Group Blog
 
All Blogs
 
กรรมตามทัน

เสี้ยวสามก๊ก

กรรมตามทัน

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ภาษิตไทยที่ว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ซึ่งเป็นสำนวนของท่าน สุนทรภู่ จากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีนั้น สามารถใช้กับวรรณคดีจีนเรื่องสามก๊ก ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับตัวเอกที่ไม่ได้เป็นพระเอก เช่น โจโฉ

เมื่อยังเป็นเด็กโจโฉได้ชื่อว่า มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่มิได้ซื่อตรง เรียกว่าฉลาดแกมโกงนั่นเอง เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่รับราชการเป็นนายทหารในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮั่น ซึ่งมีมหาอุปราชที่ร้ายกาจชื่อตั๋งโต๊ะ ทำการหยาบช้าต่าง ๆ โจโฉก็รับอาสาจากขุนนางผู้ใหญ่ที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้จะไปฆ่าตั๋งโต๊ะ จึงพกกระบี่สั้นเข้าไปหาตั๋งโต๊ะ ซึ่งกำลังนอนอ่านหนังสือหันหลังให้ โจโฉชักกระบี่ออกจากฝักแล้วก็ย่างสามขุนเข้าไป เผอิญตั๋งโต๊ะมองเห็นโจโฉจากกระจกข้างฝาผนัง จึงหันมาถามว่าจะเข้ามาทำอันตรายตนหรือ โจโฉก็คุกเข่าลงคำนับยื่นกระบี่สั้นส่งทางด้ามให้ตั๋งโต๊ะ แล้วบอกว่ามีกระบี่โบราณของบรรพบุรุษ เห็นลวดลายงดงามดีจึงเอามาฝากท่านมหาอุปราช

ตั๋งโต๊ะหลงเชื่อรับเอากระบี่มาดูแล้วก็ชอบใจ ใช้ลิโป้นายทหารคนสนิทที่เป็นลูกเลี้ยง ให้เอาม้ามาให้โจโฉเป็นรางวัล โจโฉก็ทดลองควบขี่ดู แล้วก็ห้อเตลิดออกจากเมืองหลวง รอดพ้นภัยอันตรายถึงชีวิตไปได้อย่างหวุดหวิดเต็มที

คราวนั้นโจโฉกลับไปที่เมืองตันลิวบ้านเกิด เพื่อจะไปหาบิดารวบรวมผู้คน มากำจัดตั๋งโต๊ะ แต่เมื่อมาถึงเมืองจงพวน เจ้าเมืองได้รับประกาศจับโจโฉจากเมืองหลวงเสียก่อน จึงถูกจับไปขังคุกไว้ เจ้าเมืองผู้นี้ชื่อตันก๋ง เป็นผู้ที่เกลียดชังตั๋งโต๊ะอยู่ก่อน จึงเบิกตัวโจโฉออกมาสอบถามความจริง ว่าหนีมาด้วยเหตุประการใด โจโฉก็เล่าเรื่องราวให้ฟังโดยละเอียด ตันก๋งจึงเกิดศรัทธาในความกล้าหาญของโจโฉ ขอติดตามไปเป็นพลพรรคด้วย โดยจัดหาม้าขี่คนละตัว กับกระบี่คนละเล่ม เดินทางต่อไปยังเมืองตันลิว

เมื่อโจโฉเดินทางมาใกล้จะถึงที่หมาย ก็แวะที่บ้านเพื่อนของบิดาชื่อแปะเฉีย เพื่อฟังข่าวดูก่อน ปรากฎว่าเมืองนี้ก็มีหมายประกาศจับตัวโจโฉเหมือนกัน และบิดาของโจโฉก็หนีออกจากเมืองไปแล้ว โจโฉกับตันก๋งก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านของแปะเฉีย ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่เจ้าของบ้านขอตัวออกไปจัดหาสุรา มาเลี้ยงดูกัน

