Group Blog
 
All Blogs
 
ฉากสุดท้ายของมหาอุปราช

เสี้ยวสามก๊ก

ฉากสุดท้ายของมหาอุปราช

“ เล่าเซี่ยงชุน “

…….จึงให้เอาบุตรภรรยาพรรคพวกไปฆ่าเสีย แล้วสั่งให้เอาศพ…ไปตระเวนรอบเมือง เอามาประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง ให้ทหารอยู่รักษา แลผู้รักษานั้นจึงฟั่นชุดใส่ลงที่สะดือ แล้วเอาเพลิงจุดตามต่างตะเกียงประจานไว้ แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้น มีใจเจ็บแค้นชวนกันมาด่าว่าศพ….แล้วเอามือชี้ชกศรีษะบ้าง เอาเท้าถีบบ้าง จนศพนั้นแหลกละเอียด เปื่อยไป…….

เมื่อได้เห็นสำนวนนี้แล้ว ท่านผู้อ่านที่คุ้นเคยกับนิยายอิงพงศาวดารจีน เรื่อง สามก๊ก ก็จะทราบได้ทันทีว่า เป็นศพของตัวละครชื่อดังตอนต้นเรื่อง ซึ่งท่าน ยาขอบ ได้ให้ชื่อไว้ว่า ตั๋งโต๊ะ…ผู้ถูกแช่งทั้งสิบทิศ นั่นเอง และเมื่อลิ่วล้อคนสนิทที่มีความกตัญญู อุตส่าห์ให้ทหารไปสืบเสาะ เก็บเอากระดูกตั๋งโต๊ะมาให้แต่งการศพอย่างใหญ่โตตามตำแหน่งมหาอุปราช แล้วก็ตั้งขบวนแห่แหนออกไปจะฝังไว้ตามธรรมเนียม ก็เกิดเหตุประหลาดขึ้น คือ

……..ในขณะเมื่อจะฝังศพนั้น พอเกิดลมพายุพัดหนักฝนตกห่าใหญ่ น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอก อัสนีผ่าถูกศพกระดูกนั้นกระจายไป ครั้นฝนสงบลงลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกมาผสมกันเข้า แล้วจะให้ฝังในเวลากลางคืนนั้น ซ้ำเกิดพายุฝนตกฟ้าผ่ากระดูกนั้นกระจายไป ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกนั้นมาผสมกันเข้าอีกเป็นหลายครั้ง ฝนก็ตกฟ้าคะนองผ่าลงทุกครั้ง จนกระดูกนั้นสาบสูญไปสิ้นมิได้ฝัง……

แสดงว่ามหาอุปราชตั๋งโต๊ะนี้ชั่วช้าเสียจน สวรรค์ก็ไม่ปราณี ตั๋งโต๊ะนั้นตายเมื่อประมาณ พ.ศ.๗๓๓

ส่วนมหาอุปราชคนถัดมาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ คือ โจโฉ ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ใน แผ่นดินมาร่วมสามสิบปี ถึงเวลาจะสิ้นชีวิต ก็มีอาการปวดศรีษะอย่างแรง หมอรักษาอย่างใดก็ไม่ทุเลา

……..วันหนึ่งเวลากลางคืนโจโฉปวดศรีษะเป็นกำลัง ให้วิงเวียนร้อนกระวนกระวาย นอนไม่หลับเลยจนเวลายามสาม จึงลุกออกมานั่งที่เก้าอี้ ได้ยินเสียงดังหนึ่งฉีกแพร จึงแลไปเห็นนางฮกเฮา นางตังกุยหุยกับบุตรทั้งสองคน กับฮกอ้วนบิดานางฮกเฮา กับตังสินบิดานางตังกุยหุย กับพรรคพวกประมาณยี่สิบคน มีโลหิตแดงทั่วตัวยืนอยู่ในอากาศ ร้องว่าโจโฉท่านเอาชีวิตมาคืนให้แก่เรา……..

ภาพคนทั้งหลายที่โจโฉเห็นนั้น ก็คือคนที่ถูกโจโฉสั่งให้ประหารชีวิต เนื่องจากเป็นขบถวางแผนจะทำอันตรายแก่ตนทั้งสิ้น ในเวลานั้นจะเป็นปีศาจมาหลอกหลอน หรือโจโฉแลเห็นไปเองเพราะพิษไข้ก็ไม่ทราบได้ แต่ก็ทำให้โจโฉมีอาการหนักขึ้นจนแน่ใจว่าจะไม่รอดแล้ว จึงเรียกขุนนางผู้ใหญ่ที่ไว้วางใจ มาสั่งเสียในเรื่องต่าง ๆ มากมาย เช่น

