Group Blog
 
All Blogs
 

ผู้เป็นใหญ่ในทักษิณ (๔)

สามก๊กฉบับลายคราม
ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๔)
เจียวต้าย

เมื่อซุนเซ็กสั่งให้เอาตัวเค้าก่องเจ้าเมืองง่อกุ๋นไปประหารชีวิต เนื่องจากรู้ทันความคิดของตนว่าอยากจะเป็นใหญ่ในบ้านเมือง มากกว่าเป็นเพียงเจ้าเมืองกังตั๋งนั้น ก็ไม่ได้เอาใจใส่ต่อทหารชั้นลิ่วล้อสามนายที่ติดตามเค้าก๋องมากด้วย เพราะคิดว่าเป็นเพียงทหารเลว เมื่อนายตายแล้วก็คงกลับบ้านเมืองไปเอง ที่ไม่ตายตามนายไปด้วยก็บุญเต็มทีแล้ว แต่ซุนเซ็กคิดผิดอย่างมหันต์

ในวันหนึ่งขณะที่ซุนเซ็กว่างจากการศึกสงครามจึงออกไปล่าสัตว์ในป่า แล้วควบม้าไล่ตามกวางไปแต่ผู้เดียว ทหารทั้งสามคนนั้นก็ถือทวนและเกาทัณฑ์คอยดักอยู่ข้างต้นไม้ ซุนเซ็กไปเจอเข้าก็ถามว่าเป็นบ่าวใครมาแต่ไหน ทั้งสามก็ตอบว่าเป็นบ่าวของฮันต๋ง ซึ่งเป็นลูกน้องของซุนเซ็ก จึงไม่ระแวงสงสัยและชักม้าเลยไป

เจ้าคนหนึ่งเห็นได้ทีก็เอาทวนแทงถูกเท้าซ้ายซุนเซ็ก อีกคนหนึ่งก็เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกหน้าผาก ซุนเซ็กตกใจชักลูกเกาทัณฑ์ออกมายิงตอบไป ถูกเจ้าคนลอบยิงตายคาที่ อรกสองคนก็ไม่ยอมหนีกลับเข้ารุมเอาทวนแทงอุตลุด พร้อมกับร้องประกาศว่า กูเป็นทหารเค้าก๋องมาแก้แค้นแทนนายกู ซุนเซ็กไม่ได้มีอาวุธติดตัวนอกจากคันเกาทัณฑ์ ก็ใช้ปิดป้องอาวุธเป็นสามารถ แต่ก็ถูกแทงหลายแผลอยู่ พอดีทหารเอกกับลูกน้องเก้าคนสิบคนตามมาทัน จึงขับม้าเข้าไล่ฟันทหารทั้งสองจนเละไปทั้งตัว ขาดใจตายทั้งคู่ แล้วก็ประคองซุนเซ็กกลับเข้าเมืองไปหาหมอฮัวโต๋มารักษา แต่หมอฮัวโต๋ไปรักษาคนไข้อยู่ที่เมืองหลวง จึงได้แต่ลูกศิษย์มาดูแลแทน

หมอที่มาได้ตรวจอาการแล้วก็บอกว่า แผลทวนนั้นไม่เท่าไหร่ แต่แผลเกาทัณฑ์นั้นลึกถึงกระดูก และมียาพิษด้วย จึงขอให้พักผ่อนรักษาตัวในที่สงบสงัด อย่าให้ผู้คนเข้ามาจุ้นจ้านเป็นอันขาด และซุนเซ็กเองก็ต้องพยายามระงับความโกรธเสียด้วย ใช้เวลารักษาประมาณร้อยวันก็จะหาย แต่ถ้าเกิดความโกรธยาพิษก็จะกำเริบมากขึ้น ซุนเซ็กเป็นคนใจร้อนอยากจะให้หายเร็วกว่านี้ แต่ก็ต้องยอมเชื่อหมอ

ครั้นรักษาไปได้ประมาณยี่สิบวันก็มีคนใช้ของเตียวเหียนกลับมาจากเมืองฮูโต๋ มาแจ้งว่าเตียวเหียนซึ่งรับราชการอยู่ที่เมืองหลวงนั้นสั่งให้มาบอกว่า โจโฉกับทหารทั้งปวงดูท่าจะยำเกรงฝีมือซุนเซ็กอยู่เป็นอันมาก เว้นแต่กุยแกที่ปรึกษาคนหนึ่งนั้นไม่คิดกลัว ซ้ำยังดูหมิ่นฝีมืออีกด้วย ซุนเซ็กก็คาดคั้นว่ากุยแกดูหมิ่นอย่างไร คนใช้กลัวซุนเซ็กโกรธ จึงบอกความจริงโดยละเอียดว่า

“ กุยแกนั้นได้บอกแก่โจโฉว่า เหตุใดจะมาเกรงซุนเซ็ก อันซุนเซ็กหาปัญญามิได้ เป็นคนใจเร็ว จะคิดสิ่งใดก็โอหัง กำเริบตั้งตัวว่าเป็นใหญ่ นานไปจะตายด้วยฝีมือทหารเลว...”

ซึ่งแทงใจดำเข้าพอดี ซุนเซ็กก็ยิ่งโกรธเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เรียกที่ปรึกษามาสั่งให้เตรียมกองทัพไว้ให้พร้อม จะยกไปตีเมืองฮูโต๋ จับตัวกุยแกมาฆ่าเสียให้หายแค้น เตียวเจียวคนสนิทก้เตือนว่า หมอห้ามไม่ให้ดกรธ นี่เพียงแค่ยี่สิบวันจะยกทัพไปเพราะโกรธกุยแกนั้นไม่สมควร

ขณะที่พูดกันอยู่นั้นทั้งสองกำลังอยู่บนหอรบ ก็พอดีมีทหารจากอ้เสี้ยวถือหนังสือมาชวนซุนเซ็กให้ไปตีเมืองฮูโต๋ด้วยกัน ซุนเซ็กก็ดีใจที่ได้พันธมิตร จึงจัดการแต่งโต๊ะเลี้ยงดูแก่ผู้ถือหนังสือบนหอรบนั้นเอง

ขณะที่กำลังกินเลี้ยงกันอยู่ ซุนเซ็กเห็นทหารที่ร่วมวงซุบซิบกันแล้วจูงมือลงไปจากหอรบ ก็สงสัยถามคนที่เหลืออยู่ว่ามีเรื่องอะไร มีคนบอกว่าเวลานี้มีผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคนนับถือมากชื่อ อิเกียด เดินผ่านมาทางใต้หอรบ ทหารเหล่านั้นจึงพากันไปคำนับ ซุนเซ็กก็ชะโงกหน้าออกไปดู เห็นอิเกียดแต่งตัวดี ใส่เสื้องามเหมือนเทวดา มือถือไม้เท้า เดินผ่านชาวเมืองซึ่งถือดอกไม้ธูปเทียนคำนับมาตลอดทาง ก็โกรธปนอิจฉาริษยา จึงสั่งให้ทหารจับตัวไปฆ่าเสีย ทหารทั้งหลายก็ร้องว่า อิเกียดเป็นคนใจบุญ เคยใช้น้ำมนต์รดชาวเมืองที่ป่วยไข้ให้หายมามากมาย จะฆ่าเสียนั้นไม่ควร ซุนเซ็กก็ยิ่งโมโหมากขึ้นอีก เร่งให้ไปจับตัวเอามาให้ได้ ใครขัดขวางให้ตัดศีรษะเสีย ทหารก็จับอิเกียดมาให้ซุนเซ็กบนหอรบ

ซุนเซ็กลงมือสอบสวนด้วยตนเองว่า ตัวเป็นใครมาแต่ไหน ทำไมมาหลอกลวงผู้คน อิเกียดก็ตอบโดยดีว่า

“ ข้าพเจ้าอยู่บ้านลงเสีย ครั้งพระเจ้าซุนเต้เสวยราชย์นั้น ข้าพเจ้าไปเก็บยาตำบลเขาขยกหยง ได้ตำราในถ้ำประมาณร้อยฉบับ สำหรับทำการเสกน้ำรักษาไข้ต่าง ๆ ข้าพเจ้าได้ตำรานั้นมาก็เที่ยวรักษาคนไข้ทั้งปวง มิได้เอาทรัพย์สิ่งสิน ข้าพเจ้าคิดเอาแต่บุญ ซึ่งจะได้ทำความรู้ล่อลวงให้คนทั้งปวงลุ่มหลงนั้นหามิได้ “
ซุนเซ็กก็แย้งว่าถ้าไม่เอาสินจ้างรางวัลจากผู้ใด ท่ำไมจึงเลี้ยงชีวิตและมีเครื่องนุ่งห่มแต่งตัวดีอย่างนี้ ทิ้งไว้ต่อไปจะคิดร้ายได้ จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย

เตียวเจียวกับขุนนางหลายฝ่ายก็พากันร้องขอชีวิตไว้ ซุนเซ็กจึงให้เอาตัวไปขังคุกไว้ก่อน นางงอฮูหยินผู้เป็นมารดาของซุนเซ็ก พอได้ทราบข่าวก็ช่วยขอร้องอีกคนหนึ่ง ซุนเซ็กก็ไม่ฟัง ลีฮวยซึ่งเป็นโหรประจำเมืองก็หาทางช่วยอิเกียด จึงบอกซุนเซ็กว่า บ้านเมืองของเราเวลานี้ฝนก็แล้ง ราษฎรทำนาไม่ได้ผล ขอให้อิเกียดทำพิธีเรียกฝน ถ้าทำได้ก็ปล่อยตัวไปเสีย ซุนเซ็กก็สั่งให้จัดทำโรงพิธีขอฝนสูงประมาณสิบวา แล้วให้อิเกียดทำพิธี ถ้าฝนตกจึงจะปล่อย

อิเกียดก็จัดแจงชำระกายให้บริสุทธิ์ พอเวลาเช้าแดดกล้าก็ขึ้นไปบนโรงพิธี เอาเชือกมัดตัวนอนหมอบตากแดดบริกรรมขอฝนอยู่ ชาวเมืองก็พากันห้อมล้อมอยู่เป็นอันมาก อืเกียดก็บอกแก่ชาวเมืองว่า

“ เราจะขอฝนให้ตกลงมาห่าใหญ่ ให้น้ำท่วมแผ่นดินประมาณสองศอกเศษ ราษฎรทั้งปวงจะได้ทำนาให้บริบูรณ์ ถึงมาตรว่าจะทำได้ดังปรารถนาก็ดี อันชีวิตเราครั้งนี้เห็นจะไม่รอดจากความตาย “

ฝ่ายซุนเซ็กนั้นให้ทหารเอาฟืนและฟางมากองสุมไว้ใต้ถุนโงพิธี ถ้าพ้นเที่ยงแล้วฝนไม่ตก ก็ให้จุดเพลิงเผาอิเกียดเสีย ครั้งถึงเวลาเที่ยง ก็เกิดลมพายุใหญ่มืดมัวไปทั่วทั้งอากาศ แต่ฝนยังไม่ตก ซุนเซ็กอยากจะฆ่าอิเกียดเต็มที ก็ให้ทหารเอาตัวมามัดไว้บนกองฟืนแล้วจุดไฟเผา พอเพลิงลุกขึ้นฟ้าก็ร้องสนั่นและฝนตกลงมาห่าใหญ่ จนน้ำท่วมแผ่นดิน กองเพลิงนั้นก็ดับไปสิ้น

