Group Blog
 
All Blogs
 

ปิดท้าย

ปิดท้าย





 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 17:17:27 น.
Counter : 759 Pageviews.  

๕.๘ เจ้าเมืองผู้อับโชค



สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

เจ้าเมืองผู้อับโชค

"เล่าเซี่ยงชุน"

ในขบวนการที่คิดจะปฏิวัติรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลของมหาอุปราช แซ่โจซึ่งกระทำการหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ อันมีอยู่ด้วยกันแปดคนนั้นเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนหกคน ก็ถูก โจโฉ จับได้ให้เอาตัวไปประหารชีวิตพร้อมด้วยพรรคพวกลูกเมียทั้งหลาย หมดสิ้นเสี้ยนหนามไปแล้ว เล่าปี่ ก็หนีไปตั้งหลักที่เมืองชีจิ๋ว ไม่ได้หวนกลับมาเมืองฮูโต๋อีกเลย อีกคนหนึ่งก็คือ ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียงซึ่งเป็นเมืองบ้านนอกอยู่ไกลออกไปจากเมืองหลวงมาก และหนทางก็ทุรกันดารโจโฉจึงยังไม่ได้คิดบัญชี

ม้าเท้งคนนี้เมื่อสมัยที่โจโฉหนี ตั๋งโต๊ะ ออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งหลายให้ช่วยกันยกทัพมาปราบตั๋งโต๊ะนั้น ก็ยกทหารเข้ามาร่วมมือด้วย แต่ยังไม่ทันจะได้แสดงฝีไม้ลายมืออะไรกองทัพพันธมิตรทั้งสิบเจ็ดหัวเมือง ก็เกิดแก่งแย่งชิงดีอิจฉาริษยากันเองต่างก็ถอยทัพกลับบ้านไปหมด รวมทั้งม้าเท้งด้วย

ต่อมาเมื่อ ลิฉุย กุยกี ลิ่วล้อของตั๋งโต๊ะยกทหารมาแก้แค้นแทนนายจน
ได้ชัยชนะฆ่าอ้องอุ้น ขุนนางผู้ใหญ่ และขับไล่ ลิโป้ แตกหนีไปจากเมืองเตียงฮัน แล้วก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นทำการชั่วร้ายเลวทรามเช่นเดียวกับนายเก่านั้น ม้าเท้งก็ชวน หันซุย เจ้าเมืองเปงจิ๋วเพื่อนเกลอยกทหารเข้ามาจะช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้อีกครั้ง คราวนี้แม้จะสามารถยันทัพลิฉุยกุยกี ให้เข้าไปตั้งมั่นอยู่แต่ในเมืองได้และ ม้าเฉียว ลูกชายวัยรุ่นได้แสดงฝีมือกล้าหาญฆ่านายทหารของลิฉุยกุยกีได้ถึงสองคน แต่ยังไม่ทันจะเข้าตีเมืองเตียงฮันให้แตกได้ เสบียงก็หมดลงเสียก่อนเพราะเดินทางมาไกล เลยต้องยกทัพกลับตามเคย

คราวหลังเมื่อคบคิดกันกำจัดโจโฉไม่สำเร็จก็กลับมาฟังข่าวอยู่ที่เมืองเสเหลียง รอคอยอยู่ถึงห้าปีจนโจโฉยกทัพไปตีเล่าปี่แตกจากเมืองชีจิ๋วและตี อ้วนเสี้ยว แตกถึงสองหนแล้วกลับมาตีเล่าปี่แตกพ่ายไปอีกเป็นครั้งที่สอง สุดท้ายไปรบเมือง กังตั๋ง จึงเสียท่าจิวยี่ ถึงขั้นแตกทัพแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต้องกลับมาตั้งหลักที่เมือง ฮูโต๋ใหม่ จนมีกำลังเข้มแข็งเพียงพอที่จะยกทัพไปแก้แค้นเมืองกังตั๋งอีกครั้งโจโฉก็เกิดคิดขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้จัดการกับม้าเท้งจึงมีหนังสือรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้แต่งตั้งให้ม้าเท้งเป็นนายทหารใหญ่ฝ่ายใต้และจะให้ยกกองทัพไปรบ ซุนกวน ที่เมืองกังตั๋งแต่ให้เข้ามาร่วมปรึกษาราชการที่เมืองฮูโต๋ ซึ่งเป็นเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้ก่อน

ม้าเท้งก็ปรึกษากับลูกหลานว่าจะเอาอย่างไรกันดี เพราะเดิมเคยเป็นพวก ตังสินหัวหน้าขบถมือเปล่าซึ่งถูกตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรไปแล้ว ถ้าอยู่ที่เมืองเสเหลียงนี้ ก็คงไม่มีใครมาทำอันตรายได้ม้าเฉียวลูกชายคนโตก็บอกว่า โจโฉถือรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ถ้าไม่ไปอาจเป็นโทษภายหน้า จำเป็นจะต้องไปตามรับสั่ง ม้าต้าย ผู้เป็นหลานก็ท้วงว่าโจโฉอาจหลอกเอาไปทำร้ายก็ได้ ม้าเฉียวว่าถ้าอย่างนั้นจะขอยกทหารเป็นทัพหน้า ไปตีเมืองฮูโต๋ช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ตามที่บิดาคิดไว้เดิมก็ได้

ม้าเท้งก็ห้ามไว้ว่าอย่าเพิ่งวุ่นวายไปถึงขนาดนั้นเลย แล้วตัดสินใจให้ ม้าเฉียวกับหันซุยอยู่รักษาเมืองเสเหลียงส่วนตนเองพร้อมด้วย ม้าฮิว ม้าเทียดลูกชายอีกสองคนเป็นทัพหน้าม้าต้ายหลานชายเป็นทัพหลัง คุมทหารห้าพันไปฟังความดูก่อน เมื่อยกพลไปจนอีกสองร้อยเส้นจะถึงเมืองหลวงก็หยุดทัพรออยู่

โจโฉก็ให้ อุยกุ๋ย ออกไปบอกม้าเท้งว่ามีทหารมาด้วยเป็นอันมาก ถ้าเข้ามาในเมืองหลวงจะขัดสนเสบียงอาหาร ให้ตั้งรออยู่นอกเมืองก่อนจะเอาเสบียงไปส่งให้แล้วรับตัวม้าเท้งกับนายทหารผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ อุยกุ๋ยก็ออกไปพบ ม้าเท้งตามคำสั่งคำนับกันแล้วก็ชวนกันกินโต๊ะตามธรรมเนียม พอตึง ๆ เข้าไป อุยกุ๋ยก็เล่าว่าบิดาที่ชื่อ อุยก๋วน ก็ตายเสียตั้งแต่เมื่อครั้งลิฉุยกุยกียกทหารเข้าไปฆ่าอ้องอุ้น ที่ในวังยังแค้นไม่หายพอโจโฉยกทัพมาปราบปรามเสร็จแล้ว ก็ตั้งตัวเป็นศัตรูราชสมบัติอีก

ม้าเท้งกลัวจะเป็นอุบายก็ห้ามว่า อย่าพูดไปโจโฉหรือจะเป็นอย่างนั้นได้ ถ้ารู้ถึงหูมหาอุปราชเราก็จะพากันตายหมด อุยกุ๋ยก็ย้อนว่าลืมเรื่องที่พระเจ้าเหี้ยนเต้เขียนพระอักษรด้วยพระโลหิตครั้งนั้นแล้วหรือ อย่ามัวมาสงสัยกันอยู่เลย มีเรื่องอะไรก็ช่วยกันคิดดีกว่า

ม้าเท้งเห็นว่าอุยกุ๋ยคงจะไม่ล่อลวงแน่แล้วจึงยอมปรึกษาด้วย อุยกุ๋ยก็บอกให้รู้ว่าโจโฉจะหลอกเอาตัวไปฆ่าเพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งเข้าไปในเมือง รอให้โจโฉออกมากับทหารแต่น้อย จึงค่อยจับโจโฉฆ่าเสียแล้วอุยกุ๋ยก็ลากลับไปบอกโจโฉว่า ม้าเท้งเดินทางมาไกลยังเหน็ดเหนื่อยอยู่ขอพักก่อนวันหลังจะเข้ามาเฝ้า

แต่เมื่อกลับไปบ้านแล้วอุยกุ๋ยก็ไม่สบายใจกลัวเรื่องที่คิดไว้ไม่สำเร็จก็จะตายเสียเปล่า เมียหลวงเห็นอุยกุ๋ยมีท่าทางไม่สบายก็ปลอบถามถึงสามครั้งก็ไม่ยอมเล่า นางลิซุ่นเอี๋ยง ซึ่งเป็นภรรยาน้อยก็สังเกตเห็นเหมือนกัน แต่รายนี้ลอบเป็นชู้กันกับเบียวเต๊ก น้องชายเมียหลวงสงสัยแล้วก็เอาความไปบอกชู้รักว่า วันนี้สามีดูจะเป็นทุกข์เป็นร้อนแต่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเบียวเต๊กอยากจะหาโทษให้พี่เขยอยู่แล้ว ก็เลยยุว่าวันนี้อุยกุ๋ยออกไปพบม้าเท้งลองหลอกถามดูว่ามีเรื่องอะไรกัน