……..เราทำการรณรงค์มากว่าสามสิบปีแล้ว ข้าศึกที่ไหนเข้มแข็งเราก็ปราบปรามเสียได้ แผ่นดินก็ราบคาบ ราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุข แต่ซุนกวนเมืองกังตั๋ง เล่าปี่เมืองเส ฉวนยังหาปราบได้ไม่ ความไข้ก็หนักขึ้นถึงเพียงนี้ ซึ่งจะเป็นเพื่อนคิดการสงครามกับท่านทั้งปวงสืบไปอีกไม่ได้แล้ว เราจึงฝากฝังมอบเวรให้แก่ท่านทั้งปวง ลูกเราคนหนึ่งชื่อโจงั่งเกิดด้วยนางเล่าซี ก็ตายเสียที่เมืองอ้วนเซียนั้นแล้ว ยังแต่บุตรเราสี่คนเกิดด้วยนางเปียนซี ชื่อว่าโจผีคนหนึ่ง โจเจียงคนหนึ่ง โจสิดคนหนึ่ง โจหิมคนหนึ่ง

เราวิตกถึงโจสิดนักด้วยลูกคนนี้วาจาไม่ยั่งยืน แล้วก็มักเสพสุรา ความคิดไม่รอบคอบ จะตั้งให้แทนที่ก็ไม่ได้ ฝ่ายโจเจียงนั้นมีกำลังก็จริง แต่ว่าหาความคิดมิได้ โจหิมนั้นเป็นคนโลภ เห็นแต่โจผีพี่เอื้อยเป็นคนหนักแน่น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม พอที่จะตั้งให้เป็นใหญ่แทนตัวเราได้ เราหาบุญไม่แล้ว ท่านจงอนุเคราะห์ตั้งไว้ให้ว่าราชการแทนเราสืบไปเถิด……..

สั่งเสียเรื่องลูกแล้ว ก็หันมาสั่งเมียซึ่งไม่ทราบว่ามีอยู่สักเท่าไร อาจจะถึงหกโหลก็ได้ เพราะใช้คำว่า

…….ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ฝึกสอนในการเย็บการปัก จึงจะได้เลี้ยงตัวเมื่อภายหลัง ท่านจงพากันไปอยู่ปราสาทตั้งเซ็กไต๋ เมื่อท่านจะเซ่นเรานั้น ให้มีมโหรี ปี่พาทย์จงทุกวัน อนึ่งท่านจงสั่งขุนนางให้ก่อกุฏิฝังศพเราที่ท้องสนามนอกเมือง ให้ได้เจ็ดสิบสองกุฏิ อย่าให้คนทั้งปวงรู้ว่าศพเราไว้กุฏิไหน เพราะว่ามีคนชังเรามากอยู่ เกลือกคนชังมันจะขุดศพเราขึ้นเสีย……….

ก็นับว่ารอบคอบ สมกับที่เป็นนักวางแผนยุทธศาสตร์ ฝีมือเยี่ยมมาในอดีต และรู้จักตนเองดีว่ามีคนรักน้อยกว่าผืนหนัง แต่คนชังอาจจะมากกว่าผืนเสื่อ จึงจัดการป้องกันศัตรูไว้ทุกทาง ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ลุกขึ้นมาสู้ไม่ได้แล้ว

ต่อมาถึงมหาอุปราชของพระเจ้าโจยอย บุตรพระเจ้าโจผี หลานของโจโฉ ที่ชื่อ สุมาอี้ รับราชการต่อไปจนถึงพระเจ้าโจฮอง เป็นคู่สงครามกับขงเบ้งมาประมาณยี่สิบสี่ปี ถึง พ.ศ.๗๙๔ ก็ป่วยด้วยโรคชรา เมื่ออาการหนักเห็นจะไม่รอดแล้ว จึงให้หา สุมาสู กับสุมาเจียว บุตรทั้งสองมาสั่งเสียถึงเตียงนอนว่า

……..บิดาได้เป็นที่มหาอุปราช ว่าราชการทั้งแผ่นดินโดยสัตย์โดยธรรม หาได้คิดคดต่อแผ่นดินไม่ คนทั้งปวงยังมาแกล้งว่าเป็นขบถต่อแผ่นดิน เราอาศัยสัตย์สุจริตรักษาตัวหาเป็นอันตรายไม่ บัดนี้บิดาจะตายแล้ว เจ้าจะเป็นข้าราชการสืบไป จงตั้งใจสัตย์ซื่อสามิภักดิ์
ต่อ เจ้าแผ่นดินกว่าจะสิ้นชีวิต ทำการสิ่งใดอย่าเบาแก่ความ จงตรึกตรองให้ละเอียดแล้วจึงทำ…….

