A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

Long Vacation หอบรักมาพักร้อน


กลับมาปรับทัศนคติตัวเอง เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมในการดูซีรีย์
โดยเลือกให้ซีรีย์ในแต่ละเรื่อง ได้เข้าช่วงกับเทศกาลหรือบรรยากาศ ณ ปัจจุบัน
เพื่อต่อเติมในแรงจูงใจ จะได้ช่วยทยอยคลังซีรีย์ที่หมักดองจนใกล้ที่จะเค็ม
อีกทั้ง ยังเป็นการช่วยเสริมสร้างความ "อินจัด" ให้กับซีรีย์เรื่องนั้นๆ ไปในตัว
เวลาที่เราจะย้อนจดจำซีรีย์เรื่องหนึ่งๆ ว่าเคยได้ดูในครั้นเมื่อไร
จะได้สมองโพละนึกคิดปิ๊งออกได้อย่างฉับพลันทันด่วน
ไม่ต้องไปขุ้ยหาอนุทินไดอารี แล้วบรรจงคลี่ทีละหน้าไล่หาวีรกรรมส่วนตัว
เวลาดูซีรีย์แนวรักๆ จะได้โรแมนติกนักหนา
เวลาดูซีรีย์แนวโศกา จะได้เข็นน้ำตากันอย่างสุดๆ



อย่างในช่วงวันหยุดยาวคราวนี้ ก็เช่นเดียวกัน
ผู้เขียนได้วางแผนแบบไม่ปรึกษาใคร ที่จะขอเลือกย้อนกลับไปชม
ซีรีย์ชื่อดังแถมยังเป็นตำนานของสถานีโทรทัศน์ญี่ปุ่น
ไม่เว้นแม้แต่ปวงชนชาวไทย ในชื่อที่สอดรับกับวันหยุดยาวหากแปลตรงตัว
ที่ว่า Long Vacation ที่เคยฉายในปี ๑๙๙๖ ของค่ายฟูจิทีวีเขา
เหตุผลลึกๆ ที่ประสงค์จะชมซีรีย์เรื่องดังกล่าว
นอกจากที่จะสอดคล้องทางด้านเทศกาลแล้ว
ส่วนหนึ่งด้วยระดับตำนานของความเป็นเรตติ้งในประเทศเจ้าผลิต
เพราะปัจจุบัน ซีรีย์เรื่องดังกล่าวกำหนดการติดผังในอันดับที่ ๕
ของความเป็นซีรีย์ยอดนิยมตลอดกาลนับแต่ได้สร้างสมกันมา
จึงเป็นของดี ที่น่าลองพิสูจน์อย่างยิ่งยวด
ส่วนหนึ่ง เพราะแอบเห็นความอุดมสมบูรณ์ในลิสต์รายชื่อนักแสดง
ที่เป็นแม่เหล็กระดับเทพ ไม่ว่า ป๋าทาคุยะ ป๋ายูทากะ เจ๊มัตสุ เจ๊เรียว
น้องหนูฮิโรสุเอะ ที่มาโผล่แบบผู้เขียนไม่ได้ทำการบ้านว่าจะเจอะเจอ



Long Vacation เป็นซีรีย์แนวรักโอ้ละพ่อโอ้ละเเม่
ตามประสา คนที่จะพบรักแท้ก็ต้องแก้ปมรักเก่าว่าเขาเป็นคนที่ใช่แน่เหรอ?
(บางคนสะกดเป็น Long "Vo"cation อันนั้นหมายถึง อาชีพแบบดักดานไป)
โดยกำหนดเนื้อเรื่องที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ในโลกของความเป็นจริง
เมื่อเช้าวันปกติของใครคนหนึ่ง
เป็นเช้าวันพิเศษที่ใครอีกคนหนึ่ง กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ
สถานที่พร้อม แขกเครือผู้พร้อม ผู้ทำพิธีตามแนวสักขีพยานพร้อม
ส่วนเจ้าสาวก็พร้อมยิ่งกว่า แต่ทว่างานนี้กับไม่มีเจ้าบ่าว!!
ความบรรลัยทั้งหลายทั้งปวง เลยต้องมาตกกับตัวเจ้าสาวแต่เพียงผู้เดียว
ที่หล่อนเห็นคุณค่าความสำคัญของการมีเจ้าบ่าว มากกว่าสินสอดทองหมั้นใดใด
ถ้าช้าหมดก็อดมีผัว ขณะที่เวลาใกล้จะเข้ามาเต็มแก่
เกือกคูณร้อยพร้อมชุดเจ้าสาวอย่างเต็มยศ เพื่อตามหาว่าที่สามีจึงเกิดขึ้น
และจะไปไหนอื่นไกลไม่ได้ นอกจากอพาร์ทแมนของคุณเจ้าบ่าว
แน่นอนว่า อพาร์ทแมนยังอยู่ ประตูเปิดได้แต่คนข้างในกับไม่ใช่เจ้าบ่าว
แต่เขาเป็นเพียงเพื่อนผู้ร่วมเช่าอพาร์ทแมนของเจ้าบ่าว
ที่เจ้าตัวเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนของเขา
ปัจจุบันได้ไปอยู่แห่งหนตำบลใด และไม่เคยรับรู้อีกว่า
วันนี้จะเป็นวันมงคลอีกวันของเพื่อนคนดังกล่าว
ที่วันนี้กำลังจะเป็นวันอวมงคล ให้กับเขาและสาวเจ้าในชุดแต่งงานผู้แปลกหน้า
และยังทำตัวแปลกถิ่นเสียนี้กระไร

it's already nine thirty am and l don't see hasukura
(มันเวลาก็ปาไป เ้ก้าโมงครึ่งแล้วและฉันยังไม่เห็นหน้าฮาสุกุระคู่หมั้นฉันเลย)

Today is my wedding day,The ceremony should start at 10
and be there by nine .
(วันนี้ มันเป็นวันแต่งงานของฉัน พิธีการควรจะเริ่มที่สิบโมงแต่นี้มันเก้าแล้วนะ)