พอตกค่ำอุยกุ๋ยแวะไปหานางลิซุ่นเอี๋ยงเมื่อปฏิบัติกิจตามประเพณีแล้วเมียน้อยก็ปลอบถามว่า มีเหตุร้อนใจอะไร หรือว่าเป็นเพราะโจโฉทำตัวไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดินจึงกลุ้มใจ อุยกุ๋ยกำลังเมาสุราอยู่ไม่ได้คิดพิเคราะห์กลสตรีให้ดีจึงเล่าเรื่องที่คบคิดกับม้าเท้งให้ฟังจนหมดเปลือก พออุยกุ๋ยหลับไปแล้วนางลิซุ่นเอี๋ยงก็คาบความไปบอกเบียวเต๊ก เจ้าน้องเมียทรยศก็ดีใจรีบนำความไปเล่าให้โจโฉฟังในคืนนั้นเองหวังจะเอาความชอบ โจโฉก็ให้คุมตัวไว้ก่อนแล้วให้ทหารไปจับตัวอุยกุ๋ยกับบุตรภรรยามาขังคุกไว้หมด

รุ่งเช้าโจโฉก็เรียกทหารเอกสี่คนมาสั่งให้แต่งตัวให้เหมือนมหาอุปราชเอาธงแดงประจำตัวแห่ไปด้วยยกออกไปตั้งทัพเป็นหน้ากระดานที่สนามนอกเมือง ฝ่ายม้าเท้งนึกว่าโจโฉยกมาจริง ก็นำทหารออกจากค่ายเข้าไปในสนามนั้น พร้อมด้วยม้าฮิวและม้าเทียด ทหารของโจโฉก็ล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์อย่างหนาแน่นจนม้าเทียดตกจากม้าตาย ส่วนม้าเท้งกับม้าฮิวก็ถูกจับตัวมัดไปให้โจโฉสอบสวนอย่างง่ายดาย

โจโฉให้เอาตัวอุยกุ๋ยเข้ามาสอบสวนพร้อมกับม้าเท้งด้วยอุยกุ๋ยก็ไม่รับ และว่าเรามิได้มีความผิดแต่อย่างใดโจโฉจึงเอาตัวเบียวเต๊กมาให้การยืนยัน ทั้งสองก็จนแต้ม ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรม้าเท้งโกรธอุยกุ๋ยคนหลงเมียก็ด่าว่า

"....ทำให้เสียการของกูไป ถึงตัวกูจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่มาคิดน้อยใจว่าจะล้างศัตรูราชสมบัติเสียช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข ก็ไม่สมความคิด....."

โจโฉจึงให้เอาตัวม้าเท้ง ม้าฮิวและอุยกุ๋ยไปประหาร ม้าเท้งไม่กลัวตายอย่างปากว่า คงร้องด่าโจโฉไปตลอดทางไม่ขาดคำจนทหารลงดาบฟันถึงแก่ความตาย

แล้วโจโฉก็บอกเบียวเต๊กว่ามีความชอบในเรื่องนี้มาก อยากได้อะไรก็จะให้เบียวเต๊กจึงว่าไม่ขอยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรทั้งสิ้น ขอแต่นางลิซุ่นเอี๋ยงภรรยาน้อย ของอุยกุ๋ยคนเดียวโจโฉแปลกใจว่านางลิซุ่นเอี๋ยงเป็นคนชั่วไม่รู้คุณสามี ทำให้พี่เขยของตัวต้องตายไปเพราะปากของมันแล้วจะเอามาเลี้ยงเป็นภรรยาได้อย่างไร เบียวเต๊ก กลัวว่าโจโฉจะฆ่าชู้รัก จึงเล่าเนื้อความเดิมที่ได้ติดต่อกันมาตั้งแต่นานแล้ว ให้ โจโฉฟังสิ้นทุกประการ

ผลปรากฏว่าโจโฉโกรธมากด่าว่า

".......ตัวเป็นน้องภรรยาเขาบังอาจทำชู้กับภรรยาน้อยของพี่เขยแล้วคิดอ่านล้างชีวิตเขาเสียด้วยประสงค์หญิงผู้เดียว ตัวเป็นคนมิได้มีสัตย์กตัญญูถ้าเราจะไม่เอาโทษบัดนี้ คนทั้งปวงจะดูเยี่ยงอย่างสืบไป.."

แล้วก็ให้ทหารเอาตัวเบียวเต๊กนางลิซุ่นเอี๋ยงและพรรคพวกพี่น้อง พร้อมกับภรรยาและบรรดาพรรคพวกของอุยกุ๋ยไปฆ่าเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ชีวิตของ ม้าเท้ง เจ้าเมืองผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้แต่อับโชคทำการถึงสามครั้งสามครา ก็ไม่สำเร็จตามความตั้งใจ ต้องเสียหัวให้แก่ศัตรูเพราะคบกับคนปากพล่อยที่หลงเมียน้อยเสียจนไม่ลืมหูลืมตา พร้อมด้วยชีวิตของบุตรชายอีกสองคน

คงเหลือแต่ม้าต้ายหลานชายที่ตามหลังมาซึ่งต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้า จึงหนีรอดกลับไปถึงเมืองเสเหลียงได้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น.

##############




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 17:14:59 น.
Counter : 415 Pageviews.  

๕.๗ หมอการเมือง

สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

หมอการเมือง

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อ โจโฉ ได้เป็นมหาอุปราช ว่าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนแล้ว ก็หลงระเริงในอำนาจจนกระทำการอย่างไม่เคารพยำเกรง พระเจ้าเหี้ยนเต้ อันเป็นเหตุให้ขุนนางทั้งหลายต่างก็คิดแค้นอยู่แต่ก็กลัวอำนาจของโจโฉ จึงไม่มีใครทำอะไรได้ จนกระทั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงขอร้องให้ ตังสิน ช่วยเหลือ ตังสินจึงคิดการรวบรวมพรรคพวกเพื่อโค่นอำนาจของโจโฉ คือ จูฮก จูลัน ตันอิบ โงห้วน ม้าเท้ง และ เล่าปี่ รวมทั้งหมดเป็นเจ็ดคน แต่ม้าเท้งก็กลับไปตั้งหลักที่เมืองเสเหลียง และเล่าปี่ก็พาทหารห้าหมื่นคนอาสาโจโฉว่าจะไปสกัดกั้น อ้วนสุด มิให้ติดต่อรวมพวกกับ อ้วนเสี้ยว ผู้พี่ แล้ว
ก็หลบไปตั้งตัวอยู่ที่เมืองชีจิ๋ว ซึ่งเป็นเมืองที่เคยปกครองมาก่อน

เล่าปี่ยกทัพหายเงียบไปเป็นเวลาถึงสี่ห้าปี ตังสินกับขุนนางพลเรือนอีกสี่คนที่เหลือ ก็หมดปัญญาที่จะคิดอ่านต่อไปได้ เพราะไม่มีกำลังทหาร ต่างก็เป็นทุกข์เป็นร้อนกินไม่ได้นอนไม่หลับไปตาม ๆ กัน ตังสินนั้นถึงกับป่วยเป็นไข้ลง พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ทราบก็ให้หมอหลวงชื่อ เกียดเป๋ง มารักษาพยาบาล เกียดเป๋งเฝ้าพยาบาลอยู่ใกล้ชิด ก็รู้ว่าตังสินไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร แต่เป็นไข้ใจที่หาสมุฐานไม่ได้

วันหนึ่งตังสินชวนให้เกียดเป๋งกินเลี้ยง และนอนค้างด้วยกันที่บ้าน ตกดึกตังสินนอนหลับแล้วฝันว่า ตัวเองฆ่าโจโฉได้ ก็ดีใจร้องด่าโจโฉจนตื่นก็ยังด่าอยู่ ทำให้ เกียดเป๋งรู้ว่าไข้ใจของตังสิน ก็คือความต้องการที่จะกำจัดโจโฉนั่นเอง เกียดเป๋งเองก็ เกลียดชังโจโฉอยู่แล้ว จึงเข้าเป็นพวกด้วยและขอให้บอกแผนการที่วางไว้จะอาสาลงมือทำการเอง ตังสินยังไม่ไว้ใจ เกียดเป๋งจึงตัดนิ้วมือเอาโลหิตปนสุราดื่มสาบาน ตังสินจึงเอาพระอักษรที่พระเจ้าเหี้ยนเต้เขียนด้วยโลหิตฝากไว้กับตัวให้ดู พร้อมทั้งเล่าถึงการหาพลพรรคทั้งหกคนให้ทราบโดยตลอด เกียดเป๋งก็ยืนยันว่าปล่อยให้เป็นธุระของตน จะจัดการเอง

