A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
Detroit Metal City ทำในสิ่งที่รัก ตระหนักในสิ่งที่เป็น


ก่อนอื่นขออนุญาติฮาตกค้าง สักครึ่งบรรทัดเป็นเบื้องต้น.....
"ฮาๆๆๆๆๆๆๆ วุ้ย ขำอะ"



เอาละพอแล้ว! อันนี้เป็นผลข้างเคียงจากฤทธิ์ของการเสพหนังญี่ปุ่นฮากลิ้ง
อิงเข้าพรรษาปีนี้ หลังจากที่ห่างหายหนังตลกๆ ไปเนินนานตั้งหลายพรรษาปี
อันเนื่องมาจาก ไม่ค่อยจะมีหนังที่กระตุ้น "ต่อมฮา" มากไปกว่า "ต่อมน้ำตา"
ในระยะหลังๆ ที่ไม่ต้องดูหนังเศร้า ชีวิตตูก็เศร้าพอจากผลกระทบทางเศรษฐกิจเสียชิบเลย!
ถ้าจะให้นับจำพวกหนังตลกแดนปลาดิบ ประเภทออกฤทธิ์ขำขันอย่างรุนแรง
ก็ต้องถือว่า "นานโคตร"
ถ้าให้เวลาเพียงสองวินาทีในตอนนี้ ก็คิดได้แค่สองเรือ่ง คือ Waterboys กับ SwingGirl
แต่ถึงแม้เพิ่มเวลาให้เป็นสองวัน คำตอบที่ได้
ก็ไม่ต่างจากการบังคับให้ตอบภายในสองวินาทีอยู่ดี แต่มาตอนนี้ในใจของผม
มันมีเรื่องที่สามปรากฎแล้ว
ให้ตายซิ! พอนึกถึงเรื่องที่สามทีไร ขออนุญาติกด copy แล้ว paste ขอบรรทัดสอง
ใต้บรรทัดทีหนึ่งอีกครั้งก็แล้วกัน

"ฮาๆๆๆๆๆๆๆ วุ้ย ขำอะ"





สืบเนื่องมาจาก มีสหายพันธมิตรที่คิดอะไรคล้ายๆกัน แนะนำหนังหนึ่งเรื่อง ที่ชื่อ
"DMC - Detroit Metal City"
โดยบอกแต่เพียงว่าเป็นหนังเพลงแนวถนัดของผมที่ถึงขั้นบูชา ว่าด้วยแนว
Death Metal ที่สายธารต้นกำเนิดจริงๆ ไม่ได้เกิดที่เมือง Detroit
แต่ถ้าใครฟังกันจริงๆจังๆ ตั้งแต่ ปลายปี ๘๐ จะรู้ว่าแถบแบย์ เอเรีย รัฐฟลอริด้า
อย่างวงต้นพ่อ Obituary, Morbid Angel และ Deicide เป็นต้น เป็นแหล่งขึ้นหิ้ง
และไมได้แต่งตัวพอกหน้าขาว สวมเกราะพลาสติก เหมือนอย่างในหนัง
อย่างมากก็แค่เสื้อเชิ้ตดำลายสกรีน แค่นี้ก็มากพอแล้ว
แต่ทว่าหนังเรื่องนี้
กลับบิดเบือนเจตนารมณ์ออกไปถึงขั้น "ลบหลู่"
เพราะเป็นแค่ Thrah Metal ที่มี Speed ผสมธรรมดาๆ มันเหมือนใครที่ไม่ได้มีความเข้าใจ
ความเป็นไปของสิ่งนั้นๆโดยแท้จริง แล้วแตะสัมผัสแต่เพืยงเปลือกนอกอันฉาบฉวย
มันจึงทำให้สาย Death Metal อันเป็นศาสตร์คีตยมบันเทิงแขนงหนึ่ง
เนื้อหาที่ว่ากันด้วย ความตาย ซากศพ และการดูหมิ่นเกลียดชัง มาทำเป็นเรื่องโจ๊ก
ตลกขบขันและมองเป็นเรื่องสนุก
แต่ประทานโทษ ต้องสารภาพด้วยความสัตย์จริงเถอะ ของเขามันทำได้ตลกสุดโปกฮาจริงๆละพี่น้อง


