Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๔ ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

ต้นราชวงศ์ซ้อง

ตอนที่ ๔ ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน “

เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อกองทัพหลวงได้ทราบว่า เตียคังเอี๋ยนแม่ทัพฝ่ายกบฏเมืองฮ่อตง คุมทหาร ออกรบครั้งแรก ก็ตีทหารหลวงแตกพ่ายไปอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นก๊วยอุยแม่ทัพใหญ่ ซึ่งพา เตียห้องอึนผู้บิดา และช่าหยองเพื่อนร่วมสาบาน ของเตียคังเอี๋ยนมาด้วย ก็ยกทหารออกมาด้วย ตนเอง เตียคังเอี๋ยนก็ขึ้นม้าถืออาวุธคุมทหารเปิดประตูเมือง ออกมารบกันได้หลายเพลง ก๊วยอุย ก็ขับม้าหนี เตียคังเอี๋ยนขับม้าไล่ตามมาจนถึงชายป่า ก็เห็นเตียห้องอึนกับช่าหยอง ชักม้าออกมาขวางหน้าไว้

เตียคังเอี๋ยนเห็นดังนั้น จึงลงจากหลังม้าวางอาวุธ แล้วเข้ามาคุกเข่าคำนับบิดา เตียห้องอึนจึงถามว่า เหตุใดจึงได้เข้ามาเป็นพวกหลีซิวเจง ซึ่งเป็นกบฏต่อแผ่นดินดังนี้ เตียคังเอี๋ยนก็เล่าความตั้งแต่หนีออกจากเมืองหลวง จนมาอยู่เมืองฮ่อตง ให้บิดาฟังทุกประการ ช่าหยองจึง พูดว่า

“………ตัวเจ้าเป็นคนมีความผิดในพระเจ้าเคียนอิ๋ว อยู่แต่ก่อนครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้มาคบกับหลีซิวเจงผู้เป็นกบฏ โทษเจ้าผิดเป็นอันมาก ถ้าแม้นรับอาสาคิดอุบายฆ่าหลีซิวเจง เสียแล้ว ก็จะได้เปลื้องโทษตัว…..”

เตียงคังเอี๋ยนก็เห็นชอบด้วย ก็ยินดีจะรับอาสาเป็นไส้ศึก ตามที่ช่าหยองแนะนำทุกประการ แต่จะขอหมวกของช่าหยองไปเป็นอุบาย แล้วเตียคังเอี๋ยนก็ยกทหารกลับเข้าไปในเมืองฮ่อตง แจ้งกับหลีซิวเจงว่า ได้รบกับข้าศึกมีชัยชนะ เก็บได้หมวกของรองแม่ทัพมาเป็นสำคัญ หลีซิวเจงเห็นหมวกเครื่องยศก็เชื่อว่าเป็นจริง ไม่มีความสงสัย เตียคังเอี๋ยนจึงว่า

“……..ข้าพเจ้าไล่ไปจนถึงริมค่ายข้าศึก เห็นค่ายนั้นไม่สู้มั่นคง เวลาค่ำวันนี้ขอท่านจงคุมทหารเข้าไปปล้นค่าย คงจะได้ชัยชนะ…….”

หลีซิวเจงได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้จัดทหารเตรียมพร้อมไว้ ครั้นเวลาดึกประมาณสองยามเศษ หลีซิวเจงกับเตียคังเอี๋ยนก็คุมทหารออกไปปล้นค่ายทหารหลวง ครั้นถึงก้เห็นเงียบสงัด และได้ยินเสียงประทัดสัญญาจุดดังขึ้น ทหารเมืองหลวงก็ยกเข้าตีโอบหลัง ล้อมฆ่าฟันทหารเมือฮ่อตงล้มตายลงเป็นอันมาก หลีซิวเจงตกอยู่ในที่ล้อม เรียกหาเตียคังเอี๋ยนก็ไม่พบเห็น จะตีหักออกก็ไม่ได้ จึงถูกทหารกลุ้มรุมฆ่าตายในที่รบ ทหารเมืองฮ่อตงก้แตกกระจัดพลัดพรายไป

ครั้นเวลารุ่งเช้า เตียคังเอี๋ยนก็พาก๊วยอุยยกกองทัพเข้าไปในเมืองฮ่อตง จับพวกที่ร่วมคิดกบฏมาชำระโทษเสียตามควร แล้วกำชับทหารไม่ให้กระทำข่มเหงไพร่บ้านพลเมือง ได้ทำมาหากินอยู่ตามภูมิลำเนาเป็นปกติแล้ว ก๊วยอุยจึงสั่งให้ช่าหยองกับเตียคังเอี๋ยนอยู่รักษาเมือง ฮ่อตง และตนเองกับเตียห้องอึนก็เลิกทัพ กลับไปเมืองเปียนเหลียงนครหลวง เข้าเฝ้าพระเจ้า เคียนอิ๋ว เพ็ดทูลแก้ไขยกความชอบ ให้เตียคังเอี๋ยนพ้นโทษ ฮ่องเต้ก็โปรดพระราชทานอภัยโทษให้

ต่อมาอีกไม่นานพระเจ้าเคียนอิ๋วประชวร และเสด็จสู่สวรรคต ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ประชุมพร้อมกันเชิญไทจือขึ้นครองราชสมบัติ ถวายพระนามว่า พระเจ้าอึนเต้ แต่ฮ่องเต้พระองค์นี้ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางจึงให้ไปเชิญก๊วยอุยยกกองทัพเข้ามาปราบปราม พระเจ้าอึนเต้ก็ยกกองทัพออกไปรบด้วย ก็พ่ายแพ้ตังฮ่องเต้ต้องอาวุธสิ้นพระชนม์ในกลางศึก

แล้วขุนนางผู้ใหญ่ก็ทำอุบาย ให้ฮองไทเฮามารดาของพระเจ้าอึนเต้ ตั้งให้ก๊วยอุยเป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ แล้วตั้งให้ช่าหยองเป็นช่าอ๋องสำเร็จราชการเมืองเงียบไต๋ เตียคังเอี๋ยนก็รับราชการอยู่กับช่าอ๋อง

พระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ครองราชสมบัติอยู่ได้สามปีก็ประชวร และสิ้นพระชนม์ลง และทรงเป็นหมันไม่มีพระราชบุตร ขุนนางก็ยกช่าอ๋องซึ่งเป็นไทจือขึ้นสืบราชสมบัติ เป็นพระเจ้าสีจงฮ่องเต้ เตียคังเอี๋ยนก็ได้เป็นนายทหารผู้ใหญ่

ต่อมาเล่าฉองซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเคียนอิ๋วเป็นกบฏ เตียคังเอี่ยนได้เป็นกำลังในการปราบกบฏสำเร็จ จึงได้รับเลื่อนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ฮ่องเต้ก็ทรงรักใคร่เชื่อถือสนิทสนมกว่าขุนนางทั้งปวง ด้วยเป็นเพื่อนร่วมสาบานกันมาแต่ก่อน

ต่อมาเป็นปีที่หกซึ่งพระเจ้าสีจงฮ่องเต้ได้ครองราชย์ ก็ทรงประชวรและสิ้น พระชนม์ลง เตียคังเอี๋ยนก็ยกพระราชบุตรอายุเจ็ดขวบ ขึ้นเป็นฮ่องเต้ทรงพระนามว่าพระเจ้าตรองเต้

เตียคังเอี๋ยนกับขุนนางผู้ใหญ่อีกสองคน ก็เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ก็เกิดการกบฎขึ้นที่เมือฮ่อตงอีก ขุนนางทั้งปวงจึงขอให้เตียคังเอี๋ยนรับราชสมบัติเสียเอง และแต่งตั้งให้เป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้าไทโจ๊วฮ่องเต้ ลดพระเจ้าตรองเต้ลงเป็นอ๋อง แล้วฮ่องเต้ก็ให้เรียกนามแผ่นดินว่า แผ่นดินซ้อง เริ่มราชวงศ์ใหม่

ต่อมาพระเจ้าไทโจ๊วฮ่องเต้ ทรงยกทัพไปปราบปรามแผ่นดินฮวนเมืองปักฮั่น แต่ไม่สำเร็จต้องเจรจาสงบศึกกัน เมื่อกลับมาถึงเมืองเปียนเหลียงนครหลวง ก็ทรงประชวรลง ไทอุยหมอหลวงประกอบพระโอสถถวาย พระโรคก็หาคลายลงไม่ จึงทรงระลึกได้ว่าพระองค์ได้ราชสมบัติมานั้น พระมารดาได้ถามว่า ฮ่องเต้แผ่นดินก่อน ๆ สืบวงศ์มาถึงห้าวงศ์ แล้วก็ไปไม่ได้ยืนยาวเพราะเหตุอันใด พระองค์ได้ทูลว่า เพราะเหตุด้วยฮ่องเต้ที่สืบต่อวงศ์ขึ้นใหม่ทรงพระเยาว์อยู่ ขุนนางที่มีอำนาจก็ชิงแย่งเอาราชสมบัติเสีย

พระมารดาจึงว่าถ้าเจ้าเห็นความดังนั้นแล้ว ถ้าเจ้าสิ้นบุญเมื่อไรขอให้เตียคังหงีผู้น้อง ได้ครองราชสมบัติในเมืองเปียนเหลียงต่อไป เมื่อเตียงคังหงีสิ้นบุญแล้ว จึงยกสมบัติให้กับบุตรของเจ้าต่อไปอีก

พระเจ้าไทโจ๊วฮ่องเต้ก็ระลึกได้ว่า ขณะนั้นเตียเต๊กเจียวพระราชบุตรก็ยังเยาว์อยู่ จึงรับสั่งให้หาเตียคังหงีเข้าเฝ้าถึงที่บรรทม แล้วตรัสว่า

“……..เราป่วยครั้งนี้อาการมากอยู่ ถ้าเราดับสูญแล้ว เจ้าจงครอบครองราชสมบัติในเมืองเปียนเหลียง ทำนุบำรุงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินแทนเราต่อไปเถิด ถ้าเจ้ามีวาสนาได้เป็นใหญ่ขึ้นแล้ว จงชุบเลี้ยงแต่งตั้งเตียเต๊กเจียวบุตรเราตามสมควร ด้วยยังเป็นเด็กอ่อนปัญญานัก กับเราคิดการไว้ยังไม่สำเร็จอีกสามอย่าง เจ้าจงช่วยคิดอ่านทำให้สำเร็จจงได้ จึงจะมีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในแผ่นดิน……..”