บุตรทั้งสองซึ่งได้เป็นมหาอุปราชแทน ก็เชื่อฟังคำสั่งของบิดาเป็นอันดี สุมาสูผู้พี่รู้ว่าพระเจ้าโจฮองคิดจะทำร้าย จึงถอดออกจากราชบัลลังก์เสีย และยกโจมอ หลานพระเจ้าโจผี ขึ้นครองราชสมบัติแทน แล้วตนเองก็ถึงแก่ความตายด้วยโรคตาเป็นต้อ เมื่อประมาณ พ.ศ.๗๙๙ ก่อนจะสิ้นใจก็เรียกน้องชายมาสั่งว่า

……เจ้าจะทำราชการแทนที่พี่สืบไป อุตส่าห์ระวังรักษาตัวจงดี ถ้ามีราชการเป็นข้อใหญ่ อย่าไว้ใจผู้อื่นจะเสียราชการ จะฉิบหายสิ้นทั้งโคตร……..

สุมาเจียวผู้น้องได้ขึ้นเป็นมหาอุปราชแทนพี่ชายแล้ว ก็ปลงพระชนม์พระเจ้าโจมอเสีย และเชิญโจฮวนผู้เป็นหลานโจโฉ ขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน ต่อมามีความชอบตีเมืองเสฉวนแตก ได้เลื่อนเป็นจีนอ๋อง อยู่มาได้ข่าวว่าตนจะมีวาสนาได้เป็นฮ่องเต้ เลยเป็นลมปัจจุบันตายไปอย่าง กระทันหัน ไม่ทันได้สั่งเสียผู้ใด สุมาเอี๋ยนบุตรชายคนโตได้เป็นจีนอ๋องแทนบิดา แล้วก็ยึดอำนาจจากพระเจ้าโจฮวน ขับไล่ให้ไปอยู่เมืองกิมลงเสีย เมื่อ พ.ศ.๘๐๘

ที่เล่ามาแล้วเป็นบทบาทของ มหาอุปราชแห่งวุยก๊ก ส่วนฝ่ายง่อก๊กเมืองกังตั๋งของซุนกวนนั้น ได้อาศัยจิวยี่ทำศึกกับโจโฉจนสิ้นชีวิต แล้วก็ได้เตียวเจียวขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน ว่าราชการอยู่ จนตั้งตัวเป็นฮ่องเต้เมื่อ พ.ศ.๗๗๒ เสวยราชย์ได้ยี่สิบสี่ปีก็สิ้นรัชกาล พระเจ้าซุนเหลียงได้สืบราชสมบัติต่อมีซุนจุ๋นเป็นมหาอุปราช เมื่อซุนจุ๋นตายลง ซุนหลิมน้องชายก็ได้ว่าที่มหาอุปราชแทน แล้วก็กระทำการหยาบช้า หาเรื่องฆ่าขุนนางผู้ใหญ่เสียหลายคน เพื่อตนจะได้เป็นใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวง

พระเจ้าซุนเหลียงทนไม่ได้ จึงคบคิดกับขุนนางเก่า จะกำจัดซุนหลิมเสีย แต่ ซุนหลิมรู้ตัวจึงจัดการถอดฮ่องเต้ออกจากบัลลังก์ แล้วเชิญซุนฮิวบุตรคนที่หกของพระเจ้าซุนกวน มาครองราชย์แทน เมื่อ พ.ศ.๘๐๑ แต่พระเจ้าซุนฮิวกลับให้เตงฮองนายทหารเก่าสมัยพระเจ้า ซุนกวน คิดอุบายหลอกซุนหลิมมาฆ่าเสีย ซุนหลิมก็ร้องขอชีวิตว่า

…….พระองค์โปรดให้ทานชีวิตข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าไม่คิดการฉะนั้นสืบไปแล้ว จะถวายบังคมลาไปทำมาหากินอยู่ ณ บ้านเก่า พระเจ้าซุนฮิวจึงตวาดว่า เมื่อเตงอิ๋นกับลิกี๋แล อ๋องตุ้นนั้น ก็อ้อนวอนขอชีวิตจะลาไปอยู่บ้านเก่า เหตุใดตัวจึงฆ่าเสียเล่า…….

แล้วก็มีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสีย พร้อมกับพี่น้องครอบครัวประมาณร้อยคนเศษ รวมทั้งให้ขุดศพซุนจุ๋นผู้พี่ขึ้นมาทำประจานด้วย

ต่อมาถึง พ.ศ.๘๐๘ ได้ข่าวว่าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนจะยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง ก็มีพระทัยทุกข์ตรอมจนประชวรสิ้นพระชนม์ไป ถึงสมัยพระเจ้าซุนโฮซึ่งเป็นบุตรพระเจ้าซุนเหลียงขึ้นสืบราชสมบัติ ก็มิได้ปรากฏว่าได้ตั้งผู้ใดเป็นมหาอุปราชอีก

ฝ่ายจ๊กก๊กของพระเจ้าเล่าปี่นั้น ได้ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้แห่งเมืองเสฉวน เมื่อ พ.ศ.๗๖๔ ก็มีขงเบ้งเสนาธิการคู่ใจเป็นมหาอุปราช ว่าราชการทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น ขงเบ้งก็พากเพียรพยายามที่จะโค่นอำนาจของวุยก๊ก ที่เชื้อสายของโจโฉสืบราชสมบัติต่อมา แม้พระเจ้าเล่าปี่จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ยกเล่าเสี้ยนขึ้นเป็นฮ่องเต้แทนบิดา และยกทัพไปตีวุยก๊กเพื่อจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว ขึ้นแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น แต่ก็ไม่สำเร็จ

จนถึง พ.ศ.๗๗๗ ขณะอยู่ในสนามรบใกล้แม่น้ำอุยโห ขงเบ้งก็ป่วยหนักด้วยการตรากตรำทำสงครามมาเป็นเวลานาน และรู้ตัวว่าจะถึงแก่ความตายแล้ว แม้จะทำพิธีต่ออายุก็ไม่สำเร็จ จึงเรียกแม่ทัพนายกองมาสั่งเสีย ให้เกียงอุยรับมรดกตำราพิชัยสงคราม และความรู้ต่าง ๆ ที่เคยใช้ในการรบมาตลอดชีวิต ให้เอียวหงีควบคุมกองทัพถอยกลับเมืองเสฉวน ให้เรียบร้อยอย่าให้เสียทีแก่ข้าศึกได้ แล้วก็เขียนหนังสือไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน ขอกราบถวายบังคมลาตาย มีข้อความว่า

……..ด้วยข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าบุราณกรรมมาถึงตัวแล้ว แลตัวข้าพเจ้านี้ก็อุตส่าห์ตั้งใจทำราชการตามสติปัญญา พระเจ้าเล่าปี่ชุบเลี้ยงให้เป็นใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ว่า ศัตรูฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ยังไม่ราบคาบ ควรหรือจะมาด่วนถึงแก่ความตาย ก็คิดแค้นอยู่ทุกเวลา แม้ข้าพเจ้าตายแล้วพระองค์จงรักษาความสัตย์ บำรุงทหารอาณาประชาราษฎร ให้อยู่เย็นเป็นสุขตามประเพณี อย่าได้เชื่อฟังคำคนอันเป็นพาล บ้านเมืองจึงจะปกติสืบไป……..

เมื่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ทราบความตามหนังสือแล้ว ก็วิตกถึงบ้านเมืองว่าจะได้ผู้ใด มาช่วยว่าราชการในตำแหน่งมหาอุปราชต่อไป จึงให้ลิฮกกลับมาถามขงเบ้ง

………แม้เราตายแล้วจงให้เจียวอ้วนเป็นมหาอุปราชแทนเรา ลิฮกจึงว่าถ้าเจียวอ้วนหาบุญไม่ ท่านจะให้ผู้ใดเป็นมหาอุปราชต่อไปเล่า ขงเบ้งจึงว่า ให้เอาบิฮุยตั้งขึ้นแทนเจียวอ้วนเถิด ลิฮกจึงถามว่า ถ้าบิฮุยตายแล้ว ท่านเห็นผู้ใดจะเป็นแทนที่เล่า……

แต่ขงเบ้งหมดแรงที่จะตอบเสียแล้ว ก็สิ้นใจตายไปกรรมของตน และแม้จะได้ว่าราชการอยู่จนเฮือกสุดท้ายของลมหายใจ ขงเบ้งก็มิได้ห่วงใยในครอบครัวของตน มากไปกว่าการบ้านเมือง ดังที่ได้กราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนไว้ว่า

………อันในที่อยู่ข้าพเจ้านั้น มีต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมอยู่ถึงแปดร้อยต้น นาห้าสิบไร่ แลที่นากับต้นหม่อนนี้ ก็พอเลี้ยงบุตรภรรยาข้าพเจ้าอยู่แล้ว อันทรัพย์สิ่งของข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ในเรือนนั้น ขอให้เอาเข้าไปไว้ในท้องพระคลังจะได้แจกทหาร……..

แล้วเราก็ได้เห็นความแตกต่าง ระหว่างปัจฉิมวาจาของมหาอุปราชของแต่ละก๊กว่าแตกต่างกันเพียงใด เราท่านผู้ได้รับทราบเรื่องราวต่อมาภายหลังนับพันปี จะนับถือและดูเยี่ยงอย่าง จากมหาอุปราชท่านใด ในจำนวนเจ็ดคนที่ยกมาเล่า ก็สุดแท้แต่อัธยาศัยของแต่ละคนเถิด.

###############



Create Date : 20 กรกฎาคม 2559
Last Update : 20 กรกฎาคม 2559 6:52:51 น. 0 comments
Counter : 424 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.