ตอนเช้าเกียดเป๋งลากลับไปบ้านแล้ว ตังสินมีความสบายใจหายไข้ ก็ลงไปชมสวน เจอเอา เคงต๋อง บ่าวคนสนิทสนทนาอยู่กับ นางอินเอ่ง ภรรยาน้อย ในที่ลับหูลับตาก็โกรธ เรียกคนใช้มาจับตัวไว้แล้วจะฆ่าเสีย แต่ภรรยาใหญ่ของตังสินเห็นว่า จะวุ่นวายไปใหญ่ ก็ขอชีวิตไว้ ตังสินจึงสั่งให้เฆี่ยนเสียอย่างหนักแล้วเอาตัวไปขังไว้ แต่พอเวลาเที่ยงคืน ไม่รู้ว่ามีใครช่วยให้เคงต๋องหลบหนีออกจากที่คุมขังได้ ก็รีบไปหาโจโฉ

เล่าความลับที่ตังสินคบคิดกับขุนนางและหมอจะกำจัดโจโฉ ให้ฟังโดยละเอียด โจโฉก็ให้เอาตัวไปซ่อนไว้ ข้างตังสินเห็นเคงต๋องหนีไปได้ก็คิดว่าคงกลับไปบ้านนอก จึงไม่คิดจะติดตาม

อยู่มาวันหนึ่งโจโฉทำอุบายว่าปวดศรีษะ ให้คนใช้ไปตามหมอเกียดเป๋งมารักษา เกียดเป๋งคิดว่าได้ทีแล้วก็ซ่อนยาพิษไปด้วย โจโฉเห็นเกียดเป๋งมีนิ้วขาดอยู่นิ้ว
หนึ่ง ตรงกับคำที่เคงต๋องเล่าก็ระวังตัวอยู่ บอกเกียดเป๋งว่าปวดศรีษะอย่างหนัก ช่วยประกอบยาแก้ไขให้ทีถ้าหายจะให้รางวัล เกียดเป๋งก็จัดแจงต้มยาหม้อแล้วแอบเอายาพิษใส่ลงไปด้วย พองวดก็รินยาครึ่งถ้วยยกไปให้โจโฉกิน โจโฉก็บิดพริ้วไม่ยอมกิน อ้างว่าท่านเป็นหมอหลวงก็รู้ขนบธรรมเนียมดีอยู่แล้ว ถ้าพระมหากษัตริย์ประชวรหมอจะถวายยา ก็ให้ขุนนางคนสนิทชิมก่อน แม้บิดาผู้ใดป่วยหมอประกอบยาให้ บุตรของผู้นั้นก็ชิมก่อน ตัวเรานี้เป็นถึงมหาอุปราช ตัวท่านควรจะชิมยาที่ท่านจะให้เรากินก่อน

เกียดเป๋งก็แก้ตัวว่า ถ้าชิมก่อนเหลือยาน้อยโรคก็จะไม่หาย ว่าแล้วก็จะปล้ำกรอกยาให้ โจโฉจึงปัดถ้วยยาหก ด้วยอำนาจยาพิษอิฐที่พื้นก็แตก คนใช้ก็ช่วยกันจับเกียดเป๋งไว้ โจโฉเห็นประจักษ์แก่ตาว่าเกียดเป๋งใส่ยาพิษ จึงว่าความจริงไม่ได้ป่วยแต่จะลองใจว่าจะคิดร้ายหรือไม่ แล้วก็ให้ทหารเอาตัวเกียดเป๋งลงไปในสวน และให้เฆี่ยนอย่างหนักพร้อมกับคาดคั้นว่า ตัวเองนั้นเป็นแต่หมอคงไม่กล้าคิดการใหญ่อย่างนี้ใครใช้มาให้ทำถ้าบอกความจริงจะยกโทษให้

เกียดเป๋งนั้นแม้จะเจ็บปวดด้วยถูกเฆี่ยนตี แต่ก็ไม่ได้กลัวความตาย จึง ร้องตวาดว่า

"....ตัวมึงทำการหยาบช้าเป็นศัตรูราชสมบัติ ซึ่งกูคิดทำการครั้งนี้ใช่จะมีผู้ใดสั่งสอนกูก็หาไม่ ด้วยเหตุว่าแผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้ากูจึงคิดจะฆ่ามึงเสีย ถึงคนทั้งปวง ก็หมายใจจะล้างชีวิตมึงเสียให้ได้ แต่หากว่าเกรงอยู่ด้วยจะทำการไม่ตลอด ชีวิตกูจะตายมึงจะมาถามเซ้าซี้ไปใย....."

โจโฉโกรธมากก็ให้เฆี่ยนต่อไปถึงเที่ยง หลังแตกโลหิตไหลนอง แต่ก็ไม่ยอมซัดทอดใคร โจโฉกลัวว่าจะตายเสียก่อนจะสืบต่อยาก จึงให้เอาตัวไปขังคุกไว้ก่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น โจโฉเชิญขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะที่บ้าน ขุนนางผู้ที่ร่วมคิดกับตังสินทั้งสี่คนก็ไปด้วยแต่ตังสินบอกป่วย พอแขกทั้งหลายกำลังกินโต๊ะกันเพลินอยู่ โจโฉก็ให้ทหารคุมตัวเกียดเป๋งออกมา ประกาศแก่ที่ประชุมว่า เกียดเป๋งเป็นขบถจะทำอันตรายแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้และตนเอง แต่บังเอิญจับได้เสียก่อน จะขอทวนถามต่อหน้าขุนนางทั้งหลายเดี๋ยวนี้ แล้วก็ให้ทหารเฆี่ยนเกียดเป๋งจนสลบแล้วสลบอีก เกียดเป๋งก็ไม่ยอมย่อท้อ กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันถลึงตาด่าโจโฉอย่างหยาบคายไม่ขาดปาก โจโฉยันว่าเดิมนั้นคบคิดกันหกคน ตัวเข้าไปร่วมด้วยจึงเป็นเจ็ดคน ทำไมไม่บอกตัวต้นเหตุ เกียดเป๋งไม่ยอมบอก โจโฉก็ให้เฆี่ยนเรื่อยไป

ขุนนางทั้งสี่คนคือ จูฮก จูลัน ตันอิบ โงห้วน ที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยก็กระสับ
กระส่ายไม่เป็นสุข อุปมาดั่งนั่งอยู่บนขวากหนาม หน้าก็ซีดเหลียวล่อกแล่ก โจโฉจึงให้นำตัวเกียดเป๋งไปขังคุกไว้อย่างเดิม แล้วเลิกงานเลี้ยงแต่ให้ทั้งสี่คนอยู่ก่อน แล้วก็ซักไซ้ไล่เรียงถึงเรื่องที่ได้ไปประชุมกันที่บ้านตังสิน และแพรขาวนั้นมีข้อความว่าอย่างไร ทั้งหมดก็ไม่ยอมรับอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นท่าเดียว

โจโฉจึงให้เอาตัวเคงต๋องบ่าวของตังสินออกมายืนยัน เคงต๋องก็เล่าเป็นฉากไปเลยว่า ทีแรกจูฮกไปหาตังสินก่อน ครั้น จูลัน ตันอิบ โงห้วน ม้าเท้งมาทีหลัง ตังสินเอาหนังสือบนแพรขาวออกมาให้ดู ทั้งหมดก็ลงชื่อทำสัญญาร่วมกันไว้ ว่าจะทำร้ายมหาอุปราช

จูฮกจึงว่าเคงต๋องนี้ ลอบทำชู้กับภรรยาน้อยของตังสิน พอถูกจับได้โดนโบยตีแล้วขังไว้ก็มีใจพยาบาทจึงหนีออกมาผูกเรื่องใส่โทษนายขออย่าได้เชื่อคนผิด โจโฉก็ให้เอาขุนนางทั้งสี่ไปขังไว้ คาดโทษว่าถ้าสอบสวนได้ความจริงจะฆ่าเสีย

ถัดมาอีกวันโจโฉก็พาทหารไปบ้านตังสิน ถามว่าเมื่อวานทำไมไม่ไปกินเลี้ยง ตังสินบอกว่าป่วยยังไม่หายกลัวโรคจะกำเริบ โจโฉก็บอกว่าหมอเกียดเป๋งเอายาพิษให้เรากิน ท่านทราบหรือไม่ ตังสินก็ว่าไม่ทราบ โจโฉว่างั้นดีแล้วให้ทหารเอาตัวมาสอบสวนอีก แล้วว่าพรรคพวกที่ร่วมกันคิดร้ายนั้นมีห้าคน บัดนี้จับได้สี่คนให้ขังคุกไว้แล้ว และหันมาถามเกียดเป๋งว่า ใครใช้ให้เอายาพิษมาใส่ให้กิน เกียดเป๋งยืนคำเดิมว่าไม่มีผู้ใช้ ก็ให้ทหารเฆี่ยนตีเกียดเป๋งต่อหน้าตังสิน แล้วถามว่าเดิมนิ้วมือมีครบสิบนิ้ว ทำไมจึงเหลือเก้านิ้ว เกียดเป๋งตอบว่า ตัดนิ้วมือออกนิ้วหนึ่งเพื่อสาบานว่าจะฆ่าโจโฉให้ได้

โจโฉจึงสั่งให้ทหารตัดนิ้วมือเกียดเป๋งเสียทั้งหมด แล้วว่า

".....มึงตัดนิ้วเสียนิ้วเดียว จึงทำร้ายกูไม่ได้ บัดนี้กูให้ตัดเสียอีกเก้านิ้ว มึงเร่งคิดการทำร้ายกูให้สำเร็จเถิด....."