เพื่อนของอดีตเจ้าบ่าวท่านนี้ มีนาวว่า เซนะ
หนุ่มวัยยี่สิบสี่ ที่ปีหน้าก็ย่างเข้าเบญจเพศ ที่ความซวยไม่ต้องรอเมื่ออายุยี่สิบห้า
ครูสอนเปียโนที่มีพรสวรรค์ แต่ไม่ค่อยแสวง ด้วยเจอคำปรามาสของอาจารย์ท่าน
เลยสะกดวิญญาณความเป็นศิลปินเสียอยู่หมัด
แต่หมัดไหนก็ไม่มึนเท่าหมัดเจ๊ เจ๊ในชุดเจ้าสาวผู้มีนามว่า มินามิ
แม้ตอนแรกเธอเองจะไม่ได้แนะนำอาชีพ ว่าเคยเป็นนางแบบในสมัยรุ่งๆ
แต่ปัจจุบันมีสถานะโรยราเข้าขาลง ด้วยวัยที่เลยเข้าช่วงสามสิบเศษๆ
ที่ถ้าเลยเส้นวิภาวดีไปสักหน่อย ก็เข้าหลักสี่ ได้โดยปริยาย
เจ้าสาวผู้ตามหาสามี เพื่อส่งเสริมสถานภาพของความเป็นเจ้าสาวให้สมบูรณ์
ที่ขาดผัว ตัวเองก็ไม่อาจเป็นเจ้าสาวเต็มขั้นได้
และให้ตายเถอะ ที่ว่าที่เจ้าบ่าวคนดี หนีไปแต่งงานใหม่
อีกทั้งยังเชิดสินสอดทองหมั้นและสตางค์ทุกแดงของว่าที่เจ้าสาวเสียสักเกลี้ยง
ช่างเป็นคู่หมั่นที่แสนเลว แต่ก็แอบสะใจอยู่นิดสำหรับสาวเจ้าบางท่าน
ที่ไม่รู้ครบผู้ชาย ด้วยเหตุผลว่าดีเกินไป




เส้นทางแห่งพรหมลิขิต ก็ขีดเส้นทางให้คนทั้งสองต้องคู่กัน
แต่เป็นคู่ที่เซนะพระเอกของเรื่อง อยากจะเป็นคี่เสียมากกว่าในตอนแรก
ด้วยคำกล่าวอ้างของมินามิ ว่าเธอเองก็ไม่มีที่ไป
ส่วนมีที่จะไปได้ ก็มีเพียงที่เดียว นั่นคือ อดีตที่พักของคู่หมั้นเธอ
ที่แรกๆฟังดูก็พอเข้าใจได้อยู่ ว่าเธอมิอาจลบเลือนในอดีตคนรัก
ในฐานะที่เธอขาดเขาแล้วเธอก็ไม่เหลือใคร แต่ตระหนักลึกๆภายใน
อดีตที่พักของคู่หมั้น มันก็คืออพาร์ตแมนที่ฉัน (เซนะ) พักอยู่นี้หว่า!!
สุดท้ายด้วยความสงสารที่เป็นอนุสัยส่วนตัวและการกำหนดเงื่อนไขร่วมกัน
ว่า หนึ่ง! จะต้องไม่รับโทรศัพท์ในห้องพักเด็ดขาด และ
สอง! ถ้าได้งานใหม่เมื่อไร ต้องรีบไสหัวออกไปทันที
ซึ่งเงื่อนไขสองข้ออันนี้ คนดูอย่างเราคงพอเดาทางกันได้
ว่าถ้าไม่ละเมิด ก็หมดสนุกกันพอดี แต่ไม่นึกว่าเมื่อละเมิดแล้ว
จะนำพาให้เกิดตัวละครใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตของคนทั้งคู่
ซึ่งก็ทำให้เรื่องราวชวนอลหม่านซ่านกระเซ่นไปใหญ่กันโต



Someone like the first of the snow
(บางคนคล้ายดั่งหิมะแรกฤดู)

Unlike you,who is being like mud beneath the feel being trampled on
by many people and becoming snow that has been tainted
by dirt
(ไม่เหมือนกับเธอ ซึ่งไม่ต่างจากโคลนตมภายใต้รอยเท้าที่เหยียบย่ำของ
ใครหลายๆคนและเป็นได่แค่หิมะที่เต็มไปด้วยรอยแปดเปื้อนอันแสนสกปรก)

โหย..ป๋ายะด่าเเบบออกรสกวี ที่ขยี้หญิงท่านซะเจ็บปวด
เหตุที่โทรศัพท์กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับชีวิตคนทั้งสอง
เพราะโดยทุกปี ในวันคล้ายวันแก่เอ้ยวันเกิดของมินามิ
จะมีเสียงหล่อๆของอดีตคู่หมั้น มากล่าวคำอวยพรให้ชื่นใจเสียทุกครั้ง
แต่ปีนี้กลับไม่เหมือนเช่นทุกๆปี ส่วนที่มา ก็มิใช่ปลายสายของมินามิ
แต่เป็นของเซนะ จากรุ่นน้องที่เซนะแอบชอบอยู่
ที่ชื่อ เรียวโกะ (ทาคาโกะ มัตซู) งานนี้จึงเกิดการผิดใจครั้งใหญ่
เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงร่วมกัน (ซึ่งพล็อตเช่นนี้คงใช้
ในยุคสมัยนี้ไม่ได้ ที่ยากแค้นเพียงใดก็ต้องมีมือถือไว้เป็นสรณะสักเครื่อง)
ถึงขั้นหย่าขาด มีเฉดหัวขับไล่ แต่สุดท้ายก็ดึงหัวกลับมา
เมื่อรู้ความจริงผ่านจดหมายสมัครงานของมินามิ ที่ปรากฎวันเดือนปีเกิด
จากนั้นเสียงกรี๊กโทรศัพท์ ก็อีกครั้งก็ตามมา
คราวนี้ปลายสายกำหนดชื่อชัดๆ ว่าเป็นมินามิ
แต่หาใช่อดีตคู่หมั้นดั่งที่ใฝ่ฝัน แต่เป็นชายอีกคน
ซึ่งก็คือ น้องชายของมินามิ
ที่ชื่อ ชินจิ หนุ่มเจ้าสำราญ ที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศพร้อมแฟนสาว
ที่ชื่อ รูมิโกะ ที่ทั้งสองมาพร้อมกับความใฝ่ฝันร่วมกัน
ในการที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวในอาชีพจากร้านบาร์เล็กๆสักที่



