|
หมอโคโตะภาคสอง ดีเสียจนต้องยกให้เป็นซีรีย์ยอดเยี่ยมประจำปีขาลศก
และแล้ว การรอคอยส่งท้ายปลายต้นเดือนของปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป ก็เข้าสู่หมวดพิจารณาตามธรรมเนียม "ซีรีย์ยอดเยี่ยมแห่งปี" ประจำปีนี้ หลังจากที่เมื่อปีก่อนส่งมอบให้กับซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง Orthros no Inu แบบย่ำรุ่งไก่ขันเอ้กอี้เอ้กเอ้ก ตามประสาเห่อของใหม่ที่สดได้ใจกว่า พอมาปีนี้ ผู้เขียนก็ตั้งท่ารอคอยจนเกือบในวินาทีสุดท้าย เพื่อหยั่งเชิงและโยนหินถามทาง ให้ใครสักคนเดินสะดุด เอาว่า "จะมีเรือ่งไหน น๊า!ที่น่าจะตีแซงในช่วงโค้งสุดท้ายในวันใกล้สิ้นปีเช่นนี้"
พูดอย่างงี้ ก็เท่ากับเผยไต๋มาหนึ่งองค์ธุลีแล้วว่า ผู้เขียนมีซีรีย์คาดหมายไว้ในใจ เพียงแต่ว่า ยังไม่ได้นำมาโพทะนาหากิน เล่าเป็นคุ้งเป็นแค้วอันสมควรแก่เวลา ตรงกันข้าม กลับจำต้องเก็บพะนำ กระะหมุบกระหมิบและจะจุกอกแตกตาย ด้วยความที่ ซีรีย์เรื่องนี้ ดูจบไปเมื่อกลางตุลาคม หลังจากเพิ่งจะชงฟาด ในส่วนของภาคสเปเชี่ยลซีรีย์แทบจะทันทีทันใด เสร็จสรรพระบายความในใจ ก็กะจะหม่ำต่อ ในส่วนของภาคที่สองอย่างเต็มตัว และออกนอกหน้า ด้วยสมาการของตัดสิน ในสูตรที่ว่า "สิ่งที่คาดหวัง - สิ่งที่ได้รับ = กำไรจากสิ่งที่เกินความคาดหวัง" และแน่นอนซีรีย์เรื่องนี้ ก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสิ่งที่ปรารถนาไว้เป็นอย่างดี
ครับ ซีรีย์ยอดเยี่ยมประจำปีขาลศก ผู้เขียนขอยกสองหัวโป้งมือกับสองหัวแม่เท้า ให้กับซีรีย์เรือ่ง "Dr. Koto Shinryojo ภาคที่สอง" ของค่ายฟูจิทีวี ชนิดที่ลองพยายามเอาตราชั่งอคติ หักลบกลบชังกับอีกหลายซีรีย์ ที่ได้ร่ายมาอาทิตย์ละเรื่อง เรียกว่าต้องผ่านสายหินในไม่ใช่น้อยเอาการ อาทิ Jin ,smile,life,precious time,tomorrow,karei naru ichizoku เป็นต้น สุดท้ายก็ไม่อาจแย่งพื้นที่ทางใจให้กับหมอโคโตะได้แต่อย่างใด ซึ่งดีอย่างไรนั้น ก็ขอโฆษณาชวนเชื่อและใสไข่สักใบสองใบเพื่อเสริมรสชาติโปรตีนทางสมอง
เพื่อความกำชับ และไม่ลงทะเลน้ำลึกแบบที่เคยเล่นกันมา ขอไม่ว่ากันในเรื่องของการปูฐานของรายละเอียด เพราะได้ร่ายอย่างมโหราฐไว้ในสว่นของ หมอโคโตะทั้งภาคหนึ่งและภาคสเปเชี่ยลไปแล้ว แต่สิ่งที่ภาคสอง ทำไว้และได้ใจอย่างแรงส์ เป็นผลของการสืบเนือ่งจากชะตากรรม ของแต่ละตัวละครที่สร้างไว้และกำหนดปลายเปิด "กำหนดปลายเปิด" หมายถึงอะไร? ก็เป็นในส่วนของภาคแรก ที่ได้สร้างฐานการรับรู้ โดยเฉพาะพื้นฐานของตัวละครนั้นๆตามที่เราเข้าใจ และกำหนดความผูกพันในเชิงประสาน ไขว้กันไปมาในแต่ละบุคลิกและสายสัมพันธ์ของตัวละคร จนนำมาสู่ ความเป็นเอกภาพเดียวกันของคนบนเกาะ ในฐานะชุมชนรวมหมู่ ที่เรียกแบบสำนวนหน่อย จะได้ว่า "รวมกันเราอยู่ แยกหมู่ดูกันกระจาย" ซึ่งการสูญเสีย หรือการแยกจากของใครสักคน ย่อมกระทบต่อเอกภาพและความรู้สึกร่วมของคนดู อันเป็นพื้นฐานหลักอยู่แล้ว ผู้เขียนเคยได้อธิบายไว้สำหรับภาคสเปเชียลเอาว่า มันเป็นจุด Turning Point ที่พลิกผันรูปแบบชีวิตของแต่ละตัวละครอย่างฉับพลัน ทั้งในส่วนของไอ้หนูเทเคฮิโระ โดยเลือกที่จะไปเรียนต่อสายวิชาแพทย์ในเมืองกรุง ซึ่งทาเคฮิโระจำต้องไกลห่างกับฮินะ ลูกสาวของครูคนใหม่ที่มาอยู่ประจำบนเกาะ (ฮินะ เป็นเด็กหญิงภาคสเปเชียล ที่ถูกย้ายมาบนเกาะเพราะเชื่่อว่า บรรยากาศบนเกาะที่ใกล้ชิดธรรมชาติและมีหมอเก่งอย่างหมอโคโตะ จะช่วยคอยดูแลอาการหอบหืดเรื้อรังของตน โดยความปรารถนาดีของคนเป็นพ่อแม่ สถานการณ์ในภาคสเปเชียล ยังได้สร้างกรณีพลิกผันยังเจ้าประจำอื่นๆ ไหนจะอาการเนื้องอกในสมองของแม่พยาบาลอายากะ ที่มีผลเปลี่ยนแปลงชีวิต ครั้งใหญ่ให้กับปลัดอำเภอเซอิจิ เพียงจะบอกว่า ความผันเเปรที่เกิดขึ้นในภาคสเปเชียลนั้น เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กน้อยที่เกิดขึ้น เพราะในส่วนของภาคสองฉบับเต็มนั้น ยังมีอีกมากมายหลายส่วน ที่จะ turning many points ให้กับโครงสร้างในเรือ่งราว ชนิดที่พลิกไปก็พลิกมา จนเจ้ามือไม่กล้ารับแทง ซึ่งงานนี้ ถ้าในสว่นของภาคแรก คุณเตรียมกระดาษทิชชูใช้ไปได้เพียงแพ็คเดียว ในส่วนของภาคสอง คุณก็ควรเตรียมซื้อไว้อีกแพ็ค ในยามฉุกเฉินที่ทิชชูขาดมือได้เลย