เกียดเป๋งก็สวนว่า

"..ปากกูยังมี ลิ้นกูพอจะด่าแม่มึงได้อยู่อีก.."

โจโฉก็สั่งให้ตัดลิ้นเสีย เกียดเป๋งจึงขอร้องว่า อย่าทำให้ลำบากแก่เราอีกเลย จงแก้มัดออกเสียจะสารภาพแล้ว พอโจโฉสั่งให้ทหารแก้มัดออก เกียดเป๋งก็ลุกขึ้นหันหน้าไปทางทิศพระราชวัง กราบถวายบังคมพระมหากษัตริย์แล้วกล่าวว่า

".....ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าราชการในแผ่นดิน บัดนี้มีศัตรูทำจลาจลต่อราชสมบัติ ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน บัดนี้ไม่สมความคิด....."

ว่าแล้วก็เอาศรีษะโขกกับเสาศิลาจนศรีษะแตกตาย โจโฉยังไม่หายแค้นก็ให้เชือดเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ แล้วตัดศรีษะตระเวนไปเสียบประจานไว้

จากนั้นก็ให้เอาตัวเคงต๋องมาสอบสวนต่อหน้าตังสินอีก ตังสินไม่ยอมรับก็ให้ทหารค้นบ้านตังสิน จนได้หนังสือซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เขียนด้วยโลหิตบนแพรขาว และหนังสือที่ลงชื่อผู้ร่วมก่อการร้ายทั้งหมด โจโฉรู้เรื่องตลอดแล้วจึงจับตัวตังสินพร้อมทั้งบุตรภรรยาไปที่บ้านของตน หารือกับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า มีหลักฐานปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้คิดให้คนพวกนี้ ทำร้ายแก่เราผู้มีความชอบ สมควรเนรเทศออกเสียจากราชสมบัติ แล้วตั้งเชื้อพระวงศ์ที่มีสติปัญญา เป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนจะเห็นประการใด

เหล่าที่ปรึกษาก็ว่า ถึงเวลานี้ราชการทั้งหลายก็เป็นสิทธิ์เด็ดขาดที่มหาอุปราชทุกอย่างอยู่แล้ว แม้จะทำสิ่งใดก็อ้างรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ หัวบ้านหัวเมืองจึงยำเกรงอยู่ ถ้าตั้งพระเจ้าแผ่นดินใหม่ หัวเมืองใหญ่น้อยทั้งหลาย ก็อาจรวมกำลังเข้ามาต่อต้านได้

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เอาตัวตังสินและขุนนางทั้งสี่คน รวมทั้งบุตรภรรยาและพรรคพวกทั้งหมดประมาณเจ็ดร้อยคน ไปประหารเสียที่นอกกำแพงเมือง ฮูโต๋ ขุนนางอื่นและอาณาประชาราษฎรก็มีความสงสาร น้ำตาตกไม่เว้นแต่ละคน

โจโฉยังไม่เลิกอาฆาตพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็เหน็บกระบี่เข้าไปในวัง ให้ทหารจับตัวนางตังกุยหุยน้องสาวของตังสิน ซึ่งเป็นสนมของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะฆ่าเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ขอไว้ว่า นางตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว จงเห็นแก่เราอย่าฆ่าเสียเลย

โจโฉก็ว่า

"......พระองค์ให้ตังสินทำร้ายข้าพเจ้า หากเทพดาช่วยข้าพเจ้าจึงรู้การทั้งปวง หาไม่ข้าพเจ้าก็จะถึงแก่ความตาย แม้พระองค์เอาหญิงคนนี้ไว้ ภายหน้าก็จะมีอันตรายแก่ข้าพเจ้า....."

นางฮกเฮาผู้เป็นมเหสีก็ขอร้องอีกว่า รอให้คลอดบุตรเสียก่อนเถิด โจโฉว่าจะเอาพันธุ์มันไว้ทำไม ถ้าบุตรมันโตใหญ่ขึ้น มันก็จะพยายาม ทำร้ายแก่ข้าพเจ้าอีก นางตังกุยหุยก็ขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย อย่าให้ฆ่าด้วยอาวุธเลย ขอแพรขาวมารัดคอให้ตายตามปกติเถิด แล้วก็ร้องไห้รำพันกันอยู่ทั้งสามคน

โจโฉโกรธจัดร้องว่า คบคิดกันจะทำร้ายเรา ครั้นถูกจับได้สิมาร้องไห้รักกันเล่า แล้วให้เจ้าหน้าที่เอาตัวนางตังกุยหุย ไปรัดคอตายนอกประตูวัง และสั่งจัดทหารสามพันคนเฝ้าตรวจตราพระราชวัง ไม่ให้เชื้อพระวงศ์ผู้ใดเข้าไปิติดต่อกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้อีก ตั้งแต่บัดนั้น

ตกลงผู้ก่อการขบถภายในราชอาณาจักรคราวนี้ ทางฝ่ายพลเรือนก็ถูกจับประหารชีวิตหมดแล้ว คงเหลือแต่ฝ่ายทหารที่ไม่ได้มาตามนัดอีกสองนายคือ เล่าปี่ กับม้าเท้ง ตัวเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีบุญญาธิการอยู่มาก โจโฉจึงทำอะไรไม่ได้ จนสิ้นอายุของตนเองไปตามกรรม

แต่ ม้าเท้ง เจ้ามืองบ้านนอกจะรอดพ้นเงื้อมมือของท่านมหาอุปราชเจ้าปัญญาอย่าง โจโฉ ไปได้ ก็คงจะไม่นานเป็นแน่แท้.

##########




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 16:58:02 น.
Counter : 261 Pageviews.  

๕.๖ ผู้ก่อการมือเปล่า



สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

ผู้ก่อการมือเปล่า

"เล่าเซี่ยงชุน"

ตั้งแต่ครั้งที่ โจโฉ ได้ยกทหารสามสิบหมื่น มาปราบปราม ลิฉุย กุยกีจน เรียบร้อยโรงเรียนจีน จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนแล้วนั้น ราชการงานเมืองทั้งปวง ก็ตกเป็นสิทธิ์ขาดอยู่แก่โจโฉทั้งสิ้น โจโฉจึงคิดจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ ออกจากเมืองลกเอี๋ยง ไปตั้งราชธานีใหม่อยู่ที่เมืองฮูโต๋

เนื่องจาก เมืองลกเอี๋ยง ได้รกร้างว่างเปล่าอยู่ตั้งแต่เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะเผาทิ้งไปแล้ว ยากแก่การที่จะบูรณะตกแต่งให้เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างเดิมได้ ส่วนเมืองฮูโต๋นั้น ประกอบด้วยค่ายคูประตูหอรบ อาณาประชาราษฎรก็มีทรัพย์สินมั่งคั่ง ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ พอกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็
มีรับสั่งว่า ท่านจะคิดป้องกันบำรุงเราประการใด ก็ตามเถิดเราไม่ขัด ขุนนางใหญ่น้องทั้งหลายก็เลยไม่มีใคร ว่ากล่าวทัดทานแต่ประการใด

ก่อนที่ขบวนย้ายเมืองหลวงจากลกเอี๋ยงจะถึงเมืองฮูโต๋ ก็มีข้าเก่าของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ที่จงรักภักดีอยู่ในสมัยที่ต้องระหกระเหินหนีลิฉุยกุยกีสามคน ยกทหารมาขัดขวางไว้ แต่ก็ถูกโจโฉตีแตกพ่ายไป เอียวฮอง ทหารเก่ากับ หันเซียม อดีตนายโจรก็หนีไปอยู่กับ อ้วนสุด ที่เมืองลำหยง ส่วน ซิหลง ซึ่งเป็นเพื่อนกับเอียวฮอง ก็สมัครเข้าเป็นลิ่วล้อของโจโฉเสียเลย

เมื่อตั้งมั่นในเมืองฮูโต๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็แต่งตั้งให้ ตังสิน คนสำคัญอีกคนหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันพระองค์ให้พ้นภัยจากลิฉุยกุยกี เป็นเสนาบดี

และต่อมา นางตังกุยหุย น้องสาวของตังสิน ก็ได้เป็นสนมเอกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึง ได้เป็นพระญาติพระวงศ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนโจโฉนั้นมีทหารเอกสี่คน ทหารโทห้าคน ทหารตรีสองคน ล้วนแต่มี ฝีมือยอดเยี่ยมทั้งสิ้น แล้วยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นพรรคพวกอีกสี่คน กับเจ้าเมืองใหญ่อีกสามคน ก็เลยตั้งตนเป็นมหาอุปราช ว่าราชการแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้เจริญรอยตามผู้ใหญ่รุ่นพี่ที่แล้ว ๆ มาเช่นกัน