และด้วยการปฏิสัมพันธ์ของคนวงนอกแบบข้ามฝ่ายแต่ไม่ข้ามภพ
จึงเป็นเหตุให้ เรียวโกะ สาวที่เซนะแอบชอบแต่ไม่กล้าบอก
ถูกเจ้าชุนอิที่เป็นน้องชายของมินามิ คว้าไปรับประทาน
แบบที่ทั้งสองมีใจให้กัน พร้อมกับการสาบสูญในค่ำคืนหนึ่ง
ที่ถ้าเจ้าตัวไม่บอก ก็ไม่เเปลกที่คนดูจะคิดกันไปเลยเทิด
เป็นค่ำคืน ที่สั่นสะท้านหัวใจอย่างน้อยๆ ก็จำเลยสามฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งแน่ละ ก็ต้องพี่ท่านเซนะ ฝ่ายที่สอง รูมิโกะแฟนสาว
ฝ่ายที่สาม ที่หนีความเดือดร้อนในฐานะพี่สาวในสายเลือด
อย่างมินามิ เอาเข้าจริงจะไปโทษใครคนใดก็ไม่ได้
ถ้าไม่โทษไอ้หนุ่มเสเพลชุนอิ รูมิโกะก็คงต้องโทษตัวเองที่ไปคบ
กับผู้ชายพรรค์นี้ได้อย่างไร ความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานในเรื่อง
ไม่ทันหาย สะพานจากผู้ชายตัวเท่าควายก็เข้ามาแทรก
เมื่อมีตากล้องยอดฝีมือ ที่ชื่อ ซุกิซากิ ที่แอบปลื้มในตัวมินามิ
มาตั้งแต่ในสมัยที่มินามินั้นยังรุ่งๆในแวดวงนางแบบ
มาคอยเป็นบ่วงวงใหม่ ที่เป็นทางเลือกในการนำชีวิตของมินามิ
ที่เป็นช่วงขาลง ให้กลับมาเป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
จนมีแผนที่จะไปแต่งงาน ถึงเมืองนอกเมืองนา
(สมัยก่อน พี่ยุ่นเข้าเอะอะช่างฝัน ก็จะตะล่อนไปต่างประเทศสักเรื่อย
ผิดกับเมืองไทย ที่จะลี้ภัยทั้งที่ เรื่องการเมืองต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง)
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน ความสัมพันธ์แรกเริ่มของเซนะกับมินามิ
จากเดิมที่เคยคิดกันเป็นเพียงน้องกับพี่ ก็ค่อยๆมาเเปรเปลี่ยนไป
มินามิจากเดิมที่เคยคิดว่าตนเองเป็นเพียงพี่สาว
ที่คอยพยายามแอบเชียร์ให้กับเซนะ
โดยรับประกันความเป็นน้องชายไม่แท้อย่างเซะ
ว่าอย่างน้อยๆมันก็นิสัยดีกว่าน้องแท้ๆ อย่างเจ้าชุนอิ
ให้กับเรียวโกะ สาวเจ้าผู้ลังเลในการคบหาใครสักคนไว้เป็นคู่ใจ
ก็กลายเป็นแอบลุ้นเล็กๆในใจของเซนะ ให้คิดไม่ซื่อเหมือนกันกับตน
ขณะเดียวกัน เซนะก็ปรารถนากำลังใจที่มีให้อย่างใกล้ชิดและสนิทสนม
จากตัวมินามิ เพื่อก้าวผ่านไปยังความฝันของการเป็นนักเปียโนมืออาชีพ
จนก่อเกิดเป็นความรักที่ไม่กลายเอ่ย ตามแบบฉบับเซนะไอ้หนุ่มขี้อาย
ทั้งสองฝ่ายต่างกลับกลายเป็นความสับสนในใจ
ที่ไม่มีใครกล้าสารภาพ ด้วยเงื่อนไขจากปมที่สร้างขึ้นมาเองทั้งสองฝ่าย
แล้วชีวิตรักที่แอบซ่อนจะถูกเปิดเผยอย่างไร มีอุปสรรคชีวิตแค่ไหน
และลงท้ายในความสมดุลทุกตัวละครอย่างไร อันนี้จะขุดคุ้ยหากันเอาเอง



ในบรรดาซีรีย์ญี่ปุ่นช่วงปี ๙๐ ถึงปีสหัสวรรษ
ไอ้เรื่องของแวดวงเนื้อหารักๆใคร่ๆ ถือเป็นเรื่องที่ดารดาษหาดูได้เกลื่อน
ซึ่งดูจะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ในท่ามกลางซีรีย์ญี่ปุ่น ณ ช่วงปัจจุบัน
ที่จะหาความรักความใคร่สักช่วงกิเลส ต้องไล่สคริปหากันทุกช่วง chapter
ซึ่งจะว่าไป Long Vacation ด้วยเนื้อหาล้วนๆ ก็แทบจะเป็นเรื่องที่ไร้แก่นสาร
และไม่มีอะไรลึกซึ้ง เพียงว่าด้วยเรื่องปัญหาชีวิตรักของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ที่มีผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่ จากการเชื่อมโยงความสัมพันธ์
กับคนแปลกหน้าอีกฝ่าย แล้วก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัว
ที่ไปมีผลทั้งต่อคนใกล้และคนไกล ชนิดที่คนดูหลายคนอาจคาดถึงและไม่ถึง
แต่ถ้ามองในแง่ศาสตร์แห่งการละคร ที่สะท้อนโครงสร้างในสังคมๆนั้น
สิ่งนี้ที่ผู้เขียนรู้สึกได้ ในซีรีย์ในช่วงเวลาดังกล่าว ก็คือ
การตั้งประเด็นปัญหาของความรักกับวัยวุฒิ
ว่าเป็นสิ่งเหมาะสมอย่างสอดคล้องต้องกันตามครรลองของสังคมรึไม่?
อันนี้ไม่รู้ แต่ดูจากซีรีย์เรื่องนี้ มีการเน้นย้ำในเรื่องของอายุ
ในเชิงของหลักการเปรียบเทียบ จนบางรับรู้เข้าขั้นเป็นสิ่งบอกเล่าที่หยาบคาย
กล่าวคือ ถ้าไหนสังคมไทย อาจพอเข้าได้ว่าเป็นการจัดลำดับความอาวุโส
ในฐานะโครงสร้างทางอำนาจ เพื่อประสงค์ต่อการจัดระเบียบควบคุมในประพฤติ
ของผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าที่มีให้กับผู้ที่มีอาวุโสมากกว่า
แต่ในซีรีย์เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างนั้น
มันเหมือนการบอกเล่าเพื่อตั้งคำถามกับคนดู ว่าเฮียๆเจ๊ๆที่อยู่ตรงหน้าจอ
จะรับกับความสัมพันธ์สว๊าทสวาท ของหญิงที่มีอายุมากกว่าฝ่ายชาย
หรือในสำนวนที่ชี้ชัดแบบกดขี่ทางเพศนิดๆว่า "หญิงกินเด็ก" ได้รึไม่?
(ซึ่งถ้าปัจจุบัน หากมีการนำมาสร้างใหม่ โดยยังฝืนให้ป๋ายะลงเล่นอีกด้วยแล้ว
คงมีแต่หญิงชราคราว ย่า หรือไม่ก็ ยาย ที่จะพอกินป๋าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ไม่อิหลักอิเหลื่อ)