ถ้าใครที่เคยได้ชมในภาคสเปเชียล ที่ผู้เขียนอธิบายให้เข้าใจย่อๆว่า มันก็คือ ตอนที่สิบสอง และสิบสาม ที่สืบเนือ่งจากบทอวสานในตอนทีสิบเอ็ดของภาคแรก เพียงแต่จะเป็นช่วงก้าวกระโดดในระยะไกลที่มีความต่อเนื่องในภาคพื้นของการเล่าเรือ่ง ไม่อยากบอก แต่ก็ต้องบอก ว่าภาคนี้ไม่ได้สร้างความสุนทรียภาพ ในแบบที่ตบหัวแล้วลูบล้าง แบบวิธีการเดิมๆโดยการสร้างสถานการณ์ทางการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อให้หมอโคโตะโชว์ออฟ ที่เป็นสูตรสำเร็จหารับประทานในภาคแรกในเกือบทุกตอน มาภาคนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงหมอโคโตะให้กลายมาเป็น "หมอสอน" ในฐานะที่ปรึกษาทางจิตใจ ให้กับผู้อื่นที่สับสนในทิศทางที่จะเลือกก้าวเดิน ตอ่ไปในอนาคตครั้งหน้า ตัดสินใจแทนพยาบาลอายากะ ที่รู้สึกผิดเพราะอยากให้แม่ได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลบาฝั่ง โดยไม่ถามความสมัครใจของคนที่เป็นพ่อและผู้ป่วยที่เป็นแม่ อีกทั้งเธอดันมาค้นพบว่า ตัวเองกำลังเป็นมะเร็งในระยะแรก ผลสุดท้ายพยาบาลอายากะ เลือกที่จะขอเรียนต่อ เพื่อหาทางกลับมารักษาแม่และหาทางบำบัดรโรคของตัวเอง ตัดสินใจแทน ทาเคฮิโระ ที่ผลคะแนนสอบไปได้ไม่สวยนักเมื่อต้องเจอคนเก่งจากในเมือง การที่ต้องแบกรับความคาดหวังของผู้คนที่มองว่า ทาเคฮิโระเป็นหน้าตาให้กับคนบนเกาะ และสำคัญเหนืออื่นใด พ่อของทาเคฮิโระ ที่ยอมสูญเสียเรือประมงซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิม เพื่อจะได้พอมีค่าเทอมให้ได้ส่งเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวน โดยยอมผันชีวิตอาชีพตัวเอง ไปเป็นกรรมกรเเบกหาม ที่ชีวิตเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เกิดอุบัติจากการทำงาน อีกทั้งยังถูกหลอกโดยนำเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งตอนหลังมาทราบข่าวว่า คนที่เคยอยู่บนเกาะเดียวกัน เป็นผู้หลอกเชิดเงินไป พูดง่ายๆว่า ซีรีย์เสมือนเป็นการต่อยอดของการล่มสลายของผู้คนในอดีตชุมนุมบนเกาะ อย่างสูญสิ้นและบัดซบนัก ชนิดที่คนดัดแปลงบท "โนริโกะ โยชิดะ" ที่เขียนมาตั้งแต่แรก กะจะไม่รักษาน้ำใจให้กับแฟนซีรีย์ที่คบหากันมา แบบที่ถ้าตัวละครใด คิดสั้นฆ่าตัวตายที่หนีปัญหา ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดคาดอะไรนัก แต่คนดัดแปลงบทมีความฉลาด ที่จะตอ่เติมกำลังใจและวิธีคิดเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านคนในชุมชนที่ไกลบ้านและโชคชะตาที่เล่นตลกในภาวะฉุกเฉินของชีวิต โดยเฉพาะตัวละครอย่าง อายากะ ,ทาเคชิโระและ ทาเคฮาชิ ที่ต้องโดดเดียวเป็นคนเหงา จากการสวามิภักดิ์ของการเป็นคนเมืองชั่วคราว เพราะถ้า ใครเคยได้ติดตาม บรรยากาศโดยภาพรวมของหมอโคโตะทั้งหนึ่งและสเปเชี่ยลแล้ว คงรู้สึกและรับรู้ได้ถึงความชุลมุนวุ่นวายท่ามกลางความสุขแบบอบอุ่น แต่พอมาภาคนี้ กลับเป็นการเรียนรู้ชีวิตทางเลือกของแต่ละตัวละคร และดูเหมือนว่า ภาคที่สองนี้หมอโคโตะเอง ก็ได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตของตนเอง จากผู้อื่น ที่นอกเหนือไปจากการผ่าตัด-ซื้อใจ เพราะมาตราฐานการได้ใจจากชุมชน มันเกินล้นมาตั้งแต่ภาคแรก แม้จะมาครั้งนี้ในรูปพฤติกรรมหน้าเห่ยจะยังเหมือนเดิม เพียงแต่ ถ้าครั้งหนึ่งหมอโคโตะเคยเป็นคนแปลกหน้า ที่อาศัยความมีวิชาชีพและจรรยาบรรณเป็น "เครื่องซื้อใจ" คนบนเกาะโดยรวมแล้ว มาภาคนี้ หมอโคโตะ แม้จะไม่ได้เป็นคนที่แปลกหน้าอีกต่อไป แต่กลายเป็น "ผู้ถูกซื้อ" ในแง่ของความจริงใจ ใสซื่อของผู้คนและประสบการณ์นอกตำรา ที่หาไม่ได้จากบนพื้นที่ชายฝั่ง โดยอาศัยธรรมชาติเป็นเครื่องชี้นำผ่านตัวสัจธรรมแห่งชีวิต ซึ่งถ้าเป็นซีรีย์เรือ่งอื่นๆ คงจะมีวิธีคิดไปในแบบเดียวกัน แต่ทว่าสำหรับหมอโคโตะแล้ว ไม่ว่าจะเลือกข้อไหน ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ทุกทาง และมีฐานการรอบรับที่ปูทางเอาไว้ทั้งคู่ สิ่งที่คนดูจะทำได้ เพียงการตามลุ้นและอธิษฐานในใจให้ตัวละครคิดเหมือนเราเท่านั้น