ตั้งแต่นั้นมา โจโฉก็ยกทัพไปกำหราบปราบปรามหัวเมืองอื่น ที่ไม่ยอม อ่อนน้อมด้วยหลายต่อหลายครั้ง แพ้บ้างชนะบ้างไปตามเรื่อง ครั้งหลังร่วมมือกับ เล่าปี่ปราบปรามลิโป้ ลงได้ จึงพาเล่าปี่มาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ พอทราบว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ระดับอา ก็ตั้งให้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง โจโฉเลยชักระแวงว่าเล่าปี่จะเป็นใหญ่ ขัดขวางความก้าวหน้าทางการเมืองของตัวไปเสียอีก

สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้าเหี้ยนเต้กับโจโฉ ซึ่งไม่ค่อยจะเรียบร้อยอยู่แล้ว ก็เลยยิ่งขลุกขลักมากขึ้นไปอีก เพราะโจโฉพยายามจะเบ่งตัวเองให้ใหญ่เท่า เทียมกับฮ่องเต้ อย่างเช่นคราวหนึ่งได้เสด็จไปประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์ มีข้าราชบริพารตามเสด็จมากมาย พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเกาทัณฑ์ยิงกวางแต่ไม่ถูก โจโฉก็ขอพระราชทานเกาทัณฑ์มายิงกวางล้มลง ขุนนางเห็นเป็นลูกเกาทัณฑ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็พากันกราบถวายบังคมชื่นชมยินดี โจโฉก็เลยอวดอ้างว่าเป็นฝีมือของตนเอง เป็นการหมิ่นพระเกียรติต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย ก็มีหลายคนแสดงความโกรธเคือง โจโฉจึงแกล้งคำนับพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วกราบทูลแก้เกี้ยวว่า ที่ยิงถูกนั้นเป็นเพราะเกาทัณฑ์และบารมีของพระองค์ แต่แล้วก็ไม่ได้คืนพระแสงเกาทัณฑ์นั้น คงยึดเอาไว้เป็นกรรมสิทธิ์เสียเลย

พระเจ้าเหี้ยนเต้เสียพระทัย ปรารภกับ นางฮกเฮา มเหสีว่า

"..ตัวเราได้เสวยราชย์สมบัติ มีแต่ความระกำใจ ครั้งตั๋งโต๊ะก็ทำหยาบช้าแก่เราเป็นอันมาก ครั้งลิฉุยกุยกีก็คิดทำอันตรายแก่เราต่าง ๆ ครั้งนี้เราคิดว่าโจโฉจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ก็กลับมาทำหยาบช้าแก่เราอีกเล่า อันชีวิตของเรากับเจ้านี้ ไม่รู้จักว่าความตายจะมาถึงวันใด....."

ต่อมา ฮกอ้วน บิดานางฮกเฮาเข้าไปเฝ้าในที่ข้างใน ทราบเรื่องเข้าจึง แนะว่า เมื่อขุนนางทั้งปวงไม่มีใครเจ็บร้อยด้วย ก็เห็นแต่ตังสินซึ่งเป็นพระราชวงศ์ที่ใกล้ ชิด น่าจะช่วยกำจัดโจโฉได้ แต่ทุกวันนี้โจโฉจัดหญิงคนสนิท ให้คอยสอดแนมดูความเป็นไป ในพระราชวังอยู่ตลอดเวลา ต้องระวังตัวให้ดี

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงเอาพระแสงแทงนิ้วพระหัตถ์ แล้วเอาโลหิตเขียนข้อความลงบนแพรขาว ให้นางฮกเฮาเย็บซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ แล้วให้หาตัวตังสินมาพระราชทานเสื้อเป็นบำเหน็จเมื่อครั้งพาหนีลิฉุยกุยกี แล้วกระซิบว่าเมื่อถึงบ้านแล้วเราะเสื้อออกดูจะรู้ความทุกข์ของพระองค์ ตังสินก็ใส่เสื้อนั้นจะกลับไปบ้าน โจโฉก็รู้เรื่องเสื้อจากสายลับหญิงจึงไปดักตังสินที่ประตูวัง ให้ถอดเสื้อที่รับพระราชทานมาดูก็ไม่เห็นมีอะไรจึงแกล้งสวมใส่แล้วขอเอาดื้อ ๆ ตังสินทำใจดีสู้เสือ บอกว่าเป็นเสื้อพระราชทาน จะให้แก่ใครไม่ได้ แต่ถ้าอยากได้ก็เอาไปเถิด โจโฉจึงต้องยอมถอดเสื้อคืน

ถึงเวลาค่ำตังสินนอนอยู่ผู้เดียว ก็เอาเสื้อมาเราะแพรขาว อ่านอักษรที่เขียนด้วยโลหิตของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็คิดตริตรองหาหนทางอยู่ตลอดคืน ไม่ได้หลับนอน จนถึงเช้าก็เอาผ้านั้นไปอ่านดูในห้องหนังสืออีก ก็เลยม่อยหลับไป จนกระทั่ง จูฮก ขุนนางที่เป็นเพื่อนรักกันแวะมาเยี่ยม จึงเห็นแพรขาวนั้นและอ่านรู้ความหมดแล้ว ก็ปลุกตังสินขึ้นมาแกล้งถามว่า ท่านจะคิดร้ายต่อโจโฉหรือ เราจะได้ไปบอกโจโฉ ตังสินได้ฟังก็ตกใจตัวสั่นขอร้องว่า ถ้าท่านบอกโจโฉก็เหมือนจะแกล้งฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย จูฮกจึงปลอบว่าเราลองใจดูหรอก ตัวเราก็เป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงขออาสาร่วมคิดด้วย

ขณะที่กำลังพูดกันอยู่นั้น ขุนนางที่เป็นเพื่อนสนิทอีกสองคนคือ ตันอิบ กับ โงห้วน ก็แวะมาหาอีก ทั้งหมดก็ร่วมใจกันคิดการ แล้วจูฮกก็ไปพา จูลัน มาเป็นพวกด้วยอีกคนหนึ่ง ทั้งห้าคนต่างพร้อมใจกันลงชื่อเป็นสำคัญ แล้วสาบานว่าจะไม่เอาเนื้อความนี้ไปแพร่งพรายแก่ผู้ใด แล้วก็แต่งโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูกัน

พอดีกับ ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง ซึ่งเคยยกทัพมาช่วยปราบปราม ลิฉุย กุยกี แต่ไม่สำเร็จ ได้เข้ามาราชการในเมืองหลวงจึงเข้ามาพบตังสิน ก็ถูกชักชวนให้ร่วมขบวนการด้วยอีกคน ม้าเท้งก็แสดงความเต็มใจที่จะร่วมมือ ด้วยการลงชื่อสาบานตัวด้วย และว่าทำไมไม่ชวนเล่าปี่ เพราะเป็นเชื้อพระวงศ์อยู่ ตังสินก็ว่าเล่าปี่นั้นอยู่ในอำนาจโจโฉจะไว้ใจไม่ได้

ม้าเท้งจึงว่า เมื่อโจโฉทำหยาบช้าในคราวประพาสป่านั้น กวนอูเงื้อง้าวจะฟันโจโฉ แต่เล่าปี่กระหยิบตาสั่นศีรษะห้ามไว้ ดูกิริยาว่าเกลียดโจโฉอยู่เหมือนกัน แต่เกรงจะเสียทีแก่ทหารของโจโฉที่มีมากกว่า ลองไปทาบทามดูเถิด

เวลาค่ำวันต่อมา ตังสินจึงลอบไปหาเล่าปี่ เกลี้ยกล่อมอยู่นาน กว่าจะ เชื่อใจว่าไม่ใช่อุบายของโจโฉ ตังสินจึงเอาพระอักษรโลหิตนั้นให้ดู จนเล่าปี่ยอมลงชื่อในสัญญาลับรวมเป็นเจ็ดคน แต่เล่าปี่นั้น เมื่อคิดร่วมใจกับตังสินแล้ว ก็กลัวโจโฉจะจับได้จึงแกล้งถ่อมตัว เอาไม้มาทำรั้วทำสวนปลูกผักทุกวัน เหมือนกับไม่สนใจใยดีกับเรื่องการบ้านการเมือง โจโฉจึงให้ เคาทู ไปเชิญเล่าปี่มาหา เล่าปี่ก็ยิ่งใจฝ่อ เพราะไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน แต่ก็ไม่มีทางปฏิเสธ ก็ต้องยอมไปกับเคาทู

โจโฉนั้นพอเจอหน้าเล่าปี่ก็สัพยอกว่า ท่านอยู่บ้านทุกวันนี้ ทำการใหญ่หลวงนักหรือ เล่าปี่ก็ยิ่งตกใจจนพูดไม่ออก โจโฉจึงจูงมือพาไปถึงสวนหลังบ้าน แล้วว่าท่านคิดอ่านปลูกผัก จะทำให้เหมือนสวนของเรานี้หรือ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจว่า โจโฉพูดไปโดยไม่มีความหมายอะไร