ตลอดชีวิตที่ได้รับชมซีรีย์กันมา เราก็คงจะได้ดูซีรีย์ที่มีเงื่อนไขความรัก
มาสารพัด-สารเพ ไม่ว่าชาติ วรรณะ สีผิว เผ่าพันธ์ พิภพ จนทะลุกาลเวลา
กับอีแค่เงื่อนไขของช่องว่างระหว่างวัย แต่หัวใจเดียวกัน จะนับประสาอะไร
อันนี้ผู้เขียนคงไม่มีคำตอบ แต่สำหรับเมืองไทย
อันนี้คงไม่ใช่อุปสรรคเท่าไรนัก เพราะมองด้วยประสบการณ์
ก็ถือว่า เป็นมื้อที่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวก่อนหน้า
ต่างมีรสนิยมที่ตกเป็นเหยื่ออย่างเต็มใจ ถูกรับประทานไปหลายสิบคน
ก็ตามประสาเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ที่นิยมสาวมีอายุหน่อยๆ เพราะชอบถูกตามใจ
แต่สังคมญีปุ่นที่เน้นขนบธรรมเนียมบางอย่าง
อาจมองเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะก่อนหน้านี้ก็มีซีรีย์เรื่อง Fobidden Love
ที่ว่าอื้อฉาวหนักหนา เวลาไปเจอะสำนวนว่าอื้อฉาวทีไร
ก็กระเหี้ยมกระหือในใจผู้เขียนให้รีบถวิลหามาดูโดยพลัน
ไอ้เราก็ขยันดูไปจนถึงตอนสุดท้าย ก็ไม่เห็นมันจะฉาวตรงไหนสักฉาก
จนลืมไปว่ามันเป็นซีรีย์ทางทีวี ที่มีความเป็นสาธารณนิยมสูง
ที่ตั้งคำถามต่อภาพรวมทางสังคม ในทรรศนะโครงสร้างแบบไร้พลวัต
ถึงได้ร้องอ้อว่า มันฉาวในความรู้สึกลึกๆในใจผู้คนสังคมญี่ปุ่นเท่านั้นเอง
แต่คงไม่คิดมาก แบบที่มีใครบางคนลงความเห็นใน wikipedia
ที่มองความรู้สึกหลังจากได้ชม Long Vacation เสร็จ ก็ร้อนวิชา
เพราะไอ้หมอนั่น ดูไปถึงขั้นผูกโยงกับเศรษฐกิจทดถอยแบบซึมลึก (deep recession)
เข้ากับสภาวะความมั่นคงในฐานะอัตรารายได้ของลูกจ้างชั่วคราว (secure a temporary job)
ที่บั่นทอนต่อเสถียรภาพในความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
อันนำมาซึ่งการพึ่งพิงกลุ่มบุคคลเฉพาะเพื่อเป็นการปลอบประโลมจิตใจ
โหย! อินจัดเกินไปไหมเพ่!



As supporting actor.You're not a focus point of video camera
(ดูอย่างนักแสดงตัวประกอบสิ คุณไม่มีทางที่จะได้ยืนในจุดหน้ากล้องเป็นอันขาด
this is the rule .l'm referring of life.
(นี้มันเป็นกฏ ผมเชื่อว่าชีวิตก็ไม่ต่างไปจากนั้น)

ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมาก ก็ถือเป็นซีรีย์ที่หรรษาเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยๆ
บุคคลิกภาพของตัวละครก็สอดคล้องกับนิสัยของนักแสดงเป็นตัวตั้งอยู่แล้ว
ทั้งนิสัยของทาคุยะ ที่มักออกอาการอ้ำๆอึ้งๆ เขินๆอายๆ จะพูดจะจา
ได้ไม่เต็มความคิดกับในสิ่งที่พูด หรืออาการลูกบู้ลูกห่ามของนางเอก
ยามากูชิ โทโมะโกะ ที่ต้องรับบทนางแบบขาลงวัยเลขสามสิบติดชงัด
ที่ต้องผันตัวมาเป็นพี่เลี้ยงของนางแบบ อันนี้นิสัยไม่แน่ใจว่าใช่
แต่เรื่องอายุนี้เข้าทางกับพล็อตเรื่องเต็มๆ (หลังจากเรื่องนี้ โอกาสได้เห็น
เธอกลับมาวงการแสดงค่อนข้างยากแล้ว เพราะวางมือรับความเป็น
ศรีภรรยาเต็มขั้นให้กับคุณสามี โตชิอากิ คาราซาวะ
(ก็คนที่เล่นเป็นพระเอกเต็มขั้น ใน 20 century Boys ภาคแรกไง)
อันนี้ยังไม่รวมกับ เจ้ายูกาตะ ที่ต้องรับบทไอ้หนุ่มเจ้าสำราญ
และใช้ชีวิตแบบไม่หวงหน้าหวงหลัง
บอกตั้งต้นเช่นนี้ ใครที่ติดบทพระเอกแสนดีอาจไม่เข้าตา
แต่พอให้พี่ท่านมาลองไว้หนวดไว้เครา เพื่อให้เข้ากับคาแรกเตอร์เรื่องนี้
ก็พอมองได้ว่า เป็นไอ้เสธเพลย์บอยหาตัวจับได้ไม่ยาก
แต่ผู้เขียนก็ดันไปติดภาพของใครคนหนึ่ง ที่เล่นโดย
เจ๊ทาคาโกะ มัตซู ที่ตอนนั้นเขายังไม่จับให้เป็นคู่พระคู่นาง
ให้คู่กับป๋ายะอย่างเต็มตัว และอีกอย่างผู้เขียนดันไปติดในบทหลังๆ ประเภท
โต้รักปะคารมแบบไม่ลดราวาศอก ทั้งจาก Love Generation และ
Hero พอมาเจออาการสาวติ๋มที่ไม่เจนจัดทางโลกเช่นนี้
ก็ออกอาการอึ้งแบบมีถอยหลังไปเล็กน้อย แต่ลืมไปว่าบทแบบนี้เจ๊มัตซู
ไปเคยเล่นฝากไว้ในหนังใหญ่ของ ผกก.ชุนจิ ที่ชื่อ April Story ไว้แล้ว
แถมที่เล่นในเรื่องนี้ ก็หน้าใสและใหม่ถอดด้ามแบบเพิ่งเข้าวงการ
เอาเป็นว่า หยวนๆให้สักครั้งละกัน