เตียคังหงีจึงกราบทูลถามว่า พระองค์คิดไว้อย่างไรบ้าง พระเจ้าไทโจ๊วฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

ข้อหนึ่งเมืองปักหั้นนั้นเป็นข้าศึกกันอยู่ จงเร่งคิดปราบปรามเสียให้เรียบร้อย

ข้อสอง อูเอี้ยนจั่นที่ตั้งอยู่ ณ เขาไทหังซัวนั้น มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็ง จงเอาตัวไว้ชุบเลี้ยง ตั้งแต่งให้เป็นขุนนางมียศศักดิ์ ทำราชการอยู่ในเมืองหลวง จะได้ช่วยกันคิดปราบศัตรูแผ่นดินต่อไป

ข้อสามเมื่อเรายังเป็นแม่ทัพปราบปรามแผ่นดินอยู่นั้น ได้บนบานเทพารักษ์ที่วัดเหงาไทซัวไว้ เจ้าจงไปทำพลีกรรมบวงสรวงเทพยดาและบูชาพระที่วัด ให้จงได้

และสุดท้ายตรัสว่า

“……เมื่อจะทำการงานสิ่งใด จงตรึกตรองให้เห็นชัดเจน ตลอดต้นจนปลายก่อนจึงทำ……”

ตรัสดังนั้นแล้วก็มีรับสั่งตั้งให้เตียคังหงีเป็นที่ไทจือรัชทายาท เตียคังหงีก็กราบถวายบังคม รับจะทำตามรับสั่งทุกประการ แล้วฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้หาเตียเต๊กเจียวพระราชบุตรเข้าไปเฝ้า ตรัสว่า

“……เจ้าอย่าโทมนัสน้อยใจเลย ด้วยบิดาเห็นว่าเป็นเจ้าแผ่นดินนั้นยากนัก จะว่ากล่าวสิ่งใดก็ต้องตรึกตรองให้ถูกต้องยุติธรรม ปราศจากความโลภและหลง ประกอบไปด้วยสติปัญญา มีเมตตาแก่ขุนนางข้าราชการไพร่บ้านพลเมือง และปราบปรามเสี้ยนศัตรูแผ่นดินให้ราบเรียบปกติ จึงจะมีความเจริญอยู่ในสิริราชสมบัติยืนยาวไปได้ บิดาเห็นว่าทุกวันนี้เจ้ายังเป็นเด็กอ่อนสติปัญญานัก กลัวจะรักษาแผ่นดินไปไม่ตลอด จึงได้มอบราชสมบัติให้เตียคังหงีอาเจ้า ทำนุบำรุงต่อไป เจ้าจงอุตส่าห์ทำราชการโดยสุจริต อย่าได้คิดถือเปรียบแก่งแย่งกันเลย เมื่อเจ้าเจริญไปใหญ่ขึ้น ตั้งอยู่ในสัจธรรมแล้ว สมบัติก็จะเป็นของเจ้า……..”

เตียเต๊กเจียวก็คำนับรับคำสั่ง แล้วถวายบังคมลาออกมาจากที่เฝ้า ตั้งแต่นั้นมาพระโรคของพระเจ้าไทโจ๊วฮ่องเต้ ก็กำเริบมากขึ้นและสิ้นพระชนม์ เมื่อพระชนมายุได้ห้าสิบปี นางซองเฮาพระสนมเอกมารดาของเตียเต๊กเจียว ทราบว่าฮ่องเต้ทรงมอบราชสมบัติให้แก่เตียคังหงีพระอนุชา ก็พาเตียเต๊กเจียวผู้บุตร ไปหาเตียคังหงีคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วพูดว่า

“……..ข้าพเจ้าแม่ลูกสองคนนี้ ขอฝากตัวทำราชการสนองคุณท่านไปกว่าจะหาชีวิตไม่……”

เตียคังหงีได้ฟังก็ร้องไห้เศร้าโศกถึงฮ่องเต้ผู้พี่ยิ่งนัก แล้วบอกว่า

“……ข้าพเจ้าได้เป็นใหญ่ขึ้นในแผ่นดินแล้ว จะทำนุบำรุงให้มีความสุขเจริญเหมือนแต่ก่อนท่านอย่าวิตกเลย…….”

ครั้นถึงวันฤกษ์ดีขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประชุมพร้อมกันแล้ว ก็ตั้งการราชาภิเษกให้เตียคังหงีขึ้นครองราชสมบัติในเมืองเปียนเหลียง ถวายพระนามว่า พระเจ้าไทจงฮ่องเต้ แล้วฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ก็รับสั่งตั้งให้นางซองเฮามารดาเตียเต๊กเจียว เป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายใน ทรงตั้งให้เตียเต๊กเจียวพระราชนัดดาเป็นที่โปยอ๋อง ทรงตั้งเตียง่วนคังพระราชบุตรเป็นชิดอ๋อง

พระเจ้าไทจงฮ่องเต้ก็ทรงครองราชสมบัติต่อมา โดยได้ทรงปฏิบัติตามรับสั่งของฮ่องเต้ผู้พี่ทุกประการ จนมีพระชนมายุได้ห้าสิบเก้าปี จึงประชวรสิ้นพระชนม์ลง

แต่ราชวงศ์ซ้องยังมีฮ่องเต้สืบราชสมบัติต่อไปอีก ๑๓ พระองค์ รวมเวลาตั้งแต่ เตียคังเอี๋ยนได้เป็นพระเจ้าไทโจ๊วฮ่องเต้ จนสิ้นสุดเชื้อสายได้ ๓๑๗ ปี จึงเปลี่ยนเป็นราชวงศ์อื่น.

##########




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 6:15:56 น.
Counter : 1033 Pageviews.  

ตอนที่ ๓ พ้นภัยกลายเป็นกบฏ

ต้นราชวงศ์ซ้อง

ตอนที่ ๓ พ้นภัยกลายเป็นกบฏ

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่ายเตียคังเอี๋ยนออกเดินทางจากศาลเจ้า ไปจนถึงสะพานจิวเกีย เมื่อข้ามสะพานไปแล้วเห็นมีทางแยกอยู่สามทาง หารู้ที่จะไปทางไหนไม่ พอดีแลเห็นชายผู้หนึ่ง นั่งกางร่มอยู่ริมหนทาง จึงเดินตรงเข้าไปถามว่า ทางจะไปเมืองฮ่อตงนั้นไปทางไหน ชายผู้นั้นบอกว่า หนทางกลางตรงไปเมืองกวนไซ ทางข้างซ้ายมือไปเมืองฮ่อตง ทางข้างขวามือไปเมืองฮิวจิว..เตียคังเอี๋ยนได้ฟังแล้ว ก็คำนับลาจะออกเดินไป ชายผู้นั้นจึงว่า

“……ตัวเจ้านี้มีลักษณะประหลาดกว่าคนทั้งปวง เราเป็นหมอดูจะช่วยดูเหตุดีและร้ายให้…..”

เตียคังเอี๋ยนก็ว่าตนมาแต่ตัวเปล่า ไม่มีเงินทองสิ่งใดจะให้เป็นค่าจ้าง หมอดูบอกว่าไม่เป็นไรดอก ตนจะดูให้ไม่คิดเอาค่าจ้าง จงบอกปีเดือนวันคืนมาให้แจ้งเถิด เตียคังเอี๋ยนก็บอกปีเดือนกำเนิดให้หมอดูเขียนลงไว้ แล้วหมอก็คิดคำนวนตามตำรา แล้วจึงบอกว่า

“……ตัวท่านนี้นานไปข้างหน้าจะมีวาสนา ใหญ่กว่าคนทั้งแผ่นดิน แต่บัดนี้ยังมีเคราะห์อยู่ จะต้องโทษครั้งหนึ่ง ต่อไปเลือดจะตกจึงจะสิ้นเคราะห์ ให้ระวังตัวจงดี…….”

เตียคังเอี๋ยนจึงเล่าความที่ตนต้องโทษอยู่ในคุก จนหนีออกมาได้หมอดูฟัง แล้วถามหมอว่าจะหนีภัยครั้งนี้ ไปทางไหนดี ขอจงเมตตาช่วยดูให้ตน พ้นจากภัยอันตรายด้วย หมอจึงว่า

“…….เมืองกวนไซนั้นเป็นเมืองใหญ่ คนมีสติปัญญาและฝีมือก็มาก ท่านจงไปทางเมืองกวนไซเถิด คงจะได้เพื่อนฝูงที่ดี……”

เตียคังเอี๋ยนก็คำนับลาหมอดู ออกเดินทางไปเมืองกวนไซ ครั้นถึงตำบลอึงบ๊อก็แวะไปพักอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ แลเห็นชายผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ จึงปลุกให้ตื่นขึ้นถามชื่อแซ่และที่อยู่ ชายผู้นั้นบอกว่าแซ่ช่าชื่อหยอง เป็นชาวเมืองเฮงจิว จะไปเมืองไทง่วนฮู้เพื่อเยี่ยมญาติพี่น้อง เตียคังเอี๋ยนจึงบอกว่า

“…….ข้าพเจ้าได้ยินเขาออกชื่อท่านอยู่ ว่าเป็นคนมีสติปัญญาใจก็กว้างขวาง โอบอ้อมอารี แต่หารู้จักตัวท่านไม่ เวลาวันนี้ได้พบท่าน ข้าพเจ้ามีความยินดียิ่งนัก ตัวข้าพเจ้านี้ชื่อเตียคังเอี๋ยน เป็นชาวเมืองเปียนเหลียง จะไปเมืองกวนไซ…..”

ช่าหยองได้ยินออกชื่อเตียคังเอี๋ยนจึงว่า

“…….ข้าพเจ้าได้ข่าวเล่าลือชื่อท่านปรากฎ ว่ามีฝีมือและสติปัญญา ใจกว้างขวางอยากคบค้าเป็นเพื่อนฝูงมาก ข้าพเจ้าพบท่านวันนี้ก็เป็นบุญลาภนักหนา จงได้ผูกรักให้สัตย์ปฏิญาณเป็นพี่น้องกันเถิด เมื่อมีทุกข์ภัยไปเบื้องหน้า จะได้ช่วยกันให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว……”

เตียคังเอี๋ยนได้ฟังก็ยินดีถามอายุกันและกัน ช่าหยองมีอายุมากกว่า เตียคังเอี๋ยนจึงยอมเป็นน้อง ทั้งสองก็ตั้งสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกัน แต่วันนั้นมา แล้วก็พากันเดินต่อไปประมาณหกลี้ ก็พบแต้อึนตามมาทันบอกกับเตียคังเอี๋ยนว่า

“……ข้าพเจ้าทราบว่าท่านหนีออกจากคุกได้ พระเจ้าเคียนอิ๋วให้มีหนังสือไป กักด่านทุกแห่งทุกตำบล ข้าพเจ้าตามท่านมาถึงทางสามแยก พบหมอดูจึงได้ทราบว่าท่านมา ทางนี้…”

เตียคังเอี๋ยนก็มีความยินดีพากันเดินต่อไปถึงทางสองแยก ทางหนึ่งจะไปเมือง ไทง่วนฮู้ ทางหนึ่งจะไปเมืองกวนไซ เตียคังเอี๋ยนจึงให้แต้อึนไปส่งช่าหยองที่เมืองไทง่วนฮู้ แล้วกลับมาตามตนไปเมืองกวนไซ และเตียคังเอี๋ยนกับช่าหยองก็แยกกันไปคนละทาง เตียคังเอี๋ยนเดินมาถึงตำบลบูจิวก็หยุดพักคอยแต้อึนอยู่ที่นั้น

เมื่อแต้อึนไปส่งช่าหยองถึงเมืองไทง่วนฮู้แล้ว ก็กลับมาพบเตียคังเอี๋ยนที่ตำบล บูจิว เตียคังเอี๋ยนก็บอกว่า

“………เจ้าอย่าไปเมืองกวนไซกับเราเลย จงกลับเข้าไปเมืองเปียนเหลียง คอยฟังข่าวคราวดูว่า พระเจ้าเคียนอิ๋วจะขัดเคืองบิดาเราประการใดบ้าง ถ้าได้ความแล้วจงรีบกลับมาบอกเราโดยเร็ว ตัวเราจะไปเมืองกวนไซแต่ผู้เดียวนั้นหาวิตกไม่ วิตกอยู่แต่บิดาจะต้องโทษ……”

