Group Blog
 
All Blogs
 

ฮ่องเต้ยอดชั่ว (๔)

คุ้ยพงศาวดารจีน

ฮ่องเต้ยอดชั่ว

ตอนที่ ๔ แผ่นดินสิ้นคนเลว

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ระหว่างที่หลีซือหงวน ยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ทหารทั้งกองทัพของตน ก็ห้อมล้อมพาตัวแม่ทัพจะเข้าเมืองเงียบเสีย ฝ่ายที่ตั้งตัวเป็นกบฏอยู่ในเมืองไม่ยอมให้เข้า เกรงว่าจะเป็นกลอุบาย จึงเกิดการสู้รบกันขึ้น พวกกบฏในเมืองเสียที เตียไจลี้ผู้เป็นหัวหน้าถูกฆ่าตาย นายทหารทั้งปวงจึงพาหลีซือหงวนเข้าไปในเมือง พูดจาเกลี้ยกล่อมทหารและราษฎรให้สิ้นความกลัว และเชื่อถือเป็นปกติ ก็มีขุนนางที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ พูดกับหลีซือหงวนว่า

“………พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ได้ทรงวางพระทัย ให้ท่านเป็นแม่ทัพยกออกมาปราบปราม ผู้ซึ่งเป็นกบฏเสี้ยนหนามสำเร็จแล้ว บัดนี้มีคนเป็นอันมากมาพูดจาข่มขืน จะยกท่านขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ถ้าท่านยังรออยู่กับคนเหล่านี้ ความทราบไปถึงพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ ก็คงจะระแวงสงสัย ภัยอันตรายก็จะบังเกิดมีมาถึงท่าน ขอท่านจงเร่งยกกองทัพกลับไปเฝ้ากราบทูล ชี้แจงให้สิ้นความที่มัวหมอง……”

หลีซือหงวนก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้นายทหารตระเตรียมที่จะยกกองทัพกลับ แต่นายทหารทั้งหลายไม่ยอมปฏิบัติตาม หลีซือหงวนจึงทำหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบความ ที่ไพร่พลทั้งหลายไม่ยอมให้ตนยกทัพกลับ แล้วก็ปรึกษานายทัพนายกอง ย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองเซียงจิว เมื่อเจ้าเมืองอื่นได้แจ้งความก็พากันมาสามิภักดิ์ด้วย เป็นหลายเมือง

พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ได้ทราบความที่ นายทัพนายกองคนเก่าของหลีจีนอ๋อง จะยก หลีซือหงวนขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ก็ตกพระทัยจึงปรึกษากับขุนนางคนสนิททั้งสาม ว่าจะคิดอย่างไรจึงจะปราบปรามหลีซือหงวนได้ ทั้งสามนายก็ยังจนปัญญาอยู่ พอดีม้าใช้นำหนังสือของหลีซือหงวนมาให้ นอกเวลาเสด็จออก ทั้งสามนายก็เปิดผนึกออกอ่าน มีความว่า

กราบทูลพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ ซึ่งพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าคุมกองทัพ มาตีเมืองเงียบเสีย ปราบปรามเตียไจลี้ซึ่งเป็นกบฏนั้นสำเร็จแล้ว เตียไจลี้ก็ตายในที่รบ บัดนี้นายทหารเก่า ๆ ของหลีจีนอ๋องซึ่งเป็นบิดา มาพูดจาข่มขืนจะยกข้าพเจ้าขึ้นเป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่ยอมก็พากันขัดขวางกั้นกางไม่ให้ข้าพเจ้ายกทัพกลับมาเฝ้า และใจข้าพเจ้านี้มีความซื่อสัตย์สุจริต หาได้คิดประทุษร้ายต่อพระองค์ไม่ ถ้ามีผู้ใดมาเพ็ดทูลกล่าวโทษข้าพเจ้าประการใด ขอพระองค์อย่าเพ่อเชื่อก่อน

ขุนนางทั้งสามนายก็ปรึกษากันว่า ความอันนี้เราได้กราบทูลฮ่องเต้ให้เชื่อแล้วว่า หลีซือหงวนเป็นกบฏ บัดนี้มีหนังสือเข้ามาว่าตัวยังสัตย์ซื่ออยู่นั้น ครั้นจะกราบทูลฮ่องเต้ก็จะกลับพระทัย เชื่อนับถือหลีซือหงวนดังแต่ก่อน ก็จะเป็นที่กีดขวางยศศักดิ์ และอำนาจของเราทั้งสามนัก จำเราจะปิดความในหนังสือเสีย ปรึกษากันแล้วก็นิ่งเฉยเสีย หาเอาความขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ไม่

ทหารม้าใช้ของหลีซือหงวน ที่ถือหนังสือเข้ามา คอยฟังความอยู่หลายวันเห็นเงียบไป จึงสืบสวนได้ความแน่ว่า ขุนนางทั้งสามหาได้นำหนังสือขึ้นถวายฮ่องเต้ไม่ ก็รีบกลับไปบอกกับหลีซือหงวน เมื่อทราบเรื่องแล้วหลีซือหงวนก็ตกใจ จึงปรึกษากับขุนนางนายทหารว่า จะคิดประการใดดี ฮ่องเต้จึงจะทรงทราบความจริงใจของตนได้ เจียะเกงถังเจ้าเมืองฮัวไซจึงว่า

“…….บัดนี้ชื่อเสียงท่านก็ปรากฏว่า เป็นคนคิดทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ซึ่งจะกลับไปเมืองหลวงเข้ารับราชการต่อไปนั้น ที่ไหนจะสิ้นความหม่นหมอง อันตรายก็จะมีแก่ท่านโดยเร็ว ควรท่านจะต้องคิดการเลยไปตามคนทั้งหลาย ที่เขาเห็นพร้อมกันเป็นอันมากจึงจะชอบ…”

หลีซือหงวนก็ว่า ซึ่งจะคิดดังนั้นจะมิเป็นคนอกตัญญู เสียน้ำสบถไปหรือ เจียะเกงถังจึงว่า

“…….การซึ่งจะรักษาสัตย์สุจริตและกตัญญู ให้มั่นคงนั้นก็มีอยู่สถานหนึ่ง ที่ควรจะละเสียนั้นก็มีอยู่สถานหนึ่ง ครั้งนี้ท่านก็เปลี่ยนมาเป็นแซ่หลีแล้ว ถือสัตย์กตัญญูต่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ผู้เดียวนั้น จะมีเสียสัตย์กตัญญูต่อพระเจ้าถังโกโจ๊ อันเป็นต้นวงศ์แซ่หลี ซึ่งได้ครอบครองแผ่นดินสืบเชื้อวงศ์ต่อ ๆ มา ก็บัดนี้พระเจ้าจังจงไม่เอาราชการ มัวแต่ประพฤติการเล่นอันหาประโยชน์มิได้ ถ้าแผ่นดินตกไปอยู่กับแซ่อื่นเสียแล้ว ตัวท่านก็จะไม่เป็นคนละความกตัญญู และตระกูลของท่านหรือ……..”

หลีซือหงวนได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอั้น คิดอยู่ช้านาน ขุนนางนายทหารคนสนิทก็ว่าการครั้งนี้ท่านอย่ารวนเรเลย ถ้อยคำของเจียะเกงถังว่านี้ดีนัก จงตั้งหน้าไปอย่างเดียวเถิด พวกตนทั้งหลายก็เห็นพร้อมใจกันแล้ว หลีซือหงวนก็ถามว่าถ้าตกลงดังนั้น จะให้ตนทำประการใด เจียะเกงถังก็ให้ยกไปตีเมืองเปียนเหลียงเอาไว้เป็นที่มั่นก่อน หลีซือหงวนก็ทอดใจใหญ่ว่า ครั้งนี้เป็นการ จำเป็นแล้ว จะต้องยอมตามความปรารถนาของท่านทั้งหลาย

แล้วก็สั่งให้จัดกองทัพ ให้เจียะเกงถังกับเซียนฮองเป็นแม่ทัพหน้า หลีซือหงวนก็เป็นแม่ทัพใหญ่ เคลื่อนพลจากเมืองเซียงจิว ไปถึงเมืองเปียนเหลียงก็ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้

เมื่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ซึ่งประทับอยู่ที่ลกเอี๋ยงเมืองหลวงทราบว่า หลีซือหงวนยกกองทัพมาตีเมืองเปียนเหลียง ก็ปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่าจะคิดสู้รบประการใด ยังไม่เป็นที่ ตกลงก็ได้ยินเสียงกลองและเสียงโห่ร้องก็องสนั่น ดังเข้าไปถึงในพระราชวัง จึงรับสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ออกไปสืบดูว่า เสียงอันใดอื้ออึงหนักหนา ทหารรักษาพระองค์ก็เข้ามากราบทูลว่า นายทหารคนหนึ่งกับนายโรงงิ้วเป็นกบฏ คุมทหารเข้าตีประตูเฮ่งฮ้วยหมึง ฮ่องเต้ก็ตกพระทัยมีรับสั่งให้นายทหารที่เข้าเฝ้าอยู่นั้น ออกไปเกณฑ์เอาราษฎรและทหารกองตระเวน มาป้องกันรักษาพระราชวัง ก็หามีราษฎรผู้ใดมาไม่ ต่างก็ปิดประตูบ้านรักษาครอบครัวอยู่ด้วยกัน ทุกบ้านทุกตำบล ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้หานายทหารม้าและทหารเดินเท้า สำหรับล้อมรักษาพระราชวัง ก็ไม่มีผู้ใดมาเฝ้า