ขณะเดียวกัน ก็เจอของแถมแบบไม่ตั้งใจ
จากเหล่านักแสดงที่ไม่คาดฝันว่าจะเจอ อย่างหนูเรียวโกะ ฮิโระสุเอะ
ในบทนักเรียนเปียโนวัยแรกรุ่น ที่มีน้อยอย่างเหลือเชื่อ
มาดีดเปียโนดิ๊งๆ และค้นหาปรัชญาของการเล่นเปียโนไม่กี่ที
น้องหนูก็ต้องบินหายไปต่างประเทศตามบทที่วางไว้
ผู้เขียนเลยอดได้แทะโลมทางสายตาแบบจั๊งหนับ
แต่ดีว่า ยังได้เจ๊รุ่นใหญ่อีกท่านเข้ามาทดแทน อย่างเจ๊เรียว
ในบท รูมิโกะแฟนสาวของเจ้าชินจิ
ที่ตอนหลังจะถูกลดค่าจนเป็นสินค้าตกรุ่น
ในสายตาของเจ้าชินอิมัน อันนี้รู้กันเฉพาะผู้อ่านด้วยกันสองคนว่า
ผู้เขียนเคยแอบปลื้มในผลงานของเจ๊คนนี้อยู่พักหนึ่ง
แต่อย่างว่า เมื่อเชิงชายไปพบอะไรที่สดที่ใหม่กว่า
ย่อมต้องมีหลงลืมเป็นธรรมดา ก็ไม่ได้เลิกรากันไปทันที
ทว่า ได้ลดค่าเจ๊เรียวจากที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งในช่วงหนึ่ง
มาอยู่ในลำดับรองๆซะ ตามประสามีดาราสาวใหม่ๆให้แจ้งเกิด
แต่ก็ยังตามติดฝีมือในการแสดง ที่ระยะหลังๆ
เจ๊เรียวจะกระเตื้องขึ้น จนเจอกันบ่อยในพักหลัง
อาทิ code blue ทั้งสองภาค ใน IRYU ภาคสองและ Top Caster
และดูเหมือน จะเป็นนักแสดงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับ ผกก.คิริยะ เขา
เลยได้ไปโผล่ทั้ง CASSHERN และ Goemon ด้วยนะเธอ
แถมยังมาเจอะ เจ๊อิซูมิ ที่เรื่องนี้เป็นสาวเปรี้ยวแบบฟรีสไตล์ไม่หยอก
เพราะบทอย่างนี้ ถ้าไม่รับเล่นตอนนี้ สุดท้ายปลายชีวิตที่เหลือ
เจ๊คงไม่รู้ ว่าต้องรับบทแต่สาววัยกลางคน
ที่มีหน้าตาสถานะอาชีพ ที่ต้องการคนนับหน้าถือตาให้ความเชื่อถือ
ไม่ว่า IRYU , Karei naru Ichizoku หรือ Atsuhime
และยังได้ไปเจอ ไอ้ครูขาโหดของหนูโนดาเมะเข้า
เขาคือ ซาซามุ โคบายาชิ ที่ต้องจารึกไว้ว่าครั้งหนึ่ง
เขาก็เคยทำตัวเท่ห์ๆ แบบแย่งสาวเจ้าคนเดียวกันกับทาคูยะมาแล้ว
แต่อย่างว่า เมื่อกาลเวลานานเนิน สังขารที่เคยหล่อเคยเท่ห์ก็จางไป
เหลือไว้แค่ฉากที่ถูกบันทึกไว้ครั้งหนึ่งเมือ่นานมาแล้ว
ว่าเคยฝากหน้าตาหล่อๆให้กับชาวโลกได้ยลตา