ผู้เขียนว่า เสน่ห์ของหมอโคโตะในภาคที่สองนั้น เป็นการสืบเนื่องและดำเนินไปในทิศทางของแต่ละบุคคล ไหนจะความเป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวา ท่ามกลางตัวตนของปัจเจกบุคคลที่ตีจาก นั้นหมายความว่า สูตรที่เคยได้ใช้กันมาโดยอาศัยนักแสดงตัวหนึ่งตัวใด คอยเป็นตัวยืน ในภาคที่สองนี้กลายเป็นเรื่องของการบริหารชะตาชีวิตของแต่ละตัวละคร ไปในทิศทางที่แต่ละคนได้เลือกกันก้าวเดิน ด้วยภาคนี้เขาไม่ได้จับเจ่า อยู่กันเพียงแต่ในเฉพาะเกาะเป็นประการสำคัญ ตรงกันข้ามกับมีสัดส่วน ของความเป็นเมือง ในอัตราส่วนที่พอสูสีกับความเป็นเกาะท้องถิ่น โดยมีการสลับตัดถ่ายกันไปคนละเหตุการณ์ แล้วให้คนดูบริหารความเข้าใจกันเอาเอง ยิ่งในสถานการณ์ที่เป็นดราม่าชีวิต ได้ยกระดับในการแสดงข้ามขั้นไปอีกขั้น นักแสดงแต่ละคนทำงานได้เป็นอย่างดี เข้าขากันเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะการสลับฉากคล้องไปกับเพลงบรรเลงที่ประพันธ์โดย "โยชิมาตะ เรียว" เจ้าเดิม เรือ่งนี้ยังคงรักษาระดับการทำได้ดีและมีชั้นเชิง เรียบง่ายแต่ซึมลึก และไม่ใช่ว่าจะอารมณ์ดราม่าน้ำตาแตกซ่าน มันก็ยังคงมีลูกตลกลูกทุ่งๆ กระจายให้กะปริดกะปรอย ตอดเล็กตอดน้อยที่แม้ไม่ฮาแต่น่ารักอยู่โดยตลอด อีกทั้งไม่ต้องห่วงว่า คนทีเพิ่งมาดูภาคสองแล้วจะไม่เข้าใจ ผู้กำกับ อิสามุ นาคาอิ คาซฺุฮิโระ โคบายาชิและฮิเดกิ ฮิราอิ ยังคงรักษาทรัพยากร และเอกลักษณ์ส่วนที่ดีของหมอโคโตะได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ มีการลำดับเรือ่งย่อ ของในภาคก่อนๆ เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างหยาบๆ ที่เหลือก็มีการชงของตัวละคร เพื่อเสริมความเข้าใจให้ดีขึ้น อีกทั้งยังได้ใส่ความแปลกใหม่ แต่ไม่ผิดกลิ่นจนเป็นเหตุให้แฟนขาประจำต้องขุ่นเคืองกัน
แต่ความน่าเสียดาย ใช่ว่าจะไม่มี โดยเฉพาะการไม่มีดาราคุณยายสายเหยี่ยวเจ้าประจำ อย่าง "อุชิ ทซึรุโกะ" ที่เล่นโดย เซนคุกุ โนริโกะ เพราะคุณยายเธอได้ประกาศอัปเปหิจากวงการบันเทิง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยวัยชราปาไปเก้าสิบกว่า อดีตเธอก็มิใช่ธรรมดา เพราะเคยเป็นนักแสดงคู่บุญให้กับ ผู้กำกับฝรั่งปลื้ม อย่าง "อากิระ คุโรซาวะ" ในระหว่างยุคปี 50-60 ผ่านงานบิ๊กทีใครเคยดู ก็หาได้คุ้นหน้าเหี่ยวๆในปัจจุบัน ด้วยริว้รอยและความชราภาพที่ดูกลบเกลื้อน อาทิ Drunken Angel (1948), Stray Dog (1949) The Quiet Duel (1949) Scandal (1950) , The Idiot (1951) และ Seven Samurai (1954) ชนิดที่แฟนเก่าหมอโคโตะ ที่ได้ชมภาคสอง ไปสักตอนถึงสองตอน คงต้องเปรยถามด้วยความระคนใจว่า "ยายแกไปไหน" (งานชิ้นสุดท้ายที่ฝากไว้ คือTokyo Tower ในบทแม่ของแม่ของพระเอก) เพราะ บทบาทในภาคแรก ถือได้ว่าเป็นตัวละครที่สำคัญและมีสีสันสำหรับเรือ่งอย่างมาก แต่การไม่มีแกในภาคนี้ ก็ไม่ได้ลดทอนต่ออรรถรสของท้องเรื่องไปแต่อย่างใด แม้ในตอนแรก ผู้เขียนจะเอะอะโวยวาย ทำท่าว่าจะส่งอีเมล์ประท้วงไปยังศาลโลก เพื่อไถ่เธอคืนมาสู่วงการ แต่ทว่า ก็โดนปิดปากอย่างสนิทใจ เมื่อทีมงานเขาได้ระดมพล เพื่อคัดสรรตัวละครใหม่เข้ามาเสริมรสชาติ ในฐานะที่สร้างสีสันและเงื่อนไขใหม่ ให้เรือ่งของภาคสองแลดูเข้มข้นขึ้น เพราะต้องเข้าใจว่าตัวละครอย่างนางพยาบาลอายากะ เลือกที่จะไปเรียนต่อในเมือง นั้นย่อมต้องหมายความว่า ตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาลสาวต้องว่างลง งานนี้ทางอำเภอจึงต้องมีการอิมพอร์ตนางพยาบาลจากนอก(เกาะ) หวยที่ได้ จึงเป็น "นากาอิ มินะ" ที่รับบทโดย อาโออิ ยู (จากซีรีย์ แม่นาง Osen) แม้จะเป็นพยาบาลสาว สวย เปิ้นและติดลูกโก๊ะเล็กน้อย แต่ทว่ากว่าจะได้การยอมรับ ของคนบนเกาะ ก็ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจที่สถาบันโคโตะก็รองรับให้กันไม่ได้ มินะจัง จึงต้องอาศัยความมุมานะ ทุ่มเท แม้ในตอนแรกทำท่าว่าเห็นเลือดแล้วเจ๊จะเป็นลม กระนั้นสุดท้ายความสวยก็นำพา แม้ฝีมือการรักษาจะพึ่งพาไม่ค่อยได้สนิทใจนัก ดูจะผิดหลักกับการเลือกเล่นบทของน้องยู ที่มักจะมาในแนวเลิศเลอแสนเฟอร์เฟ็กท์ แต่หน้าตา ก็ถือได้ว่าเป็นโอสถชั้นเลิศที่ธรรมชาติสร้างขึ้นให้กับวัยสาว ดังนั้นเวลาเครียดๆ หมอโคโตะภาคสองก็ช่วยรักษาโรคทางใจสำหรับผู้เขียนได้เยอะ มากเสียยิ่งกว่า เจ๊โค ชิบาซากิ ในบทพยาบาลอายากะในภาคแรกจะพอช่วยได้เสียอีก แต่การมาของมินะในครั้งนี้ คงได้ใจคนในคลินิกบางคน โดยเฉพาะผู้ช่วยหนุ่มพยาบาล "วาดะ" จะได้โชว์แมน-แจ้งเกิด มีคู่กับเขาสักที แต่ทว่า สุดท้ายก็ต้องมารู้ความจริงที่่น่าปวดใจบางอย่างของพยาบาลมินะเข้า ก็ยิ่งเป็นการเข้าทางให้ส่งเสริมความโชว์ซูเปอร์แมน โดยไม่ต้องอาศัยการเล่นกล้อง ถ่ายดะไปทั่ว แบบที่เห็นในภาคแรกอีกต่อไป