อิเกียดเห็นน้ำท่วมตามที่ตั้งใจไว้ก็ร้องบอกให้ฝนหยุด ผนก็หยุดตก ขุนนางและราษฎรทั้งหลายก้พากันบุกน้ำลุยโคลนเข้าไปแก้มัดอิเกียด แล้วคำนับด้วยความนับถือ

ซุนเซ็กก็ยิ่งเพิ่มความริษยาอาฆาตแค้นหนักขึ้นไปอีก หาว่าฝนตกนั้นเป็นเรื่องของเทวดาไม่เกี่ยวกับอิเกียด ให้เอาตัวไปฆ่าเสียตามคำสั่งเดิม ใครคัดค้านก็หาว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือผู้เสียประโยชน์ จะได้ฆ่าเสียด้วย ก้เลยไม่มีใครกล้าขัดขวาง อิเกียดก็ถูกทหารนำไปประหาร และเอาซพไปประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง โดยไม่ได้มีความผิดแต่ประการใดเลย
ผลของบาปกรรมที่ซุนเซ็กได้กระทำลงไปด้วยความอิจฉาริษยานั้นเอง ทำให้ซุนเซ็กคลุ้มคลั่งเห็นปีศาจของอิเกียดมาหลอกหลอนจนสลบลง และล้มป่วยหนักด้วยโรคเดิม ต้องทุรนทุรายไม่เป็นอันได้หลับได้นอน จนรูปร่างหน้าตาดูไม่ได้ นางงอฮูหยินผู้เป็นมารดาก้พาไปทำบุญเสดาะเคราะห์ที่วัดยกเซียงก๋วน แต่ก็ไม่สำเร็จ ซุนเซ็กมองเห็นแต่รูปอิกียด จนพลาดพลั้งไปฆ่าทหารคนที่เป็นผู้ลงมือประหารอิเกียดตายไปอีกคนหนึ่ง ก็เลยพาลสั่งให้รื้อวัดและเผาเสียจนราบเรียบไป

จากนั้นก็คิดจะยกทัพไปช่วยอ้วนเสี้ยวรบกับโจโฉ ตามที่ตั้งใจไว้แต่ไม่สำเร็จ เพราะแผลเกาทัณฑ์กำเริบกล้าขึ้นจนโลหิตไหลโกรกล้มลงทั้งยืน คราวนี้พอจะรู้ตัวว่าคงไม่รอดพ้นความตายแน่ จึงเรียกญาติพี่น้องและที่ปรึกษาเข้ามาสั่งเสีย ให้ซุนกวนสืบตำแหน่งต่อไป พร้อมกับสอนว่า

“ ตัวเจ้าจะเป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋งนี้ จงคิดตรึกตรองการสงครามให้ชำนาญ ทางบกและทางเรือเหมือนพี่ แต่ซึ่งการโอบอ้อมอารีเลี้ยงทหารนั้นเจ้ามีสติหนักหน่วงดีกว่าพี่ พี่นี้หาก ใจเร็วนัก “

ซุนกวนรับคำแล้วก็ร้องไห้ ซุนเซ็กฝากมารดาให้ช่วยดูแลน้องด้วย นางงอฮูหยินก็ร้องไห้อีกคนแล้วว่า ซุนกวนนั้นยังเด็กนัก เห็นท่าจะรักษาเมืองกังตั๋งไว้ไม่ได้ ซุนเซ็กก็ว่า

“ อันซุนกวนนี้ถึงเป็นเด็กก็จริง แต่สติปัญญามากกว่าข้าพเจ้าสิบส่วนอีก เห็นจะว่าการเมืองนี้ได้อยู่ อันการข้างในนั้นถ้าเหลือความคิดก็ให้ปรึกษากับเตียวเจียว ซึ่งการสงครามนั้นขัดสนประการใดก็ให้คิดอ่านกับจิวยี่เถิด “

แล้วก็เรียกน้องร่วมมารดาอีกสองคนมาสั่งว่า

“ เจ้าจงมีใจเจ็บร้อนด้วยซุนกวนผู้พี่ ถ้าผู้ใดซึ่งเป็นพรรคพวกแซ่เตียวของเราคิดร้ายต่อซุนกวน จงช่วยกันคิดอ่านปราบปรามเสียให้ราบคาบ อย่าให้ผู้อื่นล่วงนินทาได้ “

น้องทั้งสองคือซุนเสียงและซุนของ รับคำแล้วก็ร้องไห้เศร้าโศกกันไป ซุนเซ็กยังไม่หมดแรงก็เรียกนางเกียวฮูหยินผู้ภรรยาเข้ามาสั่งเสียเป็นคนสุดท้ายว่า

“ ตัวพี่หาบุญไม่แล้ว จะตายจากเจ้าไป เจ้าจะอยู่ภายหลังจงช่วยปรนนิบัติรักามารดาของพี่ด้วย เจ้าจงว่าแก่น้องสาวเจ้าซึ่งเป็นภรรยาจิวยี่ ให้ว่ากล่าวเอาใจจิวยี่ ให้ช่วยทำนุบำรุงซุนกวน “

พอสั่งความครบคนแล้ว ซุนเซ็กก็สิ้นใจ เป็นอันปิดฉากชีวิตของซุนเซ็ก ขุนทัพผู้ทรงพลังเก่งกล้าสามารถในการรบ ตั้งแต่รุ่นหนุ่มจนมาหมดอายุลงแค่เพียงยี่สิบหกปี ด้วยฝีมือเกาทัณฑ์ของทหารชั้นลิ่วล้อ บวกกับความที่ไม่รู้จักระงับความโกรธ ความเคียดแค้น และความริษยาอาฆาตของตนเองไว้ให้อยู่ในที่ทางอันสมควรนั้นเอง

ปล่อยให้ซุนกวนน้องชายผู้อ่อนเยาว์รับหน้าที่อันใหญ่หลวง โดยมีจิวยี่เพื่อนสนิทซึ่งเป็นคู่เขยดูแลต่อไป โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร.

##########




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2560 11:42:41 น.
Counter : 1570 Pageviews.  

ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๓)

สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๓)

เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อตอนที่ ซุนเซ็ก รบชนะ เล่าอิ้ว นั้น สามารถรวบรวมทหารเพิ่มขึ้นได้ประมาณสามหมื่น จากจำนวนเดิมที่ยืม อ้วนสุด มาเพียงสามพันห้าร้อยคนเท่านั้น จากนั้นก็ยกไปอยู่เมืองกังตั๋ง แล้วให้ ซุนกวน น้องชายคนรองซึ่งอายุยังน้อย ไปรักษาเมืองอ้วนเสียโดยมี จิวท่าย เป็นผู้ใหญ่ไปคอยดูแลด้วย ส่วนตนเองยกทหารจะไปตีเมืองต๋องง่อ ซึ่งขณะนั้นมี เงียมแปะฮอ เป็นเจ้าเมือง แต่เกิดตั้งตัวเป็นเจ้าชื่อเต๊กอ๋อง

เมื่อเงียมแปะฮอรู้ข่าวว่าซุนเซ็กยกทัพมา ก็ให้น้องชายชื่อ เงียมอี๋ ยก ทหารไปคอยดักอยู่ที่สะพานหองเกี๋ยว ซุนเซ็กก็ให้ทหารเอกคนหนึ่งเข้ารบกันตรงหน้าบนสะพานนั้น ส่วนอีกสองคนให้ลงเรือเล็กเอาเกาทัณฑ์ยิงกระหนาบทั้งสองข้างสะพานทำให้เงียมอี๋เสียทหารไปมากทนไม่ไหว ต้องถอยทัพกลับเข้าเมือง ซุนเซ็กก็เข้าล้อมเมืองไว้ทั้งทางบกทางน้ำ แล้วขี่ม้าเลาะกำแพงเมือง เกลี้ยกล่อมทหารข้าศึกให้ออกมายอมจำนน

มีทหารในเมืองคนหนึ่งไม่แจ้งชื่อ เอามือซ้ายท้าวแปหอรบ เอามือขวาชี้หน้าแล้วร้องด่าสวนลงมา ไทสูจู้ จึงขึ้นเกาทัณฑ์พาดลูกไว้ แล้วหันมาบอกแก่ทหารว่าจะตรึงมือไอ้คนนั้นไว้กับแปหอรบ ทหารทั้งปวงก็เหลียวมาดูก็เห็นลูกเกาทัณฑ์ปักตรึงมือทหารผู้ปากไม่ดีคนนั้นอยู่ โดยที่คนยิงยังไม่ได้หันหน้าไปดูเลย ต่างก็พากันสรรเสริญว่า ไทสูจู้มีฝีมือเกาทัณฑ์หาผู้เสมอมิได้

เงียมแปะฮอชักจะย่อท้อไม่มีแก่ใจจะต่อสู้จึงส่งเงียมอี๋ออกไปหาซุนเซ็กถึงค่าย ซุนเซ็กก็ต้อนรับเลี้ยงดูสุราอาหารเป็นอย่างดี เงียมอี๋เจรจาว่า พี่ชายให้ออกมาขออ่อนน้อมยอมสงบศึกและจะแบ่งเมืองให้ซุนเซ็กกึ่งหนึ่ง ซุนเซ็กโกรธหาว่าเมืองต๋องง่อนี้อยู่ในเงื้อมมือแล้ว ควรจะยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข บังอาจมาเจรจาต่อรองจึงให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย เงียมอี๋ก็ลุกขึ้นฉวยกระบี่ฟันซุนเซ็กแต่ไม่ทันการณ์ซุนเซ็กชักกระบี่ที่เหน็บหลัง ขว้างไปปักอกเงียมอี๋ตายคาโต๊ะอาหาร แล้วให้ทหารตัดศรีษะโยนทิ้งเข้าไปข้างในกำแพงเมือง เงียมแปะฮอก็ยิ่งตกใจหนักขึ้นไปอีก

พอเวลาค่ำจึงพาทหารหนีออกจากเมือง โดยปลอมตัวเป็นโจรป่า แต่ก็
ถูกราษฎรชาวบ้านรวมตัวกันต่อสู้ ต้องหนีข้ามฟากแม่น้ำไปทางเมืองห้อยเข ก็โดนทหารของซุนเซ็กตามตีแตกเตลิดไปอาศัย อ่องหลอง เจ้าเมืองห้อยเขอยู่ ที่ปรึกษาของเจ้าเมืองก็ห้ามว่า อย่าไปช่วยเงียมแปะฮอรบกับซุนเซ็กเลย แต่อ่องหลองไม่เชื่อ ยกทหารไปตั้งรับอยู่ที่ริมทุ่งเชิงเขาใกล้เมือง

ซุนเซ็กยกมาถึงค่าย แลเห็นอ่องหองยืนม้าถือกระบี่อยู่หน้าทหาร ก็ถาม ว่า

"...เราทำการครั้งนี้ประสงค์จะให้ราษฎรได้ความสุข เงียมแปะฮอเป็นคนหยาบช้า เหตุไฉนตัวจึงมาเข้าด้วยคนผิด...."