ถ้าถามว่า มีความแปลกใหม่อะไรให้กับการชมครั้งนี้รึเปล่า
ก็บอกได้เลยว่า ไม่ และรู้สึกว่าคำเชิดชูดูสูงเกินความคาดหวัง
(ผิดกับ Concerto ที่ไม่ได้คาดหวัง แต่กับรู้สึกสูงในความรู้สึก)
ดูจะเป็นซีรีย์ที่มีให้เห็นเกลื่อนตา ที่มีพล็อตหลังใกล้เคียงอย่าง
Slow Dance,Concerto,Beautiful life,Last Cristmas
ที่ต้องมีเรื่องของความรักแบบหลายเส้าเป็นแก่น
แล้วแซมควบคู่ไปด้วยการทำฝันให้เป็นรูปธรรม
ภายใต้อุปสรรคที่ถาโถมได้ แต่อย่าย่อท้อ
รอเพียงวันที่ฟ้าเปิดและแดดที่เเจ่มใส เพื่อประกาศชัยชนะให้กึกก้อง
ซึ่งกว่าจะร้องได้ ก็ปาไปเกือบตอนสุดท้าย จนกว่าสถานการณ์อะไรๆ
จะเข้ารูปเข้ารอย ทั้งความรักและหน้าที่การงาน
ซึ่งมือเขียนบท คิตากาวะ เอริโกะ
เจ๊แกเป็นสายถนัดในการสร้างกลุ่มก๊วนชวนสร้างฝัน อาทิ
Orange Days ,Beautiful Life เป็นต้น
(มีเป็นหนังสือภาคภาษาไทย โดยการแปลของมัชชาร์ด้วยละ)
อย่างปีนี้ เจ๊บรรเลงเขียนบทที่น่ามีกวาดรางวี่รางวัลอีกครั้ง
ที่ขายลิขสิทธิ์ให้กับค่ายฟูจิทีวี ที่ชื่อ Sunao ni Narenakute
(เป็นการโคจรเจอกันอีกครั้งของ เออิตะ กับ น้องจูริ
นับจากงานซีรีย์อย่าง Nodame Cantabile)
แต่ความฉลาดของซีรีย์เรื่องนี้ ที่ทำให้เรื่องนี้คนดูติดหนึบ
น่าจะเกิดจากการบอกเล่าไม่ตามขนบวิธีแบบลำดับขั้นหนึ่ง สอง สาม
ซึ่งเป็นรูปแบบสามัญตามธรรมเนียมของการสร้างซีรีย์สักเรื่อง
แต่กับเปิดปฐมบทด้วยการเล่าตอนกลางเรื่อง
โดยให้ว่าที่เจ้าสาวคนไหนก็ไม่รู้วิ่งหอบกระแฮกๆอย่างไม่คิดชีวิต
ทะลุจากใจกลางเมือง มุ่งหน้าตรงมายังอพาร์ทแมนเจ้ากรรม
อย่างนอ้ยๆ คนดูก็ต้องตั้งถามถึงการปะติดปะต่อในเรื่องราวสุดอลหม่าน
ตั้งแต่นาทีแรกที่เปิดเรื่อง เพราะขาดการปูพื้น ทั้งประวัติตัวละคร
มูลเหตุจากเรื่องราวและสถานการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผล
พอเกิดคำถามเช่นนี้เกิดขึ้น
ก็เข้าท่าผู้กำกับ ในการที่จะย้อนตอบเรื่องราวความสงสัยเหล่านี้
ไปพร้อมๆกับการดำเนินเรื่อง ให้เดินต่อเนื่องไปข้างหน้า
แต่อย่างว่า อย่าหวังว่าเขาจะเผยไต๋เรื่องราวไปเสียหมดในตอนเดียว
มันเลยเกิดฐานของคนดูสองช่วง คือ
ช่วงปกติ ที่อยากรับรู้ความเป็นมาของตัวละคร
ช่วงก่อนหน้า ที่อยากรับรู้ความเป็นไปของตัวละคร
ประทานโทษ ซีรีย์เรื่องนี้เขาไม่ใช้แฟลชแบ็คเพื่อให้เห็นภาพในอดีตหรอกนะ
แต่เขาอาศัยผ่านการบอกเล่าจากปากโต้งๆของตัวละคร
ซึ่งถ้าตัวละครเขาไม่น่าสนใจพอ ที่จะสะกดคนดูอยู่
คิดเหรอว่า พวกสูอยากจะตั้งใจฟังพวกหล่อนพูดกัน
และไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น แต่ต้องเค้นพลังทางการแสดง
เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วยพร้อมกัน
ไม่งั้นป๋ายะจะลงทุนรับประทานกระดาษ เพื่อเก็บความลับไว้ทำไม
เค้นอย่างเดียวอาจไม่พอ อาจต้องมีการขย้อนสักด้วย



Don't afraind that's the reason for faillure.
(อย่าไปกลัวเพียงแค่เหตุผลของการที่ไม่สมหวัง)

In another words the timing must be perfect
(ในอีกด้านหนึ่ง มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่จะต้องสุขสมหวัง)

lf you can't grab the chance .lt'll slip out of your hand
(ถ้าเธอไม่ไขว้ขว้าโอกาสที่หยิบยื่นอยู่ตรงหน้า สักพักมันจะหลุดลอยมือไป)

โดยส่วนตัวนะ ความด้วยคลุกคลีอยู่กับซีรีย์ในยุคปัจจุบัน
ที่มีการพัฒนาโครงเรื่อง แนววิธีการนำเสนอและปรัชญาวิธีที่ข้ามพ้นยุคสมัย
จึงทำให้รู้สึกไปเองว่า ซีรีย์เรื่องนี้ไม่น่าจะกวาดรางวัล TDAA ครั้งที่ ๙
ชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปถึง ๑๐ รางวัล ก็เลยนึกคิดแบบนั่งจุดเทียนเอาเองว่า
ฤดูกาลนั้น ซีรีย์คู่แข่งคงตีกินหรือเป็นฤดูที่มีซีรีย์แย่ๆประกอบขึ้นกับพอดี
หรือไม่ก็สถาบันรางวัล TDAA คงล้มลุกตั้งไข่ได้ไม่นาน
ความชำนิชำนาญทางจึงยังไม่เกิด ผลก็เลยแจกกระจายในอย่างที่เห็น
แต่ยอมรับว่าเพลงอินเตอร์เก๋ๆ ที่เอาเข้ามาใส่ ยกระดับซีรีย์เรื่องนี้
ให้โกอินเตอร์ได้ไม่หยอก เพราะได้นางแบบแห่งยุค Naomi Campbell
มา Feat. ร่วมกับ โตชิโนบุ คุโบตะ ในเพลง La La La Love Song
ก็เล่นเอาติดหูได้เป็นอย่างดี ในฐานะที่เคยมีต้นทุนผ่านหูมาก่อนที่จะดูซีรีย์
แต่ความทรงจำในสมัยไอทีวีนำมาฉาย ออกจะลางเลือน
เพราะไม่ทันดู หรือดูได้ไม่ทัน แต่ไม่ว่าสรุปอย่างไรก็ทำความเข้าใจเอาว่า
ได้มาดูอีกครั้ง รูปแบบและวิธีที่ถ้าไม่ติดป้าย พ .ศ. ที่ทำ
ยังหลงนึกไปว่า เพิ่งลงมือตั้งกล้องเมื่อปีที่แล้ว
เพียงแต่อาจตั้งคำถามในใจ ว่าทำไมป๋ายะเราถึงหน้าแลแอ๊บแบ๋วดีจัง
ไม่เชื่อลองเอา Mr.Brain มาเทียบดูสิ ไม่ต้องใช้นิติวิทยาศาสตร์หรอก
แค่นับรอยตีนกาว่ามีกี่เส้น ก็รู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้ว

Just treat it like a very very long holiday.
(จะจัดระเบียบให้เหมือนวันหยุดย๊าวววยาวววกันอย่างไรดีละ)

you do not need to do your best all the time
(เธอเองก็ไม่ได้ต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา)

there're bound to have times.When things aren't going smoothly.
(นั่นจะทำให้เกิดการผูกมัดจนยากที่จะแก้ หลายสิ่งเองก็จะไม่ลื่นไหล)

Sent holiday.There's no need to force yourself to push on
(ปล่อยมันลอยไปกับวันหยุด ไม่ต้องการการขับเคลื่อนใดใด)

No need to be tensed.No need to work hard
(ไม่ต้องการความบึงตึง ไม่ต้องการงานที่หนักหนา)

Leave everything to nature.
(ปล่อยทุกสิ่งไหลไปกับธรรมชาติ)........



