด็จกลับไปยังเคียวโตะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะเสด็จมาประทับที่โตกียวเป็นการถาวรในอีก 2 เดือนต่อมา


การเมืองการปกครองตอนต้นรัชกาล

เหตุผลหลักที่ผู้นำคนสำคัญในรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอกุโบะ โทะชิมิจิ และไซโง ทะคะโมะริ แห่งแคว้นซะสึมะ กราบทูลเชิญสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิไปยังโตเกียว ก็เพื่อผลักดันให้สมเด็จพระจักรพรรดิพระประมุขเป็นอิสระจากแนวคิดและลักษณะอนุรักษนิยมของชาวเคียวโตะ ค.ศ. 1871 ไซโกได้ทูลเกล้าฯ ถวายเสนอแผนปฏิรูปโดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

อันดับแรก เพื่อลดจำนวนนางกำนัลที่คอยถวายรับใช้พระจักรพรรดิลง เขาชี้แจงว่านับแต่อดีตมาจนบัดนั้น พวกนางมักจะมีอิทธิพลครอบงำวังหลวงมากเกินไป

อันดับที่สอง เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลต่างๆ ทั้งฝ่ายทหารตั้งแต่ชั้นนักรบสามัญหรือซามูไรขึ้นไป และผู้ที่สืบเชื้อสาย หรือสืบความรู้ทางการปกครอง ได้เข้าทำงานและรับพระราชทานตำแหน่งสูงๆ ตามความเหมาะสมภายในวังหลวงได้

อิทธิพลการศึกษาแบบอนุรักษนิยมส่งผลให้สมเด็จพระจักรพรรดิทรงคัดค้านแผนปฏิรูปเหล่านี้ ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯให้ประกาศเป็นพระราชโอการได้ในค.ศ. 1872 ไม่ช้า สมเด็จพระจักรพรรดิก็สนิทสนมกับไซโกเป็นพิเศษ เขาสนับสนุนให้ทรงม้าเพื่ออกกำลังเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่พระวรกาย และ ส่งเสริมให้มีความสนพระทัยในการทหารในฐานะที่ทรงเป็นจอมทัพ สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิโปรดการออกตรวจกำลังพล ที่ส่วนใหญ่มาจากเมืองโชชูและซะสึมะ เรียกว่า โกะชิมเป (ทหารราชองค์รักษ์) จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1871






003. สมเด็จพระจักรพรรดินีโชเคน

พระราชวงศ์

พระอัครมเหสีและพระสนม

สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระจักรพรรดินีฮะรุโกะ ซึ่งต่อมาเมื่อสวรรคตได้รับการสถาปนาเป็น "สมเด็จพระจักรพรรดินีโชเคน" แต่ไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาด้วยกัน เนื่องจากพระพลานามัยของสมเด็จพระจักรพรรดินีไม่เอื้ออำนวย แต่มีพระราชโอรส-ธิดาทั้งสิ้น 15 พระองค์ โดยประสูติจากพระสนมทั้งหมด โดยมีรายนาม พระมเหสี และพระสนม ดังนี้

พระอัครมเหสี

: สมเด็จพระจักรพรรดินีฮะรุโกะ (พระนามเดิม เจ้าหญิงอิชิโจ มะซะโกะ ต่อมาคือ เจ้าหญิงอิชิโจ ฮะรุโกะ)


พระสนม

พระสนมมิสึโกะ (1853-1873)

พระสนมนะสึโกะ ฮะชิโมะโตะ (1856–1873)

พระสนมนะรุโกะ ยะนะงิวะระ (1855–1943)

พระสนมโคโทะโกะ ชิงุซะ (1855–1944)

พระสนมซะชิโกะ โซโนะ (1867–1947)





004.ภาพราชวงศ์ญี่ปุ่นในสมัยเมจิ

พระราชโอรส และพระราชธิดา

แม้ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิและสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเคนจะไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาด้วยกัน แต่สมเด็จพระจักรพรรดิก็มีพระโอรส-ธิดาประสูติจากพระสนม ทั้งสิ้น 15 พระองค์ คือ