อีกภาคที่น่าเสียดาย คือ บทเพื่อนร่วมรุ่นวัยเด็กของทาเคฮิโระ ที่ถูกลดสัดส่วนให้เหลือน้อย จนน่าตกใจ กลายเป็นทรัพยากรที่ถูกทิ้งร้างอยู่บนเกาะ สำหรับภาคที่สองไป จึงเห็นมากสุดแค่บทพูดไม่กี่ฉาก ที่เหลือจากนั้น ก็เป็นการสลับฉากเพื่อแก้ความเลี่ยนทางใบหน้าของนักแสดงหลักๆ โดยเฉพาะ คูนิโอะเพื่อนวันเด็ก หรือ ฮินะสาวป๊อปปี้เลิฟ ที่น่าเสียดายส่วนนี้อย่างแรง แน่นอนว่า การกลับมาถ่ายทำอีกครั้งหลังจากทิ้งช่วงไปสามปี ตัวละครเด็ก ต่างเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงห้าวขึ้น ตัวโตขึ้น สู่ยุคแห่งการเจริญพันธ์ ที่ถ้าไปเทียบกับดารารุ่นเดียวกันจากเรือ่งอื่น ก็อาจเป็นบุคคลบ้านๆในที่สุด การได้เล่นเป็นดาราวัยรุ่นในหมอโคโตะ ถือเป็นความโชคดีใหญ่หลวง แม้ว่าเอาเข้าจริง จะเป็นซีรีย์ที่เจาะตลาดคนสูงวัยก็ตามที แม้แต่ "ป้าเนเน่" ที่เล่นเป็น "เจ๊มาริโกะ" เจ้าของร้านอาหารประจำเกาะ ก็ถูกหั่นให้บทยังน้อยตาม มาโผล่เวลาสำคัญในช่วงท้ายๆ ที่มาให้ท้่ายและเสริมกำลังใจตัวพ่อทาเคชิ เเม้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดยังไม่ชัดเจน ว่าตกลงมีสถานะอะไรกันแน่ คลุมเครือเสียยิ่งกว่าหมอโคโตะกับอายากะสักอีก อันนี้ความเห็นส่วนตัว เด็กเล่นน้อ่ยไม่ว่า แต่ป้าเนเน่นี้ ขอกันไม่ได้เลยเหรอไง!
พูดอย่างนี้ ก็ต้องเอาหลักกาลามาสูตรเป็นเครื่องบ่งชี้ ว่าอย่าได้เชื่อสืบๆกันมาแต่อย่างใด แต่อย่างที่เคยบอกไว้ในภาคสเปเชี่ยล ว่า "ยังคงได้รับรางวัล Galaxy Awards ครั้งที่ 44 ในสาขารางวัลพิเศษ ฝ่ายทีมโปรดักชั่น ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้ว โอกาสของการเชิดชูทีมงาน จากความเป็นซีรีย์ภาคต่อ ดูจะไม่ง่ายนัก" แต่รางวัล อาจมิใช่สถาบันให้ชวนคาดหวังแต่อย่างใด เพราะหลายคนไปไม่ถึงฝั่งฝัน ด้วยฤทธิ์ของการเป็นอาร์ทขั้นเทพ แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความเป็นงานมหาชนได้ดี โดยสถาบันเรตติ้ง Video Research, Ltd ที่พอเป็นมาตราฐานชี้วัดประการหนึ่งในการ เลือกสรรงานซีรีย์ ด้วยอัตราค่าเฉลี่ยที่ดีโคตรในระดับ ๒๒ กว่า (ขณะที่หมอจิน ได้ไปเพียงเฉลี่ยที่ ๑๙) ตอนนี้ก็ได้แต่รอคอยภาคสาม ที่คิดว่าทางสถานีฟูจิคงทำแน่ แต่จะจัดสร้างลงมือทำเมื่อไรอันนี้ยังไม่รู้ (เพราะถ้าทิ้งช่วงสามปี ที่สร้างขึ้นภาคแรกในปี ๒๐๐๓ มาภาคสองในปี ๒๐๐๖ ภาคสามก็น่าจะเป็นปี ๒๐๑๐ แต่ยังไม่เห็นมาแหะ)
โดยภาพรวม ถือเป็นงานสไตล์โคโตะที่ไม่ง่าย เพราะโดยปกติ ผู้เขียนดูซีรีย์เรื่องหนึ่งเรือ่งใด มักจะจดจำได้เฉพาะเพียงบางตอน และบางฉาก แต่ในซีรีย์หมอโคโตะแล้วกลับเป็นกลุ่มก้อนและความรู้สึกโดยรวม ด้วยการดำเนินเรือ่งแบบแยกกระจาย คลี่คลายไปในช่วงเวลาเดียวกัน กลายเป็นภาคที่แสดงยัตถาปัจจตัง อันยากจะประสานความซ่านเซ็น ให้กลับมาเป็นกลุ่มก้อนเฉกเช่นเดิมเหมือนกันในภาคแรก แต่ผู้กำกับก็ยังควบคุมกรรมวิธีแบบโคโตะ ที่เป็นสไตล์เอกลักษณ์เฉพาะตน ทั้งการตัดต่อ ลำดับภาพ แสง มุมกล้อง การเล่าเรือ่ง มุขตลก เป็นความหนักหนาที่ไม่ฟูมฟาย ยังพอเห็นประกายความหวังในช่วงเวลาที่ริบหรี่ แม้ปัจฉิมบทของภาคที่สอง จะลงเอยได้อย่างสวยงาม แฮปปี้กันไปในเปราะหนึ่ง ซีรีย์ยังเปิดช่องว่างทางทรัพยากรเรือ่งราวในตอนท้าย เพื่อเปิดประเด็น ให้ทีมงานได้เล่นพอเอาไปทำภาคต่อ ไม่จำเป็นต้องมุทะลุไปนั่้งเทียนเขียนเรือ่งในภาคหน้า เพราะมีสิ่งที่ค้างคา ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาเป็นพยาบาลของอายากะบนเกาะอีกครั้ง เส้นทางการเป็นหมอของไอ้หนุ่มทาเกฮิโระ การหวนกลับคืนทะเลของตัวพ่อทาเคชิ ไหนจะสายปริศนาที่หมอโคโตะติดต่อไปยังคนที่บ้าน ที่ร้อยวันพันปีจะโทรหาให้เห็น นี้ยังไม่นับแรงบันดาลใจของการอยากจะเป็นหมอของหมอโคโตะเอง ยังไม่รวม แบบแผนการรักษาตามมาตราฐานทางการแพทย์ที่ยังหลอกหลอนไม่เลิก ในภาคที่หนึ่ง ก็กลับมาสะกิดใจอนาคตของหมอโคโตะว่าจะเลือกเส้นทางทางการแพทย์อย่างไร เรียกว่าการเดินทางของชีวิต ยังเป็นแค่เพียงการเริ่มต้น และประมาณการถึงความเข้มข้นในลำดับต่อไปของเหตุการณ์ ที่ไม้ถูกพื้นรองรับการซับน้ำตา น่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่า........