แล้วทั้งสองก็แยกกันไปอีก เมื่อเตียคังเอี๋ยนเดินทางมาถึงเมืองกวนไซ ก็พบชายผู้หนึ่งเป็นคนพาลเสพสุราเมา เคยกระทำข่มเหงคนเดินทางอยู่ในแขวงนั้น ครั้นเห็นเตียคังเอี๋ยนเดินมา ก็เอาคันเกาทัณฑ์ตี เตียคังเอี๋ยนจึงชกเอาชายผู้นั้นล้มลงนอนนิ่งอยู่กลางถนน แต่พอเตียคังเอี๋ยนเดินผ่านไปได้ไม่ไกล ชายผู้นั้นฟื้นตัวลุกขึ้นถือเกาทัณฑ์วิ่งตาม เอาเกาทัณฑ์ตีถูกศรีษะเตียคังเอี๋ยนโดยหาทันรู้ตัวไม่ เมื่อเหลียวมาดูชายผู้นั้นก็วิ่งหนีไปแล้ว ขณะนั้นมีโลหิตไหลจากแผลที่ถูกตี เตียคังเอี๋ยนจึงคิดว่า หมอดูทายว่าจะมีเคราะห์ถึงเลือดตก ก็สมจริงเหมือนคำหมอดู จึงมิได้วิ่งตามชายคนนั้นไป

เมื่อเดินมาถึงวัดเซงฮิวกวนก็แวะเข้าไปพบหลวงจีนเจ้าวัด กระทำคำนับหลวงจีนตามธรรมเนียมแล้ว เจ้าวัดจึงถามว่าเหตุใดศรีษะท่านจึงแตกโลหิตไหลดังนี้ เตียคังเอี๋ยนก็เล่าความซึ่งคนพาลทำร้าย ให้หลวงจีนฟังทุกประการ หลวงจีนพิเคราะห์ดูรูปร่างลักษณะเตียคังเอี๋ยนเห็นเป็นคนจะมีวาสนา จึงประกอบยาใส่แผลที่ศรีษะให้ แล้วเตียคังเอี๋ยนก็คำนับลาออกจากวัดไปยังเขาฮัวซัว เดินเลียบมาตามชายเขา ก็พบวัดอีกวัดหนึ่งชื่อวัดหุนไทกวน พอถึงก็มีเด็กศิษย์วัดมาเชิญเข้าไปพบกับหลวงจีนตันพักเจ้าวัด บอกว่า

“…….เวลาคืนนี้เห็นดาวสำหรับกษัตริย์ มีรัศมีสว่างส่องเข้ามาในเมืองกวนไซ พิเคราะห์ดูเห็นว่าผู้มีบุญจะมาที่เมืองกวนไซ จะเดินมาทางนี้จึงให้ศิษย์ไปคอยเชิญให้เข้ามาในวัด บัดนี้ข้าพเจ้าได้พบท่านก้เห็นเป็นคนมีลักษณะสมกับนิมิต นานไปเมื่อหน้าท่านจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน…….”

เตียคังเอี๋ยนได้ฟังจึงว่า

“…….ท่านพูดนี้ ข้าพเจ้าเห็นเกินไปนัก อันคนซึ่งจะได้ครอบครองแผ่นดินนั้น ย่อมเป็นเชื้อสายกษัตริย์มาแต่ก่อน แล้วประกอบไปด้วยสติปัญญาพร้อมทุกสิ่ง จึงจะเป็นเจ้าแผ่นดินได้ อันตัวข้าพเจ้านี้เป็นคนพลเรือน ทั้งสติปัญญาก็น้อย หาควรที่ท่านจะทายดังนี้ไม่…….”

หลวงจีนเจ้าวัดก็ตอบว่า

“……..ซึ่งท่านว่านั้นจะเอาเป็นประมาณไม่ได้ สุดแล้วแต่วาสนา ทุกวันนี้แผ่นดินผลัดเปลี่ยนเจ้าหลายวงศ์มาแล้ว ท่านซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินนั้น ก็มิได้เป็นเชื้อกษัตริย์เนื่องมาแต่ก่อน ตัวท่านจงประพฤติการให้อยู่ในสุจริต มีเมตตากรุณาให้เป็นพื้นไปเถิด นานไปคงจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มั่นคงเหมือนข้าพเจ้าทำนาย………”

เตียคังเอี๋ยนก็คุกเข่าลงรับคำทำนาย แล้วก็พักอยู่ในวัดนั้นสองสามวัน จึงลาหลวงจีนตันพักออกจากวัด เดินทางไปหาเตียซือต๋องซึ่งเป็นญาติกัน ที่เมืองฮองเซียงฮู้ เมื่อได้พบแล้วก็เล่าความซึ่งตนต้องโทษหนีออกได้ มาเที่ยวตกทุกข์ได้ยากอยู่ เตียซือต๋องก็ว่าเตียคังเอี๋ยนมิใช่ผู้อื่น เป็นหลานของตน จงอยู่ด้วยกันเถิด อย่าเที่ยวไปให้ได้ความลำบากเลย เตียคังเอี๋ยนก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านนั้น

ครั้นอยู่มาไม่นาน เตียซือต๋องก็พูดกับเตียคังเอี๋ยนว่า เมืองนี้เป็นแต่หัวเมืองเล็กน้อย คนที่ประกอบไปด้วยสติปัญญาและฝีมือนั้นไม่มี ควรจะไปอยู่ที่เมืองกวนไซ ซึ่งมีผู้คนมากพอจะเลือกหา ผู้ที่มีสติปัญญาและฝีมือ คบเป็นเพื่อนฝูงได้ เตียคังเอี๋ยนก็เห็นชอบด้วย จึงคำนับลาเตียซือต๋อง ออกเดินทางไปแต่ผู้เดียว ในระหว่างทางก็ได้พบพวกโจรดักจะชิงทรัพย์ ก็ฆ่าตายเสียหลายคน

พอไปถึงตำบลซ้องหลิมมีภูเขาลูกหนึ่งสูงใหญ่ เห็นหลวงจีนองค์หนึ่งไล่เสือมา ก็แวะขึ้นไปยืนดูอยู่บนเนินเขา หลวงจีนไล่เสือมาทันที่ชายเนินนั้นพอดี ก็คว้าหางฉุดเสือตัวนั้นไว้ เสือแว้งตัวเลี้ยวมาจะกัด หลวงจีนจึงกดคอเสือไว้แล้วทุบจนเสือนั้นตาย เตียคังเอี๋ยนจึงลงจากเนิน ไปคำนับหลวงจีนและบอกชื่อแซ่ให้ทราบ หลวงจีนจึงบอกว่าตนชื่อเบ๊ซำถี แต่ก่อนก็ได้เคยรู้จักคุ้นเคยกับเตียห้องอึน บิดาของเตียคังเอี๋ยน แล้วก็พาเตียคังเอี๋ยนเข้าไปในวัด นั่งสนทนากินน้ำชาอยู่ด้วยกัน ก็มีศิษย์วัดมาบอกว่า เตียหลิมกับลิอ๋องพาพวกโจรมาล้อมวัดไว้ ว่าจะจับตัวเตียคังเอี๋ยนซึ่งได้ฆ่าพวกพ้องเสียหลายคน

เตียคังเอี๋ยนก็ว่าโจรเหล่านี้ฆ่าไม่รู้สิ้นเลย แล้วก็ออกไปรบกับพวกโจร ฆ่าสองนายโจรตาย พวกบริวารโจรก็ไปบอกนางลิสีหัวหน้าใหญ่ ให้ยกพลมาล้อมวัดไว้อีก หลวงจีนก็พาเตียคังเอี๋ยนเดินออกไปที่ประตูวัด นางลิสีก็บอกกับหลวงจีนเบ๊ซำถีให้ส่งตัวเตียงคังเอี๋ยน มาให้ตนฆ่าเสีย หลวงจีนก็ไม่ยอม นางลิสีก็ขับพวกลิ่วล้อให้เข้าจับตัวทั้งสองคน หลวงจีนก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปครั้งหนึ่ง ลูกออกไปถึงสามดอกต่อเนื่องกันไป นางลิสีแกว่งอาวุธป้องกันได้ พอหลวงจีนยิงซ้ำไปอีกครั้งหนึ่ง นางลิสีปัดไม่ทันถูกเกาทัณฑ์ตายในที่นั้น พวกโจรก็แตกหนีไปสิ้น

เตียคังเอี๋ยนเห็นวิชาเกาทัณฑ์ของหลวงจีนวิเศษนัก ก็ขอเรียนด้วย หลวงจีนก็ว่าถ้าอยากจะเรียนแล้ว ต้องอยู่กับเราสักปีหนึ่งจึงจะได้ หลวงจีนว่าดังนั้นก็เพราะปรารถนา จะลองใจว่าจะเป็นคนมีความพากเพียรรักวิชาจริงหรือประการใด เตียคังเอี๋ยนก็ยอมเป็นศิษย์อยู่ที่วัดนั้น แต่เมื่อได้เรียนไปสักพักหนึ่ง เห็นว่าเตียคังเอี๋ยนตั้งใจจริง และดูลักษณะว่าเป็นคนมีวาสนา จึงรีบรัดสอนให้เตียคังเอี๋ยนเพียงเดือนเดียว ก็ยิงเกาทัณฑ์ได้ชำนาญว่องไวดีแล้ว เตียคังเอี๋ยนจึงคำนับลาหลวงจีนออกจากวัดไป และเคยได้ยินคนทั้งปวงเล่าลือกันว่า หลีซิวเจง เจ้าเมืองฮ่อตงเกลี้ยกล่อมคนที่มีสติปัญญาและฝีมือไว้ ทำนุบำรุงเป็นอันดี จึงเข้าไปสมัครอยู่ด้วย

หลีซิวเจงนั้นเอาใจออกห่างตั้งแข็งเมือง ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าเคียนอิ๋ว ครั้นเห็นเตียคังเอี๋ยนเข้ามา ก็มีความยินดีเป็นอันมาก ด้วยได้ข่าวว่าเตียคังเอี๋ยนเป็นคนมีฝีมือเข้มแข็ง และมีความผิดในเมืองหลวงหนีโทษมาได้ ก็ต้อนรับทำนุบำรุงเลี้ยงไว้เป็นอันดี

ความซึ่งหลีซิวเจงตั้งแข็งเมืองเป็นกบฏนั้น ทราบไปถึงพระเจ้าเคียนอิ๋ว จึงมีรับสั่งให้ก๊วยอุยเจ้าเมืองเงียบโต๋ ยกกองทัพมาปราบปราม หลีซิวเจงจึงให้เตียคังเอี๋ยนเป็นแม่ทัพยกออกไปรบกับทหารหลวง เมื่อคุมทหารออกรบครั้งแรก ก็ตีทหารเมืองหลวงแตกพ่ายไปอย่างรวดเร็ว


############













 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 8:47:10 น.
Counter : 550 Pageviews.  