พระเจ้าจังจงฮ่องเต้จึงคุมทหารรักษาพระองค์ ออกไปสู้รบกับพวกโต้โผงิ้วเอง ครั้นพวกงิ้วกบฏแตกล่าถอยไป ก็เสด็จกลับเข้ามาในพระราชวัง กำลังเหนื่อยล้า ฮ่องเต้ก็เอนพระองค์ลงบรรทมอยู่ที่แท่นใต้ต้นไม้ใหญ่ โต้โผงิ้วก็พาพวกกบฏเผาประตูพระราชวังทำลายลง แล้วยกพลเข้ามาอีก ขุนนางและนายทหารรักษาพระองค์ ซึ่งอยู่กับฮ่องเต้ก็พากันหลีกเลี่ยงหลบหนีไปหาครอบครัว ทิ้งฮ่องเต้ไว้กับนายทหารสามคน กับทหารเลวเก้าคนต่อสู้ต้านทานพวกกบฏไว้ สุดท้ายฮ่องเต้ก็ถูกฝ่ายกบฏยิงด้วยเกาทัณฑ์ ล้มลงสิ้นพระชนม์

นางเซียวอิวนางงิ้วคนโปรด เห็นฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ พระศพกลิ้งอยู่กลางพื้นดิน ก็เข้าไปกอดพระศพร้องไห้คร่ำครวญอาลัยรัก แล้วก็ไปขนเอาเครื่องแต่งตัวงิ้ว และเครื่องมโหรี มากองทับพระศพไว้แล้ว เอาไฟจุดเผาไหม้เสียจนสิ้นทราก ส่วนนางเล่าฮองเฮามเหสี ก็รวบรวมสิ่งของที่มีราคาใส่ถุง ผูกแขวนอานม้าไว้ แล้วก็จุดไฟเผาพระที่นั่งเกี้ยคงเต้ยลุกไหม้ขึ้น แล้วนางก็อุ้มบุตรที่เกิดด้วยฮ่องเต้ ขึ้นม้าหนีไป

พวกขุนนางพนักงานในพระราชวัง เห็นไฟไหม้ขึ้นในพระราชวัง ก็พาทหารพวกพ้องของตนเข้าไป พบนางสนมของฮ่องเต้สามสิบหกคน ก็ช่วยพาตัวหนีไฟออกไปแบ่งปันกันเอาเป็นเมียเสียทั้งสิ้น พวกราษฎรก็พากันเข้าไปเก็บข้าวของในพระราชวัง ที่หลงเหลือจากไฟไหม้ได้เป็นอันมาก

นายทหารกับโต้โผงิ้วที่เป็นกบฏ ก็ออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปหาหลีซือหงวน ที่ค่ายหน้าเมืองเปียนเหลียง แจ้งความว่าในเมืองลกเอี๋ยงเกิดความวุ่นวาย ทหารและราษฎรพากันกำเริบขึ้น ทำร้ายพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ สิ้นพระชนม์เสียแล้ว

หลีซือหงวนได้แจ้งดังนั้น ก็ร้องไห้เศร้าโศกถึงฮ่องเต้ ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้ายของ แซ่หลี เป็นอันมาก และพูดกับนายทัพนายกองว่า

“……..การซึ่งเป็นดังนี้ ก็เพราะพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ลุ่มหลงไปด้วยสตรี เชื่อถือแต่ขุนนางที่เป็นข้าหลวงเดิม ขุนนางเก่า ๆ ที่มีสติปัญญาก็ไม่ชุบเลี้ยง การอันตรายจึงได้มีมาถึง พระองค์…..”

ครั้นคลายความโศกแล้ว หลีซือหงวนก็ยกกองทัพรีบมาเมืองลกเอี๋ยง เข้าพักอยู่ที่บ้านเดิมของตน และสั่งกำชับนายทหารมิให้กระทำข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน แล้วก็เข้าไปในพระราชวัง เห็นตำหนักน้อยใหญ่ถูกไฟไหม้เป็นเถ้าถ่านไปสิ้น มีผู้ชี้บอกที่ซึ่งฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ก็เห็นแต่อัฐิไหม้ไฟเรี่ยรายอยู่ หลีซือหงวนก็ให้ทหารเก็บใส่หีบ เอาไปฝังเสียตามธรรมเนียมศพพระมหากษัตริย์

แล้วขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารและพลเรือน ก็พร้อมกันปรึกษาทำหนังสือเชิญ หลีซือหงวนขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ แต่หลีซือหงวนไม่ยอมรับ และตอบว่า

“…….ตัวเราเป็นคนต่างตระกูล หลีจีนอ๋องเอามาเลี้ยงเป็นบุตร จึงได้เปลี่ยนเป็นแซ่หลี ขอให้ท่านทั้งหลายหาเจ้านายที่เป็นแซ่หลีโดยแท้นั้น มาเป็นเจ้าครอบครองแผ่นดินต่อไปเถิด……”

ขุนนางทั้งหลายทั้งปวงจึงว่า

“……ซึ่งท่านจะบิดพริ้วอยู่ดังนี้มิควร ด้วยแผ่นดินและราษฎรจะเป็นสุขก็เพราะพระมหากษัตริย์ ผู้ครอบครองมีสติปัญญาและอำนาจมาก บ้านเมืองจึงจะมีความเจริญ ซึ่งจะเอาแต่คนที่มีตระกูลอันหาปัญญาและอำนาจมิได้ มายกย่องตั้งขึ้นให้เป็นผู้ครอบครองนั้น ก็เหมือนหนึ่งจะทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ได้รับความเดือดร้อนต่อไปอีก ตัวท่านนี้ราษฎรทั้งปวงก็นิยมนับถือ ว่าเป็นคนมีเมตตากรุณา แก่คนทั้งหลายมิได้เลือกหน้า ซึ่งท่านไม่รับครองราชสมบัตินั้น จะมิขาดเมตตาไปหรือ…….”

หลีซือหงวนได้ฟังดังนั้น ก็คิดตรึกตรองดูตามถ้อยคำซึ่งขุนนางกล่าวนั้น ถูกต้องทุกประการ จึงได้ยอมรับเป็นผู้ครอบครองแผ่นดินต่อไป เมื่อขุนนางทั้งปวงเตรียมจัดการราชาภิเษก หลีซือหงวนก็ให้ตั้งเครื่องเซ่นกษัตริย์ซึ่งได้ครองราชสมบัติมาแต่ก่อนให้พร้อม แล้วจึงคุกเข่าคำนับกล่าวคำอธิษฐานว่า

“………ซึ่งข้าพเจ้าจะครองราชสมบัติครั้งนี้ มิได้เป็นกบฏประทุษร้ายต่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ ซึ่งมีพระคุณได้ชุบเลี้ยงมา ประการหนึ่งมได้ปรารถนายศและลาภ และความคิดพยาบาทจะทำร้ายท่านผู้อื่น ด้วยอำนาจอันใหญ่ด้วยเหตุสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ซึ่งข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติครั้งนี้ ก็เพราะมีความเมตตาแก่ราษฎร จะทำนุบำรุงให้มีความสุขโดยสุจริตอันอยู่ในยุติธรรม ขออำนาจพระมหากษัตริย์ตราธิราชเจ้า อันล่วงไปแล้วแต่ก่อน ๆ นั้น จงได้อภิบาลรักษาให้ข้าพเจ้าเจริญยืนยาวไป…….”