โจโฉก็ชี้ให้ดูต้นมะเฟืองแล้วว่า เมื่อครั้งไปรบกับ เตียวสิ้ว ทหารทั้งปวงอยากน้ำเราก็คิดอุบายลวงว่า ให้อุตส่าห์อดทนเดินต่อไปอีกหน่อยจะพบดงมะเฟืองมีผลสุกมากมาย ทหารได้ยินชื่อมะเฟืองซึ่งเป็นของเปรี้ยว ก็น้ำลายสอ ความอยากน้ำก็คลายลง เล่าปี่ก็สรรเสริญเยินยอว่าเป็นความคิดที่ดี หาผู้เสมอมิได้

โจโฉก็ชวนเล่าปี่เสพสุราอยู่ด้วยกันในสวน จนเกิดพายุพัดหนักมืดฟ้ามัวฝน ทหารที่อยู่ด้วยกันก็ว่า มังกรสำแดงฤทธิ์บนอากาศจึงเกิดพายุพัดอย่างนี้ โจโฉก็เสริมว่า

"....อุปมาเหมือนคนมีสติปัญญากว้างขวาง ถ้าจะทำการสิ่งใดคะเนการตามสมควร แม้เห็นว่าการใหญ่ก็ทำให้ใหญ่ ประมาณการน้อยก็ทำแต่น้อย ทุกวันนี้ผู้ใดมีสติปัญญากว้าง ขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์นี้บ้าง ท่านจงบรรยายให้แจ้ง....."

เล่าปี่แกล้งตอบว่า ตนนั้นหาสติปัญญามิได้ ซึ่งได้เป็นขุนนางมีคนนับถือนี้ ก็เพราะบุญของมหาอุปราชช่วยทูลเสนอให้ โจโฉจึงว่าท่านมีความคิดอยู่ เหตุใดจึงแกล้งถ่อมตัว ถึงอย่างไรก็คงจะได้ยินคำเลื่องลือว่าเป็นผู้มีสติปัญญาบ้าง

เล่าปี่ก็เอ่ยว่า อ้วนสุด เจ้าเมืองลำหยงมีสติปัญญากล้าแข็ง ทหารใหญ่น้อยก็มีฝีมือมาก ทั้งเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ โจโฉหัวเราะว่า อ้วนสุดนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม เราจะไปมัดเอามาก็ได้โดยง่าย

เล่าปี่ก็ว่า ทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ อ้วนเสี้ยว เจ้าเมืองกิจิ๋ว ซึ่งเป็นพี่ของอ้วนสุด ก็เป็นเชื้อขุนนางมาถึงสามชั่วคน บัดนี้ก็ซ่องสุมผู้คนไว้มาก มีที่ปรึกษาหลายคนพอจะมีสติปัญญาลึกซึ้งอยู่ โจโฉก็แย้งว่า อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศน้ำใจขลาด คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย

เล่าปี่ก็เอ่ยถึง เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งมีเมืองใหญ่ขึ้นด้วยถึงเก้าเมือง น้ำใจก็โอบอ้อมอารีมีทหารเป็นอันมาก โจโฉก็สวนว่า เล่าเปียวมีเพื่อนและทหารมากก็จริง แต่ ไม่มีความสัตย์ เป็นคนปากหวานอย่างเดียว

เล่าปี่ก็ยกเอา ซุนเซ็ก เจ้าเมืองกังตั๋งว่ามีความคิดและฝีมือดี โจโฉก็ว่า ฝีมือนั้นพอประมาณ ดีแต่มีทหารของ ซุนเกี๋ยนผู้บิดาไว้จึงทำให้กำเริบได้

เล่าปี่ก็ย้ายไปทางหัวเมืองตะวันตกว่า เล่าเจี้ยง เจ้าเมืองเสฉวน ก็เป็นเชื้อพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อน โจโฉดูถูกว่าถึงเป็นเชื้อพระวงศ์แต่ มีความคิดเหมือนสุนัขเฝ้าประตู

เล่าปี่เลยย้อนถามบ้างว่า เตียวสิ้ว เตียวฬ่อ หันซุย สามคนนี้ท่านจะเห็นว่าเป็นคนอย่างไร โจโฉก็ตบมือหัวร่อก้ากว่า สามคนนี้มีแต่ชื่อ จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็ไม่ได้ อย่าเอ่ยให้เสียปาก

แล้วโจโฉก็สาธยายว่า

"....อันผู้มีสติปัญญานั้ ถ้าจะคิดสิ่งใดก็กว้าง ขวาง โอบอ้อมอารี อุปมาเหมือนคนกลืนแก้วอันเป็นทิพย์ไว้ในท้อง ถ้าไปสถานที่ใดถึงเวลาค่ำมืดก็เล็ดลอดสว่างไปด้วยรัศมีแก้ว ถ้าคิดการสิ่งใดก็รู้จักที่หนักที่เบา ทีเสียทีได้ ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง....."

เล่าปี่ก็แกล้งท้วงว่า ทุกวันนี้จะหาผู้มีสติปัญญาเหมือนที่มหาอุปราชว่านั้นขัดสนนัก โจโฉจึงสวนให้ว่า ทุกวันนี้เราเล็งดูแล้ว มีแต่ท่านกับเราสองคนเท่านี้ที่จะมีสติปัญญาอย่างที่ว่า เล่าปี่ได้ฟังก็สะดุ้งโหยงตะเกียบหลุดจากมือ พอดีฟ้าร้องดังสนั่น ก็เลยยกมือขึ้นปิดหูไว้ โจโฉก็หัวเราะเยาะว่า เล่าปี่นี้ขี้ขลาดนัก คงจะคิดการใหญ่ไม่ได้ ก็เลยเลิกระแวงแคลงใจแต่นั้นมา

ต่อมามีข่าวว่า กองซุนจ้าน ซึ่งเคยมีคุณแก่เล่าปี่ รบแพ้อ้วนเสี้ยวถึงกับ ฆ่าตัวตายไปแล้ว และอ้วนสุดกำลังเดินทางไปสมทบกับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว ถ้าสองคนพี่น้องนี้ปรองดองกันได้ ก็จะมีกำลังมหาศาล เล่าปี่จึงขออาสาจะยกทหารไปสกัดอ้วนสุดไว้

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้โจโฉจัดทหารห้าหมื่นให้เล่าปี่ยกไป แล้วก็ แอบตรัสกับเล่าปี่ว่า

"....เห็นแต่ท่านผู้เดียว คิดว่าจะเป็นที่พึ่งสืบไป บัดนี้จะไปทัพเสียแล้ว เราจะทุกข์ใจอยู่ท่าท่านกว่าจะกลับมา....."

ตังสินก็ตามมาส่งนอกเมืองและกระซิบว่า

"....การซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้สั่งไว้ เราได้ร่วมคิดกันนั้น ท่านอย่าลืมเสีย...."

แล้วเล่าปี่ก็ลอยชาย เหมือนเสือร้ายที่ถูกปล่อยออกจากกรง เข้าไปอยู่ในป่าตามเดิม

ฝ่ายม้าเท้งก็มีข่าวว่าเมืองเสเหลียงเกิดศึก จึงถวายบังคมลาพระเจ้า เหี้ยนเต้ยกทหารกลับไปเมืองเสเหลียง ปล่อยให้ ตังสิน กับคณะผู้ก่อการมือเปล่าอีกสี่คน ต้องว้าเหว่อยู่ในเมืองหลวง ซึ่งตกอยู่ในอำนาจอันล้นฟ้าของโจโฉ อย่างน่าหวาดหวั่นยิ่ง

##########




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 16:56:32 น.
Counter : 262 Pageviews.  

๕.๕ ผู้เป็นใหญ่ในแดนใต้

สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ

ตอนที่ ๕ ผู้เป็นใหญ่ในแดนใต้

เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อซุนกวนได้ครอบครองเมืองกังตั๋ง ตั้งแต่ พ.ศ.๗๔๒ นั้น มีอายุประมาณสิบแปดปี เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม หน้าผากใหญ่ ปากกว้าง จักษุแดง เคยมีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งทำนายไว้ว่าจะเป็นคนมีบุญมากกว่าพี่น้องทั้งปวง และอายุยืน นานไปจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

ขณะนั้นจิวยี่คุมทหารรักษาด่านอยู่ที่ตำบลปากิ๋ว พอรู้ข่าวว่าซุนเซ็กตายก็กลับมาเมืองกังตั๋ง ซุนกวนก็แจ้งเรื่องที่ซุนเซ็กสั่งความไว้ทั้งหมด จิวยี่ก็รับปากว่าจะช่วยทำนุบำรุงซุนกวนโดยสุจริต แต่ถ่อมตัวว่าสติปัญญายังไม่ถึงขั้น จึงขอให้ไปชวนโลซกชาวเมืองตังฉวน ซึ่งเป็นคนมีทรัพย์สินบริบูรณ์ และกำลังมีคนมาชักชวนไปทำราชการที่เมืองเจาเอ๋อ แต่ยังไม่ได้ตกลงใจ ซุนกวนก็ขอร้องให้จิวยี่ไปชักชวนมาทำราชการอยู่ด้วยกัน