ครั้งหนึ่งเคยร่ายซีรีย์โคโตะภาคแรก ไว้ที่Dr.Koto หมอชนบท,หมอเกาะ,หมอโคโตะ
ครั้งหนึ่งเคยร่ายซีรีย์โคโตะภาคสเปเชียล ไว้ที่ Dr.Koto Special วิถีที่เพียงพอของหมอโคโตะ
Create Date : 06 ธันวาคม 2553 | | |
Last Update : 13 กันยายน 2555 23:48:36 น. |
Counter : 1945 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Kimi wa Pet คุณผู้หญิงคือเจ้านาย คุณผู้ชายเป็นสัตว์เลี้ยง
มีซีรีย์เก่า อยากจะร่ายอยู่เรื่องหนึ่ง ทั้งที่จะว่าไปแล้ว องค์ประกอบของความเป็นเรื่องราว ตลอดจนถึงตัวนักแสดงเอก เข้าข่าย "อุดมคติชั้นกึ๋ย" ด้วยกันทั้งสิ้น อันนี้ใช้ทัศนะเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวนะขอรับ ซึ่งจะว่าไป องค์ประกอบโดยภาพรวมอย่างงี้ มันง่ายนักที่จะ "ง่ายที่จะหลงลืม และยากที่จะจดจำ" อยู่มิใช่น้อย แต่กาลเวลาล่วงเลยเนิ่นนานนม ไม่รู้ว่าทำไมน้อ ยังคงนึกถึงซีรีย์เรื่องนี้อยู่มิรู้คลาย ถ้าให้ตอบตรงๆได้ในตอนนี้ เข้าใจว่าเป็นเรื่องของความแปลก สดและมีเสน่ห์อยู่ในตัวนั้นเอง
Kimi wa Pet หรือ ในชื่อไทย ที่หลายคนน่าจะพอรู้จักกันในชื่อ "โมโม่ที่รัก" โมโม่ที่รัก! แค่ชื่อก็ออกอารมณ์กึ๋ยให้กับท่านชาย ที่อยากจะริลองชมสักครึ่งตอนเสียแล้ว ซีรีย์เรื่องนี้ คงอยู่ห่างไกลที่จะคว้ามาดู ถ้าได้รับโอกาสให้กองอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ แต่ทว่าซีรีย์เรื่องนี้กลับโชคดี ที่จังหวะเวลาของมัน ได้รับลิขสิทธิ์เผยแพร่ ทางช่องไอทีวี แบบดูฟรี ในทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ในระยะที่ตลาดซีรีย์ญี่ปุ่นยังไม่ฟูมฟัก และการทักทายกระทำต่อหน้าซีรีย์ ทำได้เพียงการรอความเมตตาจากสถานี ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
พล็อกเรื่องที่ชวนอัศจรรย์กำลังกึ๋ย เมื่อเปิดสู่สายตาประชาชีซีรีย์ คิดดูละกันว่า ผู้หญิงสาวสูงวัยที่เลิศเลอโคตรจะเพอร์เฟกต์ ทั้งรูปร่าง หน้าตา และประวัติการศึกษาระดับม.โตเกียว ปัจจุบันทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ แต่ต้องตกอยู่สภาพของการถูกแฟนทิ้งอีกทั้งเจ้านายก็มักจะชอบลวนลาม นี้ยังไม่นับปมฝังใจในวัยเด็กต่อสุนัขตัวโปรดของบ้าน ที่ชื่อ “โมโม่” ที่ฝังเป็นระดับจิตใต้สำนึกจนแก่ปูนนี้ จึงเป็นเหตุให้ "สึมิเระ" (รับบทนางเอกโดย โคยูกิ) มีอาการปวดหัวอย่างไม่จำเป็น ถ้าเรื่องราวหยุดลงแค่ที่ตรงนี้ ซีรีย์เรื่องนี้ ก็น่าจะยังพอเป็นที่ยอมรับได้ด้วยสามัญสานึกปกติ และวุฒิภาวะในปัจจุบัน ที่มีขอบเขตการรับแนวแฟนตาซีได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งผิดกับปัจจุบัน แต่ซีรีย์ ก็ทำให้ผู้เขียนเข้าสู่ภวังค์ "กึ๋ยอะลึกกึกกึก" เมื่อหล่อนกลับมาที่ห้อง แล้วพบชายหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งนอนคุดคู้อยู่ภายในลัง ท่ามกลางใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผล เป็นชายที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้น ญาติเองก็มิใช่ บรรจุลังชั้นดีนอนกองเลียนแบบชนิดที่ ทำให้สึมิเระหวนนึกถึงโมโม่ สุนัขแสนรักของเธอ และยังมีหน้าเสนอขอมาอาศัยร่วมห้องสักงั้น โดยที่จะยอมรับในทุกเงื่อนไข ที่สึมิเระเสนอมา นายคนนี้ชื่อ "ทาเคชิ" (รับบทโดย มัตซึโมโตะ จุน) เป็นนักเต้นบัลเลต์อนาคตไกล แต่หนีออกจากบ้านเนื่องด้วย ทางบ้านไม่ยอมรับการเต้นบัลเลย์ ด้วยข้อหาว่า "มันไม่แมน" (บทและนิสัยที่เล่นก็ไม่ชวนแมนอยู่ก่อนแล้ว)
My name is momo.My Parents are normal people,So obviously that isn't my name Though,l guess my name isn’t that important. We’ll just skip over it.