คำนับอธิษฐานแล้วก็เสด็จสถิตบนพระที่นั่งฮำเซียงเต้ย ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็กราบถวายบังคม และถวายพระนามว่า พระเจ้าเหมงจงฮ่องเต้ แล้วฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ตั้งนางเชาสีภรรยาใหญ่เป็นที่ฮองเฮา ตั้งหลีซองเถาพระราชบุตรเป็นที่ไทจือรัชทายาท แล้วพระราชทานนาง หยงเหนงกงจู๊พระราชบุตรี เป็นภรรยาเจียะเกงถัง ด้วยเห็นว่าเป็นผู้มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็ง สมควรยกขึ้นเป็นฮู่ม้าหรือพระราชบุตรเขยได้ และก๊วยซองเคียมโต้โผงิ้วซึ่งเป็นผู้คิดเอาเมืองหลวงมาถวายนั้น ให้เป็นเจ้าเมืองเกงจิว

ต่อมาพระเจ้าเหมงจงฮ่องเต้ ก็คิดเฉลียวพระทัยว่า ก๊วยชองเคียมนี้เป็นผู้คิดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งให้บำเหน็จเป็นเจ้าเมืองนี้ จะเป็นเยี่ยงอย่างแก่ขุนนางทั้งปวง จำจะต้องทำโทษเสียตามกฎหมายแผ่นดิน จึงให้นายทหารถือรับสั่งไปบอกแก่ก๊วยชองเคียมว่า การซึ่งคิดเอาเมืองถวายพระเจ้าเหมงจงฮ่องเต้นั้น ก็เป็นความชอบมาก ได้ทรงตั้งแต่งให้มียศเป็นเจ้าเมืองใหญ่ ก็สมควรแก่ความชอบแล้ว แต่พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ได้ทรงชุบเลี้ยงให้มีความสุข ตนมาคิดประทุษร้าย ปลงเสียซึ่งพระชนม์ฮ่องเต้เจ้านายของตนนั้น มีโทษต้องด้วยกฎหมายให้ตายสามชั่วโคตร อย่าให้ก๊วยชองเคียมมีความเสียใจเลย จงตายไปตามโทษของตนที่ทำไว้เถิด นายทหารก็ไปเมืองเกงจิว ลงโทษก๊วยชองเคียมเสียตามรับสั่ง

เมื่อพระเจ้าเหมงจงฮ่องเต้ได้รับราชสมบัตินั้น มีพระชนมายุหกสิบปีเศษ พระองค์ก็ตั้งอยู่ในยุติธรรม ไพร่บ้านพลเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากเหตุชั่วร้ายในแผ่นดิน จนพระชนมายุได้หกสิบเก็าปี จึงสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคชรา

สิ้นบุตรของหลีจีนอ๋องคนสุดท้ายแต่เพียงนี้.

#########




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2559 9:57:34 น.
Counter : 943 Pageviews.  

ฮ่องเต้ยอดชั่ว (๓)

คุ้ยพงศาวดารจีน

ฮ่องเต้ยอดชั่ว

ตอนที่ ๓ แม่ทัพผู้ด้อยวาสนา

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อจูอิวฉองได้ฆ่าจูอิวกุยผู้พี่ ซึ่งฆ่าพระเจ้าเหลียงไทโจ๊ผู้บิดา ตายตกไปตามกันแล้ว ก็กลับออกมาข้างหน้า ให้หาขุนนางและนายทหารมาพร้อมกัน แล้วก็เล่าความซึ่งเกิดฆ่าฟันกันให้ฟังทุกประการ กับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาหีบมาใส่ศพทั้งสองไปฝังเสีย ตามยศทั้งสองศพ

ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ปรึกษาเห็นพร้อมกัน เชิญจูอิวฉองขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองราชสมบัติสืบต่อไป และถวายพระนามว่า พระเจ้าเคียนฮวย ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ตั้งซีฮองเฮาพระราชมารดาเป็นฮองไทเฮา แล้วทำหนังสือรับสั่งบอกเหตุการณ์ซึ่งเกิดวุ่นวาย จนพระเจ้าเหลียงไทโจ๊สิ้นพระชนม์ ไปถึงเฮ่งง่วนเจียง เมื่อทราบความแล้วเฮ่งง่วนเจียงก็เสียใจมีความเศร้าโศกเป็นอันมาก แต่ก็ยังคงทำศึกกับหลีจีนอ๋องต่อไป

ฝ่ายหลีลูอ๋องได้ทราบข่าว ความวุ่นวายในเมืองเปียนเหลียงแล้ว ก็พูดกับนายทัพนายกองว่า จูอุนตายแล้ว การที่จะทำศึกต่อไปนั้นเห็นเราจะได้ชัยชนะ ขุนนางนายทหารก็ว่า

“……..ธรรมดาผู้ซึ่งเป็นกบฏคิดทรยศต่อเจ้านายของตัวแล้ว ถึงจะได้ดีก็หามีความเจริญอยู่นานไม่ ด้วยฟ้าและดินไม่เข้าด้วยคนผิด จึงเผอิญให้ลูกฆ่าพ่อตาย แล้วน้องฆ่าพี่ตายซ้ำลงอีก ก็เพราะด้วยเหตุจะให้เห็นประจักษ์แก่คนทั้งหลาย ซึ่งจูอิวฉองได้เป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นแทนนั้น จะอยู่ไปได้สักกี่วัน ก็คงจะเป็นอันตรายตายตามกันไปเอง เห็นไม่ช้าหรอกการศึกก็จะสำเร็จ เราท่านทั้งหลายก็จะได้กลับไปหาบุตรภรรยา……..”

หลีลูอ๋องก็ว่า

“……..ตัวเหลียงอ๋องตายแล้ว จูอิวฉองก็ได้เป็นเจ้าแทน ขุนนางที่มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งก็ยังมีอยู่ อย่าเพ่อประมาทก่อน ต่อเมื่อไรเรากำจัดเฮ่งง่วนเจียงได้แล้ว จึงค่อย ดีใจ…….”

และการก็เป็นดังว่า เมื่อหลีอิวกิมเจ้าเมืองไต้ท่อง ส่งซือเกียนถัง นายทหารเอกคุมพลสองหมื่นมาช่วย กับกอเฮงจิวบุตรของกอซือกี่นายทหารของหลีจีนอ๋องที่ถูกฆ่าตาย ก็พาพรรคพวกมาสมัครกับหลีลูอ๋อง และเจียะเกงถังเจ้าเมืองฮัวไซ กับเล่าตี๋เอียนเจ้าเมืองทองไถ ก็ได้ยกกองทัพมาช่วยอีกด้วย ทั้งสี่คนนี้เป็นผู้มีฝีมือเข้มแข็งทั้งสิ้น และได้ช่วยหลีลูอ๋องล้อมรบ จนเฮ่งง่วนเจียงได้รับบาดเจ็บ ไปจนมุมอยู่ในช่องเขา จึงแหงนหน้าขึ้นดูบนอากาศแล้วร้องว่า

“………เทพยดาไม่โปรดเราแล้ว จึงให้เสียกลอุบายข้าศึก ตัวเราเกิดมาเป็นชายชาติทหาร หาควรที่จะให้ตายด้วยคมอาวุธผู้อื่นไม่……..”

แล้วก็ชักกระบี่เชือดคอตายอยู่ในที่นั้นเอง กองทัพของเมืองเปียนเหลียงก็แตกพ่ายยับเยินไปจนหมดสิ้น หลีลูอ๋องก็ยกกองทัพเข้าไปตั้งค่ายประชิดเมืองเปียนเหลียง รอเวลาที่จะเข้าตีหักเอาเมืองให้ได้

แต่บังเอิญหลีลูอ๋องก็เกิดป่วยไข้หนัก ถึงแก่ความตายเสียก่อน หลีซือหงวนกับหลีซุนหยกบุตรของหลีจีนอ๋องที่เหลืออยู่สองคน จึงเป็นแม่ทัพช่วยว่ากล่าวบังคับบัญชาการงานแทนต่อไป

ฝ่ายพระเจ้าเคียนฮวยเมื่อได้ทรงทราบว่า เฮ่งง่วนเจียงแม่ทัพของเมืองเปียน เหลียง ถึงแก่ความตายและข้าศึกได้ยกมาล้อมเมืองไว้แล้ว ก็ตกพระทัยกลัวยิ่งนัก ให้หาขุนนางมาประชุมปรึกษาว่า การครั้งนี้จวนตัวอยู่แล้ว จะมีผู้ใดอาสาออกไปสู้ศึกบ้าง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินก็ว่า

“……..ข้าพเจ้าระลึกถึงพระคุณพระเจ้าเหลียงไทโจ๊ และพระองค์เป็นอันมาก ด้วยทรงพระกรุณาวางพระทัย ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ครั้งนี้ภัยก็จวนจะถึงอยู่แล้ว โดยว่าชงเบ้งกลับเป็นขึ้นมาก็หาคิดรักษาเมืองไว้ได้ไม่ ข้าพเจ้าจะขอกราบถวายบังคมลา กระทำตัวให้ตายเสียก่อน หายอมเป็นข้าแผ่นดินถังไม่……..”

ฮ่องเต้ก็ทรงพระกรรแสงสะอึกสะอื้นไปเป็นอันมาก แม้มีพระญาติวงศ์จะขออาสาออกสู้รบ ก็ตรัสว่าอย่าออกไปเลย ช่วยกันรักษาเมืองให้มั่นไว้เถิด แล้วมีรับสั่งเกณฑ์ราษฎรมา สมทบกับทหาร ขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินให้มั่นคงขึ้น

เมื่อข้าศึกล้อมเมืองไว้หลายวัน พระเจ้าเคียนฮวยก็ทรงพระวิตกหวาดหวั่นไปว่า พระญาติวงศ์และขุนนางจะเอาใจออกห่าง จับพระองค์ส่งให้ข้าศึก เห็นผู้ใดมีกิริยาผิดประหลาด ก็ให้ทหารจับตัวไปฆ่าเสีย ขุนนางและไพร่บ้านพลเมืองก็มีความกลัวร้อนรนด้วยภัย ซึ่งจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตเกิดขึ้นทั้งนอกเมืองและในเมือง จึงประชุมปรึกษากันว่า บ้านเมืองครั้งนี้ไหน ๆ ก็คงจะเสียแก่ข้าศึก จะมาทนให้พระเจ้าเคียนฮวยจับไปฆ่าเล่นเสียทุกวันดังนี้ หาควรไม่ ขุนนางและราษฎรก็พากันเข้าไปในพระราชวัง ไล่จับพระเจ้าเคียนฮวยได้ ก็ตัดศรีษะเปิดประตูเมืองออกไปให้แม่ทัพข้าศึก

หลีชุนหยกกับหลีซือหงวน ก็ยกกองทัพเข้าไปตั้งในเมือง แล้วให้เที่ยวสืบเสาะจับญาติวงศ์ของจูอุนฆ่าเสียสิ้น เมื่อปราบปรามราษฎรเรียบร้อยเป็นปกติแล้ว จึงประชุมพร้อมกันปรึกษาว่า เชื้อวงศ์ของพระเจ้าถังเจียวจงก็ถูกจูอุนฆ่าเสียสิ้นแล้ว ครั้งนี้เจ้าแผ่นดินหามีไม่ ควรจะยกบุตรหลีจีนอ๋องขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน แต่หลีซือหงวนผู้เป็นบุตรใหญ่ก็เป็นบุตรเลี้ยง หลีชุนหยกนั้นเป็นบุตรตัวของหลีจีนอ๋อง สมควรเป็นเจ้าแผ่นดินสืบวงซ์ถังต่อไป

ครั้นปรึกษาพร้อมกันแล้ว ถึงวันฤกษ์ดีก็ตั้งการปราบดาภิเษก ยกชุนหยกขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติในเมืองเปียนเหลียง ถวายพระนามว่า พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ แล้วทรงแต่งตั้งหลีซือหงวนผู้พี่ ให้เป็นที่มหาอุปราชว่าราชการแผ่นดิน กองทัพหัวเมืองที่ยกมาช่วยนั้นก็พระราชทานบำเหน็จรางวัล ให้ตามสมควรแก่ความชอบ แล้วให้กลับไปรักษาบ้านเมืองอยู่ตามเดิม แต่เมืองลูจิวนั้นให้หลีซองคอ บุตรหลีซือหงวนไปเป็นเจ้าเมือง

อยู่มาก็มีขุนนางผู้เฒ่ากราบทูลพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ว่า

“………เมืองเปียนเหลียงนี้ชัยภูมิไม่ดี ชะตาร้ายแรง ด้วยพระเจ้าถังเจียวจงเสด็จมาอยู่ก็ไม่สักกี่วัน จูอุนก็ฆ่าเสีย จูอุนจูอิวฉองพ่อลูกได้เป็นกษัตริย์ขึ้น ก็ต้องตายด้วยคมอาวุธทั้งสองคน เป็นการอัปมงคลดังนี้ หาควรจะตั้งเป็นเมืองหลวงไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าที่เมืองลกเอี๋ยงนั้น เป็นที่ชัยภูมิดีแม่น้ำก็ใหญ่และลึกซึ้ง เรือลูกค้าวานิชที่ใหญ่ ๆ ก็ไปมาค้าขายได้สะดวก ที่ไร่ นาเรือกสวนก็มีมาก ขอให้พระองค์ไปสร้างที่ลกเอี๋ยงเป็นเมืองหลวง เสด็จไปอยู่เห็นจะดีกว่าอยู่ที่เมืองเปียนเหลียง…..”

พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ตรัสว่า

“………เราพึ่งตีบ้านเมืองได้ใหม่ ๆ ไพร่พลทหารยังบอบช้ำ ทรัพย์สมบัติเงินทองก็มีน้อย ไม่พอใช้จะไปสร้างเมืองขึ้นในเวลานี้ จะได้ความลำบากนักดอกกระมัง แต่ครั้งนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่มาว่า เป็นความรังเกียจอยู่แล้ว ก็จะต้องทำตาม ให้ทำแต่ที่วังกับกำแพงชั้นใน พออาศัยอยู่ก่อน กำแพงชั้นนอกซึ่งจะทำใหญ่โตมั่นคงนั้นจึงค่อยคิดทำต่อไป……..”

แล้วฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้ขุนนางคุมไพร่พล ไปสร้างพระราชวังขึ้นในแขวงลกเอี๋ยง แล้วก็เสด็จไปอยู่เมืองที่สร้างใหม่ ตั้งข้าหลวงเดิมที่รักใคร่มาแต่ก่อน ให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการบ้านเมือง มียศศักดิ์เสมอกันสามคน ส่วนขุนนางที่มีบำเหน็จความชอบ ได้ทำสงครามมาแต่ครั้งหลีจีนอ่องนั้น หาได้แต่งตั้งชุบเลี้ยงขึ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ไม่ ด้วยทรงพระดำริว่าจะเป็นที่ขัดขวางแก่พระองค์ ส่วนขุนนางที่ตั้งใหม่นี้เป็นคนประจบประแจงไม่ขัดใจเจ้านาย ราชการแผ่นดินสิ่งใดมีมา ทั้งสามก็ปรึกษากันบังคับบัญชาไปตามปัญญาของตัว หาถูกต้องตาขนบธรรมเนียมไม่

ส่วนฮ่องเต้ก็ไม่เอาพระทัยใส่ในราชการ เพลิดเพลินไปด้วยการเล่นกับสตรี ฟังขับร้องและเล่นงิ้วเต้นรำไปต่าง ๆ แต่แรกนั้นพระองค์ทรงฟังเสียงขับร้องและดูเต้นรำ ครั้นสนุกสนานเพลิดเพลินเข้า พระองค์ก็ทรงเขียนหน้าออกท่างิ้ว เล่นปะปนไปกับนางงิ้วทั้งปวง

นางงิ้วคนหนึ่งชื่อนางหลีทีเอ๋ เป็นคนเต้นงิ้วดีกว่าคนทั้งโรง ฮ่องเต้อยากจะให้เขาชมว่าออกงิ้วดีบ้าง ก็เอาเสื้อนางงิ้วมาใส่แล้วผัดหน้าทำกิริยาเป็นนางเอกออกมาเล่น นางหลีทีเอ๋เห็นฮ่องเต้ออกท่านางชิงดีกว่าตัวก็โกรธ จึงเข้าตบเอาฮ่องเต้ที่พระพักตร์ว่าทำท่าทางไม่ดี ฮ่องเต้ก็หาทรงขัดเคืองไม่ นึกว่าเหมือนครูตีลูกศิษย์

บางวันฮ่องเต้เสด็จออกขุนนาง พวกนางงิ้วและนางมโหรีก็ออกมาล้อเลียนขุนนางเล่นเป็นการสนุก ขุนนางที่เป็นคนคะนองเห็นผู้หญิงออกมาล้อเลียนก็มีความยินดี ขุนนางที่ใจมั่นคงก็มีความโทมนัส ถ้อยความสิ่งใดเกิดขึ้น ถ้าผู้ใดเข้าเสียสินบนเดินเหินให้นางงิ้ว และนางมโหรีกราบทูลความเรื่องนั้น ฮ่องเต้ก็ตัดสินไปผิด ๆ ถูก ๆ ไปตามความประสงค์ของผู้นั้น บางทีฮ่องเต้ก็พานางงิ้วกับพวกทหาร ออกไปเที่ยวยิงนกเล่น ก็ไปเหยียบย่ำข้าวในนาของราษฎรเสียหายเนือง ๆ ส่วนการในเมืองครั้งนั้นก็โลเลไม่เป็นเรื่อง

ขณะนั้นมีนายทหารเก่าของหลีจีนอ๋อง เห็นพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ประพฤติการไม่เป็นเรื่อง จึงคิดส้องสุมผู้คนฝึกหัดเพลงอาวุธตั้งมั่นอยู่ในเมืองเงียบเสีย ตระเตรียมกองทัพจะยกมากำจัดพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้ได้ทรงทราบก็มีรับสั่งให้หลีซือหงวนคุมทหารห้าหมื่นออกไปปราบปรามให้สิ้นเสี้ยนหนาม แต่เมื่อหลีซือหงวนยกทหารมาถึงเมืองเงียบเสีย ก็มีนายทหารเก่าเข้ามาสามิภักดิ์เป็นอันมาก ต่างก็ว่า

“……..ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ได้ทำราชการมากับท่านกว่าสิบปี ก็หามียศศักดิ์เหมือนเขาไม่ จึงได้พากันออกไปเที่ยวทำมาหากินอยู่ตามบ้านป่า ได้ทราบความว่าพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ ให้ท่านยกกองทัพมาปราบปราม แล้วให้ฆ่าทหารพวกนี้เสียให้สิ้น ไม่เหลือแต่สักคนหนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นว่าพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ได้เป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นแล้ว ไม่เอาใจใส่ในราชการ ประพฤติแต่การเล่นหาประโยชน์มิได้ จึงคิดอ่านซ่องสุมทแกล้วทหารไว้ หมายจะช่วยทำนุบำรุงเชื้อวงศ์แผ่นดินถัง ให้มีความเจริญต่อไป ไม่ได้เป็นกบฏต่อแผ่นดิน จะคิดกำจัดคนชั่วคนร้าย ซึ่งจะทำให้แผ่นดินเป็นอันตรายเสีย บัดนี้ตัวท่านก็เป็น แม่ทัพออกมาเสียจากเมืองหลวงแล้ว พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะยกท่านขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ไม่สมัครจะอยู่ในอำนาจหลีชุนหยกซึ่งเป็นจังจงฮ่องเต้……..”