1.เจ้าชาย (ไม่ปรากฏพระนาม) ประสูติ 18 กันยายน พ.ศ. 2416 และสวรรคตในวันเดียวกัน ประสูติแด่พระสนมมิตสึโกะ

2.เจ้าหญิง (ไม่ปรากฏพระนาม) ประสูติ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2419 และสวรรคตในวันเดียวกัน ประสูติแด่พระสนมนัตสึโกะ

3.เจ้าหญิงอุเมะ ประสูติ 25 มกราคม พ.ศ. 2421 หรือ เจ้าหญิงชิเงโกะ ประสูติแด่พระสนมนะรุโกะ

4.เจ้าชายโยชิฮิโต ประสูติ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2422 หรือต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิไทโช ประสูติแด่พระสนมนะรุโกะ

5.เจ้าชายทะเกะ ประสูติ 23 กันยายน พ.ศ. 2423 หรือ เจ้าชายยูกิฮิโตะ ประสูติแด่พระสนมนะรุโกะ

6.เจ้าหญิงชิเงะ ประสูติ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2427 หรือ เจ้าหญิงอะกิโกะ ประสูติแด่ พระสนมโคโทะโกะ

7.เจ้าหญิงมะสุ ประสูติ 26 มกราคม พ.ศ. 2429 หรือ เจ้าหญิงฟูมิโกะ ประสูติแด่พระสนมโคโทะโกะ

8.เจ้าหญิงฮิสะ ประสูติ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2432 หรือ เจ้าหญิงชิซึโกะ ประสูติแด่พระสนมซะชิโกะ

9.เจ้าชายอะกิ ประสูติ พ.ศ. 2433 หรือ เจ้าชายมิชิฮิโตะ ประสูติแด่พระสนมซะชิโกะ

10.เจ้าหญิงทะซุเนะ ประสูติ 30 กันยายน พ.ศ. 2434 หรือ เจ้าหญิงมะซะโกะ ประสูติแด่พระสนมซะชิโกะ

11.เจ้าหญิงคะเนะ ประสูติ 28 มกราคม พ.ศ. 2436 หรือ เจ้าหญิงฟุซะโกะ ประสูติแด่พระสนมซะชิโกะ

12.เจ้าหญิงฟุมิ ประสูติ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2437 หรือ เจ้าหญิงโนบุโกะ ประสูติแด่พระสนมซะชิโกะ

13.เจ้าชายมิสุ ประสูติ พ.ศ. 2439 หรือ เจ้าชายเทรุฮิโตะ ประสูติแด่พระสนมซะชิโกะ

14.เจ้าหญิงยะสุ ประสูติ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2442 หรือ เจ้าหญิงโทชิโกะ ประสูติแด่พระสนมซะชิโกะ

15.เจ้าหญิงซะดะ ประสูติ พ.ศ. 2443 หรือ เจ้าหญิงทะคิโกะ ประสูติแด่พระสนมซะชิโกะ







005.สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ เมื่อปีพ.ศ. 2427


พระอาการประชวรและการเสด็จสวรรคต

ในช่วงปลายรัชกาล พระจักรพรรดิทรงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับโรคเบาหวาน และโรคไบร์ท (โรคไตอย่างหนึ่ง) ที่พระอาการมีแต่ทรุดลง จนในรัฐพิธีหลายวาระ สมเด็จพระจักรพรรดิทรงอ่อนเพลียอย่างหนักให้ผู้คนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งในปีที่พระองค์เสด็จสวรรคตก่อนฤดูร้อนปี พ.ศ. 2455นั้น ก็ยังไม่มีสัญญาณบอกเหตุว่าจะเสด็จสรรคตในปีเดียวกันนั้น

เดือนมกราคมปี พ.ศ. 2455 พระจักรพรรดิเสด็จร่วมงานประกวดกวีนิพนธ์ในวันปีใหม่ที่จัดขึ้นในพระราชวังเป็นประจำอย่างเช่นทุกปีเช่นที่เคยทรงปฏิบัติมา

เดือนกุมภาพันธ์ สมเด็จพระจักรพรรดิทรงพระประชวร แต่ไม่นานพระอาการก็ดีขึ้น สามารถทรงงานตามหมายงานที่กำหนดได้ตามปรกติเป็นต้นว่า

วันที่ 30 พฤษภาคม เสด็จไปร่วมพิธีสำเร็จการศึกษาของโรงเรียนเตรียมทหารในสังกัดกองทัพบก ทรงตรวจแถวนักเรียนที่เพิ่งจบ และพระราชทานปริญญาบัตร

วันที่ 28 มิถุนายน เสด็จออกต้อนรับนายชาร์ล วิลเลี่ยม เอลเลียต อดีตอธิการบดีประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีแขกผู้มีเกียรติทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างประเทศมาร่วมด้วย

แต่ในวันที่ 10 กรกฎาคม ขณะเสด็จไปยังมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียลเพื่อพระราชทานปริญญาบัตรในพิธีสำเร็จการศึกษา สมเด็จพระจักรพรรดิทรงรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง และทรงพระดำเนินขึ้นบันไดได้อย่างยากเย็น ซึ่ง 5 วันต่อมาขณะกำลังจะประทับในที่ประชุมสภาองคมนตรี พระวรกายเกิดอาการสั่นอย่างแรง ระหว่างการประชุมก็ทรงเผลอหลับไปกับที่ประทับ สีพระพักตร์บอกได้ว่าเพลียหนักอย่างชัดเจน

วันที่ 19 เดือนเดียวกัน ได้เสด็จไปประทับที่โต๊ะทรงพระอักษร แต่ทรงเหนื่อยเกินกว่าจะทรงงานใดๆได้ และขณะกำลังจะประทับยืนขึ้นนั่นเอง ทรงล้มลง บรรดาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโตเกียวแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิถูกเรียกตัวมาช่วยคณะแพทย์หลวงถวายการรักษาอย่างเร่งด่วน ซึ่งรัฐบาลได้ตัดสินแถลงข่าวให้สาธารณชนได้รับทราบในทันที

ระยะเวลาหลายวันต่อจากนั้น หนังสือพิมพ์ต่างพากันรายงานถึงพระอาการอย่างละเอียด ทั้งพระอัตราชีพจรที่อ่อนลงเรื่อยๆ และการทำงานเสื่อมทรุดลงของอวัยวะต่างๆ ประชาชนต่างสวดอธิษฐานให้สมเด็จพระจักรพรรดิหายประชวร มหาชนมารวมตัวกันอยู่รายรอบพระราชวัง หลายคนคุกเข่าหรือหมอบกราบอยู่กับพื้น

ท้ายที่สุดสมเด็จพระจักรพรรดิเสด็จสวรรคตด้วยอาการพระหทัยวาย เมื่อเวลา 0.43 นาฬิกา ของวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 พระชนมายุได้ 60 พรรษา ณ พระราชวังโตเกียว




006.ขบวนพระบรมศพ


ภายหลังการสวรรคต

ชาติทั้งชาติจมหายไปในความรู้สึกสูญเสียที่ท่วมท้น

นักเขียนนวนิยายโทคุมิ โรกะ บรรยายไว้ว่า

" การสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิได้ปิดบันทึกประวัติศาสตร์ในรัชสมัยเมจิลงแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกราวกับว่าแม้ชีวิตของตัวเองก็ถูกปลิดหลุดจากขั้ว"

ยะมะงะตะเองก็สะเทือนใจ จนถ่ายทอดออกมาในบทกวีว่า

"แสงฟ้า วันนี้ ดับลงแล้ว ปล่อยให้โลก มิดมืด"

คืนวันที่ 13 กันยายน ประชาชนต่างยืนเบียดเสียดกันรอรับขบวนเสด็จอย่างเงียบๆ ขณะที่หีบบรรจุพระบรมศพบนพระราชยานเทียมโคเคลื่อนผ่านเสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงกงล้อบดเบาๆไปบนพื้นทรายกับเสียงเอียดอาดของเพลารถ พอขบวนแห่เคลื่อนไปถึงศาลาพระราชพิธีที่สร้างขึ้นบนลานสวนสนามโอะยะมะที่เตรียมไว้สำหรับวาระนี้โดยเฉพาะ โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิไทโช จักรพรรดิพระองค์ใหม่ มีพระราชดำรัสสรรเสริญสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ เจ้าชายไซองจิ นายกรัฐมนตรี และวะตะนะเบะ ชิอะกิ สมุหราชมนเทียร ก็ได้กล่าวคำสรรเสริญแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิด้วยเช่นกัน

วันที่ 15 กันยายน ได้อัญเชิญพระบรมศพจากกรุงโตเกียว ไปสู่นครเคียวโตะโดยทางรถไฟเพื่อประกอบพิธีฝังพระบรมศพไว้ที่สุสานหลวงโมะโมะยะมะ เขตฟุจิมิ เหตุการณ์เดียวที่ทำให้ช่วงเวลาที่คนทั้งชาติกำลังโศกเศร้าและไว้ทุกข์ต้องสะดุดไปคือข่าว นายพลโมงิ หนึ่งในวีรบุรุษจากสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น พร้อมด้วยภริยา กระทำพิธีอัตวินิบาตกรรมภายในบ้านพักของตัวเองเมื่อวันที่ 13 กันยายน

สำหรับชาวญี่ปุ่นหลายคน การตายของนายพลโมงิ กระตุ้นให้พวกเขาหวนรำลึกถึงประเพณีปฏิบัติของซะมุไรในยุคกลางที่จะตามเจ้านายของตนไปยมโลกด้วยความจงรักภักดี แต่สำหรับคนอื่นๆการตายของโมงิกลับเป็นเรื่องหลงยุคหลงสมัย และขัดกับเจตนารมณ์ที่ต้องการพาญี่ปุ่นเข้าสู่การเป็นสมัยใหม่ที่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิทรงเป็นสัญลักษณ์

ในฐานะที่ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่ปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชน และมีพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ให้ชมพระบารมีแทนสมเด็จพระบรมสาทิสลักษณ์เช่นในสมัยก่อน ต้องนับว่าสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิมีพระบุคลิกภาพที่เด็ดขาด เปี่ยมด้วยพระราชอำนาจยิ่ง โดยรวมแล้ว พระราชจริยวัตรที่งามสง่าของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ส่งให้ทรงเป็นจักรพรรดิของญี่ปุ่นยุคใหม่เพียงพระองค์เดียวที่เรียกได้ว่าทรงพระบรมเดชานุภาพ อย่างแท้จริง

ในปี พ.ศ. 2456 รัฐสภาได้ตัดสินใจสร้างพระอารามแห่งหนึ่งขึ้นที่เขตโยโยงิ กรุงโตเกียว เพื่ออุทิศถวายแด่ดวงพระวิญญาณ เป็นการประโลมจิตใตและบรรเทากระแสจงรักภักดีแบบสุดโต่งของประชาชาชนลงบ้าง ก่อนที่พระอารามจะสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2463 หนุ่มสาวหลายพันคนอาสาเข้าช่วยก่อสร้างพระอาราม และปลูกต้นไม้ที่นำมาจากทุกภาคของประเทศให้เต็มพื้นที่สวนอันกว้างขวางโดยรอบ ความเทิดทูนบูชาในสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิของพวกเขายังคงมีสูง โดยมีรายงานว่า หญิงสาวบางคนแสดงความประสงค์ที่จะถูกฝังทั้งเป็นใต้พระอารามก่อนสร้างเสร็จ โชคดีที่มีคนเกลี้ยกล่อมให้หญิงสาวเหล่านั้นตัดปอยผมของตนถวายแทน.


อ้างอิง

Sidney Devere Brown and Akiko Hirota, 'The Diary of Kido Takayoshi', 3 vois., Tokyo: University of Tokyo Press, 1983-86

Herschel Webb, 'The Japanese Imperial Institution in the Tokugawa Period', New York: Columbia University Press, 1968


ที่มา : //th.wikipedia.org/wiki/

----------------------------------------------------------------

Re-report by Moonfleet




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2556
0 comments
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2556 10:30:19 น.
Counter : 5804 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


moonfleet
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




ไม่มีสิ่งใดจะเกิดขึ้นมาได้ หากไม่เคยเป็นความฝันมาก่อน
New Comments
Friends' blogs
[Add moonfleet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.