อ่องหลองก็โต้ว่า

"...เอ็งเป็นคนโลภเที่ยวรบพุ่งได้เมืองหลายตำบลแล้วยังไม่หนำใจ บัดนี้ยกมาย่ำยีในแดนกู กูจึงยกมาให้เงียมแปะฮอแก้แค้นเอ็งให้จงได้.."

ว่าแล้วก็ชักม้าเข้ารบกันได้หกเพลง ไทสูจู้ก็ควบม้าควงทวนเข้ามาผลัดเปลี่ยนซุนเซ็ก จิวเจียดก็เข้ามาแทนอ่องหลองบ้าง รบกันไปอีกห้าเพลงทหารของซุนเซ็ก ก็วกเข้ามาล้อมหลัง อ่องหลองก็พาเงียมแปะฮอหนีกลับเข้าเมือง แล้วชักสะพานข้ามคูปิดประตูเมืองไว้มั่นคง ซุนเซ็กก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองไว้อีกตามเคย อ่องหลองจะยกทหารออกไปสู้ก็ถูกเงียมแปะฮอห้ามไว้ รอให้ซุนเซ็กหมดเสบียงเสียก่อน

ซุนเซ็กล้อมเมืองไว้ได้ห้าวันเท่านั้น ก็ยกทหารไปตีตำบลแจตอก แหล่งสะสมเสบียงอาหารของอ่องหลอง เพื่อชิงเสบียงมาเลี้ยงกองทัพของตน อ่องหลองจึงยกทหารติดตามไป โดยให้จิวเจียดกับเงียมแปะฮอเป็นกองหน้า ยกไปเพียงสามร้อยเส้น ก็ทันกองทหารของซุนเซ็กที่ชายป่า พอดีค่ำลงเลยถูกซุนเซ็กล้อมไว้ แล้วฆ่า จิวเจียดตาย แต่เงียมแปะฮอแยกหนีไปทางตำบลอิข้อง เลยถูก ตังสิด ชาวเมืองเหยียวจับตัว ตัดศรีษะมาให้ซุนเซ็กเอาบำเหน็จความชอบได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายทหารเอก ส่วนอ่องหลองตามมาทีหลัง รู้ว่ากองหน้าแตกแล้วก็เลยพาทหารหนีไปตั้งอยู่ริมทะเล

จากนั้นซุนเซ็กก็ตั้งให้ ซุนเจ้ง น้องซุนเกี๋ยนผู้บิดาอยู่รักษาเมืองห้อยเข และให้ จูตี นายทหารเก่าของบิดาไปรักษาเมืองต๋องง่อส่วนตนเองยกทัพกลับเมือง กังตั๋ง พอดีได้ข่าวว่าซุนกวนน้องชายที่อยู่เมืองอ้วนเสียถูกโจรป่ายกเข้าล้อมเมือง จิวท่ายผู้ดูแลเห็นท่าจะสู้ไม่ไหว ก็อุ้มซุนกวนขึ้นม้าตีฝ่าพวกโจรหนีออกมา โดยฆ่าฟันพวกโจรตายไปได้ประมาณสิบห้าคน แต่ตนเองโดนทวนแทงถึงสิบแผล ประคองกันมาหาซุนเซ็กจนได้

ตังสิดจึงแนะนำว่า เมื่อครั้งเป็นโจรอยู่ริมทะเลก็เคยถูกทวนแทงหลาย แห่ง ได้หมอ งีห้วน ชาวเมืองห้อยเขรักษาเพียงสิบห้าวันก็หาย ซุนเซ็กจึงให้ไปเชิญหมอมารักษาจิวท่าย งีห้วนก็ถ่อมตัวว่าความรู้ยังน้อยขอให้ไปเชิญหมอ ฮัวโต๋ ซึ่งเป็นหมอเอก อยู่เมืองไพก๊กมารักษาแทน หมอฮัวโต๋เป็นคนรูปงามผมยาวมีสง่าราศี ก็รับรักษาจิวท่าย ให้หายเรียบร้อยได้ภายในสิบวันเท่านั้น

แล้วต่อมาซุนเซ็กก็ยกทหารไปปราบปรามโจร ที่มาตีเมืองอ้วนเสีย จน สงบราบคาบ จากนั้นก็ยกไปตีเมืองโลกั๋งและเมืองอิเจี๋ยงแถมพกอีกด้วย เมื่อชนะแล้วก็กวาดต้อนผู้คนไว้ได้เป็นอันมาก มีกำลังเข้มแข็งขึ้น ก็คิดอยากจะเป็นใหญ่เป็นโต จึงแต่งหนังสือไปคำนับ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ทางหนึ่ง และมีหนังสือไปทวงตราหยกของบิดาที่ ฝากไว้กับ อ้วนสุด อีกทางหนึ่งด้วย

หนังสือที่ทำไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นซุนเซ็กให้ เตียวเหียน เป็นผู้ถือไปส่ง พอถึงมือ โจโฉ ท่านมหาอุปราชก็รำพึงว่า อันธรรมดาลูกเสือนั้นย่อมร้ายกาจ ใครจะทำอันตรายนั้นยากนัก จำเป็นจะต้องยกบุตรหญิงน้องของโจหยินให้เป็นภรรยาซุนของ น้องของซุนเซ็ก จะได้เป็นญาติเกี่ยวดองไม่เป็นศัตรูต่อกัน แล้วก็สั่งเตียวเหียนให้อยู่ทำราชการในเมืองหลวง โดยไม่เอาหนังสือนั้นถวายพระเจ้าเหียนเต้ ซุนเซ็กรู้ข่าวก็เก็บความแค้นเอาไว้ในใจ ได้ทีเมื่อไรจะยกทัพไปจัดการกันต่อไป

ฝ่าย เค้าก๋อง เจ้าเมืองง่อกุ๋นซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกังตั๋งเห็นว่าซุนเซ็กเที่ยวยกไปรบหัวเมืองต่าง ๆ ได้ชัยชนะมาทุกครั้ง จึงมีหนังสือไปถึงโจโฉ ขอให้อ้างรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ เรียกตัวซุนเซ็กเข้าไปทำราชการในเมืองหลวงเสีย ขืนปล่อยให้ทำการขยายอำนาจกว้างขวางกว่านี้ ก็คงจะเป็นขบถต่อแผ่นดินสักวันหนึ่งเป็นแน่ ทหารผู้ถือหนังสือก็ลงเรือข้ามอ่าวไป เจอเอากองตระเวนทางน้ำของเมืองกังตั๋งจับได้ เอามาส่งให้ซุนเซ็ก พออ่านรู้ความในหนังสือก็โกรธมาก ให้เอาตัวผู้ถือหนังสือไปฆ่าเสีย แล้วเชิญ เค้าก๋องมากินโต๊ะที่เมืองกังตั๋ง

เค้าก๋องหลงกลก็มาตามคำเชิญ พร้อมด้วยทหารเพียงสามคน ซุนเซ็กก็ เอาหนังสือให้ดู เค้าก๋องจนแต้มไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไร เลยโดนเอาตัวไปประหารเสียทันที ครอบครัวบ่าวไพร่ที่อยู่ทางเมืองง่อกุ๋นก็แตกตื่นหนีภัยออกไปจนหมดสิ้น แต่ลิ่วล้อที่ติดตามไปทั้งสามคนนั้น ไม่มีใครทำอันตรายอะไร แต่ก็ไม่ยอมกลับบ้าน คงวนเวียนอยู่ใกล้เมืองกังตั๋ง ด้วยความอาฆาตพยาบาทแทนเจ้านาย ที่ถูกฆ่าตายเนื่องจากมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ รอวันเวลาที่จะได้ล้างแค้น ต่อไป

แต่มือขนาดลิ่วล้อ จะทำอันตรายแก่ซุนเซ็ก ผู้มีฝีมือเก่งกล้าได้อย่างไรก็คิดไม่ออกเหมือนกัน.

##########




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2560 11:36:05 น.
Counter : 260 Pageviews.  

ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๒)

ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๒)

ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๒)

เล่าเซัี่ยงชุน

ซุนเซ็ก บุตรชายคนหัวปีของ ซุนเกี๋ยน ซึ่งต้องตายไป เพราะผิดคำสาบาน ในขณะนั้นอายุเพียงสิบห้าปี ก็รับเอาศพซุนเกี๋ยนมาลงเรือ ยกกลับไปเมืองกังตั๋งแต่งการศพไว้ที่ตำบลขยกโอ๋ตามประเพณีแล้ว ก็พามารดากับน้อง ๆ ไปอยู่ที่เมืองกังหนำ ซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองชีจิ๋ว แต่ โตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋วผิดใจกับ งอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ยงซึ่งเป็นน้าของซุนเซ็ก เห็นว่าจะอยู่ก็ไม่มีความสุข จึงพาครอบครัวกลับมาอยู่ที่ตำบลขยกโอ๋ ซึ่งใกล้กับเมืองตันเอี๋ยง แล้วตัวซุนเซ็กก็ไปทำราชการอยู่กับ อ้วนสุด เจ้าเมืองลำหยง
อ้วนสุดก็รักใคร่ ตั้งให้เป็นนายทหาร เพราะมีฝีมือกล้าแข็งแม้อายุยังน้อย

ในระหว่างที่ซุนเซ็กได้อยู่กับอ้วนสุดนี้ ก็ได้ยกทหารไปตีเมืองเก๋งกวงครั้งหนึ่ง และต่อมาก็ไปตีเมืองโลกั๋งได้อีก นับว่ามีความชอบอยู่เป็นอันมาก แต่อ้วนสุดก็ไม่ได้ปูนบำเหน็จรางวัลเพิ่มขึ้นแต่ประการใด มีแต่จัดโต๊ะเลี้ยงแสดงความยินดีในชัยชนะเท่านั้น ซุนเซ็กก็นึกน้อยใจจึงปรึกษาหารือกับคนสนิทของบิดาว่า จะขอทหารอ้วนสุดไปสมทบกับงอเก๋งผู้เป็นน้าชาย โดยเอาตราหยกที่บิดามอบให้ จำนำไว้กับอ้วนสุดก่อน แล้วจะยกไปแก้แค้นแทนบิดา และหาทางตั้งตัวเป็นใหญ่ต่อไป

อ้วนสุดก็ดีใจ ที่จะได้ตราหยกประจำตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน มาไว้ใน
ครอบครอง จึงรีบมอบทหารเดินเท้าสามพันกับทหารม้าห้าร้อยนาย ให้ซุนเซ็กไปโดยเร็ว ไม่ได้สนใจว่าจะเอาไปรบกับใคร แต่ก็ยังอุตส่าห์กำชับว่า ถ้าทำงานสำเร็จแล้ว ให้รีบกลับมา จะตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่

ฝ่าย เล่าอิ้ว ญาติของ เล่าเปียว อยู่ที่เมืองฉิวฉุน เมื่อรู้ว่าซุนเซ็กยก ทหารมา ก็คิดอ่านกับที่ปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดี เตียวเอ๋ง ก็รับอาสาจะคุมกองทัพ ไป
ตั้งรับที่ตำบลงิวจู๋ซึ่งเป็นที่ลุ่ม เตรียมข้าวใส่ยุ้งไว้ไว้เป็นเสบียงสักสิบหมื่นถัง กะว่าถ้าข้า
ศึกจะยกมาสักร้อยหมื่นก็ ยังพอสู้ได้อีกนาน ทั้ง ๆ ที่ซุนเซ็กยกพลมาแค่สามพันห้าเท่านั้นเอง ขณะนั้นก็มีนายทหารหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ไทสูจู้ ก็ขอรับอาสาเป็นกองหน้า แต่ เล่าอิ้วเห็นว่ายังเป็นเด็กอ่อนความคิด ก็เลยยังไม่ยอมให้ไป
ความจริงไทสูจู้คนนี้ แม้อายุน้อยแต่ก็เป็นคนกล้าหาญกตัญญู และมีฝีมือพอตัว เดิมเป็นชาวเมืองอุยก๋วน เคยไปช่วยปราบโจรที่ล้อมเมืองปังไฮเพราะเจ้าเมืองมีบุญคุณอยู่กับมารดาของตน จนแตกพ่ายไป เสร็จเรื่องแล้วก็ลากลับบ้าน มารดาจึงสั่งให้ มาทำราชการอยู่กับเล่าอิ้วที่เมืองเอียงจิ๋ว แล้วก็ติดตามมาในกองทัพตามหน้าที่นายทหาร

ทางฝ่ายซุนเซ็กนั้นก็ยกกำลังเข้ารบกับเตียวเอ๋ง ปะทะกันได้ห้าเพลงก็มีโจรป่าสองคนพี่น้องชื่อ จิวขิม กับ จิวท่าย คุมพวกประมาณสามร้อยคน มาช่วยซุนเซ็ก
แล้วเลยเข้าไปเผาค่ายเตียวเอ๋ง จนต้องหนีกลับเข้าเมือง ซุนเซ็กจึงยึดได้ศาสตราวุธ
เป็นจำนวนมากพร้อมด้วยเชลยที่ยอมเป็นพวกด้วยอีกสี่พันคนเศษ ยกไปตั้งใกล้เขาสินเต๋งทางทิศใต้ เล่าอิ้วก็ยกทหารไปตั้งอยู่ทางทิศเหนือของภูเขาลูกเดียวกัน ส่วนเตียวเอ๋งที่แตกทัพมานั้น เล่าอิ้วยกโทษประหาร แต่ให้ไปตั้งระวังเมืองเลงเหลงไว้ให้ดี

ซุนเซ็กรู้ข่าวว่าบนภูเขาสินเต๋ง มีศาลเจ้าฮั่นกองบู๊ อดีตกษัตริย์บรรพ บุรุษของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งอยู่ จึงจับทวนขึ้นม้าไปกับทหารเพียงสิบสองคน คำนับบวงสรวงแล้ว ก็ขับม้าเลียบเนินเขาจะไปดูขบวนทัพของเล่าอิ้ว ซึ่งอยู่ฟากตรงข้าม เล่าอิ้วรู้ข่าวจากทหารก็สงสัย เกรงว่าจะเป็นกลศึก จึงไม่คิดจะทำอะไร แต่ไทสูจู้เห็นว่าครั้งนี้เป็นทีแล้ว ถ้าไม่คิดอ่านจับตัวซุนเซ็กตอนนี้ จะหาโอกาสอย่างนี้ได้อีกเมื่อไร จึงฉวยทวนขึ้นม้า ประกาศรับอาสาสมัครผู้ที่จะร่วมทางไปจับซุนเซ็ก ก็ไม่มีใครเอาด้วย นอกจากพลทหารเลวผู้หนึ่งนับถือความกล้าหาญของไทสูจู้ จึงขี่ม้าตามหลังไป ไทสูจู้ก็ไม่ได้รีรอรีบพาทหารคู่ใจขึ้นเขาไปกันสองคน ปล่อยให้พวกขี้ขลาดตาขาวพากันหัวเราะเยาะอยู่ข้างหลังอย่างไม่สนใจใยดี

ซุนเซ็กนั้น เมื่อดูการวางกระบวนทัพของเล่าอิ้วจนพอใจแล้ว ก็กลับลง
มาถึงตีนเขา เจอเอาไทสูจู้สองคนกับทหารเลวดักหน้าอยู่ ซุนเซ็กจึงให้ทหารของตนรอ
อยู่ข้างหลัง ตนเองชักม้าเข้าไปหาแล้วถามว่าชื่ออะไร

ไทสูจู้ตอบว่า

"...เราชื่อไทสูจู้จะมาจับตัวซุนเซ็ก..."

ซุนเซ็กได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า

"....ตัวจะมาจับเราแต่สองคนนี้เรามิได้กลัว แม้เรากลัวเราก็ไม่ใช่ชาติทหาร...."

ไทสูจู้ย้อนกลับไปว่า

".....เราผู้เดียว ให้ตัวออกมาทั้งสิบสองคนนั้น เราก็ไม่กลัว...."

แล้วทั้งสองก็เข้ารบกันด้วยทวนคู่มือได้ห้าเพลง ไทสูจู้เห็นซุนเซ็กมี ฝีมือเข้มแข็ง ก็ทำเป็นถอยหนีล่อให้ซุนเซ็กไล่ตามมาไกลจนถึงตำบลเพ้งฉวน ไทสูจู้ก็หันกลับมารบกับซุนเซ็กอีกห้าสิบเพลง ซุนเซ็กเอาทวนแทงพลาดไทสูจู้คว้าทวนไว้ได้แล้วแทงตอบก็พลาด ให้ซุนเซ็กจับไว้ได้บ้าง ทั้งสองจึงยื้อยุดฉุดกระชาก จนตกลงจากหลังม้าทั้งคู่ ทวนหลุดจากมือทั้งสองฝ่าย ก็เข้าปล้ำกันจนเสื้อเกราะขาดออกจากตัว

ซุนเซ็กชักทวนสั้นที่เหน็บหลังไทสูจู้ออกมาแทงเจ้าของ ไทสูจู้ก็คว้าได้
หมวกของซุนเซ็กมารับเอาไว้ได้ พอดีทหารของเล่าอิ้วตามมาช่วยไทสูจู้อีกตั้งพันคน ทั้ง
สองจึงผละจากกัน ซุนเซ็กขึ้นม้าได้ก็พาทหารสิบสองคนรบพลางถอยหนีไปพลาง ไทสูจู้ก็ไล่ตามมาจนถึงหน้าค่าย พอดีเกิดพายุฝนตกหนัก ก็เลยต้องแยกกันกลับเข้าค่าย

ซุนเซ็กนั้นคิดแค้นอยู่ตลอดคืนนอนไม่หลับ รีบลุกขึ้นแต่เช้ายกทหารมาถึง
หน้าค่ายเล่าอิ้ว ไทสูจู้ก็ยกทหารออกมาตั้งประจันหน้ากัน ซุนเซ็กชูทวนที่ยึดมาได้เมื่อวาน แล้วร้องเยาะเย้ยว่า เมื่อวานนี้ดีแต่หนีทัน ไม่อย่างนั้นไทสูจู้ก็คงต้องตายไปแล้ว ไทสูจู้ก็ชูหมวกที่ยึดมาได้เหมือนกัน สวนคำว่านี่ศีรษะของใครเล่าที่เราได้ไว้ ต่างก็เย้ยหยันยั่วโทสะกันไปมา

เทียเภา ทหารเอกฝ่ายซุนเซ็ก ก็เข้ารบกับไทสูจู้ถึงสามสิบเพลงแล้วยังไม่ทันรู้แพ้ชนะ ก็มีทหารมาบอกเล่าอิ้วว่า พรรคพวกของซุนเซ็กตีหักเข้าค่ายที่ขยกโอ๋ได้
จึงรีบตีม้าล่อยกกองทัพกลับ ซุนเซ็กก็นำทหารติดตามไปทันกลางทาง แล้วเข้าตีทันที
ทั้งที่เป็นเวลากลางคืน เล่าอิ้วกับไทสูจู้สู้ไม่ไหวต้องแตกกระจายไป ไทสูจู้เหลือทหารสิบห้าคน แยกหนีไปทางเมืองเก๋งก๋วน เล่าอิ้วก็พาทหารถอยไปตั้งหลักที่ตำบลงิวจู๋

ทหารรองของเล่าอิ้ว ที่ยกหนีจากค่ายขยกโอ๋ จะมารับเล่าอิ้วแต่ไม่ทัน เจอเข้ากับซุนเซ็กเลยโดนตีแตกกระเจิงอีกราย ต้องหนีไปสมทบกับเล่าอิ้ว ซุนเซ็กก็ยัง
ไม่ยอมหยุดตามไปจนถึงงิวจู๋จนได้ ลิ่วล้อของเล่าอิ้วชื่อ อิปี ควบม้าเข้ามาสู้กับซุนเซ็ก
ได้แค่สามเพลงก็พลาดท่าเสียที โดนซุนเซ็กจับตัวได้ เอาหนีบรักแร้มาจะกลับเข้าค่าย
เพื่อนที่ชื่อวัวเหลง ก็ควบม้าควงทวนเข้ามาจะชิงตัวอิปีคืน ซุนเซ็กเห็นเข้ามาใกล้ ก็
เหลียวหลังมาตวาดด้วยเสียงอันดังอย่างกับฟ้าผ่า วัวเหลงสดุ้งตกจากหลังม้า ศีรษะแตกตายคาที่ พอถึงหน้าค่ายซุนเซ็กก็ปล่อยตัวอิปีร่วงลงไปกองกับพื้น ปรากฏว่าขาดใจตายไปเสียแล้ว ทหารทั้งปวงก็สรรเสริญว่าซุนเซ็กมีกำลังมากหาผู้ใดเสมอมิได้

เล่าอิ้วนั้นเมื่อเสียรี้พลไปมากก็ชักใจฝ่อพาพรรคพวกหนีไปอยู่ทางเมือง
อิเจี๋ยง ปล่อยให้ ซีเหล เตียวเอ๋ง กับ ตันเหง รับหน้าซุนเซ็กไว้พลางก่อน ก็ปรากฏผล
ว่าซีเหลถูกทหารเลวรุมล้อมฆ่าตาย ต่อมาเตียวเอ๋งถูกแทงตกม้าตาย ตันเหงก็ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ตายไปอีก เหลือแต่ไทสูจู้ซึ่งถอยมาอยู่ที่เมืองเก๋งก๋วน ซุนเซ็กก็ตามมาล้อมไว้อีก

ไทสูจู้เหลือทหารน้อยก็แอบหนีออกจากเมือง แต่ก็โดนกับดักของ ซุนเซ็ก ซึ่งขึงเชือกขวาง ช่องทางที่เปิดไว้ให้หนี ม้าก็สะดุดล้มกลิ้งโดนจับตัวมัดไปจนได้

ซุนเซ็กนิยมนับถือในความกล้าหาญของไทสูจู้ จึงแก้มัดออกแล้วก็พูดจา
เกลี้ยกล่อมให้ยอมเข้าพวกด้วย ไทสูจู้ก็รักน้ำใจของซุนเซ็กว่าไม่มีความพยาบาท จึงยอมสมัครอยู่ด้วย ซุนเซ็กอารมณ์ดีก็ถามว่า เมื่อครั้งที่ปล้ำกันแถวตีนเขาสินเต๋งนั้น ถ้าท่านจับเราได้จะฆ่าเราหรือไม่ ไทสูจู้ก็ว่าไม่แน่ แล้วก็หัวเราะชวนกันกินโต๊ะ ฉลองความเป็นมิตรไมตรีต่อกัน

ไทสูจู้เห็นว่าเล่าอิ้วแยกตัวหนีไปแล้ว ทิ้งทหารกระจัดกระจายอยู่ จึง
ขออาสาไปรวบรวมเอามาเป็นกำลังด้วย ภายในเที่ยงพรุ่งนี้จะกลับมา ซุนเซ็กก็อนุญาตให้ไปทั้ง ๆ ที่มีผู้ห้ามปรามว่า ปล่อยไปก็คงไม่หวนกลับมาแน่ ถึงกับชวนกันไปปักไม้ไว้ตั้งแต่ตอนเช้า พอเงาพระอาทิตย์ตรงไม้ ไทสูจู้ก็กลับมา พร้อมด้วยไพล่พลประมาณพันเศษ ซุนเซ็กสรรเสริญไทสูจู้ว่าเป็นคนดีมีความสัตย์ และทหารทั้งปวงก็สรรเสริญซุนเซ็กว่าเป็นผู้มีปัญญา หยั่งรู้น้ำใจคนได้ถูกต้อง

ศึกแก้แค้นระหว่าง ซุนเซ็ก กับ เล่าอิ้ว ก็เลยสิ้นสุดลงแต่เพียงนี้ คงปล่อยให้เล่าอิ้วหลบไปนอนสบายอยู่ที่เมืองอิเจี๋ยง โดยไม่ได้กล่าวขวัญอีกเลย

แต่ความกระหายสงครามของซุนเซ็ก ไม่ได้ยุติลงแค่นี้ เขาจะพา ไทสูจู้ ลิ่วล้อคนใหม่ตระเวนไปรบกับใครที่ไหนอีก คงจะต้องติดตามกันต่อไป.

##########




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2560 14:15:44 น.
Counter : 419 Pageviews.  

ซุนเกี๋ยน (๑)

สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๑)

เล่าเซี่ยงชุน

บุคคลผู้เป็นใหญ่ในภาคใต้ของแผ่นดินจีน เป็นหนึ่งในสามก๊กนั้น ใคร ๆ
ก็รู้จักเป็นอย่างดีเขาคือ ซุนกวน ซึ่งได้ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้แห่งง่อก๊กแข่งบารมีกับคนแซ่เล่า
และแซ่โจ จนต้องทำสงครามขับเคี่ยวกันนัวเนียอยู่อีกห้าสิบปี จึงจบสิ้นยุคสมัยของสามก๊ก

อันว่าซุนกวนนั้นไม่ใช่คนเก่งกล้าสามารถอะไรนัก แต่โชคดีที่ต้นตระกูล
เป็นนักรบที่เข้มแข็ง และมีบริวารทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นที่มีสติปัญญาหลายคน จึงได้ปกครองดินแดนอันมั่งคั่งสมบูรณ์ และมีชัยภูมิที่ดี คือแคว้นกังตั๋ง ตั้งแต่ยังหนุ่ม แม้ โจโฉ จะได้ใช้ความพยายามตีเท่าไรก็ไม่แตก แต่คนที่จะได้กล่าวถึงในตอนนี้ก็คือบิดาของซุนกวน ผู้มีนามว่า ซุนเกี๋ยน

ซุนเกี๋ยนเกิดที่เมืองตองง่อ มีลักษณะที่พิเศษคือ หน้าผากใหญ่ หน้ายาว
กิริยาเหมือนเสือ เมื่อรุ่นหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดปี ได้ร่วมเดินทางโดยขบวนเรือไปค้าขาย
ที่เมืองเจียนต๋องกับบิดา พบเห็นโจรสิบคนตีชิงลูกค้าของตน เอาของมาแบ่งกันอยู่บนบก ก็เดินเข้าไปอ้างตัวว่าเป็นขุนนาง พวกโจรลุกขึ้นวิ่งหนี ก็ตามไปฆ่าตายเสียคนหนึ่งหนีไปเก้าคน เจ้าเมืองเกิดชอบใจ เลยเอาตัวไว้แต่งตั้งให้เป็นนายทหาร

ต่อมาก็ร่วมมือกับเจ้าเมืองเจียนต๋องปราบปราม หือฉง ซึ่งเป็นขบถต่อพระเจ้าเลนเต้ ได้อีก จากนั้นก็ร่วมมือกับ จูฮี เล่าปี่ปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองที่เมืองอ้วนเซีย ด้วยการฆ่านายโจรและลูกสมุนตายไปหลายสิบคน แล้วก็ช่วยปลดปล่อย หัวเมืองที่พวกโจรยึดครองไว้ได้ถึงสิบสี่สิบห้าหัวเมือง ทำให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเตียงสา และได้ปราบ คูเสง หัวหน้าโจรโพก
ผ้าเหลืองในเมืองนั้น ให้ราบคาบลงได้อีกกลุ่มหนึ่ง จึงได้ย้ายไปเป็นเจ้าเมืองกังแฮ ซึ่ง
เป็นหัวเมืองเอกทางภาคใต้ใหญ่โตขึ้น

จนกระทั่งถึงแผ่นดิน พระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งตั๋งโต๊ะ เป็นมหาอุปราชได้กระทำการหยาบช้าต่าง ๆ นา ๆ โจโฉจึงตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ หนีออกจากเมืองหลวง ไปรวบรวมพลพรรคจากหัวเมืองในชนบท เพื่อกลับมาปราบปราม ซุนเกี๋ยนก็ได้พาทหารเข้าร่วมขบวนการด้วย และได้รับแต่งตั้งจาก อ้วนเสี้ยว แม่ทัพใหญ่ ให้เป็นแม่ทัพหน้าเข้าตี
เมืองลกเอี๋ยง แม้จะไม่ได้ชัยชนะเด็ดขาด แต่ก็สามารถผลักดันให้ตั๋งโต๊ะต้องพาพระเจ้า
เหี้ยนเต้ ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเตียงฮัน และเผาเมืองลกเอี๋ยงเสียราบเรียบไป

ซุนเกี๋ยนก็ยกทัพหน้าเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองร้างนั้น และได้พบตราหยกติด
อยู่กับศพของหญิงผู้หนึ่ง เป็นตราหยกสี่เหลี่ยมจตุรัสหน้าแปดนิ้ว ยอดเป็นรูปมังกรห้าตัวเกาะเกี่ยวกัน มีอักษรแกะไว้ว่า เทวดาประสิทธิ์ให้ ถ้าผู้ใดได้ไว้แล้วครองราชสมบัติ ก็จะจำเริญพระชันษาสืบไป ซึ่งใช้เป็นตราประจำตำแหน่งของฮ่องเต้มาตั้งแต่ พระเจ้า
โซบูอ๋อง พระเจ้าฮั่นโกโจ พระเจ้าฮั่นกองบู๊ จนถึงพระเจ้าเลนเต้และพระเจ้าเหี้ยนเต้
เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ซุนเกี๋ยนเกิดความโลภคิดจะเก็บเอาไว้เป็นประโยชน์แก่ตน
จึงขอลาอ้วนเสี้ยวแม่ทัพใหญ่ จะยกพลพรรคกลับบ้านเมือง โดยอ้างว่าป่วยจะไปรักษาตัว อ้วนเสี้ยวรู้ระแคะระคาย จึงดักคอว่า

"...เราทั้งปวงคิดกันมา หวังจะล้างศัตรูราชสมบัติเสีย ซึ่งท่านได้ตราหยกสำหรับพระมหากษัตริย์ไว้ จงเอามาให้เราซึ่งเป็นนายทัพผู้ใหญ่ ถ้าสำเร็จราชการแล้ว จะได้ถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้เสวยราชสมบัติสืบไป ซึ่งท่านได้ตราไว้แล้วปิดเนื้อความเสียจะพาเอาไปนั้น ท่านคิดจะเอาราชสมบัติหรือ....."

ซุนเกี๋ยนจึงเอามือชี้ฟ้าแล้วสาบานว่า

"......ถ้าข้าพเจ้าได้ตราหยก ไว้แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยสายฟ้า และอาวุธต่าง ๆ เถิด...."

อ้วนเสี้ยวก็เอาตัวทหารผู้เห็นเหตุการณ์มายืนยัน ซุนเกี๋ยนก็พาลจะฆ่าเสีย ทหารเอกของทั้งสองฝ่าย ต่างก็ชักกระบี่ออกประจันหน้ากัน ข้างละสองสามคน แม่ทัพหัวเมืองอื่น ๆ จึงเข้าห้ามปรามเสียทั้งสองฝ่าย และปล่อยให้ซุนเกี๋ยนยกทหารกลับไป

อ้วนเสี้ยวยังไม่ยอมแพ้ รีบแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปถึง เล่าเปียว ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ให้คุมทหารออกสกัดรบชิงเอาตราหยกมาให้ได้ เล่าเปียวก็ยกกองทัพหมื่นหนึ่งมาดักซุนเกี๋ยนกลางทาง ซุนเกี๋ยนก็ไม่ยอมรับ และทวนสาบานซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
เล่าเปียวไม่เชื่อ ทั้งสองจึงรบปะทะกันอยู่พักใหญ่ แต่ก็ทำอะไรซุนเกี๋ยนไม่ได้ เพราะมี
ฝีมือแก่กล้าพอตัวจึงยกทหารผ่านไปถึงเมืองกังตั๋งได้สำเร็จ และคิดอาฆาตแค้น เล่าเปียวไว้ตั้งแต่นั้นมา

ต่อมา อ้วนสุด ผู้น้องอ้วนเสี้ยว เกิดมีเรื่องโกรธเคืองกับพี่ชาย ก็ส่งหนังสือมาชวนซุนเกี๋ยน ให้ยกไปรบเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว แล้วตนจะยกไปตีอ้วนเสี้ยวที่
เมืองกิจิ๋วพร้อมกัน ซุนเกี๋ยนก็รีบตกลงทันที แม้ ซุนเจ้ง น้องชาย จะพาบุตรของซุนเกี๋ยน
ทั้งเจ็ดคนไปห้ามปราม ไม่ให้ยกกองทัพไปก็ไม่ฟัง บุตรชายคนโตซื่อ ซุนเซ็ก จึงขอไปรบ
ด้วย ซุนเกี๋ยนก็ไม่ขัดข้อง ยอมพาไปกับกองทัพของตน

ซุนเกี๋ยนยกทัพเรือมาถึงปากน้ำเมืองฮวนเสีย ก็เจอกับ หองจอ พวก ของเล่าเปียวคุมทหารมาดักอยู่ แล้วกระหน่ำยิงด้วยเกาทัณฑ์ถึงสามวันสามคืน จนหมดลูก
เกาทัณฑ์ไปสิบห้าหมื่นดอก ซุนเกี๋ยนก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด กลับให้ทหารเก็บเอาลูกเกาทัณฑ์ที่ปักติดเรือรบทั้งหมด ไว้ใช้ประโยชน์ต่อไปเสียอีก แล้วยกทัพตามหองจอ ซึ่งหนีออกจากเมืองฮวนเสีย ไปถึงเมืองเตงเซีย ก็เจอทหารของหองจอสองคนคือ เตียวเฮา กับ ตันเสง ตั้งทัพยันไว้ ซุนเกี๋ยนก็ให้ทหารเอกของตนเข้ารบด้วย ประมาณสามสิบเพลง ซุนเซ็กลูกชายซุนเกี๋ยนก็ยิงเกาทัณฑ์ถูกตันเสงตกม้าตาย เตียวเฮามัวตกตลึงที่เพื่อนตาย เลยเสียทีถูกฟันด้วยง้าวตายตามไปอีกคน หองจอก็แตกหนีเตลิดไปถึงเมืองเกงจิ๋ว ขอให้เล่าเปียวช่วย

ฝ่ายเล่าเปียวไม่กล้าออกมาสู้กะว่าจะตั้งยันอยู่ในเมือง แต่ ชัวมอ ซึ่งเป็นน้องภรรยา อาสาออกรบโดยไปตั้งอยู่ที่เขาฮีสัน แต่ก็สู้ซุนเกี๋ยนไม่ไหว ต้องแตกกลับเข้าเมืองอีก ซุนเกี๋ยนจึงยกทหารเข้าล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้ แล้วเตรียมจะทำลายกำแพงเมืองตีหักให้รู้แพ้ชนะกันไปเลย

วันต่อมาก็เกิดพายุใหญ่ พัดเอาธงชัยสำหรับกองทัพของซุนเกี๋ยนหักสบั้น
พอตกค่ำก็เกิดมีดาวตก เป็นลางไม่ดีสำหรับซุนเกี๋ยน ซึ่งทางฝ่ายเล่าเปียวก็รู้เหมือนกัน
จึงให้ ลีก๋ง คุมทหารห้าร้อยคนตีแหวกออกจากเมืองในขณะที่เดือนมืด เอาทหารขึ้นไปซุ่มอยู่บนเขาฮีสันสองด้านสองร้อยคน ตนเองกับทหารสามร้อยคน จะแยกไปขอกองทัพจากอ้วนเสี้ยวให้มาช่วย

ซุนเกี๋ยนรู้เรื่องก็คุมทหารคนสนิทเพียงสามสิบม้าไล่ตามลีก๋งไป รบกัน
ได้แค่ห้าเพลง ลีก๋งก็ทำเป็นหนีเข้าไปทางซอกเขาฮีสัน พอซุนเกี๋ยนตามเข้าไป ทหารที่
อยู่ข้างบน ก็ยิงเกาทัณฑ์และทุ่มก้อนหินลงมาดังห่าฝน ถูกซุนเกี๋ยนและม้าล้มกลิ้งลงกลางซอกเขา เลยถูกระดมทุ่มด้วยก้อนหิน จนตายคาที่อยู่ตรงนั้นเอง

ลีก๋งก็หันมาฆ่าทหารที่ติดตามทั้งสามสิบคนตายเกลี้ยง แล้วจุดประทัดให้
เป็นสัญญาณขึ้นสามนัด ทหารของเล่าเปียวในเมืองก็ออกมาตีค่ายของซุนเกี๋ยน จนแตกตื่นล้มตายลงไปเป็นอันมาก ทางกองทัพเรือได้ยินเสียงก็คุมทหารมาช่วย จับ หองจอได้และฆ่าลีก๋งตาย แต่ก็สายเสียแล้ว ทหารของเล่าเปียวขุดเอาศพซุนเกี๋ยน เข้าไปไว้ในเมืองได้เสียก่อน

ซุนเซ็กซึ่งเข้ารบชุลมุนอยู่ด้วย ก็ถอยไปอยู่ที่ตำบลฮั่นซุย และเพิ่งรู้ว่บิดาถึงแก่ความตายที่กลางสมรภูมิซอกเขาฮีสัน แต่ศพนั้นถูกยึดไปเก็บไว้ในเมือง จึงขอ
เจรจาแลกตัวกับหองจอซึ่งเป็นเชลย ที่ปรึกษาของเล่าเปียวเสนอว่า ซุนเซ็กลูกซุนเกี๋ยน
นั้นยังอ่อนความคิดอยู่ และเวลานี้ทหารทั้งปวงก็กำลังย่อท้อยำเกรงฝีมือเล่าเปียวอยู่ ไม่ควรที่จะยอมคืนศพ แต่ควรจะรีบยกเข้าตีกองทัพของซุนเซ็ก ให้พ่ายแพ้ไปโดยเด็ดขาดจะดีกว่า แต่เล่าเปียวไม่เห็นด้วย เพราะถ้าทำดังนั้นก็จะเป็นการฆ่าหองจอ ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ รักใคร่ไว้ใจกันมานาน ในทางอ้อม จึงจำต้องยอมแลกเปลี่ยนคนตายกับคนเป็น ตามข้อเสนอของฝ่ายตรงข้าม ซุนเซ็กจึงเลิกทัพนำศพบิดาไปฝังไว้ที่ตำบลขยกโอ๋ แขวงเมืองกังตั๋ง

ซุนเกี๋ยน ซึ่งประสบชตากรรมตามคำสาบาน เมื่ออายุเพียงสามสิบปีนั้น
มีบุตรทั้งหมดเจ็ดคนด้วยกัน เกิดจากภรรยาคนโตชื่อ นางงอฮูหยิน คือ ซุนเซ็ก ซุนกวน ซุนเสียง ซุนของ จากภรรยาคนรองซึ่งเป็นน้องสาวท้องเดียวกับภรรยาใหญ่ คือ ซุนลอง และซุนหยิน ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียว กับมีบุตรเลี้ยงชื่อ กองเล แถมอีกคนหนึ่ง ซุนเซ็กซึ่ง
เป็นพี่ชายคนหัวปี จึงได้เป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋ง สืบมรดกของบิดาต่อไปตามธรรมเนียม ตั้งแต่บัดนั้น.

##########




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2560 12:35:28 น.
Counter : 1211 Pageviews.  

บังเต๊ก (๔)

สามก๊กฉบับอัศวิน
หนูผู้ท้าราชสีห์
ตอนที่ ๔ ชัยชนะหรือความตาย เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อครั้งที่ โจโฉ ทำสงครามชนะ ม้าเฉียว ที่แม่น้ำอุยโหนั้น ต่อมาอีกไม่นานก็ได้เลื่อนยศเป็นที่ วุยก๋ง มีอิศริยยศเก้าประการ เทียบเท่าเจ้านายชั้นเล็ก แต่มีขุนนางที่ชื่อ ซุนฮก ไม่เห็นด้วยเกิดความโทมนัสก็กินยาตายไปคนหนึ่ง ครั้นถึงคราวที่โจโฉทำสงครามกับ เตียวฬ่อ ได้เมืองฮันต๋งแล้ว อีกไม่ช้าก็ได้เลื่อนเป็นเจ้านายชั้นสูงขึ้นไปเป็นที่ วุยอ๋อง แต่ก็ยังคงรับราชการเป็นมหาอุปราช ว่าราชการแทน พระเจ้าเหี้ยนเต้ อยู่เช่นเดิม คราวนี้มีขุนนางที่ไม่เห็นด้วยอีกคือ ซุนต่ำ โจโฉจึงเอาไปขังคุกไว้ ซุนต่ำมีความเจ็บแค้นก็เฝ้าด่าโจโฉอย่างหยาบคาย ทุกเวลาเช้าเย็นก่อนและหลังอาหาร โจโฉทนฟังไม่ได้เลยให้เอาตัวไปแขวนคอเสีย

ครั้นต่อมา เล่าปี่ รบชนะโจโฉยึดเมืองฮันต๋งได้ ขงเบ้ง จะยกเล่าปี่ขึ้นเป็นเจ้าบ้าง เพราะมีเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ โดยมีศักดิ์เป็นอา เล่าปี่เจียมตัวสู้ปฏิเสธอยู่ถึงสามครั้งสามครา ลงท้ายเสียอ้อนวอนไม่ได้เลยยอมเป็นเจ้า ครองทั้งเมืองฮันต๋งและเสฉวน เป็นใหญ่ในภาคตะวันตก แต่ด้วยความซื่อ จึงมีหนังสือกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทรงทราบ เพื่อจะได้มีหมายแต่งตั้งตามประเพณี หนังสือนั้นไปถึงมือโจโฉก่อน จึงเก็บเอาไว้เอง แล้วเตรียมกองทัพจะยกออกไปปราบปรามเล่าปี่ ด้วยความเคียดแค้น

สงครามระหว่างเล่าปี่กับโจโฉ จึงปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยโจโฉไปชวน ซุนกวน เจ้าเมืองกังตั๋งเป็นพรรคพวก จะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วซึ่งเล่าปี่ให้ กวนอู รักษาอยู่ ขงเบ้งจึงแนะให้ เล่าปี่ใช้กวนอูไปตีเมืองอ้วนเสียให้ได้ก่อน เป็นการตัดกำลัง กวนอูก็ยกไปเป็นทัพใหญ่

โจหยิน ซึ่งรักษาเมืองอ้วนเสียอยู่ ก็ออกมารบได้สองสามครั้ง เห็นท่าจะต้านทานไม่ไหว จึงขอความช่วยเหลือไปยังโจโฉที่เมืองเตียงฮัน โจโฉสั่งให้ อิกิ๋ม เป็นแม่ทัพยกไปช่วยเมืองอ้วนเสีย ฝ่าย บังเต๊ก ซึ่งสวามิภักดิ์อยู่กับโจโฉมานานแล้วยังไม่ได้แสดงฝีมือ จึงขออาสาไปรบด้วย โจโฉก็อนุญาตพร้อมทั้งให้ทหารรองอีกสามคน คุมทหารเจ็ดหมวดไปเป็นทัพหน้า ทหารรองคนหนึ่งชื่อ ตันเหง เกิดไม่เชื่อมือบังเต๊ก จึงไปบอกแก่อิกิ๋มแม่ทัพใหญ่ ให้ไปทูลโจโฉของเปลี่ยนตัวแม่ทัพหน้าเป็นคนอื่น โจโฉจึงบอกกับบังเต๊กว่าคราวนี้อย่าเพิ่งไปเลย จะจัดผู้อื่นทดแทนให้ บังเต๊กก็สงสัยถามว่าเป็นเพราะเหตุใด โจโฉจึงว่าเพราะบังฮิว พี่ชายท่าน และ ม้าเฉียว นายเก่าของท่าน ก็อยู่กับเล่าปี่ ครั้นให้ท่านเป็นทัพหน้าไปนั้น ทหารทั้งหลายไม่ค่อยจะแน่ใจว่าท่านจะรบให้เต็มสติกำลัง จึงไม่มีความเต็มใจจะไปด้วยเลย

บังเต๊กก็ถอดหมวกเอาหน้าผากกระแทกกับพื้นศิลา จนศีรษะแตกเลือดไหลอาบ แล้วทูลว่า

"........ข้าพเจ้ามาทำราชการอยู่ด้วยพระองค์ แต่ครั้งเมืองฮันต๋ง พระองค์ได้มีคุณแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ยังมิได้แทนพระคุณเลย เหตุใดจึงมาสงสัยเช่นนี้ เมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยพี่ชายนั้น พี่สะใภ้ประทุษร้ายต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเสพสุราเมาแล้วจึงฆ่าพี่สะใภ้เสีย พี่ขายโกรธข้าพเจ้าก็ตัดกันแต่นั้นมา เมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยม้าเฉียว เห็นว่าม้าเฉียวเป็นแต่คนใจกล้า หาปัญญามิได้ พาทหารไปทำศึกตายเสียสิ้น อยู่แต่ตัวผู้เดียวจึงไปขออยู่กับเล่าปี่ ข้าพเจ้าก็มาเป็นข้าพระองค์ บัดนี้ต่างคนต่างก็มีเจ้าด้วยกัน ขาดไมตรีต่อกันแล้ว อันพระองค์มีคุณแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขออาสาไปทำสงครามแทนคุณท่าน."

โจโฉก็หายแคลงใจ จูงมือบังเต๊กเข้ามาปลอบขวัญแล้วว่า ความจริงก็ทราบแล้วว่าเป็นคนซื่อสัตย์กตัญญู แต่ที่ว่าไปนั้นอยากให้คนทั้งปวงสิ้นสงสัย ขอท่านจงไปทำราชการโดยสุจริตเถิด

บังเต๊กนั้นเมื่อกลับมาบ้าน ก็ให้ต่อโลงขึ้นใบหนึ่ง แล้วเชิญเพื่อนบ้านมาเลี้ยงโต๊ะ เป็นการลาไปราชการทัพ ชาวบ้านก็ว่าทำอย่างนี้เป็นลางไม่ดี บังเต๊กชูจอกเหล้าขึ้นแล้วกล่าวยืนยันว่า

"...พระเจ้าวุยอ๋องมีคุณแก่เรา บัดนี้เราจะอาสาไปทำการสงครามกับกวนอู ครั้งนี้ก็เป็นที่สุดอยู่แล้ว ถ้ากวนอูไม่ตายเราก็จะตายเป็นมั่นคง....."

และเมื่อร่ำลาลูกเมียแล้วก็ยกทัพไป โดยได้สั่งแก่ทหารว่าถ้าเราตาย จงเอาโลงนี้ใส่ศพเรามาถวายพระเจ้าโจโฉ ถ้าเราฆ่ากวนอูตายก็จะตัดศีรษะกวนอูใส่โลงมาถวายเช่นกัน ทหารทั้งเจ็ดหมวดประมาณห้าร้อยคนก็ชื่นชมยินดี ในความองอาจกล้าหาญของบังเต๊ก แม่ทัพหน้าเป็นอันมาก และมีความฮึกเหิมที่จะเข้าสู้รบด้วยความเต็มใจ

อิกิ๋มนั้นไม่ค่อยจะวางใจบังเต๊กอยู่แล้ว จึงทูลโจโฉว่าบังเต๊กนี้ดีแต่กล้าหาญเพียงอย่างเดียว กลัวว่าจะเอาชนะกวนอูไม่ได้ โจโฉจึงให้คนถือหนังสือสำทับไปว่า กวนอูมีทั้งกำลังและความคิด เวลารบอย่าประมาทได้ทีจึงทำการ ถ้าไม่ได้ทีให้รักษาตัวไว้อย่าให้มีอันตราย บังเต๊กรู้หนังสือแล้วก็ว่า กวนอูนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือในการสงครามมาถึงสามสิบปีแล้ว ใครก็รู้จัก แต่เราจะเอาชนะให้จงได้ในคราวนี้ ไม่ควรที่เจ้านายจะยกย่องสรรเสริญศัตรู ให้ไพร่พลเสียน้ำใจดังนี้เลย

เมื่อกองหน้าของบังเต๊กยกเข้ามาใกล้เมืองอ้วนเสีย ก็ให้ทหารทำธงประจำตัวผืนใหญ่ จารึกชื่อให้รู้ว่าแม่ทัพหน้าคนนี้ชื่อ บังเต๊กชาวเมืองลำหัน และเมื่อยาตราทัพเข้ามานั้นก็ให้ทหารโห่ร้องตีกลองเป็นที่อึกทึกครึกโครม ข่มขวัญกวนอูซึ่งตั้งค่ายประชิดเมืองอยู่ กวนอูทราบข่าวที่บังเต๊กแบกโลงมาถึงสนามรบจะใส่ศพตนกลับไปก็โกรธอย่างยิ่ง เพราะเป็นการดูถูกสบประมาทฝีมือเกินไปจะยกออกรบด้วย แต่ กวนเป๋ง เห็นบิดาชราแล้วจึงอาสาออกไปก่อน ก็เจอบังเต๊กถือง้าวนำหน้าทหารทั้งห้าร้อย เตรียมพร้อมที่จะรบให้รู้ดีรู้ชั่วกันไปข้างหนึ่ง และให้ยกโลงผีใบนั้นมาตั้งไว้ตรงหน้าด้วย

กวนเป๋งก็ออกมาด่าบังเต๊กว่าเป็นคนทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อนายเก่าแต่ครั้งก่อน บังเต๊กไม่รู้จักต้องหันไปถามทหารว่าไอ้หมอนี่เป็นใครมาจากไหน ทหารบอกว่าซื่อกวนเป๋ง เป็นลูกเลี้ยงกวนอู บังเต๊กจึงร้องว่บอกว่า ที่มานี่ก็อาสาโจโฉจะมาเอาศีรษะกวนอูผู้เป็นบิดา ตัวเป็นเพียงลูกเล็กเด็กน้อยไม่ควรมายุ่ง รีบไปบอกบิดาให้มารบกับเราจึงค่อยสมควรหน่อย กวนเป๋ง
โกรธเข้ารบกับบังเต๊กถึงสามสิบเพลงไม่แพ้ชนะต่อกัน ต่างก็ถอยกลับเข้าค่าย

กวนเป๋งก็บอกกับบิดาว่า รบมาแล้วสามสิบเพลง ยังเอาชนะบังเต๊กไม่ได้ กวนอูก็ยกทหารไปชิดค่ายบังเต๊ก แล้วร้องบอกว่าเราชื่อกวนอูท่านจงเร่งเอาชีวิตมาให้แก่เราเถิด บังเต๊กไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด แถมคุยเขื่องว่าโจโฉใช้ให้เรามาเอาศีรษะท่าน ไม่เชื่อก็จงดูโลงใบนี้เถิด ถ้ารักตัวกลัวตายก็เร่งลงจากหลังม้ายอมแพ้เสียจะไว้ชีวิตให้ กวนอูจึงว่าอย่าโม้มากนักเลย

"....ถึงกูจะฆ่าเอ็งเหมือนฆ่าหนูตัวน้อยเท่านั้น ก็ยังคิดเสียดายคมง้าวของกู...."

ว่าแล้วก็เข้าประจันบานกันด้วยง้าวได้ร้อยเพลงเศษ ยังไม่ทันจะเสียทีท่าแก่กัน ทหารทั้งสองฝ่ายเกิดกลัวนายจะแพ้ทั้งคู่ จึงตีม้าล่อให้ถอยทัพกลับเข้าค่ายของตนเสียก่อน

บังเต๊กยกย่องฝีมือกวนอูว่าแน่จริงสมดังคนเล่าลือ เพราะโรมรันกันมาตลอดวันก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำลงได้ อิกิ๋มซึ่งเป็นแม่ทัพหลวงก็เตือนว่า เมื่อรบตั้งร้อยเพลงแล้วยังไม่ชนะ ทำไมจึงไม่ถอยมาตามรับสั่งของโจโฉ บังเต๊กจึงว่าเราเข้ารบเองยังไม่กลัวเลย ตัวท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพหลวง ทำไมจึงมาย่อท้อแก่ข้าศึกอย่างนี้ ทหารรู้เข้าก็ขายหน้าแย่ไปเลย ฉะนั้นพรุ่งนี้เราจะออกไปต่อสู้กับกวนอูอีกครั้ง และคราวนี้ถ้าไม่ตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว จะไม่ยอมถอยหลังเป็นอันขาด

ฝ่ายกวนอูก็สรรเสริญบังเต๊กว่า มีฝีมือกระบวนง้าวพอทันกันอยู่จึงทำให้สามารถต้านทานเราไว้ได้ กวนเป๋งจึงว่าถึงบิดาจะรบชนะ และฆ่าบังเต๊กเสียได้ ก็ไม่มีเกียรติยศอะไรเหมือนชนะผู้หญิง เพราะบังเต๊กเป็นทหารที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย แต่ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่ เสียเกียรติยศไปถึงพระเจ้าเล่าปี่ด้วย ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะเอาชื่อเสียงอันระบือลือลั่นมาตั้งสามสิบปี ไปเสี่ยงกับนักรบที่ไม่มีใครรู้จักคนนี้ แต่กวนอูก็ยังยืนยันว่าจะต้องฆ่าบังเต๊กให้ได้ ในฐานที่ดูหมิ่นอย่างแรง ถึงกับแบกโลงมาจะบรรจุศพตน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ทุกสมรภูมิ

รุ่งเช้ากวนอูและบังเต๊ก ก็ออกจากค่ายมาต่อสู้กันอีกครั้ง พอประง้าวกันได้สักสิบเพลง บังเต๊กก็แกล้งทำเป็นเสียทีลากง้าวหนี กวนอูติดตามไปด้วยความระมัดระวัง เพราะรู้กลอุบายอยู่ แต่กระนั้นก็ยังพลาดจนได้ เพราะกวนเป๋งกลัวบิดาจะเป็นอันตราย จึงขับม้าตามไป พอเห็นบังเต๊กเอาง้าวพาดตักชักเกาทัณฑ์ออกจะหันมายิงก็ร้องตะโกนออกไป

กวนอูเหลียวหน้ามาดูลูกเลี้ยง เลยหลบลูกเกาทัณฑ์ของบังเต๊กไม่พ้น โดนเข้าที่ไหล่ขวา กวนเป๋งก็เข้ากันบิดาถอยกลับ บังเต๊กขยับจะตามซ้ำเติม พอดีอิกิ๋มแม่ทัพใหญ่แลเห็น แล้วคิดอิจฉากลัวบังเต๊กจะชนะ จึงแกล้งตีม้าล่อให้ถอยทัพ บังเต๊กนึกว่าเกิดเหตุร้ายแรงก็ยกกลับเข้าค่าย แต่ไม่เห็นมีเหตุการณ์อะไร ก็ถามอิกิ๋มว่ากำลังจะมีชัยแก่ข้าศึกแล้ว เหตุใดจึงเรียกกลับ อิกิ๋มก็อ้างรับสั่งของพระเจ้าโจโฉคำเดิมว่า กวนอูมีปัญญามากอาจแกล้งทำเป็นถูกเกาทัณฑ์ และล่อให้ตามไปเสียทีก็ได้ บังเต๊กเสียดายเป็นอันมาก ที่เกือบจะเอาชนะกวนอูได้แล้ว ต้องมาเสียโอกาสไปเพราะพวกกันเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะเขาเป็นแม่ทัพใหญ่กว่า ก็ได้แต่เสียใจอยู่คนเดียว

ข้างกวนอู พอกลับถึงค่ายชักลูกเกาทัณฑ์ออกจากไหล่แล้ว ก็สาบานว่าจะแก้แค้นบังเต๊กให้หายเจ็บใจให้ได้ ไม่งั้นจะเลิกเป็นทหารกันเลยทีเดียว แต่ทหารทั้งปวงก็ช่วยกันทัดทานไว้ ให้รักษาตัวให้หายดีเสียก่อนจึงค่อยออกไปแก้แค้น จากนั้นแม้ว่าบังเต๊กจะมาร้องด่าท้าทายยังไง กวนอูก็ไม่ออกไปรบด้วย เพราะลิ่วล้อคอยห้ามไว้ และกวนเป๋งก็บัญชาการรักษาค่ายไว้อย่างเข้มแข็ง ปล่อยให้บิดาพักรักษาตัวให้เต็มที่ ห้ามไม่ให้บอกว่าบังเต๊กมาท้าทายว่าไงบ้าง
จนล่วงเข้าสิบวัน บังเต๊กคาดว่ากวนอูป่วยหนักจึงไม่ออกรบ สมควรจะยกทหารเข้าตีหักเอาค่ายได้แล้ว แม่ทัพอิกิ๋มก็คอยห้ามไว้เพราะกลัวบังเต๊กจะชนะและมีความดีความชอบเกินตัว แถมยังยกทหารออกจากค่ายไปตั้งสกัดเส้น ทาง ไกลออกไปจากเมืองอ้วนเสียถึงร้อยเส้น และให้บังเต๊กไประวังหลังด้วย แทนที่จะรบให้รู้แพ้รู้ชนะ ในขณะที่กำลังเป็นต่อข้าศึก ก็เลยเสียแผนผิดพลาดคลาดเคลื่อน ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ จนข้าศึกสามารถตั้งหลักให้เข้มแข็งได้อีกหน โอกาสที่จะชนะก็เลยสูญเสียไปโดยสิ้นเชิง

กวนเป๋งรู้ข่าวเรื่องกองทัพบังเต๊กยกไปตั้งกลางทุ่ง ในหุบเขาเรียกว่าทุ่งจันเค้า ไม่คิดจะเข้าโจมตีอีก จึงใช้เวลานั้นรักษากวนอูจนแผลเกาทัณฑ์หายดี ก็พากันออกไปสังเกตดูพื้นที่เห็นชอบกลอยู่ เพราะใกล้ทุ่งนั้นมีแม่น้ำซงกั๋งไหลเชี่ยวอยู่ตลอดเวลา จึงวางแผนให้ทหารทำเรือรบน้อยใหญ่ตระเตรียมไว้เป็นอันมาก รอให้ถึงเดือนสิบฝนตกหนักติดต่อกัน ก็จะเกิดน้ำท่วมทุ่งอันเป็นที่ลุ่ม จึงจะยกทัพเรือไปรบ

ดังนั้นเมื่อถึงฤดูฝน ก็มีฝนตกทุกวันไม่ขาด น้ำในแม่น้ำซงกั๋งก็เอ่อสูงขึ้นทุกที ทหารของอิกิ๋มและบังเต๊กก็ประสบความลำบาก ในเรื่องที่อยู่อาศัยจน เสงโห นายทหารรองของบังเต๊ก ต้องไปร้องเรียนแม่ทัพใหญ่ว่า ควรขยับขยายที่ตั้งทัพเสียใหม่ ก่อนที่น้ำจะท่วมและต้องลำบากมากกว่านี้ เพราะกวนอูได้เตรียมทัพเรือไว้แล้ว คงจะเข้าตีใหญ่อย่างแน่นอน อิกิ๋มไม่ฟังเสียง ไล่ออกไปไม่ให้พูดเรื่องที่จะทำให้ทหารเสียน้ำใจ ขืนพูดอีกจะฆ่าเสีย เสงโหก็ตกใจที่ความหวังดีของตนไม่เป็นผล กลับมาเล่าให้บังเต๊กฟัง

บังเต๊กก็ว่าความคิดของท่านนั้นถูกต้องแล้ว แต่เขาเป็นแม่ทัพหลวง เมื่อไม่ยอมฟังเราซึ่งเป็นแม่ทัพหน้าก็จะยกไปตั้งที่อื่นเอง แต่ยังไม่ทันจะได้ย้ายคืนนั้นก็เกิดพายุฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา บังเต๊กออกไปดูหน้าค่าย เห็นน้ำป่าไหลบ่าจากภูเขามาทุกทิศทุกทาง อย่าง
รวดเร็ว จนท่วมค่ายลึกถึงหกศอก ทหารก็หนีน้ำกันอุดตลุด ที่หนีไม่ทันจมน้ำตายไปก็มาก อิกิ๋มและบังเต๊กพาทหารที่เหลือตาย แยกย้ายกันไปอาศัยเนินเขาเล็ก ๆ คนละแห่ง ในบริเวณนั้น

พอรุ่งเช้ากวนอูก็ยกทัพเรือ โห่ร้องตีกลองเข้ามาทั้งขบวนใหญ่ อิกิ๋มมีทหารอยู่ห้าสิบหกสิบคน เห็นว่าจะสู้ไม่ไหวแน่ จึงถอดเสื้อเกราะทิ้งอาวุธยอมแพ้แก่กวนอูโดยไม่มีเงื่อนไข กวนอูก็จับตัวลงเรือแล้วมุ่งเข้าโจมตีบังเต๊ก ซึ่งขณะนั้นตั้งรับอยู่บนเนินเขาอีกลูกหนึ่ง มีทหารเหลือร่วมห้าร้อยคน คงจะรวมกับทหารของทัพหลวงที่แยกทางมาอยู่ด้วย ก็ตั้งมั่นสู้รบเป็นสามารถ กวนอูเอาเรือเข้าล้อมยิงเกาทัณฑ์ถูกทหารตายไปตั้งครึ่ง
นายทหารรองชื่อ ตังเหง และ ตังเจียว เห็นทีจะอับจนจึงบอกแก่บังเต๊กว่า ทหารของเราตายไปกว่าครึ่งแล้ว เส้นทางหนีก็ไม่มีเพราะถูกล้อมหมดทุกด้านสมควรจะยอมแพ้เอา ชีวิตรอดเถิด บังเต๊กโกรธจัดบอกว่าเราให้สัตย์ต่อพระเจ้าโจโฉไว้แล้วว่า จะไม่ยอมแพ้แก่กวนอูอย่างแน่นอน แล้วก็ฆ่านายทหารทั้งสองให้ลูกแถวดูเป็นตัวอย่าง และสำทับว่าถ้าผู้ใดพูดถึงการยอมแพ้อีก จะเอาโทษเหมือนอ้ายสองคนนั้น ทหารทั้งหลายก็ตั้งหน้าตั้งตารบกับกวนอูต่อไปโดยไม่ย่อท้อ แม้ว่ากวนอูจะระดมกำลังสักเท่าใดบังเต๊กก็ยันไว้อยู่ แล้วปลอบเสงโหนายทหารคนสุดท้ายให้มีใจเข้มแข็งว่า

"......เราได้ยินเขาว่ามาแต่ก่อน อันขึ้นชื่อว่าทหารแล้วมิได้มีความย่อท้อแก่ข้าศึก อุตส่าห์รบเอาชัยชนะจงได้ แลบัดนี้เราก็อับจนถึงที่ตายอยู่แล้ว ท่านทั้งปวงจงมานะช่วยกันรบกว่าจะตายเถิด....."

เสงโหก็ฉวยง้าวออกไปจบจนตัวตายด้วยลูกเกาทัณฑ์ ทหารทั้งหลายก็ใจเสีย ชวนกันยอมแพ้แก่กวนอูทั้งสิ้น เหลือบังเต๊กแต่ผู้เดียวก็ยังไม่ย่นระย่อ กระโดดลงไปในเรือเล็กข้าศึก เอาง้าวไล่ฟันทหารประจำเรือโดดหนีลงน้ำไปหมด แล้วก็ถือง้าวมือหนึ่ง แจวเรือมือหนึ่งหวังจะกลับไปตั้งหลักในเมืองอ้วนเสีย ซึ่งอยู่ห่างตั้งร้อยเส้น แต่ทหารของกวนอูมีความชำนาญในกระบวนเรือรบ เร่งรีบถ่อเรือใหญ่เข้ามาเกยเรือของบังเต๊กล่มลง ตัวบังเต๊กทิ้งง้าวโดดลงน้ำแต่ไปไม่รอด ทหารก็จับตัวพาไปมอบให้กวนอู

เมื่อกวนอูกลับมาถึงค่ายของตน จึงเอาอิกิ๋มมาชำระก่อน อิกิ๋มกลัวตายก็อ้อนวอนขอชีวิต อ้างว่ามารบตามรับสั่งของพระเจ้าโจโฉ ไม่ได้เต็มใจเลย กวนอูก็หัวเราะเยาะว่า ถ้าเราจะฆ่าเสียก็เหมือนดังฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย จึงส่งตัวไปจำคุกไว้ที่เมืองเกงจิ๋ว เสร็จศึกแล้วค่อยคิดบัญชีกันใหม่

จากนั้นก็ให้เบิกตัวบังเต๊กมาสอบสวนต่อ บังเต๊กไว้ศักดิ์ศรีแม่ทัพไม่ยอมคำนับกวนอูเช่นผู้แพ้ กวนอูจึงถามว่าทั้งบังฮิวพี่ชายและม้าเฉียวนายเก่า ก็เป็นข้าราชการในเมืองเสฉวน ของพระเจ้าเล่าปี่ บัดนี้เรารบชนะแล้วทำไมไม่ยอมสมัครอยู่กับเรา บังเต๊กก็เชิดหน้าตอบว่าเราเป็นข้าของพระเจ้าวุยอ๋อง ซึ่งมีคุณแก่เราเป็นอันมาก และย้ำว่า

"...ซึ่งเราจะยอมเข้าแก่ท่านนั้นมิบังควร เราจะขอตายด้วยคมหอกคมดาบ หารักชีวิตไม่..."
กวนอูจึงให้เอาตัวไปประหารเสีย แต่ก็ยังปราณีในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของบังเต๊ก จึงให้เอาศพไปฝังไว้ให้สมกับเกียรติยศของแม่ทัพหน้าข้าศึก เป็นอันว่าโลงที่อุตส่าห์แบกมาตั้งไกลนั้น ลงท้ายก็มิได้ใส่ศีรษะของกวนอู และมิได้ใส่ศพของผู้แบกกลับไปอีกด้วย

ชีวิตของ บังเต๊ก ยอดทหารที่ไม่มีชื่อจารึก อยู่ในอนุสาวรีย์ใดของสามก๊ก ก็ถึงจุดจบลง ณ สมรภูมิเมืองอ้วนเสียนี้เอง ตลอดชีวิตของเขาแม้จะได้ทำความดีมามากแต่ก็ได้นายที่บ้าบิ่นอย่างม้าเฉียว หูเบาอย่างเตียวฬ่อ ขี้อิจฉาอย่างอิกิ๋ม และนายที่ผู้คนชิงชังทั้งบ้านทั้งเมืองอย่าง โจโฉ ชะตาชีวิตของเขาจึงไม่รุ่งโรจน์เหมือนคนอื่น

แต่แม้กระนั้นเขาก็เป็นตัวของเขาเองที่มีความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ กตัญญู สมควรได้รับคำยกย่องว่าเป็นชายชาติทหารคนหนึ่ง ในกระบวนลิ่วล้อด้วยกัน...มิใช่หรือ.

###########




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2560 15:40:06 น.
Counter : 1805 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.