(ผมเองมีชื่อว่าโมโม่ พ่อแม่ของผมก็เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไปนี้ละ แต่ที่ชัดเลยตอนนี้ก็คือ ผมเองยังไม่มีชื่อเป็นแน่แท้นักหรอก ดังนั้นผมเดาว่า ชื่อผมคงไม่สลักสำคัญอะไรมากมาย งั้นเราข้ามเรื่องนี้กันดีกว่า)
One month ago, l was found unconscious. Since then.l’ve been living at her house. She is an elite Tokyo University graduate. But her ex-boy friend was jealous of her accomplishments
And cheated on her.Now she’ll only date more successful men Tall guys with lots of money and fancy degrees.
(หนึ่งเดือนก่อน ผมถูกพบแบบไร้สติ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ได้มาอาศัยอยู่บ้านเธอ เธอเป็นถือนักเรียนหัวไบร์ทแห่งมหาลัยโตเกียวเชียวนะ แต่ทว่า แฟนของเธอ ก็ฉกฉวยผลประโยชน์จากความสำเร็จของเธอ และฉ้อโกงไปตามระเบียบ แต่ตอนนี้เธอกำลังจะมีเดทครั้งใหม่กับ ชายที่เหมาะสมคู่ควร ในระดับฐานะที่เท่าเทียมกัน งานก็ดัง ตังค์ก็มี แถมดีกรีก็สุดยอด)
I’m shorter than her and l don’t have any money. But even so she’s very kind of me. Still.Sex is not allowed. Why? because l’m just her pet.
(ผมสิทั้งเตี้ยกว่าเธอ ตังค์ก็ไม่มี แต่ก็ได้รับความปราณีจากเธอเสมอมา แม้จะคิดอกุศลก็เหอะ ไม่เคยได้แอ้มเธอหรอก ทำไมนะเหรอ เพราะผมเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงของเธอนั่นไง)
แล้วเงื่อนไขในการเจรจา เพื่อให้ทาเคชิสามารถอยู่ร่วมชายคาห้องสาวเพิ่งโสดอย่างเธอ ก็แสนพิลึกพิลั่น โดยให้เจ้าทาเคชิ ปฏิบัติตัวเยี่ยงสุนัขตัวโปรด "โมโม่จัง" สุนัขตัวโปรดที่เธอเคยเลี้ยงไว้แต่เด็ก การได้เจ้าทาเคชิในฐานะกึ่งๆการกลับชาติ ของหมาโมโม่มาเป็นคน ก็ช่วยให้อาการปวดหัวของเธอ หายเป็นปลิดทิ้ง ดีจริง ยิ่งกว่าทานพาราเซตามอลสักหนึ่งกำมือ แต่นั้น เป็นการเอาแต่ใจของเธอ โดยหารู้ไม่ว่า มันกำลังทำให้ความสัมพันธ์ที่อนุมานเอาว่า เป็นสุนัขกับการแสร้งว่าเป็นเจ้าของสุนัข ถูกเกินเลยขีดคั่นในชุดสัมพันธ์เดิม และกำลังกลายเป็นสัมพันธ์ชุดใหม่ ที่เป็นปัญหาทรมานหัวใจเธอในเวลาต่อมา
ความที่ซีรีย์เรื่องนี้ ถูกสร้างมาจากการ์ตูนตาใส เคยคว้ารางวัลโคดันฉะ ในอันดับหนึ่งของปี ๒๐๐๓ มาแล้ว ซึ่งเคยได้ลิขสิทธิ์แปลเป็นไทย ในชื่อ คุณผู้หญิงคือเจ้านาย คุณผู้ชายคือสัตว์เลี้ยง โดยผู้วาด ยายูอิ โอกาวา ดังนั้นระดับความกึ๋ยในสไตล์ญิง๊ๆ จึงล้นเปี่ยมในสายโซจูตากลมชนิดที่ต้องแหง้มช่องว่างให้หนุ่มๆ พักทำใจ ในพล็อกเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นและคงเป็นเพราะซีรีย์เรื่องนี้ ที่เป็นเหตุให้ "จดจำแบบหมายหัว" สำหรับเจ้านักแสดง "มัตซึโมโตะ จุน" ที่รับบท ทาเคชิ หรือ ชายในร่างโมโม่ ด้วยความที่ บทมันไม่แมนตลอดครึ่งเรื่อง และยังสะเออะเต้นบัลเลย์อีก ซึ่งถ้าขืนตั้งวงร่วมแก็งค์กับผู้เขียน มีหวังได้เล่นล้อให้เสีย "ชาติชาย" และ "เชิงชาย" ในทุกๆสถาบันที่ประจานความเป็นชายอยู่หลายขุม แต่ก็ยังพยายาม ที่จะทำเข้าใจในคุณวุฒิและวัยวุฒิที่หลบซ่อนด้วยปัญหาสังคมแบบวัยรุ่น ที่ยึดโยงตัวเองไว้เป็นศูนย์กลางและอารมณ์ประมาณ อยากจะให้ผู้อื่นสนใจตน (โดยเฉพาะสาวๆ)แต่นี้ ต้องมากระทำเยี่ยง "หมา" ชนิดที่ถ้าหมาเดินผ่านจอ ต้องทำการขับไล่เพราะอับอายในเกียรติภูมิความเป็นมนุษย์ ซึ่งกลัวว่าสุนัขที่บ้าน จะแยกแยะเรื่องจริงกับการแสดง ได้ไม่ชัดเจนนัก แล้วผู้เขียน ดันมาเจอะสาวข้างบ้าน ที่เปิดมาดูเรื่องเดียวกัน ยังมามีหน้าส่งเสียงกรี๊ดกร้าดอยากได้ "หมาในร่างผู้ชาย" หรือ "ผู้ชายร่างหมา" แบบมัตซึโมโตะ จุน ขี้อ้อนเข้าให้ด้วยแล้ว ยิ่งทบทวีความหมั่นไส้ซับซ้อนเพิ่มขึ้นตามไปอีก (แม้แต่รับบทนักเรียนกุ้ยใน Gokusen ก็ออกไปในเชิงชุมชนคนหน้าหวานสักงั้น) แต่ถ้าใครดูจนจบเรือ่ง จะรู้ถึงความเป็นดราม่าเรียกน้ำตาที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ โดยปรามาสไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องตามแบบฉบับ อยู่ให้ติด-คิดให้อยาก-แล้วก็จากไป แต่เรื่องนี้ คงติดหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย เพราะในท้ายตอนจบดูจะ เที่ยวยักเที่ยวยืออยู่นานโข่งเอาการ ก็อย่างว่า ตัวละครเอกแต่ละตัว มีสถานะทางเลือกมากมาย แต่ให้ตายเถอะ ต้องเลือกได้แค่อย่างเดียว และเป็นเพียงโอกาสเดียวเสียด้วยสิ ทุกคนเลยต่างติดสภาวะ "ช่างเลือก" เพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุด
Reminds me of Momo.