หลีซือหงวนเห็นนายทหารเก่า ๆ ที่เคยใช้สอยแต่ก่อน มาพูดจาดังนั้นก็มีความสงสารกลั้นน้ำตาไม่ได้ ก็เอาชายเสื้อปิดหน้าร้องไห้อยู่บนหลังม้า แล้วว่า

“……..ตัวเรานี้ถึงเป็นผู้ใหญ่มีอายุมากก็จริง แต่วาสนาน้อย จึงได้ยอมสาบานเป็นขุนนางในพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ ซึ่งท่านทั้งปวงจะให้เรากลับคิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้นั้น เรายอมไม่ได้……..”

พวกนายทหารจึงว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ เห็นพร้อมใจกันแล้ว ถึงท่านจะไม่ยอมก็ไม่ฟัง หลีซือหงวนเห็นนายทหารเหล่านั้นพูดจาข่มขี่ ทำกิริยาฮึกหาญ ก็เหลียวหน้าม้ามาถามนายทหารในกองทัพของตนว่า ผู้ใดจะรับอาสาออกสู้รบกับคนเหล่านี้ได้บ้าง นายทหารและทหารเลวต่างก็ก็ว่า พวกตนเห็นชอบด้วยถ้อยคำของพวกเหล่านั้น จะออกไปสู้รบฆ่าฟันเขาได้อย่างไร

หลีซือหงวนก็จนปัญญาเพราะไพร่พลของตน ก็เข้าเป็นพวกเดียวกับพวกที่มาใหม่หมดแล้ว ไม่รู้ที่จะขัดขืนอย่างใดต่อไป.

#########




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2559 15:06:54 น.
Counter : 507 Pageviews.  

ฮ่องเต้ยอดชั่ว (๒)

คุ้ยพงศาวดารจีน

ฮ่องเต้ยอดชั่ว

ตอนที่ ๒ มหันตกรรม

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ขณะที่จูอุนกับเฮ่งง่วนเจียงทหารเอก ชักอาวุธออกข่มขู่ที่ประชุมขุนนาง จนตกตลึงกันไปหมดนั้น พระเจ้าถังเจียวจงฮ่องเต้ก็ตกพระทัย จนไม่รู้ที่จะคิดประการใด ก็มีขุนนาง ผู้กล้าหาญคนหนึ่ง ลุกขึ้นพูดกับจูอุนว่า

“…….ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าถังเจียวจงก็เชื่อถือ จึงได้เสด็จมาอยู่เมืองท่าน เหตุใดท่านจะมาคิดเป็นกบฏแย่งชิงเอาสมบัติดังนี้เล่า…….”

เฮง่วนเจียงได้ฟังดังนั้นก็โกรธนัก จึงว่า

“…….ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงเขาก็ยอมแล้ว ตัวเป็นขุนนางผู้น้อยมาพูดขัดขวางดังนี้ หาควรจะให้อยู่ในแผ่นดินไม่……”

ว่าแล้วก็เอากระบี่ฟันขุนนางผู้นั้นตายในทันใด ฮ่องเต้เห็นว่าเกิดการฆ่าฟันกันวุ่นวายดังนั้น ก็เสด็จลุกหนีเข้าไปข้างใน จูอุนกับเฮ่งง่วนเจียวก็ตามเข้าไป จูงพระกรฮ่องเต้ออกมา แล้วข่มขู่ว่า พระองค์จงเอาตราหยกสำหรับแผ่นดิน มามอบให้เสียโดยเร็วจึงจะพ้นภัย ฮ่องเต้จึงว่าพระองค์ยอมมอบราชสมบัติให้แล้ว จะไปเอาตราหยกมาให้ จูอุนกับเฮ่งง่วนเจียงก็คุมฮ่องเต้ ไปเอาตราหยกมาส่งให้

จูอุนรับตราจากพระหัตถ์แล้ว ก็ตั้งตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหลียงไทโจ๊ แล้วให้ลดตำแหน่งพระเจ้าถังเจียวจงลงเป็นที่จีอิมอ๋อง แต่งตั้งให้เฮ่งง่วนเจียงเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร และเลื่อนยศขุนนางเก่าในเมืองเปียนเหลียง ให้สูงขึ้นทุกคน

หลีเองนั้นหาได้รับการแต่งตั้งไม่ ก็มีความน้อยใจจึงเข้าไปเฝ้าทูลพระเจ้าเหลียง ไทโจ๊ฮ่องเต้ว่า

“…….พระองค์ได้เป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นครั้งนี้ ก็เพราะข้าพเจ้าเป็นกำลังช่วยทำนุบำรุง คนทั้งปวงพระองค์ก็ตั้งแต่งให้มียศบรรดาศักดิ์ ขึ้นทุกคนแล้ว ตัวข้าพเจ้ามีความผิดสิ่งใด พระองค์จึงไม่ชุบเลี้ยง……”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังหลีเองลำเลิกเช่นนั้น ก็ทรงขัดเคืองจึงตรัสว่า

“…….ตัวเป็นคนชั่วหาควรที่เราจะเลี้ยงไม่ พระเจ้าถังเจียวจงมีพระคุณเป็นอันมาก ตัวก็ไม่มีกตัญญูเห็นแต่ลาภสักการ แนะนำพระเจ้าถังเจียวจงมา จนเสียราชสมบัติแก่เรา ซึ่งเราจะเลี้ยงต่อไปนั้นไม่ได้ จะเป็นเยี่ยงอย่างแก่ขุนนางสืบไป……”

ตรัสดังนั้นแล้ว ก็สั่งให้บูซูตำรวจวัง เอาตัวหลีเองไปประหารชีวิตเสีย แล้วก็ทรงตริตรองว่าจีอิมอ๋องนี้ผู้คนทั้งปวงยังนับถืออยู่มาก เกลือกจะคบคิดกันเขาเป็นเสี้ยนหนามขึ้น ธรรมดากษัตริย์เหมือนอสรพิษ ถ้าจะตีก็ต้องตีให้ตาย จะทำแต่ให้เพียงลำบากนั้น ก็คงจะผูกพยาบาทกลับมาขบกัดเอาอีก ทรงพระดำริดังนั้นแล้ว ก็สั่งให้เฮ่งง่วนเหลงน้องเฮ่งง่วนเจียง เอาสุราผสมยาพิษไปให้จีอิมอ๋องกินเสียให้ตาย

เฮ่งง่วนเหลงก็เอาสุรานั้นไปให้จีอิมอ๋อง และว่ามีรับสั่งให้ท่านกินสุรานี้เสียโดยเร็ว จีอิมอ๋องก็แจ้งว่าสุรานั้นเป็นยาพิษ ครั้นจะไม่กินก็กลัวว่า เฮ่งง่วนเหลงจะทรมานให้ได้ความเวทนาต่าง ๆ จึงรับเอาสุรามากินพอล่วงถึงลำคอก็ขาดใจตาย

ฝ่ายหลีจีนอ๋องเจ้าเมืองเปงจิว ซึ่งเป็นเชื้อราชวงศ์ถัง ได้แจ้งความซึ่งจูอุนชิงบัลลังก์จากพระเจ้าถังเจียวจงฮ่องเต้ ตั้งตนเป็นพระเจ้าเหลียงไทโจ๊ต้นราชวงศ์เหลียงแล้ว ก็เสียใจคิดวิตกกลัวจูอุนจะยกกองทัพมาตีเมืองเปงจิว

หลีจีนอ๋องนี้เดิมมีบุตรถึงสิบสามคน มีกำลังกล้าแข็งไพร่พลกล้าหาญมากมาย แต่ถูกอุบายของบุตรสองคน ล่อลวงฆ่าหลีซุนเฮ้าบุตรเลี้ยงคนที่สิบสาม ซึ่งมีฝีมือสติปัญญามากกว่าผู้อื่น ตายไป และหลีจีนอ๋องก็สั่งประหารบุตรทั้งสองที่เป็นต้นเหตุ ให้ตายตกไปตามกัน แล้วก็เสพสุราระงับความเสียใจติดต่อกันทั้งวันทั้งคืน จนไม่มีสติปัญญาที่จะว่าราชการได้

