Group Blog
 
All Blogs
 
เสือไม่สิ้นลาย

เสี้ยวสามก๊ก

เสือไม่สิ้นลาย

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ในสงครามระหว่างจ๊กก๊กของพระเจ้าเล่าเสี้ยน แห่งเมืองเสฉวน กับวุยก๊กของ พระเจ้าโจยอย แห่งเมืองลกเอี๋ยง ทั้งหกครั้งนั้น ขงเบ้งเสนาธิการทหารสูงสุดของฝ่ายจ๊กก๊ก ซึ่งผู้คนจำนวนมากสรรเสริญว่าเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรนั้น ไม่สามารถที่จะเอาชนะฝ่ายวุยก๊กให้ เด็ดขาดลงได้ ทั้งที่เป็นฝ่ายรุกเข้าไปในดินแดนของข้าศึกทุกครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะฝ่ายตั้งรับมีแม่ทัพใหญ่ที่ชื่อว่าสุมาอี้ นั่นเอง

หลังจากที่โจโฉสิ้นชีวิตไปไม่ถึงปี โจผีบุตรชายคนโตซึ่งได้ครองตำแหน่งวุยอ๋องแทนบิดา ก็ไล่พระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชบัลลังก์ แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ต้นราชวงศ์วุย พระเจ้าโจผีครองราชสมบัติอยู่เพียงเจ็ดปี ก็สิ้นพระชนม์ลงใน พ.ศ.๗๗๐ พระเจ้าโจยอย ราชบุตร ได้สืบราชสมบัติต่อมา

ขงเบ้งก็เริ่มยกทัพมาตีวุยก๊กเป็นครั้งแรก และรบชนะแม่ทัพของวุยก๊กถึงสามคน พระเจ้าโจยอยหาผู้ที่จะต่อสู้กับขงเบ้งไม่ได้ จึงตั้งให้สุมาอี้ซึ่งถูกถอดออกจากราชการ เพราะไม่ไว้วางใจ กลับมาเป็นแม่ทัพใหญ่ แล้วก็ประเดิมชัยด้วยการกำจัดเบ้งตัด เจ้าเมืองซงหยงซึ่งกำลังจะร่วมมือกับขงเบ้งมาตีเมืองลกเอี๋ยง ลงได้เป็นรายแรก

ต่อจากนั้นก็ยกพลไปตีที่มั่นสำคัญของขงเบ้ง ที่ตำบลเกเต๋งซึ่งม้าเจ๊กทหารเอกของขงเบ้งรักษาอยู่ แต่ก็ไม่สามารถจะต้านทานได้ ต้องแตกพ่ายไม่เป็นขบวน สุมาอี้ก็ยึดเมืองหลิวเซียไว้ได้ แล้วก็เคลื่อนพลจะตามไปตีขงเบ้งที่เมืองเสเสีย ซึ่งเป็นที่เก็บเสบียงไว้เป็นอันมาก

แต่เมื่อเดินทัพไปใกล้จะถึงเมืองเสเสีย ทหารกองหน้าก็กลับมาบอกว่า เมืองนั้นเงียบเหมือนเมืองร้าง ประตูเมืองก็เปิดอยู่มีแต่คนกวาดขยะทำความสะอาดเพียงไม่กี่คน สุมาอี้ก็สงสัยว่าขงเบ้งจะวางแผนอะไร จึงขับม้าพาทหารประมาณยี่สิบคน เข้าไปจนใกล้กำแพงเมือง ก็เห็นว่าประตูเมืองเปิดอยู่จริง ตัวขงเบ้งนั้นแต่งตัวโอ่อ่าสง่างาม นั่งดีดกระจับปี่อยู่บนหอรบเหนือกำแพง มีเด็กน้อยยืนอยู่ทั้งสองข้าง คนหนึ่งถือกระบี่ อีกคนหนึ่งถือแซ่ สุมาอี้รู้อยู่ว่าขงเบ้งเป็นจอมเจ้าเล่ห์ ก็คร้ามใจชะงักรีรออยู่ ยิ่งเห็นสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน เล่นดนตรีอยู่โดยไม่สนใจสิ่งใด แม้แต่ตนกับทหารทั้งกองทัพที่อยู่เบื้องหลัง คิดว่าขงเบ้งคงจะมีกลอุบายลวงไว้เป็นมั่นคง จึงชักม้าพาทหารกลับมา แล้วก็สั่งถอยทัพทันที

สุมาเจียวผู้บุตรจึงถามว่า เหตุไฉนบิดาจึงกลัวขงเบ้งถึงขนาดนี้ สุมาอี้ก็บอกว่า “………ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความ ยังมิรู้สันทัดเคยกลขงเบ้ง อันขงเบ้งเป็นคนมีสติปัญญา ชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาเพียงแค่นี้จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้ง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่แก่การศึกนั้นมิบังควร แม้ขืนทำล่วงเกินไปก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง พากันตายเสียสิ้น…….”

ว่าแล้วก็เร่งให้ทหารรีบถอยไปโดยเร็ว จนไปถึงเขาบุกองสัน ก็ได้ยินเสียงทหารบนเขาโห่ร้องเสียงดังสนั่น แลเห็นธงดำของแม่ทัพจารึกอักษรว่าเตียวเปา ครั้นถอยต่อไปก็มีทหารโห่ร้องอยู่ในป่าตีนเขา แลเห็นธงแดงจารึกชื่อกวนหิน ก็ยิ่งเชื่อว่าถูกกลอุบายของขงเบ้งเข้าแล้ว ทหารก็พากันแตกตื่นทิ้งเสบียงอาหารและเครื่องศัตราวุธ หนีเอาตัวรอดกันอลหม่าน แต่ทหารทั้งสองกองนั้นก็ไม่ได้ไล่ตามมา

สุมาอี้นำกองทัพถอยมาได้ไกลแล้ว จึงแจ้งกิตติศัพท์ว่าขงเบ้งยกทหารเลิกไปจากเมืองเสเสียหมดสิ้นแล้ว จึงพาทหารกลับมาเข้าเมือง และสืบถามชาวบ้านชาวเมืองว่า ขงเบ้งมาตั้งอยู่ในเมืองนี้มีทหารสักเท่าใด ก็ได้ความว่าขงเบ้งมีทหารเพียงสองพันห้าร้อย ล้วนแต่เป็นพวกช่วยรบ ส่วนทหารพลรบนั้นหามีไม่ และกองทหารของเตียวเปากับกวนหิน ที่ไปตั้งอยู่แถวเขาบุกองสันนั้น ก็มีทหารประมาณกองละสามพันเท่านั้น สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็เสียใจว่า ตนมิได้รู้เท่าทันความคิดของขงเบ้งเลย

ในคราวที่ขงเบ้งยกทัพมาตีวุยก๊กครั้งที่สอง สุมาอี้คิดจะตั้งรับให้มั่นคง จนกว่าขงเบ้งจะหมดเสบียง แต่โจจิ๋นคิดว่าจะวางอุบายลวงขงเบ้งให้เสียทีได้ จึงออกไปสู้รบกับขงเบ้ง ที่แท้ตนเองกลับถูกซ้อนกล จนเสียทหารไปเป็นอันมาก สุดท้ายขงเบ้งก็ขาดเสบียงจึงต้องถอยกลับไปตามความคาดหมายของสุมาอี้

ครั้งที่สามสุมาอี้ก็ใช้วิธีเดิม คือตั้งมั่นไว้ไม่ยอมออกรบ ขงเบ้งก็ทำเป็นถอยทัพ ทีละสามร้อยเส้น สุมาอี้ก็อดทนเพราะรู้ว่าเป็นอุบาย แต่เตียวคับไม่เชื่อจะขอตามไปตีขงเบ้ง สุมาอี้เป็นห่วงจึงตามไปด้วย สุดท้ายก็รู้ว่าถูกหลอก เพราะขงเบ้งส่งทหารย้อนมายึดค่ายของสุมาอี้ได้ สุมาอี้จึงต้องถอยกลับมาตีค่ายคืน และออกประกาศว่า

“…….เรารู้อยู่ว่าเป็นกลของขงเบ้ง ได้ห้ามปรามทัดทานคนทั้งปวงมิฟังเรา จึงเสียทหารแลเครื่องศัตราวุธ แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ถ้าผู้ใดมิฟังเรา ขัดขืนให้เสียการดุจหนึ่งครั้งนี้ เราจะตัดศรีษะเสีย……..”

แต่บังเอิญในการศึกครั้งนี้ เตียวเปาบุตรของเตียวหุย บาดเจ็บสาหัสถึงแก่ความตาย ขงเบ้งเสียใจจนอาเจียนเป็นโลหิต แล้วก็ป่วยลุกไม่ขึ้น จึงต้องถอยกลับเมืองเสฉวน

ครั้งที่สี่โจจิ๋นไปตั้งรักษาด่านจำก๊ก สุมาอี้ไปตั้งรักษาด่านกิก๊ก ขงเบ้งก็ตีค่ายโจจิ๋นแตก โจจิ๋นมีความอัปยศแก่สุมาอี้อยู่แล้ว ก็ช้ำใจจนล้มป่วยลง ขงเบ้งรู้ข่าวจึงทำหนังสือส่งไปเยาะเย้ย ยั่วให้โจจิ๋นโกรธยิ่งขึ้น โรคจึงกำเริบหนัก ถึงแก่ความตายไป สุมาอี้ยกทหารออกไปรบก็ต้องพ่ายแพ้อีก แต่คิดอุบายให้คนไปลือทางเมืองเสฉวน ว่าขงเบ้งจะคิดขบถ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงมีรับสั่งให้ขงเบ้งยกทัพกลับ ตามอุบายของสุมาอี้

พอถึง พ.ศ.๗๗๔ ขงเบ้งก็ยกทัพมาตีวุยก๊กอีกเป็นครั้งที่ห้า คราวนี้สุมาอี้ยกพลไปตั้งรับที่เมืองเตียงฮัน เมื่อรบกันเพื่อชิงเมืองโลเสีย สุมาอี้ก็เสียทีอีก แต่ขงเบ้งได้รับข่าวลวงว่าซุนกวนจะยกไปตีเมืองเสฉวน จึงต้องถอยทัพกลับ

เมื่อเตียวคับนายทหารเอกมาแจ้งว่า ขงเบ้งเลิกทัพไปแล้ว สุมาอี้ก็ว่า

“…….อันกลศึกของขงเบ้งนั้นลึกลับนัก ท่านอย่าตามไปรบพุ่งเลย จงไปตั้งอยู่ ณ เขากิสานเถิด…….”

งุยเป๋งนายทหารอีกคนหนึ่งก็ว่า

“…….ข้าศึกถอยไปท่านมิได้ติดตาม จะมานิ่งอยู่ดังนี้ ไพร่บ้านพลเมืองก็จะหัวเราะเยาะ ว่าท่านคิดเกรงทหารเมืองเสฉวน เหมือนหนึ่งฝูงเนื้ออันกลัวเสือ ขอให้ท่านยกตามตีให้ทหารขงเบ้งระส่ำระสาย จึงจะได้ที…….”

สุมาอี้ก็มิได้เชื่อฟัง แต่เมื่อขงเบ้งถอยออกจากเมืองโลเสียไปจนหมดสิ้นแล้ว เตียวคับก็อาสาจะติดตามไปโจมตี สุมาอี้ก็ยอมให้ไปแล้วตนก็คุมทหารไปเป็นกองหลัง ผลปรากฎ ว่าเตียวคับถูกล้อมอยู่ในซอกเขา ทหารขงเบ้งบนเนินเขาก็ยิงเกาทัณฑและทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน เตียวคับก็ถึงแก่ความตายในซอกเขานั้นเอง

ทหารที่กลับมารายงานสุมาอี้บอกว่า ขงเบ้งร้องลงมาแต่เนินเขาว่า

“…….กูคิดอ่านทำการครั้งนี้หวังจะจับม้าตัวหนึ่งอันมีพยศ ก็ไม่สมความคิด บัดนี้จับได้แต่เสือร้ายตัวหนึ่ง มึงจงกำชับสุมาอี้ให้ระวังตัว กูจะคิดอ่านจับให้ได้…….”

สุมาอี้ก็เสียใจว่า เตียวคับไปตายครั้งนี้ก็เพราะตนใจอ่อน ไม่ทำตามที่เคยได้ ประกาศไว้ จึงต้องเสียทหารเอกฝีมือดีไปเป็นเหยื่อของขงเบ้งอีกคนหนึ่ง

อีกสองสามปีต่อมา ขงเบ้งก็ยกกองทัพบุกวุยก๊กเป็นครั้งที่หก ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันที่ริมแม่น้ำอุยโหเป็นหลายหน ผลัดกันได้ทีเสียที คราวสุดท้ายสุมาอี้ถูกขงเบ้งหลอกให้เข้าไปติดกับอยู่ในหุบเขาเฮาโลก๊ก ซึ่งสุมาอี้เข้าใจว่าเป็นค่ายของขงเบ้ง แต่ไม่มีทหารอยู่เลย มีแต่ทับที่พักว่างเปล่า กับมีหญ้าฟางกองสุมอยู่เป็นอันมาก สุมาอี้ก็บอกกับสุมาสูและสุมาเจียวผู้บุตรทั้งสองว่า

“……..อันในหุบเขานี้จำเพาะมีทางเข้าออกตามซอกแต่สองทาง แม้ขงเบ้งแต่งทหารมาซุ่มสกัดปากทางไว้ทั้งสองข้าง เราก็จะได้ความขัดสนนัก……..”

พอพูดขาดคำ ก็ได้ยินเสียงประทัดและทหารร้องอื้ออึง แล้วทิ้งคบเพลิงลงมาจากเนินเขาเป็นอันมาก เพลิงนั้นก็ติดชนวนแลดินประสิวที่อยู่ในทับ ไหม้เชื้อลุกโพลงขึ้นทั่วไปทั้งหุบเขา สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจแทบสิ้นสติ ตกลงจากหลังม้ากอดบุตรชายทั้งสอง แล้วร่ำไห้ว่า ครั้งนี้ชีวิตเราพ่อลูกจะตายในที่นี้เป็นมั่นคง จะโดดขึ้นม้าก็ตกลงมาสามสี่ครั้ง จะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะมีแต่เพลิงลุกท่วมไปหมด

แต่ในทันใดนั้นเองก็เกิดลมพายุใหญ่พัดมา แลฟ้าผ่าลงเสียงดังแผ่นดินจะถล่ม แล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ จนน้ำในหุบเขาท่วมขึ้นประมาณหนึ่งศอก และเพลิงนั้นก็ดับไปสิ้น สุมาอี้จึงร้องว่าบุญเรายังมีอยู่เป็นอันมาก เทพดาจึงบันดาลให้ฝนตกลงมาช่วยเรา แล้วก็พาบุตรทั้งสองออกมาถึงปากทาง จึงพบทหารกองหลังพากันกลับมาค่าย

ฝ่ายขงเบ้งนั้นบัญชาการอยู่บนเขา เมื่อเห็นอุยเอี๋ยนล่อสุมาอี้เข้ามาในหุบเขา เฮาโลก๊กได้นั้น ก็คิดว่าครั้งนี้สุมาอี้คงจะต้องตายอยู่กลางเพลิงเป็นแน่แท้ แต่พอฝนตกลงมาและ สุมาอี้หนีรอดไปได้ จึงทอดใจใหญ่แล้วว่า

“……ธรรมดาคนทั้งปวง จะทำสิ่งใดย่อมสำเร็จด้วยความคิด แม้การไม่ตลอด ก็เพราะผู้นั้นมีกรรมอยู่…….”

และตั้งแต่นั้นสุมาอี้ก็ห้ามทหารมิให้ออกไปรบพุ่งกับทหารขงเบ้ง แม้ว่าข้าศึกจะมาท้ายทายอย่างไร ให้รักษาค่ายไว้จงมั่นคง เวลาล่วงไปหลายวัน ขงเบ้งก็ให้ทหารแบกหีบมามอบให้เป็นของขวัญแก่สุมาอี้ เมื่อเปิดออกดูก็เห็นมีผ้าซับในกางเกงของผู้หญิง และหนังสือฉบับหนึ่ง สุมาอี้ก็ฉีกออกอ่าน ในหนังสือนั้นมีเนื้อความว่า

สุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยง ยกกองทัพออกมาจะทำสงครามด้วยเรา เหตุใดจึงนิ่งอยู่แต่ในค่ายช้านาน มิได้ออกรบพุ่งให้รู้จักฝีมือแลความคิดกันไว้ อันธรรมดาเป็นชาติทหารแล้ว มิได้ออกมาจากค่ายฉะนี้ ก็เหมือนหนึ่งผ้าซับในกางเกงของหญิง ซึ่งเราให้ไปนั้น แลเราทำการมาให้ทั้งนี้ หวังจะให้สุมาอี้อัปยศแก่ทหารทั้งปวง จะได้มีมานะออกรบพุ่งด้วยเรา

สุมาอี้อ่านแล้วก็เก็บความโกรธเอาไว้ในใจ แสร้งหัวเราะแล้วสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญา และแกล้งถามผู้ถือหนังสือว่า ทุกวันนี้ขงเบ้งยกมาทำศึก ยังกินนอนปกติดีอยู่หรือ ผู้ถือหนังสือบอกว่า มหาอุปราชยกกองทัพมานี้ จะกินอาหารแลสิ่งของก็น้อย นอกนั้นมิได้ปกติด้วยกำชับตรวจตราทแกล้วทหาร ให้รักษาค่ายเป็นการใหญ่อยู่ สุมาอี้จึงว่า

“……..ซึ่งขงเบ้งคิดการศึกดังนี้ ก็มีความทุกข์ใหญ่หลวง เห็นอายุขงเบ้งจะสั้นเสียแล้ว เราคิดวิตกอยู่ ถ้าหาขงเบ้งไม่ อันจะทำสงครามด้วยผู้ใด เห็นจะไม่สู้สนุก…….”

เมื่อพลนำสารกลับมาเล่าให้ขงเบ้งฟังโดยตลอดแล้ว ก็รำพึงว่า

“…….สุมาอี้นี้มีสติปัญญาล่วงรู้สุขแลทุกข์เรา……”

แล้วขงเบ้งก็ร้องไห้รำพันว่า

“…….ทุกวันนี้ใช่เราไม่รู้หรือ ซึ่งเราทำการทั้งปวงนี้ ก็เพราะคิดถึงคุณพระเจ้าเล่าปี่ ครั้นจะละเลยก็หาผู้ใดที่จะไว้ใจมิได้ เราจึงอุตส่าห์มาทำการศึก หวังจะปราบปรามศัตรูแผ่นดิน จะได้บำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้อยู่เย็นเป็นสุข………”

และตั้งแต่นั้นขงเบ้งก็ล้มป่วยลง และอาการหนักขึ้นทุกวัน จนในที่สุดก็ถึงแก่ความตายลง ในเดือนสิบ แรมแปดค่ำ พ.ศ.๗๗๗ ขณะที่ยังอยู่ในสนามรบนั้นเอง

ส่วนสุมาอี้ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกสิบเจ็ดปี และได้เป็นมหาอุปราชของวุยก๊ก จนถึงพระเจ้าโจฮองได้เป็นฮ่องเต้ ต่อจากพระเจ้าโจยอย ถึงเดือนสิบ พ.ศ.๗๙๔ จึงป่วยและถึงแก่ความตาย บุตรชายทั้งสองก็ได้เป็นมหาอุปราชแทนตามลำดับ จนถึงสุมาเอี๋ยนบุตรของสุมาเจียว ได้เป็นจีนอ๋องแทนตำแหน่งของบิดา แล้วโค่นราชวงศ์วุยชิงราชสมบัติจากพระเจ้าโจฮวน หลานของโจโฉ ตั้งตนเป็นฮ่องเต้เริ่มราชวงศ์จิ้น เมื่อ พ.ศ.๘๐๘

ชีวิตของคนทั้งสอง ที่ต่อสู้กันมาในสงคราม เป็นเวลานับสิบปี ด้วยฝีมือความคิด และ สติปัญญาไม่แพ้กัน แม้การเริ่มต้นชีวิตจะแตกต่างกัน และจบชีวิตแตกต่างกัน แต่ต่างก็มีศักดิ์ศรี มีเกียรติยศ ปรากฎอยู่ในประวัติศาสตร์ของสามก๊ก ไม่น้อยหน้ากัน ดังชาติเสือไม่สิ้นลายด้วยกันทั้งคู่.

############



Create Date : 12 กรกฎาคม 2559
Last Update : 12 กรกฎาคม 2559 9:50:59 น. 2 comments
Counter : 394 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะพี่ปู่


เข้ามาอ่านสามก๊กค่ะ


โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 12 กรกฎาคม 2559 เวลา:14:04:30 น.  

 
ขอบคุฯครับ เดี๋ยวนี้ไม่มีที่คุยกันเลย คิดถึงทุกท่านครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 12 กรกฎาคม 2559 เวลา:16:44:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.