(ยังจำเจ้าโมโม่ได้ไหมละเธอ)
Wasn't momo the dog you used to own back in middle school?
(ใช่เจ้าโมโม่ สุนัขที่เธอเลี้ยงช่วงเรียนกลางเทอมอะเปล่าละ)
Yeah so l felt like l couldn't just leave him there.
(อืม ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้จากเขาไปไหนเลยละตอนนี้)
โฮ่ๆ ส่วนการแสดงของเจ๊โคยูกิ ก็ต้องขอบอกว่า หน้าเเหย๋ๆของเจ๊ ช่างสอดรับกับบทได้ดีแบบไม่มีทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกว่านี้ ซึ่งดูๆไป ดูเหมือนว่าเจ๊โคยุกิจะเป็นอุดมคติเชิงความคิดให้กับสาวมั่นประจำยุ่น ในระดับที่ว่าเข้าองค์ประกอบ "สาม h.highs" ก็เฉิดฉายในสังคมญี่ปุ่นได้ ใครมีลูกมีหลานก็อย่าลืมจัดสร้างไว้
ก.เงินเดือนดี (higher pay) ข.การศึกษาดี (higher education) และ ค.ส่วนสูงดี (higher height) (หน่วยก้านดีควรจะต้องสูงสักประมาณ 170 cm. อัพ)
ที่ต้องรักษาบุคลิกภาพและพกพาความมั่นใจ แสดงไว้แต่ภายนอกอย่างไม่หวั่นเกรง แต่พอมาขึ้นสู่หัวกระไดบ้านเมื่อไร ก็แต๋วแตกแปรสภาพเป็นสาวโฮ ผู้สูญสิ้นอย่างเดี่ยวดาย แม้ผู้เขียนจะเคยติเจ๊อย่างมีอคติก็ตาม แต่ยอมรับว่า ซีรีย์เรื่องนี้เจ๊เป็นผู้นำพาในการขับเคลื่อนเรื่องราว จนเผลอคิดว่า นี้อาจเป็นชีวิตจริงของเจ๊แน่นักเชียว เพราะมันไม่ได้กุลสตรีดีจ๋า แบบที่เห็นในซีรีย์ engine เลยมีลักษณคติเชิงความเป็นมนุษย์อยู่สูง ผิดกับบทหางกระดิกๆของนายทาเคชิ ที่คิดเห็นตามไปอย่างไรก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ว่าจะมีมนุษย์โลกพันธ์ทางเช่นนี้ อยู่บนผืนพิภพจริง
แต่เสน่ห์ของการหวนคำนึงคิด สำหรับซีรีย์เรื่องนี้ เป็นการบ่มเพาะดาวรุ่งในวงการโดยไม่รู้ตัว ที่ไม่กล่าวถึงซ้ำก็อาจจะมีลืม แม้บทพวกเขาจะมีน้อยและรอคอยการออกฉาก แต่อย่างน้อยก็พอเห็นวี่แววในอนาคต ของอาชีพนักแสดงอย่าง ดาราสาวโก๊ "ซาโตมิ อิชิฮารา" ที่รับบทเป็นแฟนสาวของทาเคชิ ที่ทุกวันนี้เอาดีกับการเป็นนางเอกหลายเรื่อง อาทิ h2,water boys,pizzle Aoi Nurse เป็นต้น หรือ "กระทาชายนากายามะ เออิตะ" ที่ไตร่ความสำเร็จเป็นตัวเอก แนวเพื่อนเรารักนาย ทั้ง last friends,tokyo friend,Hard to say l love you และรวมทั้งเห็นพี่ "เรียวตะ ซาโต้" คนที่เล่นเป็นครูใน Rookies ด้วยอีกคน นี้คงเป็นผลิตผลของการได้รับบทซีรีย์ดีๆ พร้อมกับการได้ประชันนักแสดงมากฝีมือ สังเกตมานานแล้วว่า ส่วนใหญ่กว่าที่นักแสดงจะฉายแววได้ จำต้องสร้างเครดิตไว้กับความสำเร็จของซีรีย์ชื่อดัง แม้บทจะไก่การองบอ่นกว่าชาวบ้าน ที่ท่าไม่บอกอีกที ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เคยชมผลงานการแสดงของพวกเขาเหล่านี้มาแล้ว จะว่าไป ถือว่าเป็นซีรีย์ในยุคผลิตภัณฑ์ "เจ๊เมืองยุ่น ตรากินเด็กสมบูรณ์" ที่ทางสถานีแต่ละช่อง จะได้สร้างสรรค์ปรากฎการณ์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้องหมายความว่า สนองตอบรสนิยมของกลุ่มคนรักเด็ก ที่ไม่ใช่นางงามก็ปิ๊งเด็ก(หนุ่ม)ได้ และในทางกลับกัน ก็ตอบสนองแก่เด็ก ที่อุตริคิดการใหญ่กับบุคคลวัยแม่ (สุภาพหน่อยก็พี่) ทำให้ความรักของคนต่างวัยกลายเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่กระแสของการทำ อาจจะไม่ตอ่เนื่องนัก แต่ขนบรับประทานอย่างเอิบอิ่ม ทำนองนี้ ก็มีมาอยู่เรือ่ยๆ ซึ่งดาราวัยรุ่นชายเกือบทั้งหมด มักจะถูกไฟล์บังคับ ให้ต้องรับเล่นเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตแทบทุกคน อย่างใน เอ็นทีวี ก็เคยนำเอา ป้าชิโนฮารา เรียวโกะ ประกบกับ อากานิชิ จิน ในเรื่อง anego ในปี ๒๐๐๕ หรือ ในหนัง tokyo tower ที่ยามะพี เด็กยาม ต้องมาประกบกับป้ามาซามิ ในบทแม่บ้านใจเปลี่ยว นี้ยังไม่รวม ป้าชิโนฮาราอีกครั้ง ที่เคยอิ่มก่อนหน้าจากการรับประทานทาคุยะใน Long Vocation ของค่ายฟูจิทีวีจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแบบไม่มีภูมิคุ้มการชมกันมาก่อน หากเจ๊โคยุกิจะคิดลิ้มลองบ้าง จะมิได้เชียวเหรอ??