ก่อนหน้านี้ พอจะทราบเนื้อเรื่องอย่างคร่าวๆ จากบทความของท่านต่อพงษ์
ที่เขียนลงไว้ในผู้จัดการออนไลน์ ว่าสร้างมาจากการ์ตูนสุดฮิต-ติดเรท ของนักวาด
คิมิโนริ วาคาสุงิ ซึ่งการ์ตูนเรื่องอื่นๆก่อนหน้านี้ที่พี่แกบรรเลง ก็ล้วนออกไปแนวตลกร้าย
ที่ชอบเสียดสีและจิกกัดสภาพสังคมญี่ปุ่นแบบสุดกึ๋น แม้กระทั่งบทที่จะเอามาวาด
แต่ละเรื่องก็ล้วนแล้วแต่สุดที่จะบรรยาย ว่าคนดีๆ เขาไม่คิดกันหรอกเพ่!
ไม่เว้นแม้แต่ Detroit Metal City (ขอเรียกแบบย่อๆ นะครับว่า DMC ชื่อยาว มันเมื่อย)
ที่ว่ากันด้วยชีวิต "โซอิจิ เนงิชิ" เด็กหนุ่มๆธรรมด๊า ธรรมดา ใช้วิถีชีวิตแบบชนบทที่มีบ้านไร่กับท้องทุ่ง
มีชีวิตที่แสนจะใสซื่อบริสุทธิ์ (ออกไปทางไร้เดียงสาขั้นที่น่าวิตกกังวล) แค่เล่นดนตรี-ดีดกีต้าร์เป็น
ก็ไม่น่าที่จะพ้นความฝันที่อยากจะเป็นนักดนตรี จึงละทิ้งบ้านไร่ชายทุ่งและน้องวัว ที่เมืองโออิตะ
มาเผชิญโลกอีกด้านที่แสนจะวุ่นวายและสับสนยังกรุงโตเกียว โดยความฝันลึกๆ แล้ว
อยากจะมอบบทเพลงสื่อรัก เพื่อให้ทุกคนได้มีความสุข สนุกสนานแแบบหวานมันฉันคือเธอ
หรือรักนะจุ๊บๆ .ถ้าให้เทียบกับวงไทย ก็คงประมาณ วงชาตรี หรือ ดิอินโนเซนต์
ยิ่งบุคคลิกพี่ท่านมาแนวผมทรงกะลาครอบ ยิ้มหวานปานตุ๊ดมาเยือน
เที่ยวแจกจ่ายความฝันให้กับเพื่อนฝูงและรุ่นน้อง "No Music - No Dream"
ประโยคนี้ของพี่ท่าน ก็ดันไปซึมยังต่อมลึกในก้นบึงของหัวใจ ดั่งคัมภีร์เส้นทางนำชีวิตเป็นสรณะ
อามะ ภันเต!!



แล้วความฝันของพี่ท่านก็เป็นจริง เมื่อเรียนมหาลัยจนสำเร็จ
ต้องเผชิญกับความฝัน สูดหายใจให้เต็มปอด เดินก้าวอย่างมั่นใจ
หากไม่เข้าถ้ำเสือไซร้ ใยจะได้ลูกเสือฉันใด หากการจะเป็นนักร้องที่มีอัลบั้ม
โดยไม่ผ่านค่ายเทปเพลง ก็ยากที่จะมีชือ่ฉันนั้น
นายโซอิจิ จึงบำเพ็ญตนอยู่ในหลักของ "ฆราวาสธรรม" อันว่าด้วย
สัจจะ คือ สัญญาว่าจะทำความฝันให้เป็นจริง
ทมะ คือ ควบคุมจิตใจตน มิให้หวั่นไหว
ขันติ คือ อดทน อดกลั้น ต่ออุปสรรคนานาประการ
จาคะ คือ แบ่งปันความสุข ให้แก่เหล่าผู้ฟัง
ในที่สุด วงดนตรีของเขานาม Detroit Metal City กับฉายา Johannes Krauser ที่สอง
ก็ค่อยๆปลุกกระแสการตอบรับ เริ่มต้นจากคลับบาร์เล็กๆ
มีกลุ่มแฟนคลับที่พัฒนาจากการเป็นสาวกติดตาม ไปจนถึงขั้นเทิดทูนบูชาเขาดั่งพระเจ้า
ขยายกลุ่มแนวร่วมคนฟังจากเมืองหนึ่ง ไปอีกสู่เมืองหนึ่ง จนมีชื่อเสียงระดับประเทศ
ถึงขั้นที่นักดนตรีระดับตำนาน MeTal ของโลก อย่าง Jack in Dark
(ซึ่งท่าน Gene Simmons แห่งวง Kiss ร่วมเล่นกินเงินค่าเงินเยนด้วย)
ที่กำลังทัวร์รอบโลก World End อันมีเจตนาเพื่อเดินหน้าฆ่าให้ตาย
โดยท้าประชันฝีมือกับวงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเต้ยทาง Metal ของประเทศนั้นๆ
ให้ตายแดดิ้นสิ้นชีวินกันไปเลย
แต่อย่างว่า.........ดาวว่า มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของดาวอะ ฉันใด
ตัวตนที่แท้จริงของกระทาชายนาย โซอิจิ ก็ไม่ได้ใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นในแนวเพลง Metal สายนี้
ยังจะน่ายินดีเสียกว่า ที่จะไปร้องเพลงกรุ๊ปปี้ เลิฟ ตามสามแยกตลาดนัด
แม้จะมีเพียงหมาสักตัว มากระดิกหางนั่งฟังอย่างเดียวดาย (แต่ตอนหลัง แม้แต่หมาก็ทนฟังไม่ด้ายยย)
ซึ่งนายโซอิจิ ฝันที่จะเป็นในแนวทางนี้มากกว่า เสียดายที่ใจมันรัก แต่พรสวรรค์มันไม่ให้แจ้งเกิด

With your horrid songs about rape and killing.
(เล่นแต่เพลงที่สยดสยอง วันๆพูดแต่เรื่องการขมขืนและการฆ่าฟัน)

Just a coward whining about his frustration with the world.
(แบบนั้น คุณมันก็แค่ผู้ชายที่ขี้ขลาด ทำตัวแย่ๆคนหนึ่งเท่านั้นที่ยัดเยียด
่ความเกลียดชังให้กับโลกใบนี้)

Music is about giving people the power to dream.
(ดนตรีนะ สามารถมอบความฝันให้ใครสักคนในโลกใบนี้ได้นะ)

The love of my life once told me that. NO MUSIC NO DREAM
(คนที่ฉันชอบเคยบอกเอาไว้นะ ขาดดนตรีก็ไร้ซึ่งความฝัน)


