Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๓๐ คนดีเป็นหลักของบ้านเมือง

คนตรงแห่งไฮหนำ

ตอนที่ ๓๐ คนดีเป็นหลักของบ้านเมือง

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่ายเงียมซงตั้งแต่พระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ได้ครองราชสมบัติ ก็ตรึกตรองว่าฮ่องเต้องค์นี้ แต่ก่อนก็เป็นศัตรูกัน ครั้นจะอยู่ในราชการก็เกรงจะถูกจับผิด หรือไม่เช่นนั้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็เหมือนผู้น้อย ใครจะนับถือยำเกรงเหมือนแต่ก่อน ก็มีแต่จะลับไปทุกวัน จึงเข้าเฝ้ากราบทูลขอลาออกจากราชการ ไปอยู่บ้านเดิม ฮ่องเต้จึงตรัสว่า

“………ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเป็นผู้ใหญ่ดูแลในราชการบ้านเมือง ตัวท่านเป็นขุนนางได้รับราชการมาตั้งแต่ครั้งพระราชบิดา จนสิ้นสวรรคต ซึ่งท่านจะลาออกนอกราชการนั้นไม่ได้ แม้นท่านออกนอกราชการแล้ว เหมือนท่านไม่มีความรักใคร่ในเรา จงคิดถึงคุณพระราชบิดาของเราให้ตลอดเถิด……….”

ฮ่องเต้มีรับสั่งเช่นนั้น ด้วยมีพระประสงค์จะเอาใจเงียมซงไว้ มิให้คิดร้ายต่อพระองค์ และระวังไว้จะได้กำจัดโดยง่าย แต่เงียมซงสำคัญว่าฮ่องเต้ไม่มีความอาฆาต ก็รับราชการเป็นใจเสี่ยงอยู่ตามเดิม

ฝ่ายผู้ถือพระอักษรเมื่อไปถึงเมืองน่ำเกีย ก็เชิญพระอักษรไปให้ไฮ้สุย ครั้นถวายบังคมรับพระอักษรแล้ว ไฮ้สุยก็เปิดผนึกออกดู พระอักษรนั้นมีความว่า

“……..ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่าท่านป่วย ข้าพเจ้ามีความวิตกถึงท่านมากนัก ทุกวันนี้ในเมืองหลวงก็ยังไม่เรียบร้อยเป็นปกติ ด้วยพวกกังฉินยังมีอยู่เป็นอันมาก เกรงจะคิดขบถ ถ้าท่านหายป่วยแล้ว เชิญเข้ามาในเมืองหลวง ช่วยคิดอ่านจัดการให้เรียบร้อยด้วยเถิด ท่านได้อุปถัมภ์ข้าพเจ้ามาแต่เล็กจนได้ครองราชสมบัติ จงสงเคราะห์ให้ตลอด…….”

ไฮ้สุยตรึกตรองแล้วเห็นว่า หนังสือที่ทำฝากซือเตียนไว้นั้น ป่านนี้ขุนนางตงฉินคงจะรู้ความทั่วกันแล้ว จึงแต่งหนังสือถวายฮ่องเต้องค์ใหม่ มีความว่า

“…….ซึ่งพระองค์ได้ครองราชสมบัติแล้ว อย่าทรงพระวิตกเลย ธรรมดาเป็นพระเจ้าแผ่นดินถ้าตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว คนที่เป็นตงฉินก็พากันเข้ามารับราชการให้ใช้สอย บ้านเมืองก็จะเรียบร้อย แม้พระเจ้าแผ่นดินไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม คนที่เป็นตงฉินก็หลีกเลี่ยงไป พวกกังฉินก็กำเริบ รีบเข้ารับราชการให้ใช้สอย อีกอย่างหนึ่งถึงพระเจ้าแผ่นดินเป็นธรรม แต่พระทัยชอบฟังคนสอพลอ กับไม่ประกอบไปด้วยปัญญา ที่จะพิจารณาสอดส่องให้รู้ไปในนิสัยแห่งคนพาล คิดด้วยอุบายถ่ายเทเล่ห์กลต่าง ๆ มิได้รู้ถึง อย่างนี้ก็เป็นช่องทางของคนกังฉินจะเข้ามา……………

………………….ทราบว่าพระองค์ทรงตั้งอยู่ในยุติธรรม ข้าพเจ้ามีความยินดียิ่งนัก แต่พระองค์พึ่งได้ราชสมบัติใหม่ คนดีและคนร้ายยังระคนปนกันอยู่มาก ถ้าวันใดเจ้าและขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่ เข้ามาเฝ้าพร้อมกัน พระองค์จงรับสั่งว่า ท่านทั้งหลายมีความกตัญญูต่อแผ่นดิน และจงรักภักดีในตัวเราแล้ว เห็นว่าผู้ใดเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ก็ให้ช่วยกำจัดเสีย อย่าให้มีอยู่ในแผ่นดินได้ ถ้าพระองค์ตรัสดังนี้ ก็คงจะได้ทราบว่าคนกังฉินและคนตงฉินมีเท่าไร บ้านเมืองจะได้เป็นสุข………..”

ฝ่ายพระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้เมื่อได้รับหนังสือของไฮ้สุย ทอดพระเนตรสิ้นข้อความแล้ว จึงเอาหนังสือนั้นถวายฮองไทเฮาทอดพระเนตร ฮองไทเฮาก็ทรงแนะนำให้พระราชโอรสตรัสตามที่ไฮ้สุยแนะนำ ด้วยเป็นคำกลางไม่เฉพาะชื่อผู้ใด ถ้าจะว่าไปก็เป็นธรรมเนียมของพระเจ้าแผ่นดิน โดยพวกกังฉินจะได้ยินคำที่พูดจะโกรธก็ไม่ได้ แล้วก็จะไม่คิดระแวงสงสัย พระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ก็ทรงเห็นด้วย

ฝ่ายเจ้านายและขุนนางที่เป็นตงฉินนั้น ครั้น พระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ ได้ครองราชสมบัติเรียบร้อยแล้ว จึงพากันไปหา ซือเตียน ที่บ้านและขอดูหนังสือที่ ไฮ้สุย มอบไว้ให้ก่อนที่จะไปเป็นเจ้าเมืองน่ำเกีย ซือเตียนจึงเอาหนังสือนั้นมาเปิดผนึกให้ขุนนางทั้งปวงดู มีความว่า

ข้าพเจ้าไฮ้สุย ขอบอกความให้ท่านทั้งปวง ซึ่งมีความกตัญญูต่อแผ่นดินทราบ ด้วยข้าพเจ้าจะออกไปอยู่รักษาเมืองน่ำเกียนั้น จะได้กลับมาเมื่อไรก็มิได้แจ้ง สืบไปวันหน้าถ้าพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ สวรรคตแล้ว ราชสมบัติคงจะได้แก่ฮองไทจือ ท่านจงกะเตรียมการไว้อย่าให้ผู้ใดรู้ แม้นฮองไทจือตรัสแก่ท่านทั้งปวงว่า ให้ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดิน กำจัดพวกกังฉินเสีย ท่านทั้งปวงจงจับ เงียมซง เตียจีเป๊ก เตียบุนหอ เงียมซือพวน กับพวกพ้องบุตรภรรยาจำไว้ แล้วมีหนังสือประกาศแก่ข้าราชการและราษฎร ทั้งนอกเมืองในเมืองให้รู้ทั่วกันว่า เงียมซงและพวกพ้องเงียมซง มีความผิดเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินใหญ่โตนัก แม้นผู้ใดนับถือรักใคร่เงียมซงและพวกพ้องเงียมซง จงพากันมาขอโทษเถิดมิได้ห้ามปราม เมื่อเห็นการควรจะยกให้

ประกาศไว้สามวัน ถ้าเห็นว่าไม่มีใครมาขอโทษแล้ว จงมีหนังสือประกาศไปใหม่อีกฉบับหนึ่งว่า เงียมซงและพวกพ้องเงียมซง ข่มเหงและเบียดเบียนผู้ใดให้ได้ความเดือดร้อน ก็ให้ผู้นั้นมาทำแก่เงียมซงและพวกพ้องเงียมซง ให้สมกับที่มีความเจ็บแค้น เรามิได้ห้ามปราม ครบสามวันจึงฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงจงทำตามหนังสือนี้เถิด

เมื่อเจ้านายและขุนนางได้อ่านดูรู้ความแล้ว จึงปรึกษากันว่า พวกเราทั้งปวงแต่บรรดาที่มาพร้อมหน้ากันวันนี้ จงตั้งสัตย์กตัญญูต่อแผ่นดิน และรักษายุติธรรมอย่างเดียว อย่าได้มีความประมาท ต้องเตรียมการคอยคุมเชิงไว้ แม้นพระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้รับสั่งออกมาเหมือนหนังสือไฮ้สุยเวลาไร จงแยกกันจับพวกกังฉินให้หมด ครั้นปรึกษานัดหมายกันแล้ว ต่างก็กลับไปบ้าน และคอยทีอยู่

วันหนึ่งหลังจากที่พระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ ได้รับหนังสือจากไฮ้สุยแล้ว เสด็จออกว่าราชการ เมื่อเจ้านายและขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่มาเฝ้าพร้อมกันแล้ว ก็มีรับสั่งว่าท่านทั้งปวงที่เห็นแก่การแผ่นดิน และมีความจงรักภักดีในเราแล้ว แม้นเห็นว่าผู้ใดเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน จงช่วยกันกำจัดเสีย อย่าให้มีขึ้นในแผ่นดินต่อไปเป็นอันขาด

ทั้งเจ้าและขุนนางซึ่งเตรียมการไว้ พอได้ฟังรับสั่งต่างคนก็ช่วยกันจับ เงียมซง เตียจีเป๊ก เตียบุนหอ เงียมซือพวน และขุนนางซึ่งเป็นพวกพ้องของเงียมซง ต่อหน้าที่นั่งในทันใดนั้น รวมสิบเก้าคนเอาไปจำขังไว้ แล้วก็ไปจับครอบครัวบุตรภรรยาและญาติพี่น้องของเงียมซง และพวกเงียมซงอีกสามร้อยแปดคน รวมเป็นสามร้อยยี่สิบเจ็ดคน แล้วขุนนางก็นำหนังสือที่ ไฮ้สุยมอบไว้กับซือเตียนนั้น ขึ้นถวายฮ่องเต้ให้ทอดพระเนตร ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ประกาศตามที่ ไฮ้สุยเขียนไว้ ทุกประการ

แต่มีประกาศฉบับแรกได้สามวัน ก็ไม่มีใครมารับรอง ด้วยพวกนี้เหล่าราษฎรมีความเกลียดชังเป็นอันมาก ครั้นเห็นว่าไม่มีใครมารับรองแล้ว จึงออกประกาศฉบับที่สอง ราษฎรที่ได้ฟังคำประกาศฉบับหลังต่างคนก็ดีใจ คนที่เงียมซงและพวกเงียมซงข่มเหงเบียดเบียนให้ได้ความเดือดร้อน ก็พากันมาด่าว่าเฆี่ยนตีเงียมซงและพวกเงียมซง ตามความโกรธมากและน้อย ครั้นประกาศครบสามวันแล้ว จึงรับสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น

พระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ ครั้นกำจัดพวกกังฉินหมดแล้ว ทราบความว่าไฮ้สุยหายป่วยเป็นปกติก็มีพระทัยยินดีนัก จึงรับสั่งให้แต่งหนังสือบอกความ ซึ่งได้กำจัดเงียมซงและพวกพ้องเป็นที่เรียบร้อย ตามหนังสือซึ่งไฮ้กึนกงมอบไว้กับซือเตียนแล้ว กับโปรดพระราชทานเครื่องยศและตราตั้งออกไปให้ไฮ้สุยเป็นที่เซียวเปา

ไฮ้สุยได้ทราบความแล้วก็ดีใจ แต่ไม่ยอมรับตำแหน่งเซียวเปา จึงเดินทางจากเมืองน่ำเกียเข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ที่เมืองหลวง กราบทูลว่า

“……..ซึ่งพระองค์ทรงพระเมตตา โปรดพระราชทานให้ข้าพเจ้าเป็นที่เซียวเปานั้น พระเดชพระคุณหาที่เปรียบมิได้ แต่ข้าพเจ้าจะรับไม่ได้ ด้วยเห็นเหลือเกินนัก ถ้าพระองค์จะขืนให้ข้าพเจ้าเป็นแล้ว ข้าพเจ้าจะขอลาออกจากราชการ……..”

ฮ่องเต้ก็จนพระทัยต้องตามใจ ไฮ้สุยก็กราบถวายบังคมลากลับไปเป็นเจ้าเมืองน่ำเกียตามเดิม แต่นั้นมาบ้านเมืองก็เรียบร้อยเป็นสุขสบายทั่วพระราชอาณาเขต

ไฮ้สุยได้รับราชการเป็นเจ้าเมืองน่ำเกียต่อมาอีก เป็นเวลานาน ตลอดรัชสมัยของพระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ จนอายุได้แปดสิบเจ็ดปี พระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้สวรรคต พระราชบุตรซึ่งมีพระชนมายุได้หกพรรษา ขึ้นครองราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้าบั้นและฮ่องเต้ โดยมี เตียกือเจี้ยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะ นางลิมสี ภรรยาของเตียกือเจี้ย ได้เป็นพระนมของฮ่องเต้มาตั้งแต่ประสูติ ไฮ้สุยเห็นว่าบ้านเมืองก็เรียบร้อยดี เตียกือเจี้ยนั้นตั้งแต่ห่างกับเงียมซง ก็ประพฤติเป็นคนดีมาโดยตลอด จึงเข้ามาเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอลาออกจากราชการ

ฮองไทเฮาซึ่งเดิมเป็นมเหสีของพระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ ได้ทราบความจึงมีรับสั่งให้ไฮ้สุยเข้าเฝ้าในพระราชวัง เพื่อขอร้องไม่ให้ไฮ้สุยลาออก ไฮ้สุยก็กราบทูลว่า

“……..ซึ่งข้าพเจ้าจะลาออกนอกราชการนั้น มิใช่จะมีความขัดข้องด้วยสิ่งใดหามิได้ ด้วยเห็นว่าบ้านเมืองก็เรียบร้อย ตัวข้าพเจ้าก็ชราอายุถึงแปดสิบเจ็ดปี กาลก็จวนแล้ว จึงมาถวายบังคมลาไปอยู่บ้านเดิม แสวงหาความสุขกว่าจะหาชีวิตไม่……….”

ฮองไทเฮาจึงตรัสว่า

“………..เราเสียดายท่านนัก ไม่อยากจะให้ออกนอกราชการ ซึ่งท่านคิดดังนี้ของดไว้ก่อนเถิด เมื่อพระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ยังมีพระชนม์อยู่ ได้รับสั่งไว้ให้พระเจ้าบั้นและฮ่องเต้ ตั้งท่านเป็นที่เซียวเปา จะต้องตั้งท่านตามรับสั่ง……….”

ไฮ้สุยก็ทูลว่า

“………เมื่อพระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้จะตั้งข้าพเจ้า ให้เป็นที่เซียวเปา ข้าพเจ้ากราบ ทูลขอตัว ก็โปรดให้แล้ว……..”

ฮองไทเฮาก็ตรัสว่า

“……ซึ่งท่านกราบทูลขอตัว พระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้โปรดให้นั้น เพราะมีความเกรงใจท่าน ครั้นอยู่มาเมื่อจวนใกล้สิ้นพระชนม์ ได้รับสั่งกับพระเจ้าบั้นและฮ่องเต้ไว้ว่า ถ้าเราหาบุญไม่สมบัติได้แก่เจ้าแล้ว จงตั้งไฮ้สุยเป็นที่เซียวเปา ถ้าพระเจ้าบั้นและฮ่องเต้ตั้งท่านเป็นที่เซียวเปาได้ตามรับสั่งแล้ว ก็เรียกว่ามีกตัญญูต่อสมเด็จพระบิดา ด้วยมิได้ละคำรับสั่งให้สูญไป แม้นท่านไม่ยอมรับแล้ว ก็เหมือนหนึ่งท่านตัดความกตัญญูของพระเจ้าบั้นและฮ่องเต้เสีย ขอท่านจงตรึกตรองให้จงมาก………..”

ไฮ้สุยได้ฟังก็จนปัญญา มิรู้ที่จะออกตัวประการใดก็นิ่งอยู่ ฮองไทเฮาเห็นว่าไฮ้สุย รับแล้ว จึงให้เชิญเสด็จพระเจ้าบั้นและฮ่องเต้มายังพระตำหนัก แล้วก็ตั้งไฮ้สุยเป็นที่เซียวเปา แปลว่าตั้งแต่เข้ารับราชการ ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินมาจนชรา แล้วพระราชทานเซียวอั้งเผ่า คือเสื้อมังกรห้าเล็บ เป็นเครื่องยศ ด้วยไฮ้สุยมีความชอบในแผ่นดิน ตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าปู่ ต่อมาจนถึงพระบิดาของพระเจ้าบั้นและฮ่องเต้นั้น ฮองไทเฮาได้เล่าให้ฮ่องเต้ฟังอยู่เสมอมิได้ขาด แล้วไฮ้สุยก็กราบถวายบังคมลาออกจากราชการเมืองน่ำเกีย กลับไปอยู่ที่เมืองไฮหนำบ้านเดิม

ไฮ้สุยมีอายุยืนยาวมาอีกนาน จนถึงร้อยปี จึงจัดงานแซยิดขึ้นในเดือนแปด ก็มีขุนนางจัดหาสิ่งของมาช่วยงานแซยิดมากมาย ไฮ้สุยก็สั่งให้จัดโต๊ะและสุราเลี้ยงขุนนางทั้งหลายทั้งปวงด้วยความยินดี ขุนนางเหล่านั้นก็รินสุราคำนับท่านไฮ้สุยคนละสามถ้วย

แล้วไฮ้สุยก็เล่าความตั้งแต่เป็นขุนนาง เข้ารับราชการเมื่อหนุ่ม อายุเพียงยี่สิบเจ็ดปี ได้กำจัดพวกกังฉินทนทุกข์ลำบากมาจนอายุได้ร้อยปี พระเจ้าแผ่นดินโปรดให้มาอยู่บ้านตามสบาย และได้กล่าวคำสุดท้ายว่า ข้าพเจ้าขอบใจท่านทั้งหลายอุตส่าห์มารินสุราให้กินนั้น เป็นบุญวาสนาของข้าพเจ้ามาก

พูดดังนั้นแล้วไฮ้สุยก็หัวเราะจนขาดใจตายอยู่ที่โต๊ะ พวกขุนนางและบุตรหลานทั้งปวงก็พากันร้องไห้อื้ออึง ไทไท่หรือ นางเตียเกงฮวย ภรรยาของไฮ้สุย ซึ่งมีอายุร้อยปีเท่ากัน นั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่กับพวกญาติพี่น้องข้างใน ครั้นแจ้งว่าไฮ้สุยถึงแก่กรรม ก็ร้องไห้จนขาดใจตายอยู่ที่นั้น

พระเจ้าบั้นและฮ่องเต้ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุสิบเก้าพรรษา เมื่อได้ทราบความ ที่บุตรเขยของไอ้สุยกราบทูลเข้าไปยังเมืองหลวงแล้ว ก็มีรับสั่งให้จัดการเซ่นไหว้ศพไฮ้สุยตามธรรมเนียม แล้วให้ปลูกสร้างศาล ปั้นรูปไฮ้สุยไว้เซ่นไหว้ ที่เมืองกึงตังแซ่ ทำป้ายจารึกชื่อตั้งให้ไฮ้สุยเป็นที่เอ๋โต้วเซียหวง คือเจ้าหลักเมืองกึงตังแซ่ ใหญ่กว่าเจ้าหลักเมืองทั้งปวง ปักไว้ที่หน้าศาล ไพร่บ้านพลเมืองก็นับถือทั่วทั้งแผ่นดิน.

ความพิศดารของ ไฮ้สุย ผู้เป็นศัตรูของกังฉิน ในแผ่นดินเหม็ง มาตลอดชั่วอายุขัย ก้ถึงแก่กาลอวสานลงแต่เพียงนี้.

###########




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2551    
Last Update : 13 ตุลาคม 2551 14:11:40 น.
Counter : 800 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๙ ผลัดแผ่นดินใหม่

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๕ ผลัดแผ่นดินใหม่

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เงียมซงก็กราบทูลให้ไฮ้สุย ออกไปเป็นเจ้าเมืองน่ำเกีย ฮ่องเต้ก็ชอบพระทัย ดำรัสว่าเราคิดเห็นเหมือนกับท่าน การที่จะให้ออกไปรักษาเมืองน่ำเกียนั้น ถ้าผิดจากไฮ้สุยแล้วเห็นจะไม่ได้ ครั้นเราจะให้ไฮ้สุยออกไปก็เสียดายนัก ด้วยอยากจะให้อยู่ในเมืองหลวงด้วยกัน จะได้ปรึกษาหารือราชการแผ่นดินที่เป็นการใหญ่ แต่การครั้งนี้ก็เป็นการที่สำคัญจนใจ ด้วยเมืองน่ำเกียเป็นปากทางเมืองตังเกีย หัวเมืองเอกโทตรีจัตวา จะเข้ามาเมืองตังเกียนี้ก็มาทางน่ำเกีย ถ้าผู้ที่ให้ออกไปอยู่รักษา แม้นคิดเป็นศัตรูขึ้นจะกำจัดยาก เราขอบใจท่านที่ออกไปเป็นผู้รักษาเมืองน่ำเกียแต่ก่อน แต่ล้วนเป็นตงฉินทุกคน เพราะพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงไปแล้วนั้น ทรงพระปัญญาเลือกหาเอาแต่คนที่ดี มีความซื่อสัตย์กตัญญูการจึงได้เรียบร้อย ก็มาครั้งนี้ถึงวาระแห่งเราที่จะได้แต่งตั้งออกไป ก็ต้องเลือกให้ดีเหมือนกับท่านแต่ก่อน ถ้าไม่ดีแล้วแผ่นดินก็จะเกิดจลาจล ชื่อเสียงเราก็จะพลอยเสียไป

เงียมซงจึงกราบทูลว่าซึ่งพระองค์ทรงเห็นการดังนี้ชอบแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมกัน ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ไฮ้สุยเข้ามา แล้วตรัสว่าเมืองน่ำเกียยังไม่มีผู้รักษา เราจะให้ท่านออกไปก็เสียดายนัก

ไฮ้สุยก็กราบทูลว่าพระองค์โปรดใช้แล้ว ก็ต้องสนองพระเดชพระคุณไป กว่าจะหาชีวิตไม่ ฮ่องเต้ตรัสว่าในเมืองน่ำเกียนั้น เจ้าและขุนนางมีอำนาจวาสนามาก ท่านเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย จะออกไปเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองน่ำเกีย เรากลัวเจ้าและขุนนางจะถือยศศักดิ์หมิ่นประมาทท่าน จะต้องให้ท่านมียศใหญ่ออกไป จึงจะเป็นที่ยำเกรงแก่ขุนนางและเจ้านาย

ไฮ้สุยก็กราบทูลว่า

“……..การเรื่องนี้สุดแล้วแต่จะทรงเมตตา แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเจ้าและขุนนาง จะนับถือและรักใคร่ และมิได้นับถือ ก็อาศัยด้วยตั้งอยู่ในยุติธรรมสุจริต และมิได้อยู่ในธรรม ขาพเจ้าจะออกไปครั้งนี้ ใช่เป็นธุระของข้าพเจ้า เป็นการอาสาแผ่นดิน ถ้าถือรับสั่งออกไปแล้วก็เป็นที่เกรงขามแก่คนทั้งปวง ข้าพเจ้าเห็นว่าโดยจะมียศใหญ่ออกไป ถ้าไม่ตั้งอยู่ในสุจริตแล้ว ก็ไม่มีใคร นับถือ การอันนี้จะเป็นผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ก็ดี ถ้าตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ก็อาจจะทำการให้ตลอด ไปได้……..”
ฮ่องเต้ก็ทรงพระสรวล และตรัสกับขุนนางว่าเราจะเลื่อนยศให้ไฮ้สุยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ให้มียศเสมอเจ้า ไฮ้สุยก็ไม่รับ ถือแต่ยุติธรรมเป็นที่ตั้งก็ตามใจ

เมื่อพวกเจ้านายและขุนนางที่เป็นตงฉิน ได้ทราบความว่า พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ โปรดให้ ไฮ้สุย ออกไปเป็นเจ้าเมืองน่ำเกีย ต่างก็พากันมาหาไฮ้สุยแล้วแจ้งความวิตกว่า ทางจะไปมาเมืองหลวงกับเมืองน่ำเกียก็ไกลกันนัก ทุกวันนี้พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงพระชรามากอยู่ แล้วท่านจะออกไปเมืองน่ำเกียครั้งนี้ ก็ไม่มีกำหนดกลับ พวกเงียมซงยังอยู่มาก ฉวยว่าการวุ่นวายขึ้น กว่าจะทราบถึงท่านทางก็ไกล มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้

ไฮ้สุยก็บอกว่า

“…….ท่านทั้งปวงมีความวิตกด้วยความข้อนี้ก็ควรแล้ว แต่ข้าพเจ้าว่าไม่เป็นไร ด้วยฮองไทจือมีพระชันษามากอยู่แล้ว พวกขุนนางกังฉินซึ่งจะคิดร้ายฮองไทจือ เหมือนแต่ก่อนนั้นไม่ได้ ครั้นข้าพเจ้าจะพูดจาชี้แจงให้ท่านฟัง ก็เห็นว่าการยังนานอยู่ กลัวความจะรู้มากไป ข้าพเจ้าจะทำหนังสือฉบับหนึ่ง มอบไว้กับ ซือเตียน ถ้าฮองไทจือได้เปนเจ้าแผ่นดินขึ้นเมื่อใด ท่านทั้งปวงจงไปดูหนังสือของข้าพเจ้าที่มอบไว้แก่ซือเตียน ก็คงจะรู้ความ เมื่อรู้ความแล้วท่านทั้งปวงจงทำตามหนังสือเถิด……..”

เจ้านายและขุนนางทั้งปวงได้ฟังไฮ้สุยพูดดังนั้น ก็ค่อยคลายใจ แล้วก็ลาไฮ้สุย กลับ ไฮ้สุยก็แต่งหนังสือฉบับหนึ่งเข้าผนึก มอบให้ซือเตียนขุนนางตงฉินที่กลับเข้ารับราชการใหม่ สั่งกำชับว่า

“……..หนังสือฉบับนี้สำคัญนัก ท่านจงเอาไปรักษาไว้ให้จงดี อย่าให้ผู้ใดรู้เห็นเป็นอันขาดทีเดียว ถึงตัวท่านก็อย่าพึงรู้ก่อนเลย ต่อเมื่อใดฮองไทจือได้ครองราชสมบัติแล้ว ขุนนางเจ้านายที่เป็นตงฉินพากันมาหาท่านที่บ้าน จะขอดูหนังสือฉบับนี้ ท่านจงเปิดผนึกออกให้ดูรู้ความทั่วกัน เนื้อความในหนังสือนี้จะว่าประการใด คงได้รู้ดอก……”

ซือเตียนก็คำนับรับหนังสือไปรักษาไว้

ฝ่ายพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ก็รับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงาน แต่งหนังสือรับสั่งแต่งตั้งให้ไฮ้สุยออกมาเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองน่ำเกีย แทน อันเพ่งอ๋อง ที่ถึงแก่กรรม และมีรับสั่งให้จัดทหารหมื่นหนึ่ง พร้อมด้วยศัสตราวุธและเครื่องแห่ กับมีป้ายนำหน้าซ้ายขวา ซึ่งฮ่องเต้โปรดพระราชทานเครื่องยศแห่แหน ให้ภาคภูมิสมตำแหน่งครั้งนี้ ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้อำนาจ ไฮ้สุย ปกครองขุนนางและเจ้านายที่เป็นเชื้อพระวงศ์โดยเด็ดขาด และให้มีหนังสือแจ้งล่วงหน้าไปก่อน ขุนนางกรมการจะได้ตระเตรียมไว้คอยรับ

ไฮ้สุยก็เก็บรวบรวมทรัพย์สิ่งของเงินทอง ครอบครัวบุตรภรรยาบ่าวไพร่พร้อมด้วย ไฮ้หยง ไฮ้อัน ออกจากตังเกียเมืองหลวง มีทหารแห่หน้าหลังข้างละห้าพัน พวกเจ้านายและขุนนางก็พากันไปส่งจนถึงนอกเมือง ฝ่ายหัวเมืองน้อยใหญ่ตามระยะทาง รู้ว่าไฮ้สุยมาต่างก็ออกมารับรองเลี้ยงดูตามธรรมเนียม จนถึงเมืองน่ำเกีย เจ้านายและขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่ก็ออกไปรอรับคำนับเชิญเข้าในเมือง ไฮ้สุยก็จัดการบ้านเมืองเรียบร้อยเป็นปกติ ราษฎรได้ทำมาหากินเป็นสุข ปราศจากโจรผู้ร้าย ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์

ขณะเมื่อพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ไฮ้สุยออกไปเป็นเจ้าเมืองน่ำเกียนั้น ทรงมีพระชนมายุได้ห้าสิบเก้าพรรษา ครองราชสมบัติมาได้สี่สิบสองปี

ครั้นอยู่มาอีกสามปี ก็ทรงพระประชวรลง ทรงคิดถึงไฮ้สุย ครั้นจะให้กลับมา ก็ไม่มีใครอยู่รักษาเมืองน่ำเกีย จึงรับสั่งให้หาเงียมซงเข้าไปข้างใน แล้วตรัสว่าเราป่วยครั้งนี้อาการมาก เราวิตกด้วยราชสมบัติ ท่านก็เป็นผู้ใหญ่แม้นเราหาบุญไม่แล้ว จงยกฮองไทจือขึ้นครองราชสมบัติต่อไป

เงียมซงกราบทูลว่าพระอาการยังไม่เป็นไร ขอพระองค์จงอุตส่าห์เสวยพระโอสถ ราชการสิ่งใดที่พระองค์สั่งไว้ ข้าพเจ้ามิได้ลืม จะสนองพระคุณตามรับสั่งทั้งสิ้น ขณะนั้นขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่เฝ้าอยู่เป็นอันมาก ได้ยินด้วยกันทุกคน ฮองไทจือก็เฝ้าอยู่ที่นั้นด้วย

ฮ่องเต้ทรงพระประชวรมาได้สองเดือน อาการก็ทรุดหนักลงทุกวัน หมอประกอบพระโอสถถวายหลายขนาน พระอาการก็มิได้ถอย พระองค์ก็ดับสูญสวรรคตเมื่อพระชนม์ได้หกสิบสองปี อยู่ในราชสมบัติสี่สิบห้าปี

ขณะนั้นเงียมซงตกตลึงไป การที่ฮ่องเต้รับสั่งไว้ ให้ยกฮองไทจือขึ้นครองราชสมบัติก็ยังตรึกตรองอยู่ ครั้นจะยกฮองไทจือขึ้น ฮองไทจือกับตนก็ไม่ชอบกัน ครั้นจะมิยกขึ้นก็เป็นข้อขัดรับสั่ง ครั้นจะคิดกำจัดเสียก็ยาก ด้วยฮองไทจือมีพระชันษามากแล้ว ประการหนึ่งขุนนางที่เป็นพวกพ้องของตัวก็น้อยลงกว่าแต่ก่อน เงียมซงยังตรึกตรองไม่ตกลงในใจ การที่จะยกฮองไทจือขึ้นครองราชสมบัติ ก็เงียบสงบอยู่ถึงสองวัน

ฝ่าย นางเตียฮองเฮา พระมเหสีของพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ พระมารดาของ จูเอี๋ยวฮองไทจือ เห็นการผิดสังเกตก็มีความวิตก กลัวจะเกิดวุ่นวายขึ้น ด้วยราชสมบัติยังว่างเปล่าอยู่ จึงให้หาขุนนางมาประชุมพร้อมกันแล้วรับสั่งว่า พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้เมื่อมีพระชนม์อยู่ ทรงพระประชวรหนัก ได้รับสั่งแก่เงียมซง ซึ่งเป็นใจเสี่ยงขุนนางผู้ใหญ่ ว่าถ้าสวรรคตแล้ว ให้ยกฮองไทจือขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ บัดนี้พระองค์ก็ล่วงไปแล้วถึงสองวัน เหตุใดเงียมซงจึงเฉยอยู่ ไม่ทำตามรับสั่งอย่างธรรมเนียม ราชสมบัติละทิ้งไว้ให้ว่างอยู่อย่างนี้แต่โบราณมีบ้างหรือ ท่านทั้งปวงจะคิดอย่างไร

ขุนนางทั้งปวงก็กราบทูลว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอยกฮองไทจือขึ้นครองราชสมบัติ ทูลแล้วขุนนางทั้งปวงก็พร้อมใจกัน ยกฮองไทจือขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า พระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ ครองราชสมบัติต่อไป แล้วยกนางเตียฮองเฮาพระราชมารดาขึ้นเป็นฮองไทเฮา ยก นางอวนสีฮูหยิน ขึ้นเป็นฮองเฮา ทรงตั้งขุนนางเต็มตามตำแหน่ง แล้วรับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงาน มีหมายประกาศไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ทั่วพระราชอาณาเขต ให้รู้ทั่วกันว่าพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้สวรรคตแล้ว ขุนนางทั้งปวงพร้อมใจกันยกฮองไทจือพระราชบุตร ขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ ให้นุ่งขาวไว้ทุกข์ตามธรรมเนียม แล้วโปรดให้ปล่อยนักโทษที่จองจำอยู่ในคุก แล้วกำหนดการฝังพระศพ

ฝ่ายไฮ้สุยซึ่งออกไปเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองน่ำเกีย แจ้งความว่าพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้สวรรคต ก็มีความเสียใจเป็นอันมาก ร้องไห้เศร้าโศกรำพันถึงพระเดชพระคุณต่าง ๆ จนสลบแน่นิ่งไปสองครั้งสามครั้ง ขุนนางกรมการและเจ้านายพากันมาเยี่ยม และพูดจาปลอบเอาใจว่า พระเจ้าแผ่นดินดับสูญไปแล้ว ถึงท่านจะร้องไห้เศร้าโศกไปสักเท่าใด พระเจ้าแผ่นดินจะกลับคืนพระชนม์ขึ้นมาก็หามิได้ บัดนี้ฮองไทจือได้ราชสมบัติ ต้องคิดอ่านป้องกันรักษาพระเจ้าแผ่นดินใหม่อย่าให้เป็นอันตราย ไฮ้สุยจึงค่อยได้สติแต่ก็ยังไม่เป็นอันกินอันนอน ซูบผอมจนป่วยลง แต่ก็ เตรียมการจะเข้ามาช่วยงานฝังพระศพ หมอผู้รักษาจึงแนะนำให้จัดขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองน่ำเกียไปแทน

ฝ่ายพระเจ้าเล่งเคงฮ่องเต้ เมื่อทำการฝังพระศพพระราชบิดานั้น มิได้เห็นไฮ้สุยมา จึงรับสั่งถามขุนนางซึ่งมาแทนตัวไฮ้สุยนั้นว่า ไฮ้ไต้หยินมีธุระหรือประการใดจึงมิได้มา ขุนนางก็ กราบทูลว่า ท่านผู้รักษาเมืองน่ำเกีย ทราบข่าวว่าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคต ก็มีความเศร้าโศกจนป่วยลง เมื่อข้าพเจ้ามานี้อาการค่อยคลายขึ้นแล้ว แต่ไปไหนยังไม่ได้ เตรียมการจะเข้ามาในการพระศพ หมอผู้รักษาห้ามไว้จึงได้งดอยู่ ฮ่องเต้ได้ทราบดังนั้นก็ทรงพระวิตกเป็นอันมาก ด้วยพระองค์ได้ราชสมบัติใหม่ ยังไม่เห็นมีใครที่จะไว้วางพระทัย เกรงเงียมซงและพวกพ้องจะคิดร้าย จึงทรงพระอักษรฉบับหนึ่งเป็นหนังสือลับ มอบให้ขุนนางที่สนิทไว้วางพระทัยได้ ถือไปส่งให้ไฮ้สุย ที่เมืองน่ำเกีย.

###########


























 

Create Date : 13 ตุลาคม 2551    
Last Update : 13 ตุลาคม 2551 7:49:39 น.
Counter : 448 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๘ อธรรมสิ้นฤทธิ์

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๒๘ อธรรมสิ้นฤทธิ์

“ เล่าเซี่ยงชุน “


เฮงสุนก็เอาคำสารภาพที่ได้ทำไว้นั้น เข้าถวาย พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ต่อ พระหัตถ์ ฮ่องเต้รับเรื่องมาทอดพระเนตรสิ้นข้อความแล้ว เมื่อไฮ้สุยเข้าไปเฝ้ากราบทูลเรื่องชำระพวกขันทีตามรับสั่งให้ทรงทราบทุกประการ แล้วกราบทูลว่าเฮงสุนนี้แต่ก่อนประพฤติเป็นพาล บัดนี้รู้สำนึกตัวกลับใจได้แล้ว ขอพระองค์ชุบเลี้ยงไว้ตามเดิม

ฮ่องเต้ก็ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า

“…….ท่านมีความสวามิภักดิ์รักต่อเรามากนัก ไม่มีใครเสมอ ความเรื่องใดที่ลี้ลับ ที่เราไม่รู้ ท่านคิดอ่านแคะไค้ออกมาให้เรารู้ได้ ก็จัดเป็นการดีแล้ว เหมือนเรื่องราวเหล่านี้ ถ้าไม่ได้ท่านแล้วที่ไหนเราจะรู้……..”

ไฮ้สุยกราบทูลว่าเรื่องความทั้งปวงเหล่านี้ ถ้าจริงดังคำสารภาพแล้ว ผู้ที่ทำก็มีความผิด จะชำระหรือประการใด ก็สุดแท้แต่จะโปรด ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าการทั้งนี้เรามอบให้แก่ท่านทั้งสิ้น สุดแต่ท่าน เมื่อเห็นควรประการใดก็ตามแต่ใจท่านเถิด แต่เรามีความน้อยใจอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยขุนนางและราษฎรที่มีความเดือดร้อนเป็นอันมาก เหตุใดจึงพากันนิ่งเสียไม่ได้มีใครบอกให้เรารู้

ไฮ้สุยก็กราบทูลว่า

“………เวลานั้นใครจะกล้ากราบทูลขึ้นได้ แม้นว่ากล่าวขึ้นก็มีแต่จะแพ้ภัยตัว ด้วยพวกนี้พระองค์ก็ทรงเห็นเหมือนแก้วอันวิเศษ คนอื่นแม้นเห็นว่ามิใช่แก้วเป็นของปลอม จะกราบทูลก็เกรงพระราชอาญา การครั้งนี้พระองค์ก็ได้ทรงทราบแล้ว ก็เป็นบุญของขุนนางและราษฎรที่จะได้ความสุข……….”

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ก็ตรัสสรรเสริญไฮ้สุยว่า ตัวท่านเปรียบเหมือน เปาเล่งถู ครั้งแผ่นดินซ้อง ซึ่งเป็นคำสรรเสริญที่เป็นเกียรติยศแก่ไฮ้สุยอย่างยิ่ง เพราะเปาเล่งถูที่มีนามเดิมว่า เปาบุ้นจิ้น นั้น เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ และทรงคุณสมบัติในความเที่ยงตรงยุติธรรม หาผู้ใดเสมอมิได้

ไฮ้สุยก็กราบทูลว่า

“……..พระองค์เปรียบข้าพเจ้าเหมือนกับเปาเล่งถูนั้นเกินนัก ข้าพเจ้าเป็นแต่อดไม่ได้ รู้เห็นการสิ่งใดที่ขัดต่อแผ่นดิน ก็ต้องกราบทูล………”

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าแต่ก่อนเราไม่ได้ตรองการให้ละเอียด ขุนนางเก่า ๆ ที่ลาออกนอกราชการนั้น ท่านเห็นผู้ใดดีจงทำบัญชีเข้ามา จะได้แต่งตั้งไปตามสมควร เรื่องความที่คนทุจริตข่มเหงขุนนางและราษฎรนั้น ท่านจะชำระอย่างไรก็ตามแต่ใจท่านเถิด

ไฮ้สุยกราบทูลว่าการก็นานมาแล้ว ตัวโจทก์เห็นจะไม่มีใครว่า ต้องงดไว้ แต่เรื่องความเจ้าเมืองโซจิวฮู้รายถ้วยหยกนั้น เป็นความเกิดขึ้นใหม่ต้องชำระ ด้วยพระองค์ตั้งให้ เงียมซือพวน เป็นที่เอ๋ซุนอ้านออกไปนั้น เหมือนดังพระเนตรพระกรรณ เงียมซือพวนก็ทำการไม่เป็นธรรม ก็พาให้มัวหมองอยู่ในแผ่นดินไปวันหน้า ถ้าพระองค์โปรดตั้งให้ผู้อื่นเป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ออกไปภายหน้า ก็จะไม่เป็นที่ยำเกรงแก่ขุนนางและราษฎร ความเรื่องนี้ต้องชำระให้เห็นความเท็จและจริง ส่วนการที่พระองค์ทรงระลึกถึงข้าราชการเก่า ที่ต้องถอดและลาออกนอกราชการนั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ และไฮ้สุยก็กราบทูลแนะนำขุนนางเก่าที่สมควรไว้วางพระราชหฤทัย ให้กลับเข้ารับราชการหลายคน

แล้วไฮ้สุยก็ให้หาตัว กีกอง แม่ทัพรักษาด่าน กับ มกฮวยโก เจ้าเมืองโซจิวฮู้ ซึ่งถูกเงียมซือพวนข่มเหง มาสอบสวนก็ได้ความว่า เงียมซือพวนต้องการจะเอาถ้วยหยกของโบราณ ที่มกฮวยโกเป็นเจ้าของ เมื่อจับได้ว่ามกฮวยโกเอาถ้วยหยกปลอมมาให้ ก็ให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย แต่กีกองมีความเมตตามกฮวยโกจึงหนีรอดไปได้ โดยมกเสงบ่าวของมกฮวยโกยอมตายแทน และ นางเซาะเหนีย ภรรยาน้อยของ มกฮวยโกก็ถูกจับไป ยกให้เป็นภรรยาของ ถังตง บ่าวของเงียมซือพวน แต่นางไม่ยินยอมจึงฆ่าถังตงและฆ่าตัวเองตาย กีกองจึงต้องเลี้ยงบุตรที่คลอดใหม่ของนางอยู่จนบัดนี้

ไฮ้สุยจึงให้คนไปเชิญ เงียมซง บิดาของเงียมซือพวนมาที่บ้าน แล้วให้เสมียนอ่านคำกล่าวหาของมกฮวยโกกับกีกองให้เงียมซงฟังจนสิ้นข้อความ แล้วถามเงียมซงว่าเขาหาดังนี้ ท่านจะเห็นประการใด แม้นท่านเห็นจริงด้วยแล้ว จะได้ทำไปตามการ ถ้าท่านไม่เห็นจริงจะได้ให้คนไปเอาตัวเงียมซือพวนเข้ามาชำระ เงียมซงก็คิดว่าความเรื่องนี้จริงดังโจทก์กล่าวทั้งสิ้น จึงว่าไม่ต้องเอาตัวมาชำระ สุดแล้วแต่ท่านจะทำโทษเถิด ข้าพเจ้าก็สิ้นอาลัยไม่เป็นธุระ ความเรื่องใดท่านรื้อขึ้นว่าและท่านรู้มาอย่างไร ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น

ไฮ้สุยว่าถ้าอย่างนั้นท่านจะทำคำสารภาพรับผิดแทนเงียมซือพวนได้หรือ เงียมซงก็รับทำคำสารภาพ ทุกประการ ไฮ้สุยดูรู้ความแล้วจึงว่า

“………ตัวท่านเป็นบิดาเงียมซือพวนมีความผิด ถ้าเอาตัวมาชำระพิจารณาเป็นสัตย์ โทษเงียมซือพวนก็ถึงตาย แต่ท่านสารภาพผิดแทนบุตรแล้วไม่ต้องเอามาชำระ จะยกชีวิตเงียมซือพวนให้แก่ท่าน แต่ต้องทำโทษให้คนทั้งปวงเห็นปรากฎ ความติเตียนนินทาจึงจะไม่มีแก่พระเจ้าแผ่นดิน………..”

เงียมซงก็ว่าตามแต่ท่านจะทำโทษเถิด ข้าพเจ้ามิได้มีความรังเกียจ ซึ่งท่านมีความเมตตาบุตรข้าพเจ้าไม่ให้ถึงแก่ชีวิตนั้น คุณหาที่สุดมิได้ ไฮ้สุยเห็นว่าเงียมซงไม่ถือดื้อดึงมานะเหมือนแต่ก่อน จึงว่าโทษที่เงียมซือพวนทำการข่มเหงเจ้าเมืองโซจิวฮู้นั้น ต้องเอาตัว เงียมซือพวนไปที่เมืองโซจิวฮู้ สักเป็นอักษรประจานไว้ที่แขน มีความว่าเงียมซือพวนทำการ ข่มเหงเจ้าเมืองโซจิวฮู้ และข่มเหงตังเสงที่ซือจ๋าย มีความผิดโทษถึงประหารชีวิต ใจเสี่ยงผู้เป็นบิดาสารภาพรับผิดแทน ต้องยกชีวิตไว้แล้วให้เอาตัวประจานไว้สามวันปรับโทษที่ทำล่วงเกินแก่ ซือจ๋าย นั้น ให้มีงิ้วที่หน้าศาลขงจื๊อสามวัน เมื่อวันมีงิ้วนั้น ให้เอาหนังสือสารภาพปิดไว้ที่หน้าศาล ให้คนทั้งปวงที่มาประชุมดูงิ้วเห็นหนังสือสารภาพนั้น แล้วให้เงียมซือพวนเป็นไพร่อยู่ที่เมืองฮู่องแซต่อไป

แล้วไฮ้สุยก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบทุกประการ ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าชอบแล้ว จึงให้ขุนนางเจ้าพนักงานแต่งหนังสือเป็นข้อรับสั่ง มีความตามคำไฮ้สุยปรับโทษ เงียมซือพวน แล้วให้ขุนนางเชิญหนังสือรับสั่ง ออกไปจัดการตามนั้นทุกประการ

ครั้งนั้นไฮ้สุยมีอำนาจมากกว่าเก่าหลายเท่า เจ้านายขุนนางยำเกรงนับถือเป็นอันมาก คนที่เป็นพวกพ้องของเงียมซง และผู้ซึ่งมาเดินเหินเสียเงินทองแก่เงียมซง ได้เป็นขุนนางและเจ้าเมืองนั้น ครั้นเห็นว่าไฮ้สุยมีอำนาจมาก เงียมซงถอยอำนาจลง ต่างคนก็ร้อนตัวกลัวไฮ้สุย ด้วยคนพวกนั้นไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ก็พากันหลีกเลี่ยงออกจากราชการ ขุนนางซึ่งเป็นตงฉินที่ต้องถอดและลาออกนอกราชการ ครั้นรู้ว่าพวกกังฉินถอยอำนาจลงไม่เหมือนก่อน ต่างคนก็เข้ามารับราชการอีกเป็นอันมาก ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาและฝีมือ สมควรจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ได้ ไฮ้สุยก็กราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงแต่งตั้ง ไปตามคุณวิชาความรู้ของผู้นั้น ตั้งแต่นั้นมาบ้านเมืองก็ เรียบร้อย เป็นสุขสบายทั่วทั้งแผ่นดินพระราชอาณาเขต

ครั้นอยู่มาได้สามปี อันเพ่งอ๋อง ซึ่งเป็นผู้รักษาเมืองน่ำเกียถึงแก่กรรมลง ขุนนาง กรมการบอกเข้ามายังพนักงาน นำข้อความขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ ทรงทราบก็เสียพระทัยนัก ด้วยเมืองน่ำเกียนั้นเป็นเมืองใหญ่ เจ้าและขุนนางก็มีมาก มั่งคั่งบริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง และไพร่พลทหาร ราษฎรที่อยู่ในเมืองน่ำเกียประมาณสี่ร้อยหมื่นครัว แล้วจึงรับสั่งให้ประชุมขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่พร้อมกัน ตรัสปรึกษาว่าเมืองน่ำเกียนี้ คิดจะให้เจ้าและขุนนางออกไปรักษา ไม่เห็นมีใครจะเป็นที่ไว้วางใจได้ ต้องเลือกหาคนที่มีใจสัตย์ซื่อมั่นคง และประกอบด้วยสติปัญญา จึงจะออกไปอยู่ได้ ด้วยเมืองน่ำเกียนั้นเป็นเมืองใหญ่ แม้นผู้ที่ออกไปเป็นผู้รักษาเมืองไม่ซื่อตรง ตั้งแข็งขึ้นแล้วก็ทำยาก เหมือนหนึ่งเสียแผ่นดินไต้เหม็งไปกึ่งหนึ่ง ท่านทั้งปวงจงพิเคราะห์ดู ผู้ใดมีสติปัญญาสัตย์ซื่อ สมควรจะไปรักษาเมืองน่ำเกียได้ ถ้าเห็นพร้อมกันว่าผู้ใดสมควรแล้ว เราจะตั้งผู้นั้นเป็นผู้รักษาเมืองน่ำเกียต่อไป ขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่ยังคิดไม่ตกก็พากันนิ่งอยู่ จนเสด็จขึ้นจึงพากันกลับไปบ้าน

ฝ่ายเงียมซงนั้นปรารถนาอยากได้ไปเป็นผู้รักษาเมืองน่ำเกีย แต่กลัวจะไม่ได้ด้วยเป็นเมืองสำคัญ ครั้นจะคิดอ่านให้เฮงสุนช่วยกราบทูลเสนอ ก็บาดหมางห่างเหินกันเสียแล้ว มิรู้ที่จะคิดประการใด จึงให้คนไปเชิญ เตียจีเป๊กและเตียบุนหอมาที่บ้าน แล้วปรึกษาว่าท่านทั้งสองเห็นว่าผู้ใดสมควรจะออกไปเป็นผู้รักษาเมืองน่ำเกียได้ ทั้งสองก็ว่าเจ้าและขุนนางในเมืองหลวงทุกวันนี้ก็มีมาก แต่ไม่เห็นผู้ใดสมควรที่จะออกไปอยู่รักษาเมืองน่ำเกีย เห็นอยู่แต่ไฮ้สุยผู้เดียว ด้วยไฮ้สุยมีความดีหลายอย่าง ทั้งประกอบด้วยความซื่อตรงกตัญญูตั้งอยู่ในยุติธรรม พระเจ้าแผ่นดินก็โปรดปรานนับถือเชื่อฟัง อนึ่งความดีของไฮ้สุยปรากฎไปในหัวเมืองน้อยใหญ่ และประเทศต่าง ๆ

เงียมซงก็ว่าท่านพูดนี้ก็ถูกแล้ว แต่ไฮ้สุยมีวาสนาน้อย คนที่อยู่ในเมืองน่ำเกียนั้น แต่ล้วนที่มีทรัพย์มั่งคั่งและวาสนามาก คืออ๋องและใจเสี่ยง ลักโป๊ จิวเคง ท่านเหล่านี้เป็นผู้มีวาสนาทั้งนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าไฮ้สุยออกไปที่ไหนท่านเหล่านี้จะมีความยำเกรง ถึงโดยพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้จะทรงแต่งตั้งให้ไฮ้สุยมียศใหญ่ขึ้นไปอีก คนทั้งปวงก็ย่อมรู้ และว่าถ้าพวกเราสามคนนี้ ใครได้ออกไปแต่สักคนหนึ่งเห็นจะดี

เตียบุนหอว่าพวกเราในเวลานี้นั้น อย่าได้หมายเลย ข้าพเจ้าเห็นลึกยิ่งกว่าท้อง มหาสมุทร เห็นจะไม่ได้ออกไปแล้ว ด้วยเป็นครั้งคราววาสนาชะตาพวกเราตกอับ แม้จะมีผู้สงเคราะห์กราบทูลช่วยยกให้ก็ไม่สำเร็จ กลับจะพาผู้ที่สงเคราะห์นั้นเสียหายยับเยินไปเสียอีก

เงียมซงก็จนใจไม่รู้ที่จะว่าประการใด ก็ต้องเห็นชอบตามคำเตียบุนหอ แล้วว่าไหน ๆ ก็ไม่ได้ไปเป็นแน่แล้ว คิดทำคุณไว้กับไฮ้สุยครั้งนี้เห็นจะดี พระเจ้าแผ่นดินก็จะทรงเห็นว่า เรารู้จักคนดีและชั่ว สืบไปวันหน้าถ้าพระองค์จะแต่งตั้งผู้ใดให้เป็นขุนนาง และออกไปเป็นเจ้าเมืองเอกโทตรีจัตวา ก็จะทรงปรึกษาเรา ถ้าเราชอบใจผู้ใดจะได้กราบทูลยกย่องขึ้น สินบนผลประโยชน์ก็ยังคงจะมี อนึ่งพระเจ้าแผ่นดินจะได้ทรงเห็นว่า เราไม่มีความพยาบาทและอิจฉาไฮ้สุย ถ้าไฮ้สุยไปเสียไกลก็ดี เราทั้งปวงจะได้ไม่ต้องระวังตัว

ทั้งสามคนก็เห็นชอบด้วยกันเป็นอันดี.

############








































ทั้งสามคนก็เห็นชอบด้วยกัน และเมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เงียมซงก็กราบทูลให้ไฮ้สุย ออกไปเป็นเจ้าเมืองน่ำเกีย ฮ่องเต้ก็ชอบพระทัย ดำรัสว่าเราคิดเห็นเหมือนกับท่าน การที่จะให้ออกไปรักษาเมืองน่ำเกียนั้น ถ้าผิดจากไฮ้สุยแล้วเห็นจะไม่ได้ ครั้นเราจะให้ไฮ้สุยออกไปก็เสียดายนัก ด้วยอยากจะให้อยู่ในเมืองหลวงด้วยกัน จะได้ปรึกษาหารือราชการแผ่นดินที่เป็นการใหญ่ แต่การครั้งนี้ก็เป็นการที่สำคัญจนใจ ด้วยเมืองน่ำเกียเป็นปากทางเมืองตังเกีย หัวเมืองเอกโทตรีจัตวา จะเข้ามาเมืองตังเกียนี้ก็มาทางน่ำเกีย ถ้าผู้ที่ให้ออกไปอยู่รักษา แม้นคิดเป็นศัตรูขึ้นจะกำจัดยาก เราขอบใจท่านที่ที่ออกไปเป็นผู้รักษาเมืองน่ำเกียแต่ก่อน แต่ล้วนเป็นตงฉินทุกคน เพราะพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงไปแล้วนั้น ทรงพระปัญญาเลือกหาเอาแต่คนที่ดี มีความซื่อสัตย์กตัญญูการจึงได้เรียบร้อย ก็มาครั้งนี้ถึงวาระแห่งเราที่จะได้แต่งตั้งออกไป ก็ต้องเลือกให้ดีเหมือนกับท่านแต่ก่อน ถ้าไม่ดีแล้วแผ่นดินก็จะเกิดจลาจล ชื่อเสียงเราก็จะพลอยเสียไป
เงียมซงจึงกราบทูลว่าซึ่งพระองค์ทรงเห็นการดังนี้ชอบแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมกัน ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ไฮ้สุยเข้ามา แล้วตรัสว่าเมืองน่ำเกียยังไม่มีผู้รักษา เราจะให้ท่านออกไปก็เสียดายนัก
ไฮ้สุยก็กราบทูลว่าพระองค์โปรดใช้แล้ว ก็ต้องสนองพระเดชพระคุณไป กว่าจะหาชีวิตไม่ ฮ่องเต้ตรัสว่าในเมืองน่ำเกียนั้น เจ้าและขุนนางมีอำนาจวาสนามาก ท่านเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย จะออกไปเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองน่ำเกีย เรากลัวเจ้าและขุนนางจะถือยศศักดิ์หมิ่นประมาทท่าน จะต้องให้ท่านมียศใหญ่ออกไป จึงจะเป็นที่ยำเกรงแก่ขุนนางและเจ้านาย
ไฮ้สุยก็กราบทูลว่า
“……..การเรื่องนี้สุดแล้วแต่จะทรงเมตตา แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเจ้าและขุนนาง จะนับถือและรักใคร่ และมิได้นับถือ ก็อาศัยด้วยตั้งอยู่ในยุติธรรมสุจริต และมิได้อยู่ในธรรม ขาพเจ้าจะออกไปครั้งนี้ ใช่เป็นธุระของข้าพเจ้า เป็นการอาสาแผ่นดิน ถ้าถือรับสั่งออกไปแล้วก็เป็นที่เกรงขามแก่คนทั้งปวง ข้าพเจ้าเห็นว่าโดยจะมียศใหญ่ออกไป ถ้าไม่ตั้งอยู่ในสุจริตแล้ว ก็ไม่มีใคร นับถือ การอันนี้จะเป็นผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ก็ดี ถ้าตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ก็อาจจะทำการให้ตลอด ไปได้……..”
ฮ่องเต้ก็ทรงพระสรวล และตรัสกับขุนนางว่าเราจะเลื่อนยศให้ไฮ้สุยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ให้มียศเสมอเจ้า ไฮ้สุยก็ไม่รับ ถือแต่ยุติธรรมเป็นที่ตั้งก็ตามใจ
ขณะเมื่อพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ไฮ้สุยออกไปเป็นเจ้าเมืองน่ำเกียนั้น ทรงมีพระชนมายุได้ห้าสิบเก้าพรรษา ครองราชสมบัติมาได้สี่สิบสองปี.

##########




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2551    
Last Update : 13 ตุลาคม 2551 6:14:13 น.
Counter : 388 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๗ ตัดเชื้อกังฉิน

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๒๗ ตัดเชื้อกังฉิน

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อ ไฮ้สุย ได้บัญชีรายชื่อขันทีมาแล้ว ก็จัดการให้หาเจ้าพนักงานสำหรับตัดและหมอยามาพร้อม แล้วก็เอาขันทีมาตรวจชันสูตรหมดทั้งสองพันกว่าคน แม้นผู้ใดมีบุรุษเพศงอกยาวกว่านิ้วหนึ่ง ก็ส่งตัวไปให้ตัดเสีย เมื่อจะตัดนั้นต้องให้กินยาปนสุราจนไม่ได้สติ ครั้นตัดแล้วหมอก็เอายาให้กิน กับยาใส่ที่แผลประมาณเจ็ดแปดวันก็หาย ในคราวนี้มีขันทีต้องตัดสักกึ่งหนึ่ง ที่ไม่เกินกำหนดไม่ต้องตัดอีกกึ่งหนึ่ง

เมื่อหมดจำนวนขันทีแล้ว ไฮ้สุยก็เรียก ซาฮุยหงวน มาถามว่าเหตุใดจึงไม่มีชื่อ เฮงสุน กับ เป๊กซอง ขันทีรองของเฮงสุนซาฮุยหงวนบอกว่าได้ไปจดชื่อแล้ว แต่เฮงสุนว่าตำหนักตังเชียงเก๋งกับตำหนักไซเชียงเก๋ง เป็นตำหนักชั้นนอก พวกขันทีและตัวนายทั้งสองไม่ได้เข้าไป คลุกคลีข้างใน พวกพระสนมก็ไม่ได้ออกมาที่พระตำหนักนั้น จึงไม่ได้จดชื่อขันทีทั้งสองตำหนักนั้นมา ไฮ้สุยถามว่าขันทีที่อยู่ในพระตำหนักทั้งสองนั้นมีสักเท่าไร ซาฮุยหงวนบอกว่าแต่ก่อนมีอยู่สักสี่ร้อยเศษ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทราบ ไฮ้สุยก็ยืนยันให้ซาฮุยหงวนไปเอาบัญชีมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะมีโทษ

ซาฮุยหงวนก็จำใจต้องไปหาเฮงสุนที่พระตำหนักตังเชียงเก๋งอีก เฮงสุนก็ถามว่าจะมาเอาบัญชีหรือ เมื่อมาครั้งก่อนก็ได้บอกแล้วว่า พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรที่พระราชวังข้างใน ไฮ้สุยไม่รู้ดอกหรือ ถ้าขืนจะเอาพวกเราไปชำระ แม้นเกิดความขึ้นเราจะอ้างเอาท่านเป็นพยาน ด้วยพวกเรานั้นท่านเห็นเข้าไปคลุกคลีที่พระราชวังข้างในบ้างหรือ ซาฮุยหงวนว่าการนี้ก็จริง แต่ ไฮ้สุยใช้ให้มาเอาบัญชีให้ได้เป็นจนใจนัก ถ้าไม่มาก็กลัวผิด เฮงสุนได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า

“……..ไฮ้สุยบังคับพวกขันทีได้ก็แต่ในคราวนี้ ถ้าเลิกการชำระแล้วจะว่ากล่าวบังคับบัญชาใครได้ เปรียบเหมือนลมจรพัดมาคราวหนึ่งก็หายไป ตัวเราได้บังคับขันทีอยู่เสมอ เปรียบเหมือนลมสำหรับฤดูย่อมมีอยู่เป็นนิจ…….”

ซาฮุยหงวนก็ว่าซึ่งท่านเปรียบเทียบนั้นก็ถูก แต่จะให้ไปแจ้งแก่ไฮ้สุยประการใด เฮงสุนก็ว่าจงไปบอกเถิดบัญชีนั้นเราไม่ให้ ไฮ้สุยเป็นคนเกะกะ แต่ก่อนรังแกพวกข้างหน้า เดี๋ยวนี้คิดอ่านกราบทูลยุยงพระเจ้าแผ่นดิน มาข่มขี่เราข้างใน ซาฮุยหงวนก็ไปหาเป๊กซองที่พระตำหนัก ไซเซียงเก๋ง ก็ไม่ได้บัญชีเช่นเคย จึงต้องกลับมาบอกไฮ้สุยตามคำที่เฮงสุนว่า

ไฮ้สุยได้ฟังก็โกรธ จึงว่าแต่เดิมเราคิดว่าจะถือยศเย่อหยิ่งแต่เฮงสุนคนเดียว บัดนี้เป๊กซองก็กำเริบขึ้นด้วย จะต้องแก้หยิ่งเสียทั้งสองคน แล้วจึงสั่งให้นายทหารรักษาพระองค์สี่นาย ที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้มาช่วยไฮ้สุย กับ ไฮ้หยง ไฮ้อัน ไปเอาตัวเฮงสุนกับเป๊กซองมาให้ได้ แม้นดื้อดึงประการใดให้ฉุดเอาตัวมา ถ้าไปพบแล้วไม่ได้ตัวจะต้องมีโทษทั้งหกคน

ไฮ้หยงไฮ้อันและนายทหารรักษาพระองค์ทั้งสี่ ก็ได้ตัวเป๊กซองมาคนเดียว ด้วยเฮงสุนไปเล่นหมากรุกอยู่ที่บ้าน เงียมซง ไฮ้สุยก็เชิญกระบี่อาญาสิทธิ์ออกมาวางไว้ที่เง่หมึง แล้วตนเองก็ออกมานั่งอยู่ข้างกระบี่ เมื่อเป๊กซองเข้ามาหยุดยืนอยู่ ไฮ้สุยก็ว่าจงถวายบังคมกระบี่อาญาสิทธิ์เสียก่อน เป๊กซองก็คุกเข่าลงถวายบังคมแล้วนั่งนิ่งอยู่ ไฮ้สุยจึงว่า

“…………ตัวเจ้ากับเฮงสุนถือตัวอย่างไร จึงดูหมิ่นขุนนางฝ่ายหน้านัก พวกเจ้าถึงจะดีอย่างไร ก็อยู่แต่ในพระราชวัง ขุนนางฝ่ายหน้าได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน มิให้เป็นอันตรายแก่ข้าศึก ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ได้อยู่เป็นปกติ พวกของเจ้าที่ได้มีความสุขสบายอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่อาศัยขุนนางฝ่ายหน้าหรือ เราได้ยินข่าวว่าขุนนางฝ่ายหน้าไปหา เจ้ากับเฮงสุนทำอำนาจยศศักดิ์มาก…….”

เป๊กซองก็ว่าท่านหาตัวข้าพเจ้ามา ด้วยราชการสิ่งใดก็ให้ว่ามา ไม่ควรจะเก็บเอาเรื่องอะไรมาพูด ให้มากความไป ไม่ต้องการ

ไฮ้สุยได้ฟังเป๊กซองว่าดังนั้น เห็นกิริยายังองอาจอยู่ จึงว่า

“……เจ้าให้พูดในการเรื่องนี้ก็ได้ดอก ไม่สู้ยาก เราใช้ให้ซาฮุยหงวนไปเอาบัญชีพวกขันทีซึ่งขึ้นอยู่ในเจ้าถึงสองครั้ง เหตุใดจึงไม่ได้มา ข้อนี้มีความผิดหรือไม่……”

แล้วไฮ้สุยก็ผินหน้าไปถามนายทหารรักษาพระองค์ว่า เมื่อเราใช้ท่านไปหาตัว เป๊กซองนั้น มาโดยดีหรือต้องฉุด นายทหารรักษาพระองค์บอกว่าต้องฉุดจึงได้ยอมมา ไฮ้สุยจึงว่าข้อนี้ก็ผิดเป็นสองข้อ แต่ก่อนชื่อเสียงเจ้าก็ไม่ปรากฎว่าคดโกงเย่อหยิ่งอะไรนัก ครั้งนี้เหตุใดจึงพลอยเป็นคนพาลไปตามเฮงสุน

เป๊กซองยังถือใจมั่นอยู่ว่าไฮ้สุยไม่กล้าทำอะไรแก่ตนได้ จึงว่าท่านอย่าพูดให้มากไปเลย มีธุระอะไรก็ให้ว่ามา เมื่อไม่มีจะได้ไป ไฮ้สุยก็ว่ายังไปไม่ได้ แล้วก็ให้ทหารรักษาพระองค์จับเป๊กซองคว่ำลงตีเสียสี่สิบที และเอาตัวไปจองจำไว้ กับให้นายทหารรักษาพระองค์ไปเอาตัว เฮงสุนจากบ้านเงียมซงมาให้ได้

แล้วไฮ้สุยก็ให้พนักงานชันสูตร ตรวจดูเพศบุรุษของเป๊กซองว่ายาวสักเพียงไร แม้นงอกยาวออกไปกว่านิ้วหนึ่งก็ให้ตัดเสีย และไฮ้สุยก็กระซิบสั่งหมอยาว่า จงประกอบยาที่กินแล้วไม่มึนเมาลืมสติให้กิน เราจะดูหน้าเป๊กซองที่เชื่อถือเฮงสุนมากกว่าอาญาแผ่นดิน หมอก็ประกอบยาตามที่ไฮ้สุยสั่ง พอพนักงานลงมีดตัดของในที่ลับ เป๊กซองได้ความเจ็บปวดเหลือกำลัง ต้องนอนร้องกลิ้งเกลือกไปมาจนโลหิตอาบทั่วตัว ไฮ้สุยจึงให้เอาตัวไปประจานไว้ที่ประตูชั้นนอก ซึ่งมีคนมาดูกันมากมาย

ฝ่ายนายทหารรักษาพระองค์ ครั้นไปถึงบ้านเงียมซง เห็นเฮงสุนนั่งเล่นหมากรุกอยู่ ก็ตรงเข้าไปบอกว่าไฮ้สุยให้หา เฮงสุนก็ว่าพวกนี้ไม่มีอัชฌาสัย ไม่เห็นดอกหรือว่าเราเล่นหมากรุก อยู่กับใจเสี่ยง นายทหารรักษาพระองค์ก็ว่าท่านจะไปหรือไม่ไปให้ว่ามา เฮงสุนเห็นนายทหารรักษาพระองค์ไม่เกรงกลัวเหมือนก่อน จึงคิดว่าเรื่องนี้เห็นทีไฮ้สุยจะกราบทูล มีกระแสรับสั่งโปรดกับเขาแล้ว พวกเหล่านี้จึงได้กล้าหาญนัก จึงว่าทุเลาให้เราเล่นหมากรุกกระดานนี้แล้วเราจึงจะไป นายทหารว่าทุเลาไม่ได้ต้องไปเดี๋ยวนี้ เฮงสุนก็แลดูตาเงียมซงจะให้ช่วยเหลือ แต่เงียมซงบอกให้เฮงสุนไปก่อน แล้วตนจะตามไปดูภายหลัง เฮงสุนค่อยคลายใจจึงยอมไปกับทหาร

แล้วเงียมซงก็ให้คนไปเชิญ เตียจีเป๊ก กับ เตียบุนหอ มาปรึกษาที่บ้าน ชวนกันไปเยี่ยมเฮงสุน เตียจีเป๊กกับเตียบุนหอก็ให้เงียมซงไปก่อน แล้วจะตามไปทีหลัง

ฝ่ายเฮงสุนเมื่อไปถึงบ้านไฮ้สุย พอเดินเข้าไปถึงประตูชั้นนอก ก็เห็นเป๊กซองนอนร้องครวญครางอยู่ กับเห็นแผลที่หลังเป็นรอยเฆี่ยนใหม่ ๆ เป๊กซองก็พูดว่าข้าพเจ้าเห็นจะไม่รอดในคราวนี้ พูดเท่านั้นแล้วก็ร้องครางต่อไป เฮงสุนก็มิรู้ที่จะพูดประการใด เดินเข้าไปเห็นไฮ้สุยนั่งอยู่บนเง่หมึงมีกระบี่อาญาสิทธิ์วางอยู่ข้าง ๆ เฮงสุนก็ทรุดนั่งลงคุกเข่าคำนับกระบี่อาญาสิทธิ์ แล้วถามไฮ้สุยว่าท่านหาตัวข้าพเจ้ามาด้วยธุระสิ่งใด

ไฮ้สุยก็ว่ายังจะมาไถลถามอีกเล่า ตัวเจ้าขัดรับสั่งของพระเจ้าแผ่นดิน เราใช้ให้ ซาฮุยหงวนไปขอบัญชีที่เจ้าถึงสองครั้งก็ไม่ให้ แล้วพูดมากับซาฮุยหงวนซึ่งไม่รู้จักกฎหมาย จะให้เราเกรงกลัวอำนาจนั้นไม่ได้ เอาไว้ขู่คนอื่นเถิด ซึ่งเจ้าว่าอยู่ในพระราชวังชั้นนอก มิได้เข้าไปในพระราชวังชั้นในนั้นก็จริง แต่การที่จะยกไว้หรือมิยกนั้น ก็สุดแล้วแต่เรา จะมาบังคับเอาตามชอบใจของเจ้านั้นไม่ได้ และพวกขันทีที่เป็นไพร่ซึ่งอยู่ประจำในพระตำหนักตังเซียงเก๋งและไซเซียงเก๋งนั้น ไม่ได้เข้าไปข้างในเราจะยกไว้ แต่ตัวเจ้ากับเป๊กซองมียศศักดิ์มากเข้านอกออกในอยู่เสมอ มิได้มีผู้ใดห้ามปรามขัดขวาง ต้องชำระ

เฮงสุนเห็นว่าจะหลีกเลี่ยงต่อไปไม่ได้ จึงอ้อนวอนว่า ท่านจงเอ็นดูแก่ข้าพเจ้าด้วยแม้นท่านไม่เห็นแก่ข้าพเจ้า ก็จงเห็นแก่พระเจ้าแผ่นดิน ที่ได้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเถิด อย่าพึ่งทำให้ข้าพเจ้ายับเยินเสียเลย ไฮ้สุยก็ว่าเจ้าไม่ต้องมาสั่งสอนเราดอก ซึ่งเราทำการครั้งนี้ก็เพราะคิดถึงพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดิน พูดแล้วก็ให้เปลื้องเครื่องยศออกเสีย แล้วว่าเป็นคนสำคัญเราต้องชันสูตรเอง จะไว้ใจผู้อื่นไม่ได้ แล้วก็ให้ถอดกางเกงออก ให้พนักงานวัดดูเห็นยาวกว่านิ้วหน่อยหนึ่งจึงว่า เวลานี้เป็นเวลาทุกข์ยังยาวกว่า ถ้าเวลาสบายเห็นจะยาวมากกว่านี้ แล้วให้เอาไม้นิ้วมาวัดให้เป็นตัวอย่างเสียก่อน เหลือนั้นให้เอาเหล็กแหลมตอกกันไว้ เผื่อตกใจจะไม่คงอยู่ตามเดิม ก็จะเป็นคำเถียง ด้วยเฮงสุนเป็นคนโปรดปรานในพระเจ้าแผ่นดิน จะกราบทูลกล่าวโทษเราได้ว่าข่มเหง พวกพนักงานก็ทำตามคำไฮ้สุยสั่ง เฮงสุนได้ความเจ็บปวดเหลือกำลัง ก็ร้องจนสิ้นเสียง

พอดีเงียมซงมาถึง เดินผ่านประตูชั้นนอก ก็เห็นเป๊กซองนอนร้องครางกลิ้งเกลือกอยู่ ผ่านเข้าไปชั้นในก็เห็นเฮงสุนนอนกลิ้งร้องครวญครางอยู่เช่นกัน มีความเวทนานัก แต่มิรู้ที่จะพูดประการใด ไฮ้สุยก็เชิญให้นั่งในที่สมควร อีกไม่ช้าเตียจีเป๊กกับเตียบุนหอก็มาถึง ไฮ้สุยก็เชิญให้นั่งแล้วว่า วันนี้เราชำระความสำคัญ ผู้คนมามากนักไม่ควร เพราะท่านผู้ใหญ่มาอยู่ที่นี่ด้วย

แล้วสั่งให้ทหารไล่คนออกไปและปิดประตูเสีย อย่าให้เข้ามาได้ ต่อเราสั่งให้เปิดจึงเปิด ทหารก็ทำตามคำสั่งนั้น

แล้วไฮ้สุยก็สั่งสอนเฮงสุนว่า ตัวเจ้ามียศศักดิ์เสมอเจ้าต่างกรมก็จริง แต่เป็นขันทีไม่ควรจะหยิ่งให้เกินตัวไป เราได้ยินข่าวเขาว่า ขุนนางข้างหน้าเข้าไปหาต้องกราบ ถึงอย่างนั้นแล้วกว่าจะได้พูดด้วยต้องคอยอยู่เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ตัวเจ้าดูถูกขุนนางฝ่ายหน้านัก ไม่คิดเห็นบ้างเลยว่าขุนนางฝ่ายหน้าเป็นผู้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน

เมื่อพนักงานเอามีดตัดที่ลับของเฮงสุนนั้น เงียมซงเห็นก็มีความสงสารกลั้นน้ำตาไม่ได้ ไฮ้สุยจึงให้หมอเอายามาให้เฮงสุนกินและทา ความเจ็บปวดก็ค่อยบรรเทาลง ไฮ้สุยก็ถามว่าคำที่เราพูดถูกหรือผิด เฮงสุนว่าท่านนี้พูดถูก ข้าพเจ้าครั้งนี้เป็นคนมีความผิดมาก ท่านจงให้อภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด ไฮ้สุยจึงทำคำโคลงสั่งสอนเฮงสุนแปดบท มีความว่า

ผู้ใดสร้างกรรมที่เป็นอกุศลก็ย่อมได้แก่ผู้นั้น การที่ประกอบด้วยสติปัญญาพูดจาพลิกแพลงแต่งถ้อยคำแต่ที่ดี และอุบายถ่ายเทขึ้นกราบทูล จนถึงพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งออกไปแล้ว ก็กราบทูลให้ลบล้างรับสั่งก่อนเสียได้ ด้วยในเวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินไม่ทันตรึกตรอง ครั้นภายหลังทรงคิดขึ้นได้ ครั้นคิดไปก็ดูเหมือนผู้นั้นตีเสมอพระเจ้าแผ่นดิน ไม่เป็นฉันข้ากับเจ้า จะต้องการอย่างไรก็ว่าเองตามชอบใจ ไม่เอายุติธรรมเป็นที่ตั้ง ถ้าท่านทั้งปวงรู้ว่าตัวประพฤติการไม่ดี ก็ให้กลับใจเสียใหม่โดยเร็ว เร่งประพฤติให้เป็นคนดีเถิด ชื่อเสียงที่ดีก็จะได้ปรากฎไปภายหน้า

เฮงสุนดูคำโคลงแล้วก็รู้ว่าไฮ้สุยโกรธ เมื่อครั้งกราบทูลแก้ไขเงียมซือพวนอันเป็นคนผิด จึงว่าข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลาไม่ทันตรึกตรอง ข้าพเจ้าผิดไปแล้วท่านได้โปรดเถิด ข้าพเจ้าไม่คบเงียมซือพวนต่อไป ตั้งแต่ข้าพเจ้าคบเงียมซือพวน หากินด้วยการทุจริตด้วยกันมา ได้เงินทองมากน้อยเท่าใด ข้าพเจ้าจะรับให้หมดทุกอย่าง ข้าพเจ้าจะทำเรื่องราวรับผิดแก่ท่าน

ไฮ้สุยว่าตัวเราเป็นผู้ถือรับสั่งของพระเจ้าแผ่นดิน ทำโทษเจ้าผู้มีความผิดได้แต่เพียงนี้ ถ้าเจ้ารู้สึกตัวว่าผิด จงรับผิดต่อเง็กเซียงเต้ คือพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบันนี้จึงจะควร แล้ว ไฮ้สุยก็เอากระดาษกับหมึกพู่กัน ส่งให้เฮงสุนเขียนเรื่องราวรับสารภาพ ตามข้อความตั้งแต่คบกับเงียมซง เงียมซือพวน หากินไม่เป็นธรรม ได้เงินทองสิ่งของแบ่งปันกันมากน้อยเท่าใด มีในเรื่องราวหมดทุกประการ

ไฮ้สุยก็ว่าตัวเจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่บริสุทธิ์สมประกอบเหมือนเขาทั้งปวง ยังจะก่อสร้างกรรมที่เป็นอกุศลต่อไปอีกเล่า มีคำนักปราชญ์กล่าวไว้ว่า ถ้าคบคนดีย่อมเป็นที่จะให้มีความสุขและความเจริญรุ่งเรือง แม้นคบคนชั่วก็พาให้ตัวเป็นไปตามความชั่ว อันตรายต่าง ๆ ก็จะบังเกิดมีในชั่วนี้และชั่วหน้า เฮงสุนได้ฟังก็ยกมือขึ้นคำนับไฮ้สุยแล้วเอาเรื่องราวที่เขียนนั้นส่งให้ ไฮ้สุยรับเรื่องมาดูรู้สิ้นตามข้อความทุกประการแล้ว ก็คืนให้และพูดว่าเจ้าจงเอาไปถวายเองเถิดไม่ใช่ธุระของเรา เฮงสุนก็สรรเสริญไฮ้สุยอีกหลายประการ ไฮ้สุยก็มีความยินดีที่เฮงสุนกลับใจได้ จึงให้ทหารเปิดประตูปล่อยทุกคนกลับไปบ้าน


##############






























 

Create Date : 12 ตุลาคม 2551    
Last Update : 13 ตุลาคม 2551 6:09:56 น.
Counter : 390 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๖ ขันทีกำเริบ

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๒๖ ขันทีกำเริบ

“ เล่าเซี่ยงชุน “

หลังจากที่ ไฮ้สุย กลับมารับราชการในเมืองหลวงได้สองสามปี วันหนึ่งขณะนั่งเกี้ยวกลับจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ มาตามทางที่จะไปบ้าน ก็มีคนมาคอยดักยื่นหนังสือแจ้งเรื่องร้องเรียน ไฮ้สุยก็รับเรื่องราวแล้วให้เอาตัวคนยื่นหนังสือมาสอบสวน ได้ความว่าชื่อ ตังเสง เป็นที่ซือจ๋าย มากับเจ้าเมืองซุยกุยฮู พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ไฮ้สุยก็ให้ไปเอาตัวเจ้าเมืองซุยกุยฮูมาสอบสวนด้วย

เจ้าเมืองซุยกุยฮูก็กล่าวโทษ เงียมซือพวน บุตรของ เงียมซง ซึ่งเป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ออกไปรักษาราชการที่เมืองฮู่กองแซ ว่ามีความผิดหลายประการคือ เรียกร้องเอาเงินจากเจ้าเมืองกรมการทุกเดือน และข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนไปทุกเส้นหญ้า กับมีหนังสือส่งตัวตังเสงมาให้ตนฆ่า โดยหาว่าจะทำร้าย แต่ความจริงเงียมซือพวนหลอกลวงตังเสงไปเล่นสวาทก่อน กับเรื่องที่เงียมซือพวนต้องการถ้วยหยกโบราณของ มกฮวยโก เจ้าเมืองโซจิวฮู้ มกฮวยโกจึงทำถ้วยปลอมไปให้ แล้วหนีออกจากเมืองไป เงียมซือพวนให้ทหารตามไปจับตัวมาได้ แล้วส่งให้ กีกอง แม่ทัพซึ่งตั้งขัดตาทัพอยู่ในตำบลใกล้เคียงนั้นฆ่าเสีย แต่ มกเสง บ่าวของมกฮวยโกยอมตายแทน ปล่อยให้มกฮวยโกหนีไปอยู่ที่เมืองเซียมแซไซ เงียมซือพวนยังจับเอา นางเซาะเหนีย ภรรยาน้อยของมกฮวยโก ซึ่งเพิ่งคลอดบุตรใหม่ไป ยกให้เป็นภรรยา ถังตง บ่าวของตน แต่นางไม่ยินยอม จึงทำอุบายฆ่าถังตงเสีย แล้วฆ่าตัวตายไปด้วย

ไฮ้สุยได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็โกรธมาก จึงแต่งเรื่องราวขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ เอาไปถวายต่อพระหัตถ์ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้วก็ทรงขัดเคืองเป็นอันมาก ตรัสถามไฮ้สุยว่าจะทำอย่างไรดี ไฮ้สุยกราบทูลว่าต้องเอาตัวมาชำระให้ได้ เมื่อจะเอาเงียมซือพวนเข้ามานั้น ต้องลงพระราชอาญาจำให้ราษฎรเห็นปรากฎ ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่าการเรื่องนี้สุดแล้วแต่ท่านจะจัดการเถิด ไฮ้สุยก็แต่งหนังสือรับสั่ง มอบให้ขุนนางที่ซื่อตรงถือตราออกไป เอาตัวเงียมซือพวนจองจำเข้ามาเมืองหลวงตามรับสั่ง

ฮ่องเต้ก็ตรัสกับไฮ้สุยว่า เจ้าเมืองซุยกุยฮูเป็นคนตรง เห็นแก่การแผ่นดินมากไม่เสียดายชีวิต คนเช่นนี้หายากต้องเอาตัวไว้ ให้รับราชการในเมืองหลวงจึงจะควร ตรัสแล้วก็ทรงตั้งให้เป็นที่ขุนนางตำแหน่งชำระความ ขึ้นอยู่กับไฮ้สุย และตรัสถามไฮ้สุยว่าเดิมตังเสงเป็นที่ซือจ๋าย เราเลื่อนขึ้นให้เป็นที่จีนสือ ท่านเห็นสมควรหรือไม่ ไฮ้สุยก็กราบทูลว่าตังเสงคนนี้เป็นคนรู้หนังสือมาก เข้าไล่คราวนี้คงได้เป็นที่จีนสือ ซึ่งพระองค์โปรดตั้งนั้นสมควรแล้ว ฮ่องเต้จึงตั้งให้ตังเสงเป็นที่จีนสือ

ขณะนั้นเงียมซงก็เฝ้าฮ่องเต้อยู่ด้วย แต่ไม่ทราบว่าไฮ้สุยกราบทูลเรื่องอะไร จึงให้ เตียบุนหอ ไปสืบความจากเจ้าพนักงาน จึงได้ทราบว่าเงียมซือพวนได้ทำความผิดขึ้นในหัวเมืองหลายเรื่อง บัดนี้ฮ่องเต้ได้สั่งให้จองจำตัวเอาเข้ามาชำระในเมืองหลวง เงียมซงก็ตกใจให้คนไปเชิญ เตียจีเป๊ก เตียกือเจี้ย มาปรึกษาหารือ แต่เตียกือเจี้ยบอกป่วยไม่มา เงียมซงก็ว่าเดี๋ยวนี้ เตียกือเจี้ยไม่ใคร่มาหาเรา ให้คนไปเชิญครั้งไรก็บอกป่วย เมื่อไม่อยากคบค้ากันก็แล้วไป ครั้นปรึกษากันแล้ว ก็ให้เตียบุนหอไปหา เฮงสุน ขันทีคนโปรด ซึ่งรักใคร่ชอบพอกับเงียมซือพวนเหมือนพี่น้อง ให้ช่วยแก้ไขหนักเป็นเบาลงบ้าง

เฮงสุนนั้นฮ่องเต้ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการฝ่ายใน มียศเสมอเจ้าต่างกรม มีขุนนางข้าราชการเข้าประจบฝากตัวเป็นอันมาก ก็วางตัวว่ามีอำนาจเหนือขุนนางฝ่ายหน้า ผู้ใดเข้าไปพบก็ต้องนอบน้อมถ่อมตน เตียบุนหอนั่งรออยู่ถึงห้าชั่วโมงจึงได้เข้าใกล้ เฮงสุนก็ถามว่ามีธุระอะไร เตียบุนหอก็บอกว่าใจเสี่ยงใช้ให้มาคำนับท่าน เฮงสุนจึงให้คนใช้ยกน้ำชามาให้กินแล้วถามว่าท่านใจเสี่ยงมีธุระอะไร เตียบุนหอเห็นมีขุนนางอยู่หลายคน จึงกระซิบเล่าความเรื่องเงียมซือพวนต้องคดี ถูกจองจำเข้ามา ให้ฟังทุกประการ เฮงสุนก็ว่าข้าหลวงก็เชิญท้องตราออกไปแล้ว ครั้นจะไปปรึกษากับท่านใจเสี่ยงการก็จะช้าไป ต้องกราบทูลเสียก่อนจึงจะดี แล้วก็รับปากว่าจะช่วยผ่อนหนักให้เบาลง

แล้วเฮงสุนก็เข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ กราบทูลว่าเงียมซงกับเงียมซือพวนผู้บุตร พระองค์ทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงถึงขนาด ชื่อเสียงก็ปรากฎไปในนานาประเทศ ความเจริญแห่งคนทั้งสองก็ปรากฎแก่คนทั้งปวง ถ้าเงียมซือพวนทำความผิดดังที่ไฮ้สุยกล่าวโทษ ซึ่งพระองค์ให้ขุนนางเชิญท้องตราออกไปลงพระราชอาญา จำเงียมซือพวนเข้ามานั้น เห็นว่าจะกระเทือนถึงใจเสี่ยง เป็นที่อัปยศแก่อาณาประชาราษฎรมาก พระองค์ก็ยังจะทรงชุบเลี้ยงต่อไป ถ้าทำดังนี้แล้ว ราษฎรทั้งปวงก็จะหมิ่นประมาทได้ ไม่เป็นที่เกรงขาม ขอรับพระราชทานโทษลงเสียบ้าง

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า เงียมซือพวนมีความผิดมากหลายข้อท่านยังไม่รู้ เงียมซือพวนถืออำนาจเงียมซงว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เฮงสุนก็กราบทูลว่าพระองค์ทรงพระเมตตาโปรดให้เวียมซือพวนเป็นที่เอ๋ซุนอ้าน มีอาญาสิทธิ์แล้ว ไม่ต้องถืออำนาจบิดา จะทำอะไรก็ทำได้ ฮ่องเต้ก็พระราชทานเรื่องราวที่ไฮ้สุยถวายนั้น ให้เฮงสุนดู เฮงสุนทราบความแล้วก็กราบทูลว่า เงียมซือพวนถ้าทำผิดจริงดังไฮ้สุยกล่าว ต้องทำโทษเสียบ้างพอให้เข็ดหลาบ

แล้วเฮงสุนก็กราบทูลถวายคำแนะนำว่า ข้อที่เงียมซือพวนเกณฑ์เอาเงินแก่จงตกและขุนนางกรมการในเมืองฮู่กองแซ เสมอทุกเดือนนั้นไม่ควร เอาของเขามาเท่าไรต้องชำระเอาเงินคืนให้ตามเดิมจนครบ ข้อที่ให้ทหารตามจับเจ้าเมืองซุยกุยฮู และตังเสงเป็นที่ซือจ๋ายให้ฆ่าเสียนั้นมีโทษ ความสองเรื่องนี้ลี้ลับอยู่ ไฮ้สุยจะได้รู้ก็เพราะซือจ๋าย โทษที่ทำแก่ซือจ๋ายนั้นผิด ต้องถอดเงียมซือพวนออกจากที่เอ๋ซุนอ้าน ให้เป็นไพร่อยู่ที่เมืองฮู่กองแซสามปี เบี้ยหวัดเงินเดือนของเงียมซือพวนนั้น ยกให้แก่ซือจ๋ายกึ่งหนึ่ง ให้แก่เจ้าเมืองซุยกุยฮูกึ่งหนึ่ง สืบไปวันหน้าถ้าเงียมซือพวนมีความชอบ จึงให้เข้ามารับราชการตามเดิม ถ้าทำดังนี้โดยไฮ้สุยจะรู้ก็ไม่โกรธ เงียมซงก็ได้ความอายน้อยลง ไม่อายเหมือนจำประจานเอาตัวเข้ามา

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงตรัสว่าถ้าจะทำตามท่านว่าแล้วอย่าให้ไฮ้สุยรู้ ตรัสแล้วจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงาน แต่งหนังสือรับสั่งขึ้นใหม่ แก้ไขรับสั่งฉบับก่อน ตามคำของเฮงสุน แล้วให้ขุนนางผู้เป็นข้าหลวงรีบตามขุนนางคนก่อนเอาหนังสือรับสั่งฉบับแรกคืนมา

แล้วเฮงสุนก็ไปหาเงียมซง เล่าเรื่องที่ช่วยแก้ไขเงียมซือพวนให้ทราบทุกประการ เงียมซงก็ยินดีเป็นที่ยิ่งพูดว่า ท่านมีความเมตตาสงเคราะห์บุตรข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณหาที่สุดมิได้ เฮงสุนว่าเงียมซือพวนมีความผิดเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าเอาตัวเงียมซือพวนจำประจานเข้ามาชำระในเมืองหลวงแล้ว ที่จะแก้ตัวให้พ้นไปนั้นไม่ได้ ด้วยเป็นความจริงทุกเรื่อง ถ้าไม่จริงแล้วที่ไหนไฮ้สุยจะกราบทูล ถ้าเอาตัวเข้ามาถึงมือไฮ้สุยแล้ว ก็จะเอากฎหมายแบบอย่างออกตั้ง ชำระตามกฎหมาย ที่ไหนเงียมซือพวนจะพ้น คงจะตายเป็นแน่ เงียมซงจึงว่าการครั้งนี้ถ้าไม่ได้ท่านแล้ว บุตรข้าพเจ้าก็คงตายเป็นแน่ ข้าพเจ้าก็จะได้ความอายแก่คนทั้งปวงมากนัก

ฝ่ายขุนนางผู้ถือรับสั่งคนหลัง ตามไปทันคนแรกกลางทาง จึงแจ้งเรื่องมีรับสั่งให้ทราบ ครั้นไปถึงเมืองฮู่กองแซแล้ว ก็จัดการตามหนังสือรับสั่ง แล้วเอาเครื่องยศและตราตั้งของเงียมซือพวนกลับมา ครั้งนั้นเงียมซือพวนได้ความอายแก่เจ้าเมืองกรมการและราษฎรเป็นอันมาก

ครั้นขุนนางข้าหลวงคนแรกกลับมาถึงเมืองหลวง ก็เล่าความทั้งปวงให้ไฮ้สุยฟังโดยละเอียด ไฮ้สุยก็สงสัยว่าใครหนอมากราบทูลแก้ไข จนความกลับกลายไปได้ เห็นจะเป็นพวกกังฉินด้วยกัน เป็นใจเข้าด้วยคนกังฉิน เพราะการที่จะเอาตัวเงียมซือพวนจำเข้ามานั้น ด้วยปรารถนาจะชำระความเจ้าเมืองโซจิวฮู้รายถ้วยหยก ซึ่งยังหาได้กราบทูลไม่ จึงให้คนสนิทไปสืบดูก็ได้ความว่า เงียมซงให้เตียบุนหอไปหาเฮงสุนขันทีคนโปรด ช่วยกราบทูลแก้ไขรับสั่งให้ ไฮ้สุยก็โกรธมากจึงว่า

“…….บัดนี้ในพระราชวังเกิดหนอนตัวใหญ่ขึ้นแล้ว เฮงสุนเป็นเด็กหนุ่มยังไว้อำนาจโตใหญ่ ขัดขวางการแผ่นดินได้ถึงเพียงนี้ ไปวันหน้าถ้าเฮงสุนมีอายุมากขึ้น พระเจ้าแผ่นดินโปรดปรานเชื่อฟังมาก ก็จะกำเริบใจยิ่งกว่านี้………”

ไฮ้สุยจึงให้หาตัว พั่งเปา ขันทีคนสนิทของฮองเฮามาสอบถาม ก็ได้ความว่า เฮงสุนคนนี้แต่ก่อนก็เรียบร้อยดี การงานก็รับใช้สอยแข็งแรงถูกต้องตามแบบอย่าง ชอบพระอัชฌาสัยพระเจ้าแผ่นดิน ตั้งแต่คบค้าเข้ากับเงียมซือพวน ดูประพฤติแปลกไปไม่เรียบร้อยเหมือนแต่ก่อน

อยู่มาวันหนึ่งไฮ้สุยก็แต่งเรื่องราวกราบทูลฮ่องเต้ มีความว่า

“……..พวกขันทีที่อยู่ในพระราชวังมีมาก แต่ขันทีที่เป็นผู้ใหญ่สูงอายุมีอยู่สักสองร้อยเศษ นอกนั้นก็แต่ล้วนหนุ่ม ๆ ได้ตรวจตราดูแล ก็แต่เมื่อแรกเข้ามารับราชการคราวเดียวเท่านั้น การก็นานมากว่าสิบปีแล้ว ไม่ได้ตรวจตราดูแลกันอีกเลย ข้าพเจ้าวิตกด้วยนางพระสนมอยู่ในพระราชวังมีมากนับด้วยพัน แม้นพวกขันทีเหล่านี้มีเพศบุรุษเจริญออกทำการร้ายขึ้นแล้ว ถ้ารู้ไปในประเทศต่าง ๆ ก็เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าชำระเอาตัวพวกขันทีมาตรวจเสียให้ถ้วนถี่ทุกคนสักคราวหนึ่ง แม้นมีบุรุษเพศเสมอหนึ่งนิ้ว หรือต่ำลงมากว่านั้นก็ให้งดไว้ ถ้ามีบุรุษเพศงอกงามเจริญมากออกไปกว่าก็ให้ตัดเสีย เรื่องความร้ายขันทีนี้ แต่ก่อนครั้งแผ่นดิน พระเจ้าเจงเต๊กฮ่องเต้ นั้น เล่ากึน เป็นขันทีเสาะแสวงหาได้ยาวิเศษมากิน มีเพศงอกยาวออกไปเหมือนคนปกติ ตัวอย่างเคยมีอยู่ดังนี้ ถ้านิ่งไว้ไม่ตรวจตราดูแลระวัง ข้าพเจ้ากลัวจะเกิดเป็นขึ้นเช่นนั้น….”

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ รับเรื่องราวมาทอดพระเนตรทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า

“……..การเรื่องนี้เราก็คิดเหมือนดังท่านมานานแล้ว ครั้นจะคิดขึ้นก่อนให้ตรวจตราดูแลกัน ก็เกรงขุนนางเขาจะนินทาว่าเป็นคนขี้หึง ท่านทำเรื่องราวเข้ามาว่าดังนี้ชอบแล้ว เรามอบให้ท่านเป็นธุระในการนี้ ตามแต่จะตรวจตราดูแลตัดทอนไปตามควรเถิด……..”

ไฮ้สุยก็กราบทูลว่า

“……..ข้อความราชการบ้านเมืองสิ่งใด ข้าพเจ้ากราบทูลแล้ว พระองค์ก็มิได้ขัดแต่สักครั้ง พระเดชพระคุณเป็นที่สุด ถ้าข้าพเจ้าไปแล้วแม้นมีผู้มาทูลประการใด มักจะผันแปรไป ขอพระองค์จงโปรดให้ผู้อื่นชำระ……..”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังจึงตรัสว่า

“……..เราได้ว่าออกไปอย่างไรก็อย่างนั้น ได้กลับกลายไปเมื่อไรเล่า ถ้าท่านยังแคลงอยู่เราจะให้อาญาสิทธิ์ไป แม้นผู้ใดขัดขวางไม่ทำตามท่านบังคับก็ให้ฆ่าเสีย…….”

แล้วฮ่องเต้ก็พระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์ให้ ไฮ้สุยก็ถวายบังคมลาออกมาอยู่ที่พักขุนนาง ให้หาตัว ซาฮุยหงวน ซึ่งเป็นขันทีผู้ใหญ่อายุได้แปดสิบสามปีมาบอกว่า ตัวท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าขันทีทั้งปวง บัดนี้มีรับสั่งให้เราเป็นผู้ตรวจตราดูแล พวกขันทีที่มีอยู่ในพระราชวัง มากน้อยเท่าใดจงไปทำบัญชีมาให้ถ้วนถี่ อย่าให้ช้า จงลงมือทำแต่วันนี้ไปให้แล้วในสิบวัน

ซาฮุยหงวนก็สงสัยว่าไฮ้สุยจะเอาบัญชีพวกขันทีไปตรวจเรื่องอะไร จึงถามว่าท่านจะเอาขันทีมาชันสูตรหรือ ไฮ้สุยก็หัวเราะ ซาฮุยหงวนก็ถามต่อว่าเหมือนตัวข้าพเจ้านี้ก็ชราถึงเพียงนี้แล้ว ท่านจะชันสูตรด้วยหรือ ไฮ้สุยว่าส่วนตัวท่านเรายกให้ แต่นอกนั้นต้องชันสูตรหมดทุกคน จงเร่งไปทำบัญชีมาให้ถ้วนถี่ ให้มีเกษียณอายุและชื่อเสียงไว้ทุกคน แม้นปิดบังอำพรางไว้ ชำระได้ความจริงจะเอาตัวเป็นโทษ ซาฮุยหงวนก็บอกว่าขันทีในพระราชวังมีอยู่สักสองพันเศษ แล้วก็คำนับลาไปทำตามที่ไฮ้สุยสั่ง

ในไม่ช้าซาฮุยหงวนก็เอาบัญชีขันทีมาให้ไฮ้สุย ปรากฎว่าในพระตำหนักไต้เม่งไต้พระตำหนักฮองเซียนเต้ย พระตำหนักช่วงเจียไต้ และพระตำหนักไต้เชงไต้ มีตำหนักละร้อยแปดสิบสี่ ในพระตำหนักไทอันไต้ พระตำหนักเก๋งอันไต้ มีตำหนักละสามร้อยหกสิบแปด ส่วนพระ ตำหนักงือลิมหึงในสวนดอกไม้นั้น มีหกร้อยห้าสิบคน พระตำหนักเหล่านี้อยู่ในพระราชวังชั้นใน รวมหมดทั้งตัวนายและไพร่สองพันร้อยยี่สิบสองคน มีชื่อแซ่และอายุทุกคน แต่ไม่มีชื่อเฮงสุน

แล้วไฮ้สุยจะจัดการอย่างไรกับพวกขันทีจำนวนมากมายเหล่านี้ คงจะต้องรอกันจนกว่าจะถึงตอนหน้า.

##########




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2551    
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 8:22:07 น.
Counter : 454 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.