อวยข้อมูล

wikidrama
jkdrama
และท่านที่คอมเมนต์ทุกคำๆ ทำให้ความคิดแย้ง ช่วยเรียกเรตติ้งได้เยอะเลย




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 16:39:45 น.
Counter : 3970 Pageviews.  

Karei naru Ichizoku ศึกภายในที่หนักหนากว่าศึกไหนไหน


เปิดโทรทัศน์รับรู้ข่าวสารเมืองไทย ที่ถ้าไม่ปรับจูนสติให้ดี
ยังหลงนึกอยู่ไปว่า ม็อบเมืองไทยที่ปรากฎขึ้นตอนนี้ถือว่ายังโชคดี
ยิ่งถ้าหลงมาโผล่ในช่วงที่โทรทัศน์ขาวดำยี่ห้อธานินทร์กำลังฮิตๆ
เราคงจะแยกแยะกลุ่มสีนั้นสีนี้ ได้ลำบากอยู่พอสมควร
บางทีอาจจะต้องมีตัวอักษรวิ่งเรียงอยู่ข้างใต้
เพื่อกำหนดทัศนวิสัยผู้ชมให้ตรงกัน
เพราะไม่งั้นอาจจะมีอาการเผลอด่าม็อบผิดกลุ่ม คนผิดสี
เดี๋ยวเกรงว่าจะทำเอาให้ยุ่งกันไปใหญ่

ยิ่งเห็นเหตุการณ์บ้านเมืองไทยอย่างนี้แล้ว
เลยเป็นโอกาสอันดี ที่จะทำให้โทรทัศน์กลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรพึ่งเสาอากาศ
แต่เปลี่ยนมาเป็นเครื่องวีดีทัศน์ โดยเลือกเอาซีรีย์ที่มาเป็นอุทาหรณ์สอนใจ
ว่าภัยส่วนใหญ่ที่ว่าร้าย ส่วนมากมักมาจากการแตกความสามัคคีภายใน
ศึกว่าใหญ่นักหนา หาได้เป็นเพียงภัยจากอริราชศัตรูภายนอกประเทศไม่
หากแต่เป็นบุคคลเลือดเนื้อร่วมชาติในอาณาราษฎร์ดินแดนของเรา
ยิ่งใครที่เคยชมซีรีย์ญีปุ่นเรื่อง Karei naru Ichizoku
จะรับรู้ในความรู้สึกนั่น ที่โหดยิ่งกว่า
เพราะพี่ท่านเล่นเอาศึกของสายเลือด มาล้างตระกูล
เมื่อบิดากับบุตร ต้องมาห่ำหั่นกันด้วยปมแฝงในอคติ
คล้ายกับการเปิดโต๊ะเจรจาการเมือง ทีอีกฝ่ายก็หาได้ประนีประนอม
รอมชอมตามกันไปด้วย



Karei naru Ichizoku เป็นบทประพันธ์เก่าของ ยามาซากิ โตโยโกะ
ที่เคยถูกสร้างมาเป็นภาพยนตร์ในปี ๑๙๗๔ เป็นความสัมพันธ์ที่ร้าวลึก
กันภายในครอบครัวสายตระกูลคหบดีใหญ่ "มันเปียว" ( Manpyo family)
ซึ่งถือได้ว่าเป็นสายตระกูลวานิชธนกิจใหญ่ในเขตพื้นที่คันไซ
(เรตติ้งเลยกระฉูด สำหรับผู้ชมในเขตคันไซกันยกใหญ่)
ในช่วงระหว่างปลายปี ๖๐ นับหลังจากการฟื้นฟู่และปฏิรูปกิจการภายใน
ของประเทศครั้งใหญ่ อันเป็นเวลาที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่ได้ประกาศ
ยอมแพ้แก่เหล่าสัมพันธมิตรและยอมรับการเข้ามาควบคุมแผนปฎิรูปประเทศ
ของสหรัฐ หลายนโยบายที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่ ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบ
ต่อรูปแบบเศรษฐกิจและสังคมเดิม ที่เคยมีมาแทบทั้งสิ้น ปลุกเสื้อนอนกินให้ต้องตื่น
หนึ่งในนั้น คือ เเผนกิจการควบรวมของธนาคาร เพื่อที่จะได้เสริมการระดมทุน
และเพิ่มสภาพคล่องในการหมุนเวียนเม็ดเงินภายในประเทศ
ในอีกทาง ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพทางการแข่งขันกันระหว่างธนาคาร
โดยมีรัฐเป็นผู้ควบคุม ที่ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เป็นผู้ลงนาม โดยอ้างถึงความต้องการที่จะปกป้องธุรกิจธนาคารสัญชาติญี่ปุ่น
เพื่อให้ต่อกร กับการลงทุนของธนาคารสาขาต่างชาติได้
งานนี้จึงทำให้ ไดสุเกะ เจ้าสัวใหญ่แห่งธนาคารฮันชิน ในเครือตระกูลมันเปียว
ที่เป็นหนึ่งในสิบสองธนาคาร ที่อยู่ในแผนการควบรวมให้เหลือเพียง
สามธนาคารหลักประเทศหลักของประเทศ ต้องหนีตายด้วยการกระทำทุกวิถีทาง
ไม่ว่าจะเล่นด้วยแผนใต้ดิน หรือบนดิน (ถ้าธนาคารฮันชินโอนสัญชาติมาเป็น
ของเมืองไทย คงโดนลอบวางระเบิดด้วยข้อหาการเป็นสัญลักษณ์ของอมาตย์)



We've a responsibility to protect these workers,That family
(เรามีหน้าที่รับผิดชอบที่จะปกป้องพนักงานของเรา
และอีกหลายชีวิตในครอบครัวของพวกเขา)

We must survive and outlast the this Financial restructuring Law.
(เราจะต้องอยู่รอดและยั่งยืนยงต่อการรับแผนปฏิรูปเปลี่ยนโครงสร้าง
ในภาคการเงินเอาไว้ให้ได้)