ความสนุกของหนัง ยังคงตามสูตรของหนังตลกญี่ปุ่นทุกประการ
ไม่ได้เกิดจากไดอะล็อกประเภทสำบัดสำนวน โยกมุขเพื่อให้อีกฝ่ายตีมุขกลับ
แต่ว่าด้วยเรื่องโครงสร้างของเนือ้เรื่องและบุคลิกอันไม่ปกติของตัวละคร (แต่พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ)
งานนี้ทำให้พระเอกของเรื่อง อย่าง "เคนอิชิ มัตซึยาม่า" ที่รับบทโซอิจิจอมบื้อ
(คนที่เล่นเป็น L ในDeath Note)
สามารถพลิกบทบาทที่แสดงฝีมืออย่างเต็มที่มากขึ้น หลังจากที่ผ่านมารับบทเงียบๆ ประเภทเก็บกดๆ
ทั้งจาก Death Note , Yamamoto และ Shindo อีกทั้งยังไปได้นางเอกที่รับบทเลขานุการนายก
จากซีรีย์ Changes อย่าง "คาโตะ โรซ่า" ที่มาขายบทน่ารักสดใสตามสไตล์บูชิโด
ความที่กระแสการเอาการ์ตูนมาทำเป็นหนัง กำลังเห่อเหิมในตลาดภาพยนตร์ญี่ปุ่นอยู่ตอนนี้
มองด้านดี เท่ากับมีทรัพยากรของบทให้มาดัดเเปลงเป็นหนัง เพื่อส่งออกถึง "สองทาง"
คือ ได้ตลาดเก่าจากแฟนไดฮาร์ดหนังสือการ์ตูน อีกทางก็ได้ต่อยอดกับแฟนใหม่
จนต้องไปหาการ์ตูนมาอ่านซ้ำ
(ล้วนเข้าทางบ.การ์ตูนทั้งสองฝ่าย แล้วทำไมจะไม่ปล่อยให้ไปทำหนังได้ไง)
แน่นอน......เมื่อทำมาจากการ์ตูน โอกาสของความบ้าสุดขั้ว ย่อมมีไปได้สูง
บ้าตั้งแต่แฟนคลับ...............ที่ใส่ไข่ ให้ร้าย (แต่เสริมอิมเมจเพื่อขยายฐานของกลุ่ม) ว่าท่าน Krauser
ข่มขืนหญิง ๑๑ คน ภายในนาทีเดียว (ความจริงปิ๊งหญิงยังไม่กล้าบอกรักเลย) ปิตุฆาตตั้งแต่แรกเกิด
แว้บหนีจากสัมภาษณ์ ก็อ้างว่ามีนัดเชือดศพที่ยมโลก อ้าว! บ้ากันไปกันใหญ่แล้ว
แต่ทั้งคนร้องและแฟนเพลง ต่างก็เออออห่อหมก สุดท้ายคนที่ยิ้มออก ก็คือ ผู้จัดการสาว
แห่งค่าย Death Record ที่รับทรัพย์ยิ้มแป้นกรีดนิ้วนับตังค์จากยอดขาย ที่ไม่พอจำหน่าย
บ้าไปอีก.................กับน้องชายโทชิคุงยอดกตัญญูที่เพิ่งโบกมือลาพี่ไม่กี่เดือน
ก็กลายเป็นสาวกแฟนเพลง DMC ชนิดโหงกหัวไม่ขึ้น
ปล่อยตัวไว้ผมยาว แหกปากโวยวาย ด่าพ่อล่อแม่ ตามคอนเซ็ปต์ที่ท่าน Krauser
สำรอกออกมาทุกระเบียบนิ้ว
บ้าเข้าไปอีกขั้น.............เมื่อนักแสดงยอดมนุษย์ไฟฟ้าในสวนสนุก ก็เป็นสาวกของวง DMC
ถึงขั้นประทับตราสัญลักษณ์กลางหน้าผา (คนที่เล่นเป็นบอดี้การ์ดนายก ใน Change อีกเช่นกัน)
มารับจ๊อบก็เพื่อจะได้ไปดูคอนเสริต DMC ตัวเป็นๆ กับเขาบ้าง
และก็บ้าๆๆๆและบ้าอีกมากมาย ไม่รู้จบ จนตูตลกซะจะบ้าตายตาม โอ้ท่าน Krauser....

แต่หนังก็ใช่ว่าจะไร้สาระซะ ที่จะให้ฮากลิ้งกันไปตลอดทั้งเรื่อง
อย่างน้อยๆ ก็มาผ่อนในช่วงกลางของท้ายเรือ่ง พอให้มาสำรวจต่อความฝันอันเป็นจุดตั้งต้นของเรื่อง
มาพิจารณาต่อบทบาทความสำคัญ ในฐานะที่ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
แต่มีความหมายต่อคนรอบข้างในฐานะที่เขาเป็นเพลงพันธ์แท้ขั้นสาวก สาวกที่ไม่อาจจะแยกแยะว่า
เรือ่งอันใดเป็นเรือ่งจริง เรื่องอันใดเป็นสิ่งอุปโลกขึ้น แต่นั้นก็ไม่ได้มีความหมายหรือสาระสำคัญเท่ากับ
บทบาทที่เขากำลังเป็นและอยากที่จะให้บุคคลที่เขาบูชา นึกเห็นและเป็นอยู่ในสิ่งที่เขาคิด
(แม้แต่เพื่อนร่วมวงยังโอดว่า ถ้าขาดนาย เราก็เป็นแค่นักร้องคาราโอเกะ ส่วนมือกลอง
ก็เป็นไอ้โรคจิตธรรมดาๆคนนึง)
แม้กระบวนของตรรกะแล้ว มันจะเป็นจินตนาการเชิงสมมติ ที่ก็สอดรับกับโลกจินตภาพร่วมหมู่
จนใกล้เคียงกับคำว่า "อุปทาน" แต่ก็จินตนาซะสุดรับประทานกันทีเดียว
สิ่งที่นายโซอิจิจะทำได้ดีที่สุด คือ เล่นในบทบาทอย่างเต็มความสามารถที่ตนมี จากนั้นก็ "โซโล่"
นายโซอิจิ จึง "ห่วยแตก" กับดนตรรีที่คนส่วนใหญ่นิยมฟัง
แต่คนกลุ่มหนึ่งนิยมฟัง กับ ดนตรีที่มีเนื้อหาที่คนส่วนใหญว่า "ห่วยแตก"
แต่เมื่อดนตรีจบ ลบอิมเมจ นายโซอิจิก็กลับมาเป็นปถุชนคนใสซื่ออยู่ร่วมกับสังคมเหมือนเดิม
เพราะเขารู้ดีว่า ทั้งหมดนี้ คือ การแสดง และเขาก็แสดงได้ดีสมกับบทบาท
(แม้ลงทุนผูกคอตัวเอง ห้อยหัวกลางเวทีบ้างก็ตามที)




ส่วนคนที่ผมอยากจะยกให้เป็นนางเอกของเรื่องที่สุด ก็คือ แม่ของโซอิจิ
คนที่แม้จะเห็นเจ้าลูกชายโซอิจิ แต่งตัวเป็นท่าน Krauser ก็ยังดูออกว่า เอ๊! ลูกเดี๊ยนนิ
จากนั้นก็เอออ้อรับมุขไปตามเรือ่งตามราว แถมยังชวนเคราจังมาร่วมกินข้าวเช้ากันอีกแนะ
แม่ที่มักมีประโยคคมๆ เพื่อสอนให้เจ้าลูกชายได้คิด
ชนิดที่ ถ้าเจ้าโซอิจิ ไม่ทันคิด คนดูอย่างผมก็เผลอคิดตามไปก่อนหน้าแล้ว
โดยเฉพาะในฉากศาลเจ้าวัดเก่า ไม่จำเป็นตอ้งนิมนต์พระ แค่เกี่ยวแขนคุณแม่โซอิจิ
ก็เสมือนได้มาฟังพระธรรมเทศนาอันล้ำเลิศ อาทิ

"แม้คนเราจะไม่สามารถทำสิ่งที่ผันให้เป็นจริงได้ แต่เราก็มีอิสระที่จะฝันอะไรก็ได้นิ"

"ขอให้มีเพียงความกล้าที่จะทำ แม้เวลาที่มืดมน ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ภายในจิตใจ"

"ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร แต่ถ้าลูกทำให้ฝันของคนอื่นเป็นจริง ลูกก็เป็นคนที่เยี่ยมที่สุดแล้ว"

ถ้าผมเป็นเจ้าโซอิจิ เจอประโยคอย่างนี้เข้าไป ให้ตายเถอะคุณแม่ขอร้อง!
ร้องมาเยอะๆเถอะ คุณลูกช๊อบๆ ยิ่งตอนฝากถุงผ้านำโชคให้เคราจังด้วย
ไม่ต่างอวยพรลูกชายตัวเอง ก็เหมือนกับอวยพรซ้ำสอง
เมื่อศาลาตอนเศร้าจบ เดินลงบันไดจากศาลเจ้า บทซึ้งๆก็ขาดตอน
ที่เหลือก็เดินหน้าฮาลูกเดียว.............ต่อ

หนังเรือ่งนี้จริงไม่มีอะไรมากไปกว่า ประโยคบรรทัดที่สอง ที่ขอ copy แล้ว paste อีกรอบ

"ฮาๆๆๆๆๆๆๆ วุ้ย ขำอะ"........




ข้อมุลเสริมจาก
-Detroit Metal City ฤาเฮวี่เมตัลจะครองเมือง ตอน๑ และ ๒ จากคอลัมภ์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง ก.ย. ๑๕๕๑
-พลังดนตรี..การคลั่งเกาหลีของ ม5/2 ถึงสาวก Detroit Metal City/ต่อพงษ์


Create Date : 01 สิงหาคม 2552
Last Update : 10 กรกฎาคม 2553 20:39:20 น. 0 comments
Counter : 2307 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.