Kimi Wa Pet หรือ โมโม่ที่รัก จึงเป็นซีรีย์ฉบับกึ๋ย ที่สนุกสนาน รื่นรมย์ บนหลักการที่ไม่เป็นจริง สู่ระดับสามัญไม่ทันนึก มีความแปลกในเชิงเนื้อหา และสาระระดับบุคคลที่จะ"ชิงหมาเกิด"อย่างไม่น่าเชื่อว่าพล็อกอย่างนี้ ทางไม่เกิดขึ้น จากการ์ตูนก็ยากที่จะให้จินตนาการได้ เป็นเสน่ห์ของซีรีย์ญี่ปุ่น ที่กลบมูลเหตุอัศจรรย์ จนหลงลืมความไม่น่าเชื่อนั้นๆได้แบบหลงประเด็น โดยเฉพาะเจ๊โคยุกิ แม้จะเคยมีอคติใส่กันมา แต่ทว่าในบทของสึมิเระ ค่อนข้างที่จะทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า การเข้ามาของคนแปลกหน้าอย่างเจ้าหนุ่มน้อยทาเคชิ ถือเป็นภาวะการทดแทน ท่ามกลางความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอดีต สืบเนื่องตลอดจนถึงปัจจุบัน ในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ (ส่วนความเหมาะควร อันนี้ก็ต้องว่ากันอีกเรื่อง) และความแข็งกระด้างหน้าทื่อของเธอ มันถูกสอดรับกับปมชีวิตของตัวละคร ที่ทั้งเหงาและเปล่าเปลี่ยว แม้โดยสภาพแวดล้อมแล้ว จะถูกจัด ว่าเป็นผู้หญิงเก่งได้ไม่ยาก แต่สำหรับสึมิเระแล้วอาจจะยาก ที่จะหาคนที่เข้าใจในตัวเธอ ว่าเธอเองก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ต้องการสภาพจากความเข้าใจของใครสักคนหนึ่ง ที่เธอรู้สึกไว้วางใจ ซึ่งภาวการณ์นี้ เธอเคยมีให้กับโมโม่ สุนัขตัวโปรดเมื่อวัยเด็กของเธอเอง ที่ความรู้สึกนี้ เธอเองก็ไม่อาจจะมีให้ได้กับ อาสึมิ (รับบทโดย ทานาเบะ เซอิจิ จาก Psychometrer Eiji และ Fatatsu no Spica) รุ่นพี่รักแรกที่หวนพัดอย่างบังเอิญ อันเป็นเหตุให้การจัดสรรความสัมพันธ์เดิม ระหว่างเธอเองกับโมโม่จัง ทาเคชิ ค่อยๆที่จะระหองระแหงกินแหนงแคลงใจ เข้าสู่บทส่งให้เธอต้องเลือก แล้วสีหน้าของเจ๊โคยุกิก็บ่งบอกความสามารถ ของความเป็นช่างเลือก ที่ต้องให้เวลาเธอสักสองตอนคงจะพอสรุปเห็นผลในลำดับถัดมาได้
เรื่องความเหงาและความเปล่าเปลี่ยว ศาสตราจารย์จิตวิทยา Rollo May หนึ่งในสมาชิก American Psychological Association ได้วิเคราะห์ว่าเป็นผลจากการล่มสลายของค่านิยามต่างๆ ทำให้เรากลวงโบ๋ในใจ และการถูกโดดเดี่ยวจากผู้อื่น ทำให้เราควบคุมอะไรในชีวิตไม่ได้เลย แต่มนุษย์เราจะไม่เหงา ถ้ารู้จักใช้ชีวิตให้เป็น คือ ต้องรู้จักจัดการตัวเอง (Self-mastry) และบรรลุในศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่ ตลอดจนถึงการดูแลผู้อื่น เราจะมี peak experience ได้ ถ้าเรามีชีวิตที่สมบูรณ์ เห็นชีวิตและสิ่งรอบข้างในเชิงที่สวยงาม เกิด peace of mind ในใจตน หรือแม้แต่ความทรงจำในวัยเด็ก นักจิตวิทยาแอ็ดเลอร์ ก็เชื่อว่า ชีวิตวัยเด็กมีความสำคัญต่อความเข้าใจวิถีชีวิตพิเศษ ทำให้ได้เบาะแสนำไปสู่ความเข้าใจ ของการต่อสู้เพื่อความเหนือกว่าของคนๆนั้น ความทรงจำจะช่วยไปเสริมเจตคติของคนไข้ เข้าใจแก่นของปัญหา ที่ทำให้สามารถปรับการใช้ชีวิตได้ถูกต้องขึ้น
แต่ส่วนสำคัญ ที่คิดว่าทำให้ซีรีย์เรือ่งนี้ดูสนุกได้ ทั้งๆที่ปัจจัยองค์ประกอบแสนกึ๋ยครบวงจรขนาดนี้ คือ การได้มือเขียนบทในดวงใจผู้เขียนอย่าง "โอการิ มิกะ" ซึ่งเธอเป็นสายคอเมดี้จ้าวสำราญ แต่ไหนแต่ไรมาเนิ่นนานแล้ว สร้างงานน้ำหูน้ำตาไหลในและแอบใส่มนต์เสน่ห์ฺ อย่าง my boss my hero และ Buzzer Beat เป็นต้น แม้ผู้เขียน จะไม่เคยได้อ่านต้นฉบับการ์ตูนเลยมาก่อน แต่เชื่อใจตัวเองได้เลยว่า ถ้ายกทั้งกระปิในฉบับการ์ตูน มาใส่เป็นหนัง คงได้สำลักอาการกึ๋ยเข้าขั้นอาเจียน แต่เจ๊มิกะ ก็ได้ขัดเกลาเรื่องราวจาก "รักต่างวัย และ(เกือบ)ต่างสายพันธ์" ให้กลับกลายมาเป็น เรื่องราวของ "สาวเก่งวัยเหงากับหนุ่มเห่าเท้าบัลเลย์" ที่บุคลิกลักษณะจิตใจ เรียกว่า ไปคนละเส้นทาง ผู้ชายก็แสนจะหลั๋นลาขี้ง้อ กับหญิงเจ้าที่แสนจะหน้าบึ้งหน้างอ จากนั้น ก็ใส่สถานการณ์ตัวละครใหม่ๆให้ดูอลวนเข้า และกำหนดทิศทางอนาคต เพื่อสร้างจุดเชื่อมต่อและถามใจตัวละคร ว่าตกลงแล้วจะเอาอย่างไรต่อไป เป็นการสรุปพล็อกที่ไม่แปลก เพราะหลายเรื่องตอนนั้นเขาก็กระทำมา แต่ทว่า เรื่องราวความรักของคนแปลกหน้าที่รู้ใจ กับคนรักในใจที่ดูแปลกแยก อย่างไรเสีย คนแปลกหน้า ก็มักสร้างสีสันและได้ความสด ในแง่ชวนให้ติดตามมาโดยตลอด เรือ่งนี้จึงทำให้เป็นคำสาปของความกึ๋ย ที่อยากจะปฎิเสธ แต่ใจก็ถามหาไปเสียทุกที........
อวยข้อมูลจาก
wikidrama,wikipedia,มารีออง@bloggang
ภาพจากอินเตอร์เนต
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2553 | | |
Last Update : 10 ตุลาคม 2555 21:56:02 น. |
Counter : 7038 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|