แต่จุดขายหลัก สำหรับซีรีย์เรื่องนี้สำหรับปวงชนชาติไทย
ดูเหมือนจะจับตาไปที บุตรชายคนโตของเจ้าสัวไดสุเกะ ที่ชื่อ เทปเป้
เพราะเทปเป้ผู้นี้ คนที่รับบทก็คือ เฮียทาคุยะ คิมูระ ที่สาวกชาวไทย
ประกาศตัวโดยไม่พึ่งสีเสื้อ ซึ่งถ้าจับมาก่อหวอด
คงได้ม็อบป๋ายะย่อมๆกลุ่มหนึ่ง พอให้ได้เติมจำนวนกับม็อบเสื้อหลากสีให้ครบแสน
แต่แทนที่จะเหมือนกับเจ้าคุณพ่อ เทปเป้ผู้นี้กับถอดแบบในแบบที่ต้องเรียกว่จุติร่าง
เพราะมีความเหมือนที่ลงตัวในแบบเจ้าคุณปู่ในทุกระเบียบนิ้ว ทั้งนิสัย ใจคอและหน้าตา
มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะต่อยอดในการพัฒนาโรงงานหล่อมเหล็ก
ให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศในโลกอุตสาหกรรม
เพราะมีความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีการหล่อมเหล็กจากสูตรคิดค้นของตนเอง
ที่มีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งสูง รวมถึงยังช่วยยืดอายุการใช้งานได้ดีกว่าของเมืองนอก
อันนี้ต้องเรียกว่า เป็นการผลิตภายในประเทศเพื่อชดเชยการนำเข้า
เพื่อรักษางบประมาณการส่งออกของประเทศโดยมิให้ขาดดุลจนเสียเปรียบทางการแข่งขัน
อย่างว่า เทปเป้เขาไปร่ำไปเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนา
เรียกได้ว่า ไปเรียนต่อปริญญาโทในสาขาอุตสาหกรรมเหล็กเฉพาะด้าน
ในรัฐที่ขึ้นชื่อเรื่องการพัฒนาอาหารสนิม (ก็เหล็กนั่นแหละ) อย่างรัฐเมสสาชูเซต
รัฐดีที่เทปเป้เอง ยังแนะนำบุตรชายของพนักงานในเครือ ให้เป็นเจ้าเทปเป้สอง
ที่จะสืบสานปณิธานในการนำญี่ปุ่นเป็นเจ้าเหล็ก ในฐานะเครื่องมือสร้างชาติ
แต่อุปสรรค ในฐานะเครื่องมือทดสอบความเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าประทาน
ก็ทำเอา เทปเป้เด็กจบนอก ต้องมามีจุดจบจากปัญหาชีวิตภายในถึงสองด้าน
ไหนจะด้านของ หน้าที่การงาน เมื่อต้องระเห็ดก้าวย่างออกนอกประตูบ้าน
และไหนจะด้านของ ปัญหาคอบครัว อีกหลายเบ็ดเตล็ดยามที่บิดลูกกลอนประตู



สิ่งที่หนักอกหนักใจ สำหรับหน้าที่การงานของเฮียเทปเป้เขา
คือ การสรรฝันให้กับตัวเองในการสร้างเตาถลุงเหล็กเป็นของเอกชน
เอกชนที่ว่า ก็เป็นโรงงานที่สืบทอดมาตั้งแต่เจ้าคุณปู่
ที่ตัวพ่อไดสุเกะเองกลับปล่อยปละละเลย มุ่งหวังเพียงในส่วนของกิจการธนาคาร
และคาดหวังว่าตัวเทปเป้จะมาเป็นผู้สืบทอดในการดูแลกิจการธนาคารร่วมกับเขา
แต่แล้วดูเหมือนว่าเชื้อของปู่ คงมีอัตราส่วนของพาหะทิฐิที่ส่งต่อให้กับเจ้าเทปเป้
ที่มุ่งเน้นเอาดีในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ฟังดูก็รู้ว่าหนักอึ้ง อย่างเหล็กกล้า
เพราะเล็งเห็นต่อการณ์ในเบื้องหน้าแล้วว่า ไม่ช้าญี่ปุ่นกำลังจะเข้าสู่
ในยุคของอุตสาหกรรมใหม่ ที่มีเหล็กเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการนำประเทศ
ให้เข้าสู่เวทีของการแข่งขันต่อไปภายภาคหน้า
เจตนารมณ์ดีในเบื้องต้น แต่แล้วอุปสรรคต่างๆก็ถาโถมจนต้องล้มทั้งยืน
เริ่มจากการตัดเเข้ง ด้วยแต่เดิมการผูกขาดในอุตสาหกรรมเหล็กตกเป็นของภาครัฐ
ที่เรียกว่า ธนาคารเหล็ก อันเป็นจุดศูนย์รวมแบบเบ็ดเสร็จของเหล่าบรรดาเหล็กๆ
ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เหล็กเซียงกง เหล็กมือสอง เหล็กนำเข้า รวมทั้งหม้อหล่อมเหล็ก
จะเเบ่งจะขายอะไรให้กับภาคเอกชน ก็ต้องมีการเข้านอกออกใน
แบบเอามือซุกไว้ใส่ซองแล้วยังประคองลงใต้โต๊ะ
มีกระบวนการสร้างลูกรักพลักลูกชังกันเห็นๆ
ซึ่งกระบวนการวิชามารนี้ ถ้าเป็นตัวพ่อไดสุเกะก็จะมิใช่ปัญหา เพราะเป็นสายถนัดมาแต่กำเนิด
แต่ทว่าเมื่อเทียบกับเจ้าเทปเป ที่ยอมตายเสียยังดีกว่าการทำการตัวอย่างไร้เกียรติ์
แต่คงไม่ใช้แบบนโยบายสมัยเหมา เจอ ตุง ที่กำหนดให้ทุกบ้านต้องมีเตาหล่อมเหล็กไว้ใช้ส่วนตัว
มาสู่การขืนใจตัวเองแบบติดตลกไว้ว่า หลายบ้านต้องเอาช้อนเก่ามาโยนลงเตา
เพื่อหล่อมมาเป็นช้อนใหม่ จะได้มีเรื่องให้ผู้ตรวจเขามีอะไรไว้เขียนเป็นรายงานเล่น
ตัดแข้งอาจจะยังไม่ล้ม มาเจอตัวพ่อไดสุเกะตัดขาซ้ำ
ด้วยการที่อยู่ๆก็เคยสัญญา ว่าจะอนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหