Group Blog
 
All Blogs
 
ขบถพลเรือน

เสี้บวสามก๊ก

ขบถพลเรือน

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ขบวนการที่จะยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน จะเรียกว่าปฏิวัติ รัฐประหาร หรือปฏิรูป หรือเรียกว่าอะไรก็ตาม ถ้ามีทหารเป็นหัวหน้า ก็มักจะสำเร็จเรียบร้อยได้ไม่ยากนัก แต่ถ้าเป็นพลเรือนแล้วน้อยรายที่จะสำเร็จ ส่วนมากจะกลายเป็นขบถไปเสียแทบทั้งนั้น ในบ้านเมืองยุคสามก๊กก็เช่นเดียวกัน ขุนนางฝ่ายพลเรือนหรือฝ่ายบุ๋น ที่ไม่ชอบการบริหารของท่านมหาอุปราชโจโฉ ก็คิดจะยึดอำนาจคืนให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮ่องเต้วัยรุ่นที่เป็นเหมือนหุ่นของโจโฉ ที่จะเชิดเล่นได้ตามอำเภอใจ ตัวหัวหน้าใหญ่นั้นก็คือ ตังสิน พี่ชายของนางตังกุยหุย พระสนมเอกของพระเจ้าเหี้ยนเต้นั่นเอง

วันหนึ่งมีรับสั่งให้ตังสินเข้าไปเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ในตอนกลางคืน เมื่อตังสินถวายบังคมแล้ว ทรงมีรับสั่งว่า พระองค์กับนางฮกเฮามเหสีมีความคิดถึง เมื่อครั้งที่ตังสินพาทั้งสองพระองค์ หนีไปให้พ้นเงื้อมมือของลิฉุยกุยกี ซึ่งเป็นพรรคพวกของตั๋งโต๊ะ ก่อนที่โจโฉจะยกกองทัพมาช่วยปราบปรามให้ราบคาบไป และพระราชทานเสื้อให้กับตรัสว่า

“…….ความชอบท่านมีเป็นอันมาก เราจึงเอาเสื้อผืนนี้ให้เป็นบำเหน็จ…..ถ้าไปถึงบ้านแล้ว จงเอาหนังสือในกลีบเสื้อออกซ่อนอ่านดู แม้เห็นความทุกข์ของเรา จงเร่งคิดการให้สำเร็จ อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้…….”

ตังสินก็รับเอาเสื้อใส่คลุมเสื้อตัวเก่า แล้วกราบถวายบังคมลาออกจากประตูวัง ก็เจอโจโฉเข้าอย่างจัง โจโฉก็ซักถามถึงเรื่องเสื้อตัวใหม่ที่ได้รับพระราชทานมาหมาด ๆ แล้วก็ให้ ตังสินถอดออกมาให้ดู เมื่อตรวจดูทั้งข้างนอกข้างในไม่เห็นพิรุธ จึงเอามาสวมใส่แล้วก็ขอเอาดื้อ ๆ ตังสินทำใจเย็นบอกว่า

“……เสื้อนี้เป็นของพระราชทาน ซึ่งข้าพเจ้าจะให้ท่านนั้นไม่ควร ถ้าท่านจะต้องประสงค์แล้ว จะเอาไว้ก็ตามเถิด……..”

โจโฉก็ไม่กล้าเอาจริง จึงถอดเสื้อคืนให้ตังสินไป เมื่อตังสินมาถึงบ้านแล้วเข้าไปในห้องนอน เอาเสื้อมาพิจารณาดูก็เห็นแพรขาวบุอยู่ชั้นใน จึงเลาะออกก็เห็นลายพระหัตถ์ ทรงพระอักษรไว้ มีความว่า

แต่โจโฉเข้ามาอยู่เมืองหลวงได้สี่ปีแล้ว ทำการหยาบช้าต่าง ๆ จะตั้งขุนนางและลงโทษผู้ใด ก็มิได้ยำเกรงบอกกล่าวให้เรารู้ สุดที่จะอดกลั้นทนทานได้ เราจึงเอาโลหิตในนิ้วมือ เขียนอักษรเป็นความลับมาให้แจ้ง แม้ตังสินเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญา ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ก็ให้ชักชวนกันทำการกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ ตัวเราแลขุนนางกับราษฎรทั้งปวง จะได้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป

ตังสินอ่านแล้วก็คิดอยู่ตลอดคืน จนนอนไม่หลับ จนเช้าวันรุ่งขึ้นก็ถือแพรขาวนั้นไปดูในห้องหนังสือ หาหนทางที่จะกำจัดโจโฉตามรับสั่ง แต่ก็ยังไม่เห็นช่องทางประการใด จนเพลียด้วยอดนอนจึงหลับไปคาโต๊ะหนังสือนั้นเอง

เมื่อจูฮกขุนนางซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตังสินมาหา ก็ถือโอกาสเดินเข้าไปในห้องหนังสือ เห็นตังสินนั่งหลับอยู่ มีแพรขาวแลบออกมาที่มือเสื้อ จึงหยิบมาอ่านดูจนรู้ความแล้ว ก็ปลุกตังสินให้ตื่นขึ้น จูฮกก็ว่าจะคิดร้ายต่อโจโฉหรือ ตนจะไปแจ้งให้โจโฉทราบ ตังสินได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนตัวสั่น ดังหนึ่งชีวิตจะออกจากกาย จึงว่า

“……ซึ่งท่านจะไปบอกโจโฉนั้น ใช่จะตายแต่ตัวเราหามิได้ เหมือนหนึ่งท่านแกล้งฆ่าชีวิตพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียด้วย……..”

จูฮกจึงบอกว่าอย่ากลัวเลย เพียงแต่ลองใจดูเท่านั้น ตนเองก็เป็นข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งใจทำราชการโดยสุจริต แต่ขัดสนด้วยยังหาผู้ใดเป็นหัวหน้ามิได้ ถ้าตังสินคิดจะกำจัดโจโฉ ก็จะขออาสาร่วมคิดด้วย พอดีมีเพื่อนอีกสองคนคือ ตันอิบกับโงห้วนซึ่งเป็นขุนนางพลเรือน มาหาตังสินในเวลานั้น ทั้งสองจึงชวนเข้าเป็นพวกด้วย แล้วเอาอักษรลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ออกมาให้ดู ตันอิบกับโงห้วนก็เต็มใจที่จะร่วมมือ จูฮกจึงไปชวนจูลันเพื่อนอีกคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องนี้ ทุกคนก็ร่วมใจกันเป็นอันเดียว ด้วยการลงชื่อไว้เป็นสัญญาทั้งห้าคน แล้วตังสินก็จัดโต๊ะอาหารมาตั้ง และเสพสุราสาบานไว้ต่อกัน ว่าจะมิเอาเนื้อความเรื่องนี้ไปแพร่งพราย

วันหนึ่งม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียง ซึ่งมาราชการในเมืองหลวง ได้มาหาตังสินในขณะที่กำลังนั่งกินโต๊ะปรึกษาหารือกันอยู่ กับเพื่อนร่วมสาบานอีกสี่คน ม้าเท้งก็ปรารภถึงการที่โจโฉกระทำหยาบช้าต่อฮ่องเต้ ตังสินก็ทำเป็นตกใจว่า

“……..เหตุไฉนท่านจึงเอาความนี้มาเจรจา ทุกวันนี้โจโฉเป็นมหาอุปราช สำเร็จราชการช่วยบำรุงแผ่นดิน แลท่านมาเจรจาดังนี้ถ้ามีผู้รู้เห็นเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ เราจะมิพากันตายเสียหรือ……”

ม้าเท้งจึงว่าถ้าตังสินยังนับถือว่าโจโฉเป็นคนดี ก็นับว่าเป็นคนสอพลอรักแต่ชีวิต ไม่คิดที่จะบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข จงค่อยอยู่ต่อไปเถิด ตนจะขอลาไปก่อนแล้ว ตังสินจึงบอกกับ ม้าเท้งตามตรงว่า พวกตนก็กำลังจะคิดกำจัดโจโฉอยู่เหมือนกัน แล้วก็เอาผ้าแพรเขียนอักษรของฮ่องเต้มาให้ดู ม้าเท้งก็ยินดีร่วมมือด้วยและว่า

“……เร่งคิดอ่านกระทำการในนี้เถิด เราจะกลับไปเมืองเสเหลียง จึงจะยกทหารมาช่วยกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียให้จงได้……”

ตังสินจึงให้ม้าเท้งลงชื่อ และกระทำสัตย์สาบาน เป็นคนที่หก และว่าการซึ่งจะบำรุงแผ่นดินครั้งนี้เห็นจะสำเร็จ เพราะม้าเท้งเป็นเจ้าเมืองใหญ่มีกำลังทหารเข้มแข็ง ม้าเท้งก็คิดถึงผู้มีฝีมืออีกคนหนึ่ง จึงว่าเล่าปี่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ เหตุใดจึงมิได้ชวนมาคิดการด้วย ตังสินก็บอกว่าเล่าปี่นั้น เป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่ตกอยู่ในอำนาจของโจโฉ จึงมิได้ไว้วางใจ ม้าเท้งก็ยืนยันว่า เล่าปี่เองก็ไม่ชอบโจโฉเช่นกัน แต่เกรงอำนาจโจโฉจึงนิ่งอยู่ สมควรจะไปพูดจาชักชวนดูเถิด

ในที่สุดตังสินก็ไปชักชวนให้เล่าปี่ ลงชื่อเข้าพวกด้วยเป็นคนที่เจ็ด แต่โจโฉซึ่งคอยระแวงเล่าปี่อยู่แล้ว ได้เรียกตัวมาลองใจดู จนเล่าปี่กลัวความแตก จึงหาอุบายหลอกโจโฉยกทหารออกไปปราบปรามอ้วนสุด แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ส่วนม้าเท้งก็รีบกลับไปเมืองเสเหลียง แต่ก็หาได้ยกกองทัพมาดังที่ให้สัญญาไว้ไม่ เวลาล่วงไปนานเข้าตังสินกับเพื่อนอีกสี่คน ก็จนด้วยความคิดเพราะไม่มีกำลังทหารในมือ ที่จะทำการกำจัดโจโฉ ซึ่งมีอำนาจและกำลังมหาศาลได้

ลงท้ายตังสินก็ล้มป่วยลง ฮ่องเต้ทรงพระวิตกจึงให้เกียดเป๋งหมอหลวงมารักษา แต่ตรวจดูแล้วก็ไม่เห็นว่าตังสินป่วยเป็นโรคอะไร วันหนึ่งตังสินชวนเกียดเป๋งนอนค้างอยู่ด้วยกัน ก่อนนอนก็กินโต๊ะเสพสุราจนเมาแล้วก็นอนหลับไป ตังสินก็ฝันว่าอ้วนเสี้ยวกับเล่าปี่คุมทหารสิบหมื่นยกมาทางใต้ และม้าเท้งคุมทหารหลายสิบหมื่นมาทางเหนือ โจโฉต้องให้กองทัพออกไปต่อต้านจนหมดสิ้น ตนเองกับเพื่อนร่วมคิดอีกสี่คนคุมทหารพันเศษ ไปถึงบ้านโจโฉเห็นโจโฉนั่งเสพสุราอยู่ จึงเอากระบี่ฟันโจโฉศรีษะขาดกระเด็น และมีความยินดีที่ทำการสำเร็จ จึงร้องด่าโจโฉอยู่จนกระทั่งตกใจตื่น

เกียดเป๋งซึ่งนอนอยู่ด้วยกัน ได้ยินตังสินละเมอด่าโจโฉ ก็รู้ว่าตังสินคิดร้ายต่อโจโฉ อยู่ในใจจนป่วยไข้ จึงขอให้บอกความที่คิดไว้ให้แจ้งเถิด ถ้าตนพอจะช่วยได้ก็จะรับอาสา ตังสินยังไม่ไว้ใจ เกียดเป๋งก็ตัดนิ้วมือเอาโลหิตปนสุราดื่มสาบานว่า ถ้าตนหลอกลวงก็ขอให้เป็นอันตรายด้วยคมอาวุธต่าง ๆ ตังสินก็ร้องไห้เล่าความที่ร่วมคิดกับเพื่อนฝูงให้ฟัง และเอาผ้าแพรลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ให้ดู เกียดเป๋งก็รับอาสาจะวางยาพิษ ให้โจโฉถึงแก่ความตายจนได้

แต่เรื่องทั้งหลาย ที่ตังสินคิดว่าเป็นความลับนั้น เคงต๋องบ่าวคนสนิทได้ล่วงรู้จนหมดสิ้น เมื่อถูกตังสินจับได้ว่าลอบเป็นชู้กับภรรยาน้อยของตังสิน และถูกลงโทษเฆี่ยนตีอย่างหนัก เคงต๋องจึงหนีออกจากที่คุมขัง ไปหาโจโฉและเล่าเรื่องที่ตนรู้ให้โจโฉทราบทุกประการ

โจโฉจึงวางแผนซ้อนกลเกียดเป๋ง ทำเป็นป่วยแล้วให้เกียดเป๋งไปรักษา เกียดเป๋งก็ผสมยาพิษจะให้โจโฉกิน โจโฉไม่ยอมกินเกียดเป๋งก็ปล้ำจะกรอกยา โจโฉจึงปัดถ้วยยาตกแตก เห็นได้ชัดว่าเป็นยาพิษ โจโฉจึงให้ทหารยี่สิบคนจับเกียดเป๋ง เอาไปทรมานที่ในสวนดอกไม้ จะให้ยอม สารภาพ หมอเกียดเป๋งก็ว่า

“……ตัวมึงทำหยาบช้าเป็นศัตรูราชสมบัติ ซึ่งกูคิดทำการทั้งนี้ ใช่จะมีผู้ใดสั่งสอนกูหาไม่ ด้วยเหตุว่าแผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า กูจึงคิดฆ่ามึงเสีย ถึงคนทั้งปวงก็หมายใจจะล้างชีวิตมึงเสียให้ได้ แต่หากว่าเกรงอยู่ด้วยจะทำการไม่ตลอด ชีวิตกูจะตาย มึงจะมาถามเซ้าซี้ไปไย…..”

โจโฉกลัวว่าเกียดเป๋งจะตายเสีย จึงให้เอาตัวไปขังไว้ก่อน รุ่งขึ้นจึงเชิญขุนนางไปกินโต๊ะที่บ้าน แต่ตังสินนั้นบอกป่วย โจโฉก็เอาตัวเกียดเป๋งมาเฆี่ยนตีซักถาม ต่อหน้าขุนนางอีกครั้ง ผู้ร่วมคิดกับตังสินทั้งสี่คนก็ไม่ค่อยเป็นสุข อุปมาดั่งนั่งอยู่บนขวากหนาม แต่หมอเกียดเป๋งก็ไม่ยอมซัดทอดผู้ใดเช่นเคย โจโฉรู้ตัวผู้ร่วมคิดจากปากของเคงต๋องแล้ว จึงกักตัวเพื่อนของตังสินทั้งสี่คนไว้สอบสวน เมื่อไม่มีใครรับก็เอาไปใส่คุกไว้ก่อน ถ้าได้ความจริงเมื่อไรจะได้ฆ่าเสียพร้อมกัน

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งโจโฉก็พาทหารไปที่บ้านตังสิน เล่าเรื่องที่หมอเกียดเป๋งคิดร้าย จะวางยาพิษตนแต่ไม่สำเร็จ ตังสินก็ว่าตนไม่รู้เรื่อง โจโฉก็ให้เอาตัวเกียดเป๋งมาเฆี่ยนตีต่อหน้าตังสินอีก เกียดเป๋งก็ไม่รับเช่นเดิม โจโฉจึงถามว่า

“…..เดิมนิ้วมือของมึงนั้นครบสิบนิ้ว เหตุใดยังอยู่แต่เก้านิ้ว……”

หมอเกียดเป๋งตอบว่า

“…..กูตัดนิ้วมือออก สาบานว่าจะฆ่ามึงเสียให้จงได้…..”

โจโฉจึงให้ทหารตัดนิ้วมือที่เหลือเสียทั้งหมด แล้วว่า

“…..มึงตัดนิ้วเสียนิ้วเดียว จึงทำร้ายกูไม่ได้ บัดนี้กูให้ตัดเสียอีกเก้านิ้ว มึงเร่งคิดการทำร้ายกูให้สำเร็จเถิด…..”

หมอเกียดเป๋งยอดทรหดก็สวนว่า

“……ปากกูยังมี ลิ้นกูพอจะด่าแม่มึงได้อยู่อีก…..”

โจโฉก็ไวพอกัน จึงสั่งให้ทหารตัดลิ้นเกียดเป๋งเสีย คราวนี้เกียดเป๋งร้องว่าจะยอมบอกความลับให้ โจโฉจึงให้แก้มัดออก เกียดเป๋งก็คุกเข่าหันหน้าไปทางทิศพระราชวัง กราบถวายบังคมฮ่องเต้ แล้วก็เอาศรีษะฟาดกับเสาศิลา จนศรีษะแตกตาย โจโฉก็โกรธที่ไม่ได้ฆ่าศัตรูด้วยตนเอง จึงให้ทหารเชือดเนื้อเกียดเป๋งออกเป็นชิ้น ๆ และตัดศรีษะตระเวนไปเสียบประจานไว้

แล้วโจโฉก็ให้ทหารเข้าไปค้นบ้านตังสินให้ทั่ว จนได้แพรขาวลายพระหัตถ์เขียนด้วยโลหิต พร้อมกับชื่อของผู้ร่วมคิดทั้งแปดคนมาได้ จึงพาตัวตังสินมาที่บ้านของตน แล้วปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า จะเนรเทศพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชสมบัติ แล้วหาเชื้อพระวงศ์ที่มีสติปัญญา มาตั้งให้เป็นฮ่องเต้แทน จะเห็นประการใด

ที่ปรึกษาก็ท้วงว่าทุกวันนี้โจโฉทำการสิ่งใด ก็ถือเอารับสั่งของฮ่องเต้เป็นประมาณ ขุนนางและหัวเมืองจึงยำเกรง ถ้าถอดฮ่องเต้ออกขณะนี้ บ้านเมืองจะเป็นลุกเป็นไฟ หัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงจะรวมกันยกมาทำอันตราย เห็นจะได้ความขัดสน

โจโฉก็เห็นด้วยจึงให้จับบุตรภรรยา และพรรคพวกของตังสิน กับขุนนางผู้ร่วมก่อการร้าย ด้วยความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ จนกลายเป็นขบถทั้งหมด รวมทั้งนางตังกุยหุยสนมเอก จำนวนประมาณเจ็ดร้อยคน ไปประหารชีวิตเสียที่นอกเมืองฮูโต๋ จนหมดสิ้นทั้งหกโคตร

คณะของผู้ก่อการพลเรือน ที่ฝ่ายทหารไม่มาตามนัด จึงถึงที่สุดลงอย่างน่าสลดใจ ดังนี้แล.


###########



Create Date : 11 กรกฎาคม 2559
Last Update : 11 กรกฎาคม 2559 13:48:41 น. 0 comments
Counter : 359 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.