วันหนึ่งหลีลูอ๋องเจ้าเมืองลูจิว ซึ่งเป็นน้องชายได้ยกกองทัพมาหา และชักชวนให้ยกกองทัพไปตีเมืองเปียนเหลียง เพื่อกำจัดจูอุนและตั้งราชวงศ์ถังขึ้นมาใหม่ หลีจีนอ๋องก็ว่า

“…….ตัวเราทุกวันนี้อายุก็มาก แต่กำลังยังมีบริบูรณ์อยู่ แต่ครั้งนี้มาเสียใจด้วยหลีซุนเฮ้า ซึ่งได้เป็นกำลังและคู่คิดในราชการ มาดับสูญไปเสียก่อน จึงไม่มีความสบาย น้องเรายกกองทัพมาช่วยคิดราชการในครั้งนี้ เรามีความยินดีนัก แม้นตัวเราพลาดพลั้งลงประการใด น้องเราจะได้ช่วยทำนุบำรุงญาติวงศ์แซ่สืบต่อไป……”

แล้วทั้งสองพี่น้องกับบุตรชายของหลีจีนอ๋องที่เหลืออยู่ ก็ยกกองทัพสี่สิบหมื่น ไปตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ตำบลเกยปอซัว และแจ้งไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยกกองทัพมาสมทบ ก็มีหัวเมืองต่าง ๆ ยกกองทัพมาร่วมมือด้วยถึงเก็าเมือง

พระเจ้าเหลียงไทโจ๊ฮ่องเต้ ก็ให้เฮ่งง่วนเจียงเป็นแม่ทัพยกพลสิบหมื่น ออกจากเมืองเปียนเหลียงมาตั้งรับ และให้จูอิวกุย กับจูอิวฉองพระราชบุตรกำกับทัพมาด้วย

หลีจีนอ๋องส่งนายทหารออกไปรบสองคน ก็ถูกเฮ่งง่วนเจียงฆ่าตายอย่างรวดเร็ว หลีจีนอ๋องก็ส่งหลีซุนติดบุตรชาย คุมพลออกไปรบแก็แค้น ก็ถูกเฮ่งง่วนเจียงฆ่าตายอีก

ต่อมาเฮ่งง่วนเหลงน้องชายของเฮ่งง่วนเจียง ยกทหารออกมาท้าทาย หลีจีนอ๋องก็ส่งบุตรชายหกคนออกไปสู้รบ ก็ถูกเฮ่งง่วนเหลงฆ่าตายทั้งหมด หลังจากนั้นก็มีเจ้าเมืองที่มาช่วยรบอาสาออกไปสู้ข้าศึกอีกสองนาย ก็ถูกเฮ่งง่วนเจียงฆ่าตายเช่นเคย

หลีจีนอ๋องขึ้นดูอยู่บนหอรบทุกครั้ง ก็เสียใจนักพูดกับทหารทั้งปวงว่า

“……แต่เราทำศึกสงครามาหลายแผ่นดิน จะนับครั้งแทบไม่ถ้วน หาได้ความอัปราชัยเหมือนครั้งนี้ไม่……..”

ขณะนั้นเฮ่งง่วนเหลงก็ขี่ม้าเข้ามาถึงหน้าค่าย ร้องท้าทายว่าให้ส่งทหารที่มีฝีมือออกมารบโดยเร็ว ถ้าไม่ออกมาจะเอาไฟเผาค่ายเดี๋ยวนี้ หลีจีนอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ว่า การครั้งนี้สิ้นทหารที่จะอาสาแล้ว จำจะต้องมานะออกไปรบ เสี่ยงบุญเสี่ยงวาสนาแผ่นดินถังดูสักครั้งหนึ่ง เมื่อจะสิ้นเชื้อวงศ์แซ่หลีเจ้าแผ่นดินถังแล้ว เราก็คงตายในท่ามกลางศึก ถ้าแม้นแผ่นดิน ไต้ถังยังจะเจริญอยู่ เราก็คงจะหาเป็นอันตรายไม่

คิดแล้วหลีจีนอ๋องก็แต่งตัวใส่เกราะ ขึ้นม้าถือทวนนำหน้าทหาร ออกไปรบกับ เฮ่งง่วนเหลง ก็บังเกิดอัศจรรย์เฮ่งง่วนเหลง ถูกปีศาจหลีซุนเฮ้าหลอกหลอน ตกลงจากม้าโลหิตไหลออกทางปากจมูกขาดใจตาย หลีจีนอ๋องจึงให้ทหารตัดศรีษะเฮ่งง่วนเหลง ไปเสียบไว้ที่หน้าค่าย ทหารเมืองเปียนเหลียงก็แตกตื่นตกใจไม่เป็นอันสู้รบต่อไป ต้องตั้งสงบอยู่แต่ในค่าย เป็นเวลานาน

แต่ต่อมาหลีจีนอ๋องได้ทหารเอก ที่ได้เคยเป็นพวกพ้องของหลีซุนเฮ้าเมื่อก่อนตาย มาช่วยรบอีกหลายคน แต่ก็สู้เฮ่งง่วนเจียงไม่ได้ ถึงแก่ความตายหมดทุกคน หลีจีนอ๋องมีความเจ็บช้ำน้ำใจเป็นอันมาก ถึงแก่อาเจียนเป็นโลหิต สิ้นชีวิตลงเมื่ออายุได้แปดสิบสี่ปี หลีลูอ๋องจึงเป็น แม่ทัพคุมพลสู้รบต่อไป

ต่อมากองทัพของเมืองเปียนเหลียง ขาดแคลนเสบียงอาหาร เฮ่งง่วนเจียงจึงขอให้จูอิวกุยพระราชบุตร กลับไปกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบข้อซึ่งได้สู้รบ และขอเสบียงอาหารมาเพิ่มเติมอีก

จูอิวกุยก็จัดบ่าวไพร่พอควร เดินทางกลับไปเมืองเปียนเหลียง เมื่อไปถึงกลางทางหยุดพักร้อนอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ก็ได้ยินคนเดินทางพูดกันว่า ฮ่องเต้ประพฤติการไม่ดี ลูกไปทัพเอาเมียของลูกมาเป็นเมียของตนเสีย จูอิวกุยก็ถามว่า

“….ซึ่งพระเจ้าเหลียงไทโจ๊ทำการไม่ดีนั้น เอาเมียของลูกคนไหน เจ้ารู้หรือไม่…”

คนเดินทางก็ว่า

“……ข้าพเจ้าได้ยินราษฎรชาวเมือง พูดกันเซ็งแซ่ไปว่า พระเจ้าเหลียงไทโจ๊เอาเมียของจูอิวกุย ซึ่งไปทัพกับเฮ่งง่วนเจียง……”

จูอิวกุยได้ฟังดังนั้นก็เสียใจวาบ เหมือนบุคคลต้องสายฟ้าแลบ ให้มืดหน้าเกิดโทโส หาอาจจะเข้าไปเมืองเปียนเหลียงได้ไม่ จึงขึ้นม้ากลับมายังกองทัพเล่าความให้เฮ่งง่วนเจียงฟัง เฮ่งง่วนเจียงแจ้งแล้วก็เสียใจ กล่าวว่า

“……ธรรมดาบุตรกับบิดา ข้ากับเจ้า เมื่อใช้ไปทางไกลแล้ว บิดาก็ต้องช่วยดูแลทำนุบำรุงครอบครัว บุตรภรรยาของบุตร เจ้าก็ต้องเอาพระทัยใส่ช่วยทำนุบำรุง ระงับเหตุภัยครอบครัวของข้าซึ่งใช้ไปทางไกล ครั้งนี้มีคำเล่าลือมาว่าพระเจ้าเหลียงไทโจ๊ประพฤติดังนี้ เห็นผิดนักท่านอย่าเพ่อเชื่อถือเอาเป็นจริงก่อน…….”

จูอิวกุยได้ฟังดังนั้น ก็ค่อยคลายความโกรธ แต่ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ต่อมาฝ่ายหลีจีนอ๋องทำอุบายมาตีชิงเอาเสบียงไปได้อีก จูอิวกุยกับจูอิวฉอง จึงอาสาจะไปขอเสบียงที่เมืองเปียนเหลียงมาให้ เฮ่งง่วนเจียงก็ยินดีว่า

“……..ท่านไปเองแล้วก็คงจะได้ออกมา ขอท่านจงรีบเข้าไปในเวลาวันนี้ ด้วยเสบียงอาหารจวนจะสิ้นอยู่แล้ว…….”

ทั้งสองก็รีบเดินทางกลับไปเมืองเปียนเหลียง ครั้นถึงพระราชวังแจ้งว่าพระเจ้า เหลียงไทโจ๊ฮ่องเต้เสด็จอยู่ข้างใน ก็ให้ขันทีเข้าไปกราบทูล แล้วก็พากันรีบเข้าไปเฝ้าทันที ก็ได้เห็นว่าฮ่องเต้กำลังนั่งเสวยโต๊ะเสพสุรา เคียงข้างอยู่กับนางเกียสีภรรยาของจูอิวกุย อยู่อย่างเพลิดเพลิน จูอิวกุยเห็นพระบิดานั่งหยอกเอินอยู่กับภรรยาของตนดังนั้น ก็ตกใจตลึงยืนนิ่งอยู่ หาได้คุกเข่าลงคำนับไม่ ฮ่องเต้เองเมื่อเห็นจูอิวกุยผู้บุตร ก็ตกพระทัยมีความขวยอายเป็นอันมาก ยังหาทันได้ตรัสประการใดไม่

จูอิวกุยนั้นในอกใจเต็มไปด้วยโทโส หาอาจกลั้นไว้ได้ไม่ จึงร้องออกไปด้วยเสียงอันดังว่า

“……..จูอุนประพฤติเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ด้วยแต่ก่อนเราก็รู้อยู่ว่าลักลอบทำชู้กับนางเกียสีภรรยาเรา คนทั้งปวงในเมืองเปียนเหลียงก็พูดกันอื้ออึงว่า เอาบุตรสะใภ้เป็นเมีย แต่เฮ่งง่วนเจียงผู้เดียวหาเชื่อไม่ จึงได้ห้ามปรามเราไว้ว่าเห็นจะไม่เป็นดังนั้นดอก วันนี้เราได้ประจักษ์แก่ตาแล้ว หาควรไว้ชีวิตไม่……..”

ว่าแล้วจูอิวกุยก็ชักกระบี่วิ่งเข้าไปจะฟันฮ่องเต้ผู้บิดา ฮ่องเต้ตกพระทัยยิ่งนักลุกขึ้นวิ่งหนีไป จูอิวกุยก็ไล่ตามกระชั้นเข้าไปถึงพระที่นั่งเจียวลั่นเต้ย ฮ่องเต้เห็นจะไม่พ้นแล้ว จึงตรัสด้วยเสียงอันดังว่า บุตรฆ่าบิดาดังนี้มีอยู่บ้างหรือ จูอิวกุยก็ร้องตอบว่า

“……..เมื่อเป็นขุนนางอยู่นั้น ตัวก็ฆ่าเจ้าแผ่นดินเสีย เจ้าแผ่นดินไม่เหมือนบิดาคนทั้งหลายหรือ…..”

พูดแล้วก็เอากระบี่ฟันถูกฮ่องเต้พระกรขาดไปข้างหนึ่ง แล้วฟันซ้ำถูกพระเศียร ผ่าออกเป็นสองซีก สิ้นพระชนม์ทันใดนั้นเอง

จูอิวฉองเห็นพี่ชายวิ่งไล่พระบิดาไปด้วยความโกรธ ก็วิ่งตามไปแต่หาทันไม่ พี่ชายได้ฆ่าบิดาเสียแล้ว จูอิวฉองจึงชักกระบี่ตรงเข้าฟันพี่ชาย จูอิวกุยก็หันกลับมาสู้รบกัน จูอิวกุยถอยหลังไปสะดุดพระศพบิดาล้มลง จูอิวฉองก็ฟันถูกศรีษะจูอิวกุยขาด ถึงแก่ความตายชดใช้กรรมอันหนักไปพร้อมกับบิดาในที่นั้นเอง.

#########




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2559 19:24:02 น.
Counter : 520 Pageviews.  

ฮ่องเต้ยอดชั่ว (๑)

ฮ่องเต้ยอดชั่ว (๑)

“ เล่าเซี่ยงชุน “



ตอนที่ ๑ เจ้าเมืองจอมอุบาย

ราชวงศ์ถังในแผ่นดินจีน ได้ครองราชย์ต่อกันมาเกือบสามร้อยปี ถึงองค์ที่ยี่สิบคือ พระเจ้าถังเจียวจงฮ่องเต้ ตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองเชียงอาน วันหนึ่ง จูอุน หรือเหลียงอ๋อง ผู้รักษาเมืองเปียนเหลียง ได้เอาทองคำร้อยลิ่มเพชรพลอยของดีวิเศษ ต่าง ๆ มากมาย มาให้แก่ หลีเอง ขุนนางผู้ใหญ่ของเมืองเชียงอาน และบอกว่า

“…….เมื่อพระเจ้าถังเจียวจงขึ้นครองราชสมบัตินั้น ข้าพเจ้ามีธุระอยู่หาได้เข้ามาเฝ้าไม่ บัดนี้ข้าพเจ้าว่างธุระแล้ว จึงได้เข้ามาเฝ้ากราบถวายบังคม ตามธรรมเนียมเมืองขึ้น ขอท่านได้ช่วยนำเข้าเฝ้าด้วย…….”

หลีเองก็ยินดีในของกำนัลเหล่านั้น และบอกว่าตนจะเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบก่อน จะโปรดประการใดแล้ว ตนจะกลับมาพาเข้าไปเฝ้าต่อภายหลัง จูอุนก็คำนับลากลับมายัง กงก๊วนที่พักของแขกเมือง

หลีเองก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้กราบทูลว่า จูอุนจะขอเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า

“……..จูอุนนี้เป็นศัตรูต่อแผ่นดิน กระทำอุบายจนพระราชบิดาเราทิ้งบ้านเมืองไป จนเสียสิ้นพระชนม์ในที่กลางป่า ซึ่งจะให้จูอุนเข้ามาเฝ้าครั้งนี้ เรามีความรังเกียจนัก……”

หลีเองก็กราบทูลว่า

“…….จูอุนมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก เข้ามาอ่อนน้อมโดยดีแล้วก็ควรจะต้อนรับ ครั้นจะไม่ให้เข้ามาเฝ้าก็จะเสียใจ กลับไปเป็นศัตรูขึ้น ยากที่จะปราบปรามได้ ขอพระองค์จงเอาพระทัยดีต่อ ทำลืมความเก่าเสีย…….”

พระเจ้าถังเจียวจงฮ่องเต้ก็ทรงยอมรับ ตามที่หลีเองกราบทูลนั้น แล้ววันรุ่งขึ้นหลีเองก็พาจูอุนเข้ามาเฝ้า ฮ่องเต้ก็ตรัสปราศรัยว่า

“……แต่เราได้ราชสมบัติขึ้นแล้ว ก็ยังหาได้พบปะรู้จักกับท่านไม่ ครั้งนี้ท่านเข้ามาหาเราโดยความนับถือ เราขอบใจท่านนัก……”

จูอุนก็กราบทูลว่า

“……ข้าพระเจ้าคิดถึงพระเดชพระคุณพระเจ้าตงหัว ซึ่งได้ชุบเลี้ยงให้เป็นอ๋องครองเมืองใหญ่ ก็คิดจะฉลองพระเดชพระคุณไปโดยสติกำลัง ขอพระองค์อย่าได้มีความรังเกียจแก่ข้าพเจ้าเลย…..”

ฮ่องเต้ก็ทรงพระเมตตาแก่จูอุน เลิกความรังเกียจกินแหนงสิ้น ครั้นสิ้นเวลาเฝ้า จูอุนกลับไปแล้ว หลีเองก็ให้คนใช้ไปเชิญจูอุนมากินเลี้ยงที่บ้าน เมื่อได้กินโต๊ะเสพสุรากันเป็นที่สบายแล้ว จูอุนก็พูดขึ้นว่า

“…….ข้าพเจ้าเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว ดูตึกกว้านบ้านเรือนราษฎรก็ร่วงโรย พระราชวังซึ่งพระมหากษัตริย์เสด็จก้เหี่ยวแห้งอยู่ สิ้นราศรีสมกับคำนักปราชญ์แต่ก่อนได้ทำนายไว้ว่า เมืองเชียงอานเป็นเมืองหลวง พระมหากษัตริย์จะครอบครองได้สิบเก้าองค์แล้ว จะสิ้นชะตาขาดสูญ จะเกิดยุคเข็ญต่าง ๆ บัดนี้ข้าพเจ้าพิจารณาดูเหตุการณ์ภายนอกภายในก็สมจริง ตัวท่านทุกวันนี้ก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งได้ทำนุบำรุงพระมหากษัตริย์ จะให้มีความเจริญขึ้น ทำไมท่านไม่คิดผ่อนปรนหลีกเลี่ยง ยักย้ายเสียให้พ้นเหตุซึ่งท่านแต่ก่อนทำนายไว้นั้น…….”

หลีเองก็ว่า

“…….ความอันนี้ข้าพเจ้าก็คิดเห็นมานานแล้ว แต่หามีผู้ใดจะเป็นที่คู่ปรึกษาหารือไม่ พอท่านพูดขึ้นครั้งนี้ก็ถูกต้องกับความคิดของข้าพเจ้า ท่านจะเห็นเมืองใดควรจะตั้งเป็นเมืองหลวงได้บ้าง……”

จูอุนจึงบอกว่า

“…….เมืองเปียนเหลียงที่ข้าพเจ้ารักษาอยู่นั้น เป็นเมืองใหญ่ เรือกสวนไร่นาก็บริบูรณ์มั่งคั่งมาก ที่ทำเลพื้นแผ่นดินก็กว้างขวาง ในการนี้เป็นคราวชะตาขึ้น ไพร่บ้านพลเมือง ลูกค้าวานิช จะทำมาหากินค้าขายก็มีผลประโยชน์มาก ไข้เจ็บโรคภัยที่จะเกิดแก่มนุษย์ก็น้อย ถ้าท่านเชิญเสด็จพระเจ้าถังเจียวจง ย้ายไปตั้งเมืองเปียนเหลียงเป็นเมืองหลวงแล้ว ก็คงจะมีความเจริญสืบเชื้อพระวงศ์ต่อไปได้อีก การซึ่งจะสร้างทำพระราชวังข้างหน้าข้างใน ให้เป็นที่รโหฐานนั้น ข้าพเจ้าจะรับทำฉลองพระเดชพระคุณก็ได้……..”

หลีเองจึงว่าความคิดนี้ดีนัก ตนจะกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ แล้วเมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้า หลีเองก็กราบทูลพระเจ้าถังเจียวจงฮ่องเต้ ตามที่ได้พูดจาปรึกษากับจูอุนทุกประการ ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“…….การอันนี้เราใคร่ครวญดูก็เห็นจริงอยู่ ตั้งแต่พระราชบิดาเราครองสมบัติครบที่สิบเก้า ก็ไม่มีความสุข บ้านเมืองก็เกิดยุคเข็ญต่าง ๆ มาจนทุกวันนี้ ถ้ายักย้ายเปลี่ยนเมืองหลวงไปเสียบ้างก็เห็นจะดีจริง……”

แล้วฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้หาจูอุนเข้ามาเฝ้า และตรัสว่า

“……ท่านจะรับทำวังให้เราไปอยู่เมืองเปียนเหลียงนั้น ก็ขอบใจแล้ว จงเอาเงินทองไปใช้ให้พอการเถิด…….”

แล้วก็ตรัสสั่งชาวคลังจ่ายเงินให้จูอุน ไปทำพระราชวังในเมืองเปียนเหลียง แต่ขุนนางบรรดาที่เฝ้าอยู่นั้นก็ไม่เห็นชอบด้วย ต่างปรึกษากันว่าจูอุนคนนี้มีอุบายมาก เมื่อครั้งก่อนก็ ล่อลวงชั่นเล่งจือขุนนางผู้ใหญ่ จนพระเจ้าตงหัวสิ้นพระชนม์ด้วยความคับแค้น ครั้งนี้มาคบค้ากับหลีเอง ก็คงจะเป็นอุบายอีก แต่ทุกคนก็ไม่กล้าจะกราบทูลขัดขวาง เพราะเป็นขุนนางผู้น้อย พูดไปก็จะเป็นอันตรายแก่ตัว จึงพากันนิ่งเสียหมด ปล่อยให้การสุดแต่จะเป็นไป

จูอุนได้รับเงินแล้ว ก็พาขุนนางบ่าวไพร่กลับไปเมืองเปียนเหลียง แล้วก็เกณฑ์ทหารและราษฎร ช่วยกันระดมก่อสร้างพระราชวังโดยเร็ว ให้งดงามตามใจจูอุนทั้งที่ข้างหน้าข้างใน ตำหนักน้อยใหญ่ ครั้นทำเสร็จเรียบร้อยก็มีหนังสือบอกไป ให้หลีเองกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ พระเจ้าถังเจียวจงก็รับสั่งให้หาวันฤกษ์ดีที่จะเสด็จออกจากเมืองเชียงอาน และแจ้งกำหนดให้จูอุนทราบ

จูอุนก็จัดทหารสามหมื่น ให้เฮ่งง่วนเจียงนายทหารเอก ยกไปคอยรับเสด็จที่ตำบลปาเหลง เมื่อพระเจ้าถังเจียวจงฮ่องเต้เสด็จทรงรถพานางข้างในและขุนนางมาถึง เฮ่งง่วนเจียงและนายทหารทั้งปวงก็คุกเข่าลงคำนับกราบทูลว่า จูอุนให้ตนคุมทหารมาคอยป้องกันระวังรักษาข้าศึกศัตรู ให้เสด็จพระราชดำเนินไปถึงเมืองเปียนเหลียงโดยสะดวก ฮ่องเต้ก็สบายพระทัยหาทรงพระวิตกกลัวสิ่งใดไม่ เสด็จประทับรอนแรมไปตามระยะทาง จนกระทั่งถึงเมืองเปียนเหลียง

จูอุนก็ออกมากราบถวายบังคม เชิญเสด็จเข้าพระราชวังขึ้นอยู่บนตำหนัก ฮ่องเต้เสด็จทอดพระเนตรดูตำหนักน้อยใหญ่ที่ข้างหน้าข้างใน ทำใหม่งดงามสะอาดดี ก็จัดให้นางสนมและพระญาติพระวงศ์อยู่เป็นลำดับกันตามสมควร

เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาอยู่เมืองเปียนเหลียงแล้ว ราชการบ้านเมืองก็สำเร็จเด็ดขาดอยู่กับจูอุน ฮ่องเต้มิได้ว่ากล่าวสิ่งใด หัวเมืองบอกข้อราชการเข้ามาเมืองหลวง ก็ไม่มีผู้ใดกราบทูล จูอุนก็ว่ากล่าวตัดสินโต้ตอบไปตามอำนาจของตัวเอง

อยู่มาเป็นเวลานานพอสมควร วันหนึ่งจูอุนก็เชิญหลีเองมากินโต๊ะที่บ้านแล้วพูดกับหลีเองว่า

“……ตัวเรานี้มีความอุตส่าห์พากเพียรทำการงานทั้งปวงมา ก็มีความปรารถนาจะไม่อยู่ในบังคับท่านผู้ใด บัดนี้พระเจ้าถังเจียวจงก็โลเลไม่เอาราชการ เราคิดว่าราชสมบัติบ้านเมืองนี้ ควรจะได้แก่เราแล้ว ท่านจะว่าประการใด…….”

หลีเองได้ฟังก็ตกใจกลัว ไม่อาจจะทัดทานได้ จึงว่า

“……ข้าพเจ้านี้เป็นข้าแผ่นดิน เมื่อผู้ใดเป็นเจ้าก็จะเป็นข้าสืบไป ท่านจะทำประการใดก็สุดแล้วแต่ปัญญาท่าน ข้าพเจ้าหาขัดขวางไม่…….”

จูอุนก็ว่า

“……ท่านก็นับว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ต้องร่วมคิดเป็นปัญญาเดียวกับเรา ซึ่งจะไว้ตัวเป็นกลางอยู่นั้นเราไม่ยอม…….”

เมื่อจูอุนตั้งใจจะชิงราชสมบัติให้จงได้แล้ว ก็เข้าไปทูลพระเจ้าถังเจียวจงฮ่องเต้ว่า

“…….พระองค์มาอยู่เมืองเปียนเหลียงก็ช้านาน ยังหาได้เสวยะโต๊ะพร้อมกับขุนนางทั้งหลายไม่ บัดนี้ข้าพเจ้าจัดโต๊ะมาตั้งพร้อมไว้ที่พระที่นั่งลันเต้ยแล้ว ขอเชิญเสด็จไปเสวยให้พร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง……..”

ฮ่องเต้ก็ไม่ขัดข้องจึงเสด็จไปเสวยโต๊ะกับขุนนาง ในขณะที่เสวยอยู่นั้น จูอุนก็ลุกขึ้นยืนชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วร้องประกาศว่า

“…..กษัตริย์วงศ์ถังเสวยราชสมบัติ บ้านเมืองหาเป็นสุขสบายไม่ ไพร่บ้านพลเมืองก็ได้ความระส่ำระสายเดือดร้อน ท่านทั้งปวงซึ่งมาประชุมอยู่ในที่นี้พร้อมกัน จะทำประการใดบ้านเมืองจึงจะเป็นสุข……..”

เฮ่งง่วนเจียงนายทหารเอกของจูอุน ก็ลุกขึ้นชักกระบี่ออก แล้วร้องว่า

“…….ราชสมบัติบ้านเมืองนี้ เห็นสมควรอยู่แก่ท่านเหลียงอ๋องจูอุน ซึ่งจะได้ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร ถ้าผู้ใดไม่ยอมก็จะฟันเสียด้วยกระบี่เล่มนี้……”

ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ร่วมกินโต๊ะอยู่นั้น ต่างก็ตกตลึงกันไปหมด ไม่มีผู้ใดจะคิดคัดค้าน หรือต่อต้านแต่ประการใด เพราะทั้งหมดก็เหมือนฝูงแกะ ที่อยู่ท่ามกลางสุนัขป่า โดยไม่มีหนทางที่จะต่อสู้แต่อย่างใด.

#########




 

Create Date : 31 มกราคม 2559    
Last Update : 31 มกราคม 2559 15:29:25 น.
Counter : 517 Pageviews.  

ฮ่องเต้เจ้าสำราญ (๑)

หลากชีวิตจากพงศาวดารจีน

ฮ่องเต้เจ้าสำราญ

ตอนที่ ๑  




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2556 20:30:25 น.
Counter : 699 Pageviews.  


เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.