จากนั้นโลซกก็ไปชวนเพื่อนชื่อจูกัดกิ๋นซึ่งเป็นพี่ชายของจูกัดเหลียงหรือขงเบ้ง บ้านเดิมอยู่เมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นผู้มีสติปัญญาเหมือนกัน มาด้วยอีกคนหนึ่ง ซุนกวนก็ตั้งให้เป็นที่ปรึกษา

ตอนนี้โจโฉคิดอ่านจะเอาใจซุนกวน จึงถือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งให้เป็นเจ้าเมือง กังตั๋งโดยถูกต้อง ซุนกวนก็ตั้งให้เตียวเหียนขุนนางเก่าของซุนเซ็ก กับเตียวเจียวเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำหรับดูแลบ้านเมือง

อยู่มาเตียวเหียนก็พาโกะหยงซึ่งเป็นผู้มีสติปัญญา และมีความซื่อสัตย์มั่นคง ไม่เสพสุรายาเมามาฝากอีก ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง สำหรับตัดสินเนื้อความอาณาประชาราษฎร และซุนกวนก็ได้ปกครองบ้านเมืองถูกต้องตามขนบธรรมเนียม บำรุงทหารและเลี้ยงดูไพร่บ้านพลเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข บรรดาราษฎรและเมืองขึ้นทั้งปวงก็ชื่นชมยินดีกันทั่วหน้า

ซุนกวนปกครองเมืองกังตั๋งด้วยความสงบสุขมาได้สามปี บ้านเมืองก็เจริญขึ้นเป็นอันมาก มีที่ปรึกษาเพิ่มขึ้นอีกเก้าคน นายทหารเอกอีกห้าคน ต่อมานางงอฮูหยินมารดาก็ป่วยหนัก นางจึงเรียก จิวยี่ เตียวเจียวเข้ามาสั่งเสียไว้อย่างละเอียดว่า

“ แต่ก่อนเราเป็นชาวเมืองต๋องง่อ บิดามารดาตายเป็นกำพร้า เลี้ยงกันอยู่แต่พี่น้องสามคน แลมาได้ซุนเกี๋ยนเป็นสามีจนเกิดบุตรถึงสี่คน แลเมื่อเราจะตั้งท้องซุนเซ็กผู้บุตรหัวปีนั้น เราฝันเห็นว่าดวงพระจันทร์อยู่ในครรภ์ แลเมื่อซุนกวนจะเข้าท้องนั้นฝันเห็นว่า ดวงพระอาทิตย์เข้าไปอยู่ในท้อง หมอทำนายว่าบุตรท่านทั้งสองนี้นานไปจะได้เป็นใหญ่ แลซุนเซ็กก็อายุน้อยถึงแก่ความตายก่อน เมื่อใกล้จะตายก็มอบเมืองกังตั๋งไว้แก่ซุนกวนผู้น้องให้เป็นเจ้าเมือง บัดนี้ตัวเราป่วยหนัก เห็นจะไม่คงชีวิตอยู่ จะลาท่านทั้งสองไปแล้ว แม้ว่าเราหาบุญไม่ ท่านจงได้เอ็นดูช่วยอนุเคราะห์สั่งสอนซุนกวนสืบไปโดยความชอบ อย่าทิ้งเสียเลย “

แล้วก็สั่งแก่ซุนกวนว่า

“ แม้สืบไปเมื่อหน้า เจ้าจะทำการสิ่งใดจงปรึกษาหารือด้วยจิวยี่และเตียวเจียวซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ให้รู้จักผิดแลชอบ อย่าถือทิฐิมานะ จงคารวะนับถือท่านทั้งสองนี้เป็นอาจารย์ใหญ่ อย่าได้ทำการแต่อำเภอน้ำใจ อนึ่งนางงอก๊กไถ้น้องเราผู้เป็นแม่น้าของเจ้านั้น ถ้าแม่ตายแล้วอย่าได้ละเมินเสีย จงตั้งใจอุปถัมภ์บำรุง ปฏิบัติรักษาดุจตัวของแม่ อนึ่งน้องหญิงอันร่วมบิดากับเจ้านั้น จงตั้งใจเลี้ยงรักษาไว้ให้ปกติด้วย แม้จะให้มีสามีเจ้าจงพิเคราะห์ดู ผู้ใดมีสติปัญญาจึงยกให้เป็นภรรยา “

สั่งเสร็จแล้วก็สิ้นใจตายไป

พอย่างเข้าปีใหม่ข้างขึ้นเดือนสาม ซุนกวนก็ยกทัพไปตีเมืองกังแฮ ซึ่งหองจอซึ่งเป็นผู้ฆ่าซุนเกี๋ยนบิดาของตน เป็นเจ้าเมืองอยู่ ก็ได้ชัยชนะ ตัดศีรษะหองจอเอาไปเซ่นศพบิดาได้สมใจ ต่อมาได้ข่าวว่าเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วตาย เล่าปี่ก็แตกหนีไปอาศัยอยู่กับเล่ากี๋ บุตรของเล่าเปียวซึ่งเป็นเจ้าเมืองแทนหองจอ ส่วนโจโฉก็ยกทัพบกทัพเรือมาชุมนุมที่เมืองเกงจิ๋ว ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบหน้าเมืองกังตั๋งเป็นจำนวนนับร้อยหมื่น จึงใช้ให้โลซกไปสืบข่าวคราว

โลซกกลับไปเชิญขงเบ้งมาที่เมืองกังตั๋งเพื่อพบกับจูกัดกิ๋นพี่ชาย แต่ขงเบ้งนั้นตั้งใจจะมาเกลี้ยกล่อมซุนกวนให้ยอมร่วมมือกับเล่าปี่ รบกับโจโฉ ขณะนั้นขุนนางของซุนกวนแบ่งออกเป็นสองพวก ฝ่ายพลเรือนแนะนำให้ยอมอ่อนน้อมเข้าเป็นพวกโจโฉ เพราะเกรงกลัวแสนยานุภาพของข้าศึก ส่วนฝ่ายทหารคิดจะต่อสู้กับโจโฉให้แพ้ชนะกันไป

เมื่อขงเบ้งไปถึงก็เจรจาต่อปากคำกับพวกพลเรือน ให้อับจนปัญญาไปถึงเจ้ดคน ครั้นเข้าพบซุนกวนก็หว่านล้อมด้วยสำนวนโวหารคารมคมคายทั้งล่อทั้งชน เล่นเอาซุนกวนหัวหมุนไม่รู้จะตกลงใจอย่างไรดี จึงต้องขอคิดดูก่อน พอดีจิวยี่ซึ่งอยู่เมืองกวนหยงรู้ข่าวศึกก็เข้ามาหา ขุนนางพลเรือนก็คอยดักพบขอให้เข้ากับพวกยอมแพ้ด้วย พอเจอนายทหารเอกสามนายคือ เทียเภา ฮันต๋ง และอุยกาย กับนายทหารรองวอีกสองคน ก็ชักชวนให้รบกับโจโฉให้รู้ดีรู้ชั่วไป จิวยี่ก็รับปากกับทั้งสองฝ่าย ว่าจะลองเจรจากับขงเบ้งดูก่อน

พอจิวยี่ได้พบกับขงเบ้ง ก็ตกหลุมของขงเบ้งในทันที ที่เอ่ยถึงปราสาทอันสวยงามของโจโฉริมแม่น้ำเจียงโหว่า โจโฉตั้งใจสร้างไว้ให้บุตรหญิงทั้งสองคนของนางเกียวก๊กโล่แห่งเมืองกังตั๋ง ถ้าต้องการให้โจโฉเลิกทัพกลับไป ก็จงส่งนางทั้งสองคนนี้ออกไปให้โจโฉเถิด จิวยี่ถามว่ามีหลักฐานอะไรที่จะยืนยันในเรื่องนี้ ขงเบ้งก็ว่าโจโฉให้ลูกชายผูกเป็นโคลงไว้บนปราสาทนั้น มีใจความว่า

“ ปรัศว์ซ้ายขวาซึ่งเราทำไว้ ชื่อหยกหลงกับกิมฮอง ข้าจะกอดนางสองเกี้ยวไว้ทั้งซ้ายขวา ให้มีความสุขทุกเวลามิให้อาทรเลย “

เท่านั้นเองจิวยี่ก็โกรธดังเอาเพลิงเข้าไปจุดในหัวใจ เพราะนางแซ่เกียวทั้งสองนั้น นางไต้เกียวผู้พี่เป็นภรรยาม่ายของซุนเซ็ก และนางเสียวเกียวผู้น้องก็เป็นภรรยาของจิวยี่เอง จึงลุกขึ้นประกาศสงครามกับโจโฉ โดยมิได้ลังเลอีกต่อไป

การศึกสงครามทางเรืออันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่ตำบลเซ็กเพ็กในอ่าวหน้าเมืองกังตั๋งครั้งนั้น เป็นที่เลื่องลือกันมาถึงพันเจ็ดร้อยกว่าปี เพราะขงเบ้งใช้ลิ้นกว้างเพียงสองนิ้ว กับความรู้ความสามารถของตน รวมทั้งสติปัญญาของจิวยี่แม่ทัพใหญ่ ใช้กำลังทหารที่มีจำนวนน้อยกว่า เอาชนะข้าศึกได้โดยเด็ดขาด จนโจโฉต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ เสียทหารไปประมาณแปดสิบหมื่น กองทัพเรือถูกเผาทำลายไปหลายพันลำ ตัวโจโฉต้องหนีซอกซอนไป จนเหลือทหารติดตามไม่ถึงสามสิบคน เอาตัวรอดไปได้อย่างหวุดหวิดเต็มที

หลังจากนั้นซุนกวนและจิวยี่ก็ถูกขงเบ้งกับเล่าปี่หักหลังยึดเอาเมืองลำกุ๋น เมืองซงหยง และเทืองเกงจิ๋วไปได้หมดโดยไม่ต้องลงแรงเท่าไรเลย จิวยี่ช้ำใจนักจึงออกอุบายให้ซุนกวนเชิญเล่าปี่มาแต่งงานกับนางซุนหยินน้องสาว เพื่อจะจับตัวฆ่าเสีย แต่ขงเบ้งวางแผนซ้อนกลให้เล่าปี่แต่งงานได้สำเร็จ และนางซุนฮูหยินก็รักใคร่เล่าปี่ด้วยความสุจริตใจ จึงพากันหนีซุนกวนมาอยู่ด้วยกันที่เมืองเกงจิ๋วเสียอีก

ต่อมาจิวยี่ช้ำใจหลายครั้งจนป่วยตายไปแล้ว และเล่าปี่ยกทัพไปตีเมืองเสฉวนเพื่อขยายอาณาเขต ซุนกวนจึงหลอกเอาตัวนางซุนฮูหยินกลับคืนมาอยู่ที่เมืองกังตั๋งดังเดิม แต่นางก็ยังจงรักภักดีต่อเล่าปี่ตลอดมา เมื่อซุนกวนไม่มีห่วงแล้วก็ยกทัพไปตีเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งกวนอูน้องร่วมสาบานของเล่าปี่รักษาอยู่ จยแตกพ่ายนและจับตัวกวนอูมาประหารชีวิต ทำให้เล่าปี่แค้นมากถึงกับตัดญาติขาดมิตรกับซุนกวนตั้งแต่บัดนั้น

เมื่อเล่าปี่ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ของจ๊กก๊กแล้ว ก็ยกกองทัพมาคิดบัญชีแค้นกับซุนกวน และรบชนะมาตลอด ซุนกวนหาหนทางที่จะเอาตัวรอดจากน้ำมือของพระเจ้าเล่าปี่ จึงให้เตียวจี๋เป็นทูตถือหนังสือไปอ่อนน้อมต่อพระเจ้าโจผี ขอความช่วยเหลือ พระเจ้าโจผีจึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเงาอ่อง มีเครื่องยศเก้าสิ่งตามอย่างแต่โบราณ แล้วพระเจ้าซุนกวนก็จัดทัพไปสู้รบกับพระเจ้าเล่าปี่ โดยให้ลกซุนเป็นแม่ทัพใหญ่ จนได้รับชัยชนะตีกองทัพพระเจ้าเล่าปี่แตกพ่ายยับเยินไป

พระเจ้าเล่าปี่จึงช้ำใจถึงกับประชวรและสิ้นพระชนม์ลงที่เมืองเป๊กเต้ นางซุนฮูหยินรู้ข่าวก็โจนลงแม่น้ำฆ่าตัวตายตาม

แต่ปรากฏว่าพระเจ้าโจผีกลับยกทัพมาตีเมืองกังตั๋งถึงสามทาง และก็พ่ายแพ้ลกวุนไปอีกทั้งสามทาง พระเจ้าซุนกวนจึงตั้งตัวเป็นอิสระ ไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้าโจผีอีกต่อไป ต่อมาพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์ พระเจ้าโจยอยได้สืบราชสมบัติต่อ จ๊กก๊กกับง่อก๊กก็ร่วมมือกันรบกับวุยก๊กอีกหลายครั้ง แต่ไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงล้ำแก่กัน

จนถึง พ.ศ.๗๗๒ ขึ้นเดือนสี่ ขุนนางเมืองกังตั๋งก็แต่งการพระราชพิธีราชาภิเษก พระเจ้าซุนกวนเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นง่อก๊ก ทรงพระนามว่าพระเจ้าใต้ฮ่องเต้ เสร็จแล้วจึงมีพระราชสาส์นไปทำพระราชไมตรีกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนอย่างเป็นทางการ ขงเบ้งจึงยกทัพไปรบกับพระเจ้าโจยอย ซึ่งมีสุมาอี้เป็นมหาอุปราชอีกสี่ครั้งโดยไม่ต้องกังวลกับฝ่ายใต้ จนขงเบ้งถึงแก่ความตายเมื่อ พ.ศ.๗๗๗ พระเจ้าวุนกวนก็ยังให้ขุนนางนุ่งขาวห่มขาวไว้ทุกข์แก่ขงเบ้ง และให้ทหารคุมสิ่งของมาเซ่นศพขงเบ้ง พร้อมกับให้สัตย์สาบานว่าจะไม่คิดร้ายต่อจ๊กก๊กเป็นอันขาด

จากนั้นก๊กทั้งสามก็ว่างเว้นการทำสงครามกันต่อไปหลายปี จนกระทั่งพระเจ้าโจยอยสิ้นพระชนม์ พระเจ้าโจฮองขึ้นเสวยราชย์เป็นฮ่องเต้ของวุยก๊กแล้ว บ้านเมืองก็ยังยุ่งเหยิงแย่งกันเป็นใหญ่อยู่อีกหลายปี

จนถึง พ.ศ.๗๙๔ พระเจ้าซุนกวนได้เสวยราชย์มาประมาณยี่สิบสามปี ซุนเต๋งบุตรนางซีฮูหยินมเหสีเอกซึ่งเป็นไทจู้หรือรัชทายาทได้เสียชีวิตไป จึงตั้งให้ซุนโฮน้องนางกิมกงจู๋บุตรนางฮองฮูหยินมเหสีรอง ขึ้นเป็นไทจู้แทนพี่ชาย ต่อมาเกิดวิวาทกับนางกิมกงจู๊พี่สาว นางกิมกงจู๊ไปฟ้องพระเจ้าซุนกวน ให้ถอดออกเสียจากตำแหน่ง ก็เลยตรอมใจเป็นไข้ตายไปอีกคนหนึ่ง ซุนเหลียงบุตรนางพัวฮูหยินมเหสีคนสุดท้ายจึงได้เป็นไทจู้แทน

ครั้นถึงเดือนสี่ขึ้นหนึ่งค่ำปีเดียวกัน บังเกิดมีพายุใหญ่ทำให้คลื่นในแม่น้ำและทะเลกำเริบหนัก น้ำท่วมใหญ่ในเมืองกังตั๋งลึกถึงแปดศอก พายุหอบเอาต้นสนใหญ่ซึ่งปลูกอยู่หน้ากุฏิฝังศพของซุนเซ็กพี่ชายของพระเจ้าซุนกวน ลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วก็ตกลงมาเอาปลายปักลงดิน อยู่ที่ริมประตูเมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนกวนก็ประชวรตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลาปีกว่า

จนถึงเดือนหก พ.ศ.๗๙๕ ก็สิ้นพระชนม์เมื่ออายุได้เจ็ดสิบเอ็ดปี จากนั้นขุนนางใหญ่น้อยซึ่งมีจูกัดเก๊กเป็นมหาอุปราชอยู่ในเวลานั้น ได้เชิญซุนเหลียงรัชทายาทอายุประมาณสิบเอ็ดปี ขึ้นเสวยราชย์สืบต่อจากบิดา

ถึง พ.ศ.๘๐๑ พระเจ้าซุนเหลียงก็ถูกถอดออกจากราชสมบัติ ซุนหลิม มหาอุปราชในเวลานั้นก็เชิญ ซุนฮิวบุตรคนที่หกของพระเจ้าซุนกวน ที่อยู่เมืองฮ่อหลิม มาครองราชย์แทน

พ.ศ.๘๐๘ พระเจ้าซุนฮิวสิ้นพระชนม์ ขุนนางก็เชิญ ซุนโฮ บุตรของพระเจ้าซุนเหลียงที่ถูกถอด และเป็นหลานปู่ของพระเจ้าซุนกวน ขึ้นสืบราชสมบัติต่อไป

จนถึง พ.ศ.๘๒๓ ก็ถูกพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์จิ้น ซึ่งแย่งราชสมบัติมาจากพระเจ้าโจฮวนของวุยก๊ก ยกทัพมาตีเมืองกังตั๋งได้สำเร็จ และรวมแผ่นจีนเป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่นั้นมา.

##########




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 15:41:12 น.
Counter : 249 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.