ตอนที่ ๒ ประพฤติตัวไม่มดีจึงมีภัย

ต้นราชวงศ์ซ้อง

ตอนที่ ๒ ประพฤติตัวไม่ดีจึงมีภัย

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อถึงเวลารุ่งสว่างเตียคังเอี๋ยนกับเพื่อนสามคน ซึ่งค้างอยู่ที่ตึกนางฮันซูบ๋วย ตื่นขึ้นแล้วก็พากันออกไปนั่งหน้าตึก นางก็ยกน้ำชาออกมาให้กิน แล้วจัดโต๊ะอาหารมาเลี้ยง ขณะที่กินโต๊ะกันอยู่นั้น แต้อึนก็บอกว่า ยังมีหญิงอีกสองคนชื่อนางไตเซาะคนหนึ่ง นางเซียวเซาะคนหนึ่ง อยู่ที่ตึกสูงริมพระราชวัง ขับร้องเพลงไพเราะนัก พระเจ้าเคียนอิ๋วฮ่องเต้กับขุนนาง มักมาฟังนางทั้งสองขับร้องเล่นเป็นที่สำราญ เราควรจะไปฟังเล่นบ้าง เตียคังเอี๋ยนก็ว่าเวลานี้ตนเสพสุราเมาแล้ว แต่เพื่อนจะไปก็ต้องไปด้วย

ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็พากันออกจากบ้านนางฮันซูบ๋วย ไปถึงตึกสูงแต่หาเห็นนางนักขับร้องทั้งสองไม่ เห็นแต่ผู้คนที่มาคอยฟังนางทั้งสองขับร้อง และมีเก้าอี้ทองคำทำเป็นศรีษะมังกร ตั้งอยู่บนหอ เตียคังเอี๋ยนจึงถามแต้อึนว่าเก้าอี้นี้ตั้งไว้สำหรับผู้ใดนั่ง แต้อึนก็บอกว่าสำหรับฮ่องเต้เสด็จมาประทับ เวลานั้นเตียคังเอี๋ยนกำลังเมาสุรา จึงว่าฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมา เราจะขึ้นนั่งเล่นบ้าง แต้อึนห้ามก็ไม่ฟัง เตียคังเอี๋ยนก็ขึ้นไปนั่งบนพระเก้าอี้นั้น เจ้าพนักงานซึ่งรักษาอยู่ ก็ตรูกันออกมาจะจับตัว เพื่อนจึงฉุดเตียคังเอี๋ยนลงจากเก้าอี้ และผลักให้ออกไปปะปนกับฝูงคนเหล่านั้น แล้วเพื่อนที่ชื่อเตียกวางเอี๋ยน ก็พูดกับเจ้าพนักงานว่า

“……เพื่อนข้าพเจ้าคนนี้เมาสุรา หารู้จักที่ต่ำที่สูงไม่ ขอท่านจงยกโทษเสียเถิด..”

เจ้าพนักงานเหล่านั้น เป็นคนรู้จักชอบพอกับเตียกวางเอี๋ยนมาก่อน ไม่อยากผิดใจกับเพื่อน และไม่อยากให้ความทราบถึงฮ่องเต้ ซึ่งพวกตนจะมีโทษที่ไม่พิทักษ์รักษา ให้คนขี้เมามานั่งร่วมอาสน์ จึงนิ่งเสียไม่เอาโทษ

ต่อมาอีกครู่หนึ่ง นางไตเซาะกับนางเซียเซาะก็ออกมาขับร้อง ให้คนที่มาชุมนุมฟังจนสิ้นเพลงขับ แล้วบรรดาคนที่มาฟังก็ให้รางวัลแก่นางทั้งสอง ตามมากและน้อยทุกคน เว้นแต่พวกของเตียคังเอี๋ยน หาได้ให้รางวัลไม่ นางจึงพูดทวงขึ้นว่า

“……..ท่านทั้งปวงซึ่งมาฟังขับร้อง ก็ให้รางวัลทุกคน ทำไมท่านจึงไม่ให้รางวัลข้าพเจ้าบ้าง……”

เตียคังเอี๋ยนก็ว่า เวลานี้ตนหามีเงินไม่ ต่อเวลาอื่นตนจึงจะให้ ทั้งสองนางก็พูดเซ้าซี้จนเตียคังเอี๋ยนโกรธ กำหมัดตั้งท่าจะชกเอา นางทั้งสองก็ตกใจวิ่งหนีเข้าไปในตึก เจ้าพนักงานเหล่านั้นก็เข้ามาจะจับตัว เตียคังเอี๋ยนจึงชกเอาพวกพนักงาน เกิดการตลุมบอนกันขึ้น คนซึ่งมาดูเห็นมีเรื่องวิวาทก็พากันแตกตื่นหนีไปสิ้น

เจ้าพนักงานจึงเอาความไปแจ้งแก่ โซฮองกิด ขุนนางผู้ใหญ่ โซฮองกิดก็ว่า

“……เตียห้องอึนบิดาเตียคังเอี๋ยน ก็เป็นข้าราชการรู้ขนบธรรมเนียมทุกสิ่ง ทำไมจึงไม่สั่งสอนห้ามปราม ปล่อยให้บุตรมาทำความดังนี้ ถ้าทราบถึงพระเจ้าเคียนอิ๋วก็จะมีความผิด…..”

ว่าแล้วก็ทำหนังสือ ให้คนใช้ถือไปให้เตียห้องอึน บอกความซึ่งเตียคังเอี๋ยนมาวิวาทกับเจ้าพนักงาน และนางขับร้อง ฮ่องเต้ให้เตียห้องอึนระทำโทษเสียให้เข็ดหลาบ อย่าให้ทำดังนี้ต่อไป แล้วโซฮองกิดก็คิดว่า ซึ่งเตียคังเอี๋ยนมากระทำวุ่นวาย ในที่ขับร้องดังนี้ ก็เพราะไปกินสุราเมามาแต่บ้านนางฮันซูบ๋วย จะต้องทำโทษ ด้วยบ้านนางฮันซูบ๋วยอยู่ริมพระราชวัง มาคบหาด้วยคนพาลเสพสุรายาเมาดังนี้ไม่ควร จึงสั่งให้คนใช้ไปเอาตัวนางฮันซูบ๋วยมาตีเสียตามโทษ แล้วปล่อยตัวไป นางฮันซูบ๋วยกลับมาบ้าน ก็มีความเศร้าโศกเสียใจนัก

ฝ่ายเตียห้องอึนได้รับหนังสือจากโซฮองกิดแล้ว ก็เอาตัวเตียคังเอี๋ยนมากระทำโทษตีโบยให้เข็ดหลาบ อย่าให้กระทำดังนี้อีก เตียคังเอี๋ยนต้องโทษบิดาตีแล้ว ก็ไปหานางฮันซูบ๋วยแล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ นางก็บอกความซึ่งโซฮองกิด เอาตัวไปกระทำโทษให้ฟังบ้าง เตียคังเอี๋ยนก็ว่า

“……..ความซึ่งเกิดครั้งนี้ ก็เพราะนางไตเซาะกับนางเซียวเซาะ เราทั้งสองจึงได้ต้องโทษมีความอัปยศ เวลาค่ำวันนี้เราจะไปฆ่านางไตเซาะนางเซียวเซาะ แก้แค้นเสียให้จงได้…..”

นางฮันซูบ๋วยได้ฟังก็ตกใจ พูดอ้อนวอนห้ามปรามเตียคังเอี๋ยนต่าง ๆ แต่เตียคังเอี๋ยนก็นิ่งเสีย พอเวลาค่ำก็ถืออาวุธไปที่ตึกสูง พบยามคนหนึ่งก็จับตัวมาถามว่า นางทั้งสองอยู่ที่ไหน ถ้าไม่บอกตามจริงจะฆ่าเสีย ยามตกใจก็บอกที่ให้ เตียคังเอี๋ยนก็ย่องขึ้นไปบนหอสูง และเอากระบี่ฟันนางทั้งสองตายคาที่นอน แล้วเขียนหนังสือไว้ที่ผนังตึก บอกชื่อตนว่าเป็นคนฆ่า แล้วก็กลับมานอนอยู่ที่บ้านนางฮันซูบ๋วย

ครั้นเวลารุ่งเช้าเจ้าพนักงานรักษาตึก เห็นนางทั้งสองตายมีแผลอาวุธอยู่ทั้งสองคน จึงเอาความมาบอกแก่โซฮองกิด ให้ทราบทุกประการ โซฮองกิดก็รีบเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเคียนอิ๋วฮ่องเต้ว่า

“……..เวลาคืนนี้มีผู้ร้ายฆ่านางไตเซาะนางเซียวเซาะ คนขับร้องตายเสียทั้งสองคน เขียนหนังสือไว้ที่ผนังตึก ชื่อเตียคังเอี๋ยนเป็นบุตรเตียห้องอึน ซึ่งเป็นขุนนางที่ซือคอง…..”

ฮ่องเต้ก็ทรงขัดเคือง ตรัสว่า

“……..ซือคองไม่สั่งสอนบุตรปล่อยให้ประพฤติเป็นพาล มาทำร้ายคนหลวง ริมพระราชวังดังนี้ มีความผิดนัก ให้เอาตัวเตียห้องอึนมาจำใส่คุกเสีย…….”

ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงกราบทูลว่า

“……..ซึ่งหนังสือเขียนบอกชื่อเตียคังเอี๋ยนบุตรเตียห้องอึน ไว้ที่ผนังตึกนั้นจะเอาเป็นจริงทีเดียวยังไม่ได้ ขอให้สืบจับเอาตัวเตียคังเอี๋ยนมาชำระ ให้ได้ความจริงก่อน จึงค่อยทำโทษเตียห้องอึน…….”

พระเจ้าเคียนอิ๋วฮ่องเต้จึงรับสั่ง ให้เอาตัวเตียห้องอึนไปคุมไว้ก่อน อย่าเพ่อจำโซ่ตรวน แล้วให้เขียนรูปเตียคังเอี๋ยน มีหนังสือไปถึงหัวเมืองและด่านทาง แขวงอำเภอทุกตำบล ให้จับตัวส่งเข้ามาเมืองหลวง เจ้าพนักงานก็ทำตามรับสั่งทุกประการ

ฝ่ายเตียคังเอี๋ยนหนีไปซ่อนตัว อยู่ที่บ้านนางฮันซูบ๋วย ครั้นแจ้งความว่าบิดาถูกจำขังไว้ จึงพูดกับนางฮันซูบ๋วยว่า

“……จำเราจะเข้าไปรับโทษ ให้เขาถอดบิดาเราออกจึงจะควร ถ้าเราหนีไปเสียก็จะเป็นคนอกตัญญู เหมือนหนึ่งทำโทษให้บิดา……..”

นางฮันซูบ๋วยจึงว่า

“……ซึ่งบิดาท่านต้องโทษขังอยู่นั้น หาเป็นไรไม่ ด้วยขุนนางผู้ใหญ่ชอบพอรักใคร่กับบิดาท่านมาก ก็คงจะเพ็ดทูลแก้ไขให้เบาบางได้ ซึ่งตัวท่านจะเข้าไปรับโทษนั้น ก็คงจะถึงชีวิตเป็นแท้ จงหนีภัยไปเอาตัวรอดเสียก่อนดีกว่า…….”

เตียคังเอี๋ยนก็ว่าตนเป็นคนกตัญญูถึงจะตายก็ตามที แต่อย่าให้บิดาเป็นโทษเลย แล้วเตียคังเอี๋ยนก็เข้าไปหาผู้คุม บอกว่าตนนี้แหละที่เป็นคนฆ่านางนักร้องทั้งสองนั้น จะเข้ามารับอาญาตามโทษ ขอให้ปล่อยบิดาของตนไปเสีย ผู้คุมก็จับเอาเตียคังเอี๋ยนมัดไว้ แล้วแจ้งแก่ขุนนาง ผู้ใหญ่ ให้กราบทูลฮ่องเต้ทรงทราบ ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้ปล่อยตัวเตียห้องอึนไป แล้วเอาตัวเตียคังเอี๋ยนจำใส่คุกไว้ให้มั่นคง นายคุกก็เอาตัวเตียคังเอี๋ยนเข้าเครื่องจองจำครบ มอบให้เฮงขีผู้คุมใหญ่ เป็นผู้ดูแลรักษาไว้

เฮงขีคิดนับถือว่า เตียคังเอี๋ยนนี้มีกตัญญูต่อบิดามั่นคง ใจคอก็องอาจ จึงมีความเวทนาหย่อนเครื่องจำลง และให้อาหารเลี้ยงดูไม่ขัดสน เตียคังเอี๋ยนได้รับความกรุณาแล้วก็พูดกับเฮงขีว่า

“……..ท่านเมตตาข้าพเจ้านี้บุญคุณหนักหนา แต่ข้าพเจ้าเป็นคนโทษถึงตายแล้ว หาได้ใช้แรงแทนคุณท่านไม่ ท่านจงเอาแต่บุญเถิด……”

เฮงขีได้ฟังก็ว่า

“………เราเห็นท่านมีกตัญญู ประกอบไปด้วยลักษณะบริบูรณ์อยู่ เห็นจะยังไม่ถึงที่ตาย จงอุตส่าห์ไปก่อนเถิด นานไปก็เห็นจะออกได้……”

เตียคังเอี๋ยนต้องจำขังอยู่ในคุก เป็นเวลาประมาณเดือนเศษก็ป่วยเป็นไข้ เฮงขีก็ให้ยารักษาจนหาย อยู่มาวันหนึ่งเฮงขีเดินตรวจ เข้าไปดูเตียคังเอี๋ยนซึ่งนอนหลับอยู่ เห็นมีรัศมีทั่วตัวและมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้องขัง ก็คิดว่าเตียคังเอี๋ยนคนนี้ ชะรอยจะมีบุญวาสนา ด้วยโทษที่ทำไว้ก็ฉกรรจ์ ควรจะต้องตายในเร็ว ๆ นี้ เผอิญฮ่องเต้ทรงลืมเสียจนถึงเดือนเศษแล้ว จึงคิดจะทำคุณปล่อยตัวไปเสีย สืบไปเบื้องหน้าจะได้พึ่งบุญเขาบ้าง พอดีเตียคังเอี๋ยนตื่นขึ้น เห็นเฮงขีมายืนอยู่จึงว่า ตนนอนหลับไปไม่ทราบว่าเฮงขีมา ไม่ได้คำนับนั้นขออภัยเสียเถิด .เฮงขีก็ตอบว่า

“………ข้าพเจ้าเข้ามา ก็ด้วยมีความเอ็นดูว่าท่านไม่เคยตกยาก ข้าพเจ้าคิดจะปล่อยท่านให้หนีไปเสีย ท่านจะเห็นประการใด…..”

เตียคังเอี๋ยนจึงว่า

“……..ถ้าท่านเมตตาดังนั้นแล้ว บุญคุณก็เป็นที่ยิ่ง แต่ท่านอยู่ภายหลังจะมีโทษดอกกระมัง…….”

เฮงขีว่าตนคิดไว้แล้ว ว่าจะหนีตามไปด้วย เตียคังเอี๋ยนได้ฟังก็มีความยินดีพูดว่า สืบไปเบื้องหน้าถ้าตนได้ดี ก็จะสนองคุณให้ถึงขนาด แล้วเวลาดึกประมาณสามยามเศษ เฮงขีก็ถอดโซ่ตรวนเครื่องจองจำออกจากตัวเตียคังเอี๋ยน และปล่อยให้หนีไป แล้วตนเองก็รวบรวมเงินทองหนีออกจากเมืองไป ครั้นเวลารุ่งเช้าผู้คุมคนโทษตื่นนอนขึ้นมา หาเห็นเตียคังเอี๋ยนไม่ เห็นแต่โซ่ตรวนเครื่องจองจำกองอยู่ ก็จะรีบเอาความไปแจ้งแก่เฮงขีนายผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่พบเฮงขีอีก จึงเอาข้อความไปแจ้งแก่ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายกรมเมือง นำขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้เร่งมีหนังสือไปกักด่านทาง ทุกแขวงทุกตำบล โซฮองกิดก็ให้ช่างเขียนรูปคนทั้งสอง บอกตำหนิรูปพรรณ ส่งไปทุกหัวเมือง

ฝ่ายเตียห้องอึนแจ้งว่าเตียคังเอี๋ยนผู้บุตร หนีออกจากคุกไปได้ ก็คิดกลัวว่าฮ่องเต้จะมีรับสั่งให้เอาตนไปกระทำโทษแทน ครั้นฟังมาเห็นความเงียบสงบอยู่ จึงให้เตียคังซินผู้น้องเตียคังเอี๋ยน เอาเงินทองกับกระบองคู่มือของพี่ชาย รีบไปเที่ยวตามหาเตียคังเอี๋ยน

ส่วนเตียคังเอี๋ยนนั้นหนีออกจากเมืองหลวงไป ทางประมาณหกสิบลี้ ก็เข้าไปพักซ่อนตัวอยู่ในศาลเจ้าแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นน้องชายผ่านมาก็ออกไปเรียก ถามว่าจะไปไหน เตียคังซินก็ดีใจบอกว่าบิดาทราบว่าพี่หนีออกจากคุกได้ จึงให้ตนเอาเงินทองกับกระบองคู่มือ เที่ยวตามหาจะมอบให้ เตียคังเอี๋ยนก็รับเอาอาวุธคู่มือไว้ แล้วว่า

“……..เงินทองนั้นเจ้าจงเอากลับคืนไปให้บิดาเถิด ว่าซึ่งเสบียงอาหารนั้นหาเป็นไรไม่ ด้วยเพื่อนฝูงของเรามีถมไป อย่าให้บิดาวิตกเลย……..”

เตียคังซินก็ลาพี่ชาย กลับมาบ้านแจ้งเรื่องแก่บิดาให้ทราบทุกประการ ปล่อยให้เตียคังเอี๋ยนเดินทาง หนีอาญาแผ่นดินไปโดยไม่รู้จุดหมายปลายทางแต่ผู้เดียว.

##########




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 5:28:51 น.
Counter : 463 Pageviews.  

ต้นราชวงศ์ซ้อง ตอนที่ ๑ เกิดมาดีมีเพื่อนมาก

ต้นราชวงศ์ซ้อง

ตอนที่ ๑ เกิดมาดีมีเพื่อนมาก “

เล่าเซี่ยงชุน “

ในแผ่นดินไต้จิ้น สมัยพระเจ้าเกาโจ๊ฮ่องเต้ครองราชสมบัตินั้น มีชายผู้หนึ่งชื่อ เตียคังเอี๋ยน เป็นบุตร เตียห้องอึน มารดาชื่อนางโตสี เมื่อเกิดมานั้นมีเนื้อหอม เตียคังเอี๋ยนมีน้องชายสองคนชื่อ เตียงคังหงี กับ เตียคังซิน น้องสุดท้องเป็นหญิงชื่อ นางเง็กหยง ครอบครัวทั้งห้าคนอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงไม่มีความสุขสบาย เตียห้องอึนจึงพาบุตรภรรยาไปอยู่ที่เมืองเปียน เหลียง

ครั้นอยู่มาพระเจ้าเคียนอิ๋วได้เสวยราชสมบัติในเมืองเปียนเหลียง ได้ตั้งให้เตียงห้องอึนเป็นขุนนางฝ่ายช่าง เตียห้องอึนคิดว่าเตียคังหงีบุตรคนรอง เป็นคนใจคอมั่นคง ทำการสิ่งใดก็อยู่ในแบบแผน แต่เตียคังเอี๋ยนผู้พี่ใหญ่นั้น เป็นคนใจนักเลง คบเพื่อนหาความให้เนือง ๆ ต้องวิตกระวังอยู่ทุกเวลา จึงเรียกเตียคังเอี๋ยนเข้ามาสั่งว่า

“………อายุเจ้าสมควรที่จะเล่าเรียนหนังสือ ให้รู้ตำรับตำราต่าง ๆ อยู่แล้ว เจ้าจงไปบ้านตาเมืองเตียจิว อุตส่าห์เล่าเรียนจะได้สืบตระกูลต่อไป ถ้าว่างเวลาเรียนก็จงซ้อมหัดเพลงอาวุธ ให้คล่องแคล่วชำนิชำนาญไว้ จะได้เป็นเพื่อนตัว……..”

เตียคังเอี๋ยนก็ยินดียอมตามคำบิดาทุกประการ เตียห้องอึนก็ให้บ่าวไพร่พาเตียคังเอี๋ยนเดินทางไปถึงเมืองเตียจิว เตียคังเอี๋ยนเข้าไปคำนับโตสำผู้เป็นตา และได้จัดห้องให้อยู่แล้ว โตสำก็ไปหาซินแสที่หนังสือดี มาสั่งสอนหลานชายให้เล่าเรียนอยู่ประมาณปีเศษ เตียงคังเอี๋ยนระลึกถึงเพื่อนฝูงที่คบกันอยู่เดิม จึงคิดอุบายบอกแก่โตสำว่า

“……บิดามีหนังสือมาถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่ง ว่ามีธุระสำคัญนัก ให้ข้าพเจ้ารีบกลับไปบ้านโดยเร็ว จะปรึกษาการ…….”

โตสำก็ไม่ขัดข้อง แต่สั่งว่าถ้าสิ้นธุระแล้ว ให้รีบกลับมาเรียนหนังสือตามเดิมอย่าให้เสียเวลา เตียคังเอี๋ยนก็คำนับลากลับมาเมืองเปียนเหลียง ครั้นถึงก็เข้าบ้านไปคำนับบิดามารดา เตียห้องอึนก็ถามว่า บิดาให้ไปเรียนหนังสือที่บ้านโตสำผู้เป็นตาของเจ้า เหตุใดจึงกลับมาเสียเล่า

เตียคังเอี๋ยนก็ว่าตนเรียนหนังสือได้ปีหนึ่งแล้ว มีจิตคิดถึงบิดามารดานัก จึงได้กลับมาจะปรนนิบัติท่านทั้งสอง เตียห้องอึนก็ว่าเมื่อมาอยู่บ้าน กับบิดามารดาแล้ว จงอุตส่าห์เล่าเรียน อย่าออกไปเที่ยวนอกบ้านคบเพื่อน จะเกิดความเหมือนแต่ก่อน เตียคังเอี๋ยนก็ทนเรียนหนังสืออยู่แต่ในบ้านได้ประมาณเดือนเศษ แต่ใจก็คิดถึงเพื่อนอยู่มิได้ขาด

อยู่มาวันหนึ่งเตียคังเอี๋ยนก็ลอบหนีบิดา ออกไปเที่ยวเล่นตามถนนหลวง พบกับเพื่อนเก้าคนซึ่งรักใคร่กันมาแต่ก่อน ก็ทักทายพูดจาถามถึงสุขทุกข์กันต่าง ๆ คนหนึ่งจึงว่า

“……..พวกเราจากกันไปได้ประมาณปีเศษแล้ว มาพบพร้อมกันต้องเลี้ยงดูสนทนากันเล่น ให้เป็นที่สบายสักเวลาหนึ่ง เราเห็นที่ริมสะพานไตฮันเกีย มีตึกสูงรโหฐาน บนตึกนั้นเดินเที่ยวเล่นและไปได้ทั้งแปดทิศ เราพากันไปกินเลี้ยงที่ตึกนั้นเถิด……”

เตียคังเอี๋ยนและเพื่อนก็เห็นด้วย จึงพากันเดินไปใกล้จะถึงที่ พบคนเดินสวนทางมาพูดสรรเสริญถึงร้านขายเกาทัณฑ์ ก็ถามว่าร้านขายเกาทัณฑ์นั้นเป็นอย่างไร คนเดินทางบอกว่า

“……..ที่เชิงสะพานข้างทิศเหนือ มีชายผู้หนึ่งรูปร่างโตใหญ่ ตั้งขายเกาทัณฑ์อยู่ อวดว่าถ้าผู้ใดน้าวเกาทัณฑ์ของเขาออกได้ เขาจะให้เกาทัณฑ์เป็นรางวัล ไม่คิดราคา ถ้าน้าวเกาทัณฑ์โก่งขึ้นไม่ได้ จะซื้อเขาจะคิดราคาตามที่เขาตั้งไว้ขาย คนมาดูแต่เช้าจนเที่ยง หามีผู้ใดน้วเกาทัณฑ์ขึ้นได้ไม่……..”

เตียคังเอียนได้ฟังดังนั้น ก็พาพวกเพื่อนไปที่ร้านขายเกาทัณฑ์ เห็นเจ้าของร้านรูปร่างสูงใหญ่หน้าดำตากลม ตาขวาเล็กกว่าตาซ้าย หนวดยาว จึงถามว่า

“……เกาทัณฑ์ของท่านที่ขายนี้ ท่านจะขายคันละเท่าใด……”

คนขายบอกว่า

“……..ไม่ต้องถามราคาดอก ท่านมีกำลังน้าวเกาทัณฑ์ข้าพเจ้าขึ้นสายได้แล้ว ข้าพเจ้าจะให้เป็นบำเหน็จ ไม่เอาราคาคันหนึ่ง เมื่อจะซื้อต่อไปจึงจะคิดเอาราคา……”

เพื่อนของเตียคังเอี๋ยนสี่คน ทดลองเอาเกาทัณฑ์ขึ้นมาน้าวก็ไม่สำเร็จ คนซึ่งดูอยู่ก็พากันเอามือปิดปากหัวเราะ เตียคังเอี๋ยนก็บอกว่า

“……..ท่านทั้งปวงอย่าเพ่อหัวเราะก่อน ข้าพเจ้าจะยิงให้ท่านดู ถ้าน้าวไม่ขึ้นแล้วท่านทั้งหลายจึงค่อยหัวเราะเยาะเย้ยเถิด ……..”

พูดแล้วเตียคังเอี๋ยนก็หยิบเอาเกาทัณฑ์ ขึ้นมาน้าวโดยกำลังแรง เกาทัณฑ์หักออกเป็นสองท่อน จึงหยิบเอาคันใหม่มาน้าวอีกไม่เต็มกำลัง ก็ขึ้นสายได้โดยสบาย คนเหล่านั้นจึงพากันสรรเสริญว่า มีกำลังหาผู้ใดเสมอมิได้ เพื่อนคนหนึ่งจึงพูดกับเจ้าของเกาทัณฑ์ว่า

“…….พี่ข้าพเจ้าน้าวเกาทัณฑ์ขึ้นถึงที่ได้แล้ว ท่านจะว่าประการใด……”

คนขายตอบว่า

“……..เราเป็นชายชาติทหาร ได้ออกวาจาแล้วไม่กลับคืน ท่านจงเลือกเอาเกาทัณฑ์ไปเป็นบำเหน็จมือคันหนึ่ง ตามใจชอบเถิด……”

เพื่อนก็ถามว่า

“…….เกาทัณฑ์ที่หักไปคันหนึ่งนั้น เป็นราคาสักเท่าใด ข้าพเจ้าจะคิดราคาให้…”

เจ้าของบอกว่าเกาทัณฑ์ของตนไม่ดีจึงหัก หาคิดราคาไม่ เตียคังเอี๋ยนก็เลือกเอาเกาทัณฑ์คันหนึ่ง แล้วก็พาพวกเพื่อนออกเดินไปที่ตลาด เข้าโรงขายสุรา ส่วนคนขายเกาทัณฑ์ติดใจฝีมืออยากจะเป็นมิตรสหายกับเตียคังเอี๋ยน จึงเก็บเกาทัณฑ์ที่ขายเข้าไว้ในร้าน แล้วรีบเดินตามไปจนถึงโรงสุรา ก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับ เตียคังเอี๋ยนรีบลุกขึ้นคำนับตอบแล้วถามชื่อแซ่ ชายนั้นก็บอกว่า

“…….ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองเตจิว แซ่แต้ชื่ออึน ข้าพเจ้ารักในการอาวุธต่าง ๆ จึงได้มาเป็นผู้ขายเกาทัณฑ์อยู่ที่ถนนนี้ เห็นท่านน้าวเกาทัณฑ์ของข้าพเจ้าขึ้นได้ ด้วยกำลังอันคล่องแคล่ว จึงมีจิตคิดรักใคร่ หมายจะให้คุ้นเคยฝากตัวเป็นพวกพ้องให้ท่านใช้…..”

เตียคังเอี๋ยนก็ยินดีจึงชี้บอกแต้อึนว่า

“……..พวกที่นั่งอยู่นี้ ล้วนแต่เป็นเพื่อนฝูงกันทั้งนั้น ตัวท่านยอมเป็นมิตรสหายกับเราแล้ว จงรู้จักให้ชอบกับคนเหล่านี้ไว้ด้วยเถิด…….”

แต้อึนก็คำนับถามชื่อและแซ่ทุก ๆ คนแล้วจึงพูดว่า

“……..ที่โรงสุรานี้เป็นโรงเล็กน้อย หาสมควรท่านทั้งปวงจะนั่งกินโต๊ะสนทนากันไม่ ข้าพเจ้าขอเชิญท่านไปที่ตึกเทียนเข่งเหลา ตึกนั้นเป็นสามชั้นกว้างขวางงดงามดี ท่านทั้งปวงจะได้นั่งสนทนาเสพสุราให้สบาย……..”

เตียคังเอี๋ยนกับเพื่อน ก็ให้แต้อึนนำไปที่ตึกเทียนเข่งเหลา แต้อึนจึงสั่งให้เจ้าของตึก เอาเครื่องโต๊ะสุราอาหารขึ้นไปตั้งบนชั้นสูง เตียคังเอี๋ยนเสพสุราเมาแล้ว ก็พูดว่า

“…….ต่อไปภายหน้า ถ้าเรามีวาสนาใหญ่กว่าคนทั้งปวงแล้ว ก็คงจะได้เลี้ยงโต๊ะกัน ให้เป็นที่สุขสำราญดังนี้อีก……”

เพื่อนคนหนึ่งก็สนับสนุนว่า พวกตนทั้งปวงเห็นเตียคังเอี๋ยน เป็นคนมีสติปัญญาดี ฝีมือเข้มแข็ง ใจก็อารีรักเพื่อนฝูง คงจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแน่ ขณะนั้นก็มีคนที่นั่งเสพสุราใกล้เคียง เข้ามาฝากตัวเป็นเพื่อนอีก ครั้นเลิกกินแล้ว ก็แยกย้ายกันกลับบ้านไป

ครั้นอยู่มาอีกหกเจ็ดวัน เตียคังเอี๋ยนคิดถึงพวกเพื่อน ที่เคยเที่ยวเล่นกินโต๊ะด้วยกันจึงหนีบิดาออกทางระตูหลังบ้าน เดินไปตามถนนจนถึงตลาดก็พบกับเพื่อนสามคน คือเตียกวางเอี๋ยน ฬอเอียนอุย และ แต้อึน ต่างก็ยินดีคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว แต้อึนก็บอกว่า

“………ข้าพเจ้าไม่ได้พบท่านหลายเวลาแล้ว มีใจระลึกถึงนัก ข้าพเจ้าอยากจะชวนท่านไปเที่ยวริมพระราชวัง ด้วยมีตึกสอนมโหรีอยู่ตึกหนึ่ง นางผู้เป็นครูนั้นชื่อ นางฮันซูบ๋วย รูปงามเสียงขับร้องก็เพราะ……..”

เตียคังเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ยินดี พาเพื่อนสามคนไปที่ตึกนั้น แต้อึนก็เข้าไปหานางฮันซูบ๋วย บอกว่าเตียคังเอี๋ยนบุตรเตียห้องอึนมาหา ขอให้ออกไปต้อนรับตามสมควร นางก็ออกมาเชิญเตียคังเอี๋ยนเข้าไปในตึก จัดที่ให้นั่งแล้วก็ถามว่ามีธุระสิ่งใดหรือจึงได้มาถึงนี่ เตียคังเอี๋ยนก็บอกว่า

“……..เราได้ยินเขาเล่าลือว่า ท่านขับร้องเพราะนักอยากจะใคร่ฟัง ให้เป็นที่สบายสักเวลาหนึ่ง…….”

นางฮันซูบ๋วยจึงว่า

“……..การซึ่งขับร้องนั้น ข้าพเจ้าก็รู้อยู่บ้าง แต่ไม่สู้ดีจริงเหมือนคำเขาเล่าลือ เมื่อท่านอยากจะฟังแล้ว ก็พอจะขับร้องให้ท่านฟังได้บ้าง……”

นางฮันซูบ๋วยจึงสั่งให้คนใช้ ยกโต๊ะมาตั้งเลี้ยงเตียคังเอี๋ยนกับเพื่อนทั้งสี่คน แล้วนางฮันซูบ๋วยก็ร้องเพลงขับระบายความในใจออกมา เป็นเนื้อความว่า

มีหญิงคนหนึ่งเป็นกำพร้าอนาถา บิดามารดาก็ถึงแก่กรรมเสียแต่ยังเป็นทารก หญิงนั้นครั้นเจริญวัยขึ้น ก็อุตส่าห์รักษาตัวมิให้มัวหมอง เรียนวิชาสตรีดีได้ทุกสิ่ง ครั้นอยู่มาเจ้าเมืองนำถังเก็บเอาไปเป็นคนขับร้อง และคิดว่าหญิงนั้นควรจะขับร้องถวายฮ่องเต้ทรงฟังได้ จึงพาเอาหญิงนั้นมาถวายพระเจ้าเคียนอิ๋ว แต่ฮ่องเต้ก็หาโปรดในการขับร้องไม่ ให้ออกมาอยู่นอกพระราชวัง ซึ่งเป็นดังนี้ก็เพราะหาวาสนาไม่

เตียคังเอี๋ยนได้ฟังเพลงแล้วก็นึกว่า ตนได้ฟังเพลงขับร้องมาหนักหนา ไม่ไพเราะ จับใจเหมือนนางคนนี้เลย ซึ่งนางฮันซูบ๋วยขับร้องครั้งนี้ ก็คงเป็นความทุกข์ร้อนของนางเอง คิดดังนี้แล้วจึงถามว่า

“…….ตั้งแต่เจ้าเมืองนำถัง เอาตัวมาถวายพระเจ้าเคียนอิ๋วนั้น เจ้าได้เข้าไปปฏิบัติรับใช้สอยบ้างหรือไม่……”

นางก็บอกว่าตั้งแต่เจ้าเมืองเอามาถวาย ให้ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็รับสั่งให้ออกมาอยู่ที่นี้ หาได้เอาไปใช้สอยไม่ เตียคังเอี๋ยนก็นิ่งอยู่มิว่าประการใด แต้อึนจึงบอกกับนางฮันซูบ๋วยว่า เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว จงไปจัดที่นอนให้เตียคังเอี๋ยน นอนอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่ง นางจึงไปจัดห้องเสร็จแล้วก็เชิญเตียคังเอี๋ยนเข้าไปนอน และตัวนางเองก็ออกมาอาบน้ำชำระร่างกาย ผลัดเสื้อกางเกงใหม่ แล้วเข้าไปในห้องที่เตียคังเอี๋ยนนอนหลับอยู่ แลเห็นเป็นรัศมีสว่างมีกลิ่นอันหอมฟุ้งไปทั้งห้อง นางก็คุกเข่าลงคำนับ เตียคังเอี๋ยนตกใจตื่นขึ้นแลเห็นนางฮันซูบ๋วยคุกเข่าคำนับอยู่ จึงถามว่าเหตุใดจึงมาคำนับเราดังนี้ นางก็เล่าความซึ่งเห็นเป็นอัศจรรย์ ให้ฟังทุกประการและว่า ต่อไปภายหน้าท่านมีบุญวาสนาใหญ่ขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจะขอพึ่งท่าน

เตียคังเอี๋ยนจึงบอกว่า นางได้มีบุญคุณแก่ตนทั้งให้กิน และที่อยู่หลับนอน ตนหาลืมคุณนางไม่ แต่ต่อไปภายหน้าจะเป็นประการใด ก็ไม่สามารจะทราบได้.

#########




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 6:15:22 น.
Counter : 646 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๐ ผลัดแผ่นดิน

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

ฮ่องเต้ห้าแผ่นดิน

ตอนที่ ๑๐ ผลัดแผ่นดิน

“ เล่าเซี่ยงชุน “

พระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ได้ปกครองแผ่นดิน ด้วยความยุติธรรม ปราศจากความโลภ มีเมตตากรุณาแก่ราษฎร บ้านเมืองก็เป็นสุขสมบูรณ์มาได้สามปี ก็ทรงประชวรโบราณโรค ไทอุยหมอหลวงถวายพระโอสถ พระโรคก็มีแต่ประทังกับทรุดหนักลงไป จึงมีรับสั่งให้มีหนังสือบอกอาการไปถึงช่าจินอ๋องที่เมืองเงียบโต๋ ให้รีบเข้ามาเฝ้าที่เมืองหลวงโดยเร็ว

เมื่อมาถึงแล้วก็เข้าเฝ้าถึงที่บรรทม
พระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ก็ตรัสว่า

“…….โรคเราเจ็บครั้งนี้เห็นจะไม่หายแล้ว เดิมเมื่อเรายังเป็นทหารอยู่นั้น ได้ไปเที่ยวรบข้าศึกข้างฝ่ายทิศตะวันตก เห็นที่ฝังศพพระมหากษัตริย์ครั้งแผ่นดินไต้ถัง ฝังเรียงกันอยู่เป็นลำดับถึงสิบแปดศพ มีรอยขุดทุก ๆ ศพ ดินและศิลาที่ศพนั้นเกลื่อนเฟื่อนเป็นกอง ๆ ไป หาเรียบร้อยเหมือนศพราษฎรไม่ เราคิดสังเวชใจนัก ด้วยคนที่ขุดศพนั้นก็ปรารถนาจะหาเงินทองสิ่งของที่ฝังไว้กับศพนั้น ด้วยศพพระมหากษัตริย์นั้นจะตกแต่งประกอบยศด้วยของดี ๆ จึงเป็นอันตรายแก่ซากศพต่าง ๆ เราเห็นหาต้องการไม่……..”

แล้วฮ่องเต้ก็ทรงสั่งเสียโดยละเอียดต่อไปว่า ถ้าพระองค์ดับสูญแล้ว จะทำการฝังศพอย่าได้เอาของดีมีค่ามาตกแต่งเลย เอาแต่ของเล็กน้อยซึ่งไม่มีราคาทำด้วยกระดาษเถิด รูปสัตว์ทำด้วยศิลาตั้งไว้ริมกำแพง ที่ฝังศพกษัตริย์แต่ก่อน ๆ นั้น ก็ทำแต่เป็นรูปปั้นด้วยปูน กำแพงนั้นก็ให้ก่อด้วยอิฐ แต่ป้ายนั้นจะทำด้วยศิลาก็ตามใจ

คนใช้ซึ่งจะแต่งการฝังศพนั้น ก็ให้แจกจ่ายเงินทองเป็นค่าจ้าง อย่าเอาเขามาใช้ประกอบยศเปล่า ๆ ให้เสียเวลาป่วยการทำมาหากิน คนซึ่งจะเฝ้าศพนั้นก็ให้คิดเงินเดือนจ้างพอสมควร ด้วยเห็นว่าตายแล้วก็เป็นการสูญ ร่างกายก็เป็นเครื่องเน่าเปื่อยถมแผ่นดิน หาต้องการที่จะเอามาเป็นธุระด้วยซากศพซากผีไม่

ถ้าหากคิดกตัญญูต่อพระองค์แล้ว จงเอาใจใส่ในราชการ ตัดเสียซึ่งความโลภ และหลงเพลิดเพลินไปด้วยการบำรุงบำเรอต่าง ๆ พระองค์ใดได้เป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น ก็ตั้งใจเลือกสรรประพฤติแต่ที่ดี ให้เป็นประโยชน์ความสุข แก่ไพร่บ้านพลเมืองพ่อค้าวานิชทั่วไป มิได้มีความเบียดเบียนประโยชน์ท่านผู้อื่น มาประกอบยศ

และการโลภอันเหลือประมาณ ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยและราษฎรได้ความร้อนใจ เพราะความมิได้ชอบธรรมแต่เหตุสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น ไม่มีแก่พระองค์เลย ถ้าจะประพฤติการต่อไปข้างหน้าให้เหมือนกับพระองค์เถิด ความสุขความเจริญก็คงจะมีแก่ตน

ถ้าละเมิดถ้อยคำซึ่งพระองค์สั่งนี้เสีย แต่ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว เทพยดาฟ้าและดิน ก็คงจะบันดาลให้เป็นอันตรายแก่ตนด้วยภัยต่าง ๆ

รับสั่งข้อความเสร็จแล้วจึงประชุมขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาพร้อมกัน ตั้งช่าจินอ๋องเป็นที่ไทจือสำหรับจะได้ครองราชสมบัติต่อไป ครั้นอยู่มาประมาณเจ็ดวันพระโรคกำเริบก็สิ้นพระชนม์ พระชนมายุหกสิบปี

ไทจือช่าจินอ๋องจึงให้เจ้าพนักงานเชิญพระศพพระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ ใส่หีบไม้หอมตั้งสถิตไว้ในพระที่นั่งตามสมควร ถึงวันฤกษ์ดีก็เชิญให้ไทจือขึ้นครองราชสมบัติ ถวายพระนามว่า พระเจ้าสีจงฮ่องเต้

ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชดำริว่า ขุนนางที่เป็นข้าหลวงเดิมของพระเจ้าไทโจ๊เกาเต้นั้น ก็เป็นแต่ขุนนางนายทหาร หาใคร่จะรู้จักการพลเรือน ซึ่งจะตัดสินข้อคดีของราษฎรไม่ ถ้าจะยกขึ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ สำเร็จราชการกฎหมายอย่างธรรมเนียมแผ่นดิน ก็กลัวจะฟั่นเฟือนไป

จึงเห็นว่าปังเต๋านั้น ได้เป็นขุนนางแต่ครั้งพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ และไว้ตัวเป็นกลาง ๆ เป็นขุนนางสำหรับแผ่นดิน ไม่ประจบประแจงต่อผู้ใด จึงได้รักษาตัวตลอดมาได้ บัดนี้ก็มีอายุแก่มากแล้ว จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการแผ่นดิน

และตั้งนางโงวสีพระราชมารดาเป็นที่ฮองไทเฮา ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยให้รับราชการอยู่ตามตำแหน่งเดิม

เมื่อจัดแจงตั้งแต่งผู้มียศบรรดาศักดิ์เสร็จแล้ว ก็จัดการฝังพระศพพระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ ตามซึ่งทรงตรัสสั่งไว้ทุกประการ

ฝ่ายเล่าฉองซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ของพระเจ้าเคียนอิ๋วหรือพระเจ้าเกาเต้ หรือชื่อเดิมเล่าตี๋เอียน ซึ่งเป็นเจ้าเมืองจิ้นเอี๋ยง ครั้งก๊วยอุยได้ราชสมบัติเป็นพระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ ยังเกรงกลัวบารมีอยู่จึงอ่อนน้อมเป็นปกติ ครั้นแจ้งว่าพระเจ้าไทโจ๊เกาเต้สิ้นพระขนม์ดับสูญแล้ว ขุนนางยกช่าจินอ๋องพระราชบุตรเลี้ยง ขึ้นเป็นพระเจ้าสีจงฮ่องเต้ ก็คิดกำเริบแข็งเมืองขึ้น

ยกตัวเป็นปักฮั่นอ๋อง ส้องสุมทแกล้วทหารฝึกหัดไว้เป็นอันมาก คิดจะยกกองทัพมาตีเมืองเปียนเหลียง ชิงเอาราชสมบัติ แต่กลัวว่าตัวความคิดเดียว จะทำการไม่สำเร็จ จึงมีหนังสือไปถึงเคียดตันเจ้าเมืองไต้เหลียวให้ยกกองทัพมาช่วย ถ้าสำเร็จแล้วประสงค์สิ่งใด ก็จะให้ทุกประการ

เคียดตันได้รับหนังสืออ่านทราบความแล้ว ก็ปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่ว่า

“……..แต่ก่อนแผ่นดินไต้จิ้น ก็อยู่ในทำนุบำรุงเรา เสียส่วยบรรณาการให้ทุกปี ตั้งแต่เล่าตี๋เอียนได้เป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นแล้ว ก็ขาดส่วยบรรณาการมา บัดนี้เล่าฉองหลานเล่าตี๋เอียนมาขอกองทัพ จะยกไปตีเมืองเปียนเหลียง จำเราจะให้กองทัพไป ถ้าสำเร็จการ ส่วยและบรรณาการประโยชน์ของเรา ก็จะได้คืนมาตามเดิม……..”