เมื่อแปะเฉียออกจากบ้านไปแล้ว โจโฉได้ยินเสียงคนพูดกันในครัวว่า เราจะมัดก่อนหรือจะฆ่าทีเดียว โจโฉก็ปรึกษากับตันก๋งว่า แปะเฉียนี้เป็นแต่เกลอของบิดา เห็นจะไปบอกนายบ้านให้มาจับเรา ว่าแล้วโจโฉก็ชักกระบี่ออกไปฟันผู้คนกลุ่มนั้น ตายไปถึงแปดคน ปรากฎว่าล้วนเป็นบุตรภรรยาและบ่าวไพร่ของแปะเฉียทั้งสิ้น ตันก๋งออกไปเห็นสุกรที่เขามัดไว้ทำอาหารก็ตกใจ จึงว่าเขาพูดถึงสุกรต่างหาก ท่านมาฆ่าบุตรภรรยาแปะเฉียเสียนั้นผิดนัก

โจโฉก็ตกใจกลัว ทั้งสองก็พากันหนีออกจากบ้าน เมื่อไปได้ประมาณยี่สิบเส้น ก็เห็นแปะเฉียสวนทางกลับมา ถามว่าไม่อยู่กินข้าวหรือ โจโฉก็บอกว่าตนเป็นคนผิดจะรีบไปให้พ้นภัยก่อน แล้วก็รีบเดินทางต่อไป แต่เกิดได้คิดจึงชักม้าหวนกลับมาร้องเรียกแปะเฉียให้หยุด แล้วเอากระบี่ฟันแปะเฉียตายคาที่ โดยยังไม่ทันจะรู้ตัวเลย

ตันก๋งเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจมากขึ้น ถามว่าเมื่อกี้ฆ่าบุตรภรรยาผู้คนเขาเสียแล้ว บัดนี้ซ้ำมาฆ่าตัวแปะเฉียเสียอีก ด้วยเหตุประการใด โจโฉจึงว่า เมื่อกี้คิดผิดไป ครั้นจะละไว้แปะเฉียก็จะไปบอกนายบ้านให้มาจับเรา จึงต้องฆ่าแปะเฉียให้เนื้อความสูญไปเสีย ตันก๋งก็ว่าการทำดังนี้เป็นคนอกตัญญูหาดีไม่ โจโฉก็เถียงว่า ธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ ย่อมจะรักษาตัวมิให้ผู้อื่นคิดร้ายได้

ซึ่งก็ตรงกับภาษิตข้างต้น นั้นเอง

แต่ตันก๋งไม่เห็นด้วย จึงแยกตัวแอบหนีไปในขณะที่โจโฉนอนหลับ คืนวันนั้นเอง ปล่อยให้โจโฉรวบรวมพลอาสาสมัคร จากสิบเจ็ดหัวเมือง มอบให้อ้วนเสี้ยวเพื่อนเก่าเป็นแม่ทัพ ยกไปรบกับตั๋งโต๊ะ แต่ก็สู้ไม่ได้เพราะแตกความสามัคคีกันเอง โจโฉจึงแยกออกไปตั้งหลักทางภาคตะวันออก จนในตอนหลังได้กลับมาเป็นมหาอุปราช ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่ออายุยังไม่ทันจะแก่

ครั้นได้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้น โจโฉก็ยกกองทัพไปเที่ยวปราบปราม ก๊กต่าง ๆ ที่ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วย แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน ประสาทก็เครียดขึ้นทุกที เกิดความระแวงไม่ไว้ใจผู้ใกล้ชิด เมื่อไปในกองทัพ โจโฉก็บอกกับคนใกล้ชิดว่า ตนเป็นคนนอนละเมอร้าย อย่าให้ใครเข้ามาใกล้เวลานอนหลับ วันหนึ่งเวลากลางวันทำเป็นนอนหลับ แล้วแกล้งทำผ้าห่มหลุดตกจากตัว คนรับใช้ก็เข้ามาหยิบผ้าห่มคลุมให้ดังเดิม โจโฉก็ละเมอลุกขึ้นชักกระบี่ฟันตายคาที่ แล้วก็ทำเป็นหลับต่อ เมื่อตื่นขึ้นเห็นคนใช้ตายก็ร้องไห้เสียใจ จัดการศพให้เป็นอย่างดี แต่ก็มีคนรู้ทันบอกกับศพว่า มหาอุปราชไม่ได้ละเมอหรอก เจ้ามันเคราะห์ร้ายเอง คนผู้นั้นชื่อเอียวสิ้วเคยเป็นอาจารย์ของบุตรชายที่ชื่อโจสิด โจโฉก็อาฆาตไว้ พอมีเรื่องผิดพลาดก็สั่งประหารชีวิตเสียทันที โดยไม่มีการภาคทัณฑ์

อีกคราวหนึ่งโจโฉยกกองทัพไปตีเมืองลำหยงของอ้วนสุด ขณะนั้นซุนเซ็ก เล่าปี่ และลิโป้ ยังเป็นพันธมิตรกับโจโฉอยู่ โจโฉล้อมเมืองอยู่ประมาณเดือนเศษจนสิ้นเสบียง ต้องไปขอยืมเสบียงจากกองทัพเรือของซุนเซ็ก ได้มาสิบหมื่นถัง มอบให้อองเฮาแม่กองเสบียงดูแล อองเฮาก็บอกว่าข้าวในฉางของเรานี้ก็น้อยลงแล้ว นานไปเห็นทหารทั้งปวงจะขัดสน โจโฉก็ว่าถ้าดังนั้นจงคิดแจกข้าวแก่ทหาร ให้น้อยลงกว่าเก่า พอประทังไว้กว่าการรบจะสิ้นสุดลง อองเฮาก็แย้งว่าถ้าทำเช่นนั้น ทหารจะถอยกำลังอิดโรยลง แล้วจะมีความน้อยใจไม่เป็นอันทำการรณรงค์สงคราม โจโฉก็ตอบว่าเราจะคิดอ่านมิให้ทหารทั้งปวงเสียใจได้ อองเฮาก็แจกจ่ายข้าวให้แก่ทหารน้อยลงตามที่โจโฉสั่ง ทหารทั้งหลายได้ข้าวไปกินแต่น้อยไม่อิ่มก็เสียกำลังใจ ชวนกันนินทาโจโฉว่างานนั้นจะเอาแต่พอจะกินให้กินแต่น้อย เมื่อเรากินไม่อิ่มดังนี้ จะทำการรบพุ่งต่อไปได้หรือ

พอถึงเวลากลางคืน โจโฉได้ทราบความที่ทหาร บ่นว่าครหานินทาดังนั้นแล้ว ก็เรียกอองเฮาเข้ามาถามว่า จะขอของรักสักสิ่งหนึ่งเพื่อเอาใจทหารจะให้หรือไม่ อองเฮาจึงว่าตนมิได้มีสิ่งใดที่จะให้แก่มหาอุปราช โจโฉก็กระซิบบอกว่าจะขอยืมศรีษะท่าน กระทำการให้ทหารมีน้ำใจสู้รบ ส่วนบุตรภรรยาพรรคพวกของท่านที่อยู่ภายหลังนั้น เราจะเลี้ยงดูมิให้ขัดสน อองเฮาก็ตกตลึงยังมิทันจะว่าประการใด โจโฉก็สั่งให้ทหารเอาตัวอองเฮาไปประหารชีวิต แล้วตัดศรีษะ เสียบประจานไว้ กับให้ประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า อองเฮากระทำผิดยักยอกข้าวมหาอุปราช จ่ายให้ทหารแต่น้อย ทหารทั้งหลายก็สิ้นสงสัย โจโฉจึงให้ทหารมาเบิกข้าวได้คนละสามวัน แล้วสั่งให้ยกกำลังเข้าปล้นเมืองลำหยง ทหารก็มีกำลังใจเข้าตีเมืองแตกโดยง่ายดาย

ต่อมาโจโฉจับได้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้คบคิดกับตังสิน บิดาของนางตังกุยหุยสนมเอก และขุนนางพลเรือนอีกสี่คน ให้เกียดเป๋งหมอหลวงวางยาพิษ แต่ไม่สำเร็จ จึงจับมาประหารชีวิตเสียทั้งหมด แม้แต่นางตังกุยหุยซึ่งกำลังมีครรภ์ห้าเดือนด้วย แต่ก็ไม่ทำอันตรายฮ่องเต้

ในคราวนี้มีหลักฐานว่าม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียง ซึ่งมารับราชการในเมืองหลวง ก็ได้ร่วมคิดด้วย แต่หลบหนีไปก่อน พอมีโอกาสโจโฉก็หลอกลวงม้าเท้ง ให้เข้ามาเฝ้าฮ่องเต้ที่เมืองหลวง ม้าเท้งระวังตัวอยู่แล้ว จึงพาม้าเทียดและม้าฮิวลูกชายสองคนมาด้วย แต่ก็เสียทีถูกฆ่าตายหมดทั้งสามคน

เหลืออยู่แต่เล่าปี่ ซึ่งหนีรอดไปตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองเสฉวน ต่อมาก็จับได้อีกว่าฮ่องเต้คบคิดกับนางฮกเฮามเหสี และฮกอ้วนผู้บิดา เขียนหนังสือไปขอให้เล่าปี่กับซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง ยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋ จึงเอาตัวนางฮกเฮาและบิดากับญาติพี่น้องไปประหารชีวิต รวมทั้งบุตรของนางฮกเฮาที่เกิดจากฮ่องเต้อีกสององค์ด้วย

อยู่มาจนอายุได้หกสิบหกปี โจโฉก็ป่วยเป็นโรคปวดศรีษะเรื้อรัง หมอหลวงรักษาเท่าใดก็ไม่หาย ที่ปรึกษาคนหนึ่งแจ้งว่าหมอฮูโต๋เป็นผู้มีความรู้ รักษาโรคภัยไข้เจ็บชาวบ้านหายมามากนัก โจโฉจึงให้ทหารไปเชิญตัวมาดูอาการ หมอฮัวโต๋มาถึงแล้วก็แหวกเสื้อดูเส้นที่ข้อมือ แล้วว่าโรคนี้เป็นลมเสียดแทงอยู่ในศรีษะ จะรักษาด้วยยากินและยาทาหาได้ไม่ จะต้องผ่าจึงจะหาย โจโฉถามว่าจะผ่าอย่างไร หมอบอกว่าจะให้ท่านกินยาให้มึนเมาไม่รู้สึกตัว แล้วผ่าศรีษะด้วยขวานอันคม แล้วจึงจะชำระโรคในศรีษะให้หมด แล้วจึงประกับศรีษะให้เหมือนเก่า และทายาให้แผลหาย โรคนี้จึงจะหายขาด โจโฉก็โกรธหาว่าหมอฮัวโต๋เป็นใส้ศึก คบคิดกับพวกเล่าปี่จะมาฆ่าตนเสีย จึงให้ทหารเอาตัวไปใส่คุกไว้ แล้วก็ขังลืมไปจนตายในคุกนั้นเอง

ต่อมาโรคของโจโฉก็กำเริบแก่กล้าขึ้น อยู่มาคืนหนึ่งฝันเห็นม้าสามตัวกินหญ้าในรางเดียวกัน เหมือนเมื่อครั้งที่ลวงเอาม้าเท้งกับลูกชายมาฆ่า อีกวันหนึ่งปวดศรีษะเป็นกำลัง ให้ วิงเวียนร้อนกระวนกระวายนอนไม่หลับ จึงลุกออกมานั่งที่เก้าอี้ก็ได้ยินเสียงดังหนึ่งฉีกแพร จึงแลไปเห็น นางตังกุยหุย นางฮกเฮากับบุตรอีกสองคน กับฮกอ้วน ตังสิน กับพรรคพวกประมาณยี่สิบคน มีโลหิตไหลแดงทั่วตัว ยืนอยู่ในอากาศ ร้องว่าโจโฉท่านเอาชีวิตมาคืนให้แก่เรา โจโฉตกใจชักกระบี่ฟันไปถูกประตูเข้า ก็สิ้นแรงล้มลงในที่นั้น คนใช้ก็พยุงเอาโจโฉไปไว้ที่ตำหนักอื่น

อยู่มาอีกคืนหนึ่งก็นอนไม่หลับ ได้ยินเสียงปีศาจทั้งหญิงทั้งชาย ร้องไห้เซ็งแซ่ไปจนรุ่งเช้า จึงบอกกับขุนนางทั้งปวงว่า ตนทำสงครามมาช้านานถึงสามสิบปีเศษ หาได้ยินเสียงปีศาจปรากฎดังนี้ไม่เลย ขุนนางทั้งปวงก็ว่าควรจะหาหมอปีศาจมาแต่งเครื่องเส้นวักพลีกรรมเสียก็คงจะหาย โจโฉทอดใจใหญ่แล้วว่าโบราณว่าไว้ว่า กรรมมาถึงตัวแล้ว จะทำประการใดก็หาพ้นไม่ บัดนี้กรรมมาถึงแล้วใครจะมาช่วยเราได้

แล้วโจโฉก็เรียกขุนนางผู้ใหญ่สี่คนเข้าไปหาถึงเตียงนอน ฝากฝังบุตรภรรยาและบ้านเมือง แล้วปรารภว่าเราทำการรณรงค์มากว่าสามสิบปีแล้ว ข้าศึกที่ไหนเข้มแข็งเราก็ปราบเสียได้ แผ่นดินก็ราบคาบราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุข แต่ซุนกวนเมืองกังตั๋ง เล่าปี่เมืองเสฉวนยังหาปราบได้ไม่ ความไข้ก็หนักขึ้นถึงเพียงนี้ ซึ่งจะเป็นเพื่อนคิดการสงครามกับท่านทั้งปวง สืบไปอีกไม่ได้แล้ว เราจึงฝากฝังมอบเวรไว้แก่ท่านทั้งปวง ลูกเรานั้นเห็นแต่โจผีพี่เอื้อย เป็นคนหนักแน่นมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม พอที่จะตั้งให้เป็นใหญ่แทนตัวเราได้ เราหาบุญไม่แล้วท่านจงอนุเคราะห์ ตั้งไว้ให้ว่าราชการแทนเราสืบไปเถิด

ฝากแล้วก็ให้ช่วยฝังศพตนเองไว้ในกุฎิ ที่สนามนอกเมืองให้มีเจ็ดสิบสองช่อง จะได้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าศพอยู่ช่องไหน เพราะว่ามีคนชังอยู่มาก เกลือกคนชังมันจะขุดศพเราขึ้นเสีย สั่งได้แค่นี้แล้วก็ทอดใจใหญ่น้ำตาไหลลงโซมหน้า ผวาขาดใจตายไปตามผลกรรมของตน ที่ได้ตามมาทันแล้ว ด้วยอาการที่มิสู้จะสงบนัก

เรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นว่า การรู้รักษาตัวรอด ของโจโฉ ตามฉบับของท่านเจ้าพระยา ที่ว่า ธรรมดาที่เกิดมาทุกวันนี้ ย่อมจะรักษาตัวมิให้ผู้อื่นคิดร้ายได้

หรือฉบับภาษาอังกฤษของ C.H. Brewitt Taylor ที่ว่า I would rather betray the world than let the world betray me.

ซึ่งฉบับวณิพกได้แปลกลับมาเป็นภาษาไทยว่า ข้าพเจ้าสมัครทรยศโลก มากกว่ายอมให้โลกทรยศข้าพเจ้า นั้น

คงจะไม่ เป็นยอดดี อย่างแน่แท้.

##########

นิตยสารต่วยตูน
ธันวาคม ๒๕๔๔ ปักษ์หลัง



Create Date : 03 กรกฎาคม 2559
Last Update : 3 กรกฎาคม 2559 13:49:01 น. 0 comments
Counter : 274 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.