แล้วเคียดตันก็จัดกองทัพพลหมื่นหนึ่ง ส่งไปให้เล่าฉองที่เมืองจิ้นเอี๋ยงตามที่ขอไป เล่าฉองก็ยกกองทัพมีพลสี่หมื่น ออกจากเมืองจิ้นเอี๋ยงจะไปตีเมืองเปียนเหลียง

เมื่อพระเจ้าสีจงฮ่องเต้ทรงทราบข่าวจากใบบอกของหัวเมือง ก็รับสั่งให้ประชุมขุนนางพร้อมกัน แล้วตรัสปรึกษาว่า

“……..เล่าฉองเป็นกบฏยกกองทัพมาครั้งนี้ ก็เพราะมีความหมิ่นประมาท ว่าเราไม่มีอำนาจในการศึกสงคราม เราจะต้องยกกองทัพออกไปปราบปรามเองจึงจะได้……”

ปังเต๋าจึงกราบทูลว่า

“…….แต่ก่อน ๆ มานั้น พระเจ้าแผ่นดินเสด็จยกกองทัพสู้รบกับข้าศึกแล้ว หัวเมืองทั้งปวงรู้ก็ต้องยกกองทัพมาช่วย ครั้งนี้พระองค์ได้ราชสมบัติใหม่ หัวเมืองเหล่านั้นก็ยังไม่รู้พระทัยของพระองค์ จะดีร้ายประการใด เห็นจะหายกมาช่วยตามธรรมเนียมไม่ ขอให้แต่นายทหารคุมกองทัพออกไปสู้รบ ดูกำลังข้าศึกก่อนเถิด……..”

พระเจ้าสีจงฮ่องเต้ก็ยืนยันที่จะยกกองทัพไปด้วยพระองค์เอง แล้วมีรับสั่งจัดกองทัพ พร้อมสรรพไปด้วยเครื่องศาตราวุธ เสบียงอาหารแล้ว ได้วันฤกษ์ดีก็เสด็จยกกองทัพออกจากเมืองหลวงไป พร้อมด้วยเตียคังเอี๋ยนพระสหายเก่า ซึ่งเป็นนายทหารรักษาพระองค์

ในการรบเพียงครั้งแรกที่ด่านเกาเพ่งกวน ใกล้เมืองเจ๊กจิว กองทัพเมืองหลวงก็ตีกองทัพพวกกบฏแตกพ่ายไปสิ้น

เมื่อพระเจ้าสีจงฮ่องเต้ได้ชัยชนะแก่ข้าศึกแล้ว ก็เลิกทัพกลับเข้าเมืองหลวง พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่นายทัพนายกองตามสมควร

เตียคังเอี๋ยนได้เลื่อนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ทรงรักใคร่เชื่อถือยิ่งกว่าขุนนางทั้งปวง

ตั้งแต่นั้นมาบ้านเมืองก็เรียบร้อย ไม่มีศึกสงครามเป็นปกติมาอีกห้าปี

พอขึ้นปีที่หกก็มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่าง พระเจ้าสีจงฮ่องเต้ทรงพระวิตกจนประชวรลง หมอหลวงถวายพระโอสถ ก็เป็นแต่ประทังมาหลายเดือน พระโรคกำเริบมากขึ้น ทรงเห็นว่าจะไม่หายแล้ว จึงรับสั่งให้หงุยยินหู ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน และเตียคังเอี๋ยนขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร เข้าไปเฝ้าในที่บรรทมแล้วตรัสว่า

“……..เดิมพระเจ้าไทโจ๊เกาเต้จะได้ราชสมบัตินั้น ก็เพราะพระเจ้าอึนเต้คิดทำอันตรายล้างผลาญเสีย จึงได้คิดเป็นการรักษาชีวิต พระเจ้าอึนเต้เป็นคนสิ้นวาสนา ก็แพ้บุญบารมีเป็นอันตรายไป พระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ครองราชสมบัติทำนุบำรุงมาโดยยุติธรรม จนสิ้นพระชนม์ พระญาติวงศ์ซึ่งจะรับครองราชสมบัติต่อไปนั้น ไม่มีตัว ด้วยพระเจ้าอึนเต้ให้ฆ่าเสียสิ้นแล้ว จึงให้เราผู้บุตรเลี้ยงมิได้ร่วมเชื้อวงศ์ ครอบครองราชสมบัติสืบมา ตัวเราก็อุตส่าห์ตั้งใจระวังรักษาบ้านเมือง ทำนุบำรุงท่านทั้งหลาย และราษฎรให้มีสุขต่อมา สู้ระงับอดใจไม่ส่งไปตามความลุ่มหลง ด้วยยศสมบัติและการส้องเสพบำรุงบำเรอ ด้วยเสียงขับร้องต่าง ๆ ท่านทั้งปวงก็ย่อมรู้ย่อมเห็นอยู่แล้ว บัดนี้อาการเราป่วยหนัก เหตุการณ์ภายนอกก็เกิดประกอบพร้อม เห็นจะต้องลาจากท่านแล้ว การซึ่งจะทำนุบำรุงแผ่นดินนั้นเป็นการสำคัญ ท่านจงปรึกษาหารือกัน ควรยกผู้ใดขึ้นครองแผ่นดิน ก็สุดแต่เห็นพร้อมกันเถิด บุตรชายของเราอายุก็ได้เจ็ดขวบยังเด็กนัก ที่จะหวังเอาให้ครอบครองแผ่นดินสืบเชื้อวงศ์ไปตามลำดับ เหมือนกษัตริย์แต่ก่อน ๆ นั้น เราไม่ปลงใจลงได้…….”

ตรัสดังนั้นแล้วก็นิ่งไป มิได้ตรัสสิ่งใดต่อไปอีก หงุยยยินหูกับเตียคังเอี๋ยนก็ถวายบังคมลาออกมา พอเวลาค่ำพระเจ้าสีจงฮ่องเต้ก็สิ้นพระชนม์

ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองก็ให้เจ้าพนักงานเชิญพระศพใส่หีบ แห่ออกไปฝังไว้ตามธรรมเนียมพระมหากษัตริย์ เสร็จแล้วจึงเชิญชาจงหุน พระราชโอรสพระเจ้าสีจงฮ่องเต้ พระชนมายุเจ็ดขวบขึ้นเป็นกษัตริย์ ถวายพระนามว่า พระเจ้าตรองเต้

ราชการบ้านเมืองสิ่งใดก็สำเร็จเด็ดขาด อยู่กับเตียคังเอี๋ยน หงุยยินหูและฮวมเจียด ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสาม

ขณะนั้นมีหนังสือบอกแต่หัวเมืองเข้ามาว่า เล่ากึนเจ้าเมืองฮ่อตงตั้งแข็งเมืองเป็นกบฏ ส้องสุมผู้คนเตรียมเครื่องศาตราวุธไว้เป็นอันมาก จะยกมาตีเมืองหลวง ขุนนางผู้ใหญ่ปรึกษากันแล้วจะให้เตียคังเอี๋ยนเป็นแม่ทัพยกออกไปปราบปราม

ขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนจึงพร้อมกันว่าในที่ประชุมว่า

“………ซึ่งเล่ากึนคิดกบฏทั้งนี้ ก็เพราะรู้ว่ากษัตริย์ในเมืองหลวงเป็นเด็ก จึงได้มีความหมิ่นประมาทคิดกำเริบ ข้าพเจ้าทั้งปวงพร้อมใจกันจะขอยกเตียคังเอี๋ยน ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ ระงับกิจทุกข์ร้อนของราษฎร บ้านเมืองจึงจะมีความสุข…..”

หงุยยินหูกับฮวมเจียดได้ยินขุนนางพูดพร้อมใจกันแล้ว ก็ถอยตัวลดลงมาคำนับเตียคังเอี๋ยน

ฝ่ายเตียคังเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ตกใจยิ่งนักจึงว่า

“………เหตุการณ์อย่างไรท่านทั้งปวงจึงมาคิดดังนี้ พระเจ้าตรองเต้ยังอยู่ทั้งพระองค์ จะให้เราเป็นคนอกตัญญูไปหรือ…….”

ขุนนางผู่ใหญ่ทั้งสองจึงว่า

“…….ข้าพเจ้าทั้งหลาย ถือรับสั่งของพระเจ้าสีจงฮ่องเต้ รับสั่งไว้ว่า การซึ่งจะรักษาแผ่นดินนั้นสุดแต่จะเห็นพร้อมกัน ก็บัดนี้ขุนนางทั้งปวงพร้อมใจกันจะยกท่าน ขึ้นเป็นผู้ครอบครองแผ่นดินแล้ว ท่านอย่าได้ขัดขืนเลย จงยอมตามรับสั่งพระเจ้าสีจงฮ่องเต้เถิด……”

เตียคังเอี๋ยนได้ฟังก็นิ่งอั้นตริตรองอยู่ ขุนนางทั้งปวงก็พร้อมกันลุกขึ้นกระทำคำนับถวายบังคม เตียคังเอี๋ยนเห็นว่าจะขัดขืนไม่ได้แล้ว จึงต้องยอมรับแล้วว่า

“……..พระเจ้าตรองเต้นั้น เราได้ยกย่องแต่งตั้งขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว ท่านทั้งปวงอย่าได้มีความดูถูกดูหมิ่น ว่าเป็นเจ้ารุนายถอด จงนับถือให้เสมอเหมือนอยู่ดังแต่ก่อน…..”

ขุนนางเหล่านั้นเห็นเตียคังเอี๋ยนยอมแล้ว ก็จัดพิธีราชาภิเษกเชิญให้ทรงเครื่องกษัตริย์ ขึ้นสถิตบนพระที่นั่งชองง่วนเต้ย ถวายตราหยกสำหรับแผ่นดิน แล้วก็กราบถวายบังคมพร้อมกัน ตามอย่างพระมหากษัตริย์ได้ครองราชสมบัติใหม่ ถวายพระนามว่า พระเจ้าไทโจ๊ฮ่องเต้

แล้วฮ่องเต้ก็ลดพระเจ้าตรองเต้ลงเป็นอ๋อง ทรงเลี้ยงทำนุบำรุงไว้ในพระราชวัง และให้เปลี่ยนเรียกนามแผ่นดินว่า แผ่นดินซ้อง เริ่มศักราชใหม่

การครั้งนั้นบ้านเมืองก็มีความสุขสบาย ปราศจากภัยอันตราย หัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงก็ยอมสามิภักดิ์ รวมทั้งเมืองฮ่อตงด้วย

ฟ้าฝนก็ตกตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ราษฎรมีความสุขทั่วพระราชอาณาจักร.

แผ่นดินจีนในสมัยนั้น

ตั้งแต่พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ เป็นราชวงศ์ถัง
พระเจ้าเกาโจ๊ เป็นราชวงศ์จิ้น
พระเจ้าเคียนอิ๋วหรือพระเจ้าเกาเต้ เป็นราชวงศ์ฮั่น
พระเจ้าไทโจ๊เกาเต้ เป็นราชวงศ์จิว
พระเจ้าไทโจ๊ฮ่องเต้ เป็นราชวงศ์ซ้อง

ตั้งแต่ พ.ศ.๑๔๖๖ ถึง พ.ศ.๑๕๐๓
นับเป็นเวลาไม่ถึงสี่สิบปี ได้มีฮ่องเต้ผลัดเปลี่ยนกัน
ครองแผ่นดินถึงห้าราชวงค์

แผ่นดินซ้องเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.๑๕๐๓ ซึ่งจะมีเรื่องราวยืดยาวต่อไป
ส่วนเรื่องราวที่เอามาเรียบเรียงเป็นนิยายเรื่อง ฮ่องเต้ห้าแผ่นดิน นั้น
ต้องขอสิ้นสุดยุติลงแต่เพียงนี้

################




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2550    
Last Update : 29 กันยายน 2550 19:44:42 น.
Counter : 494 Pageviews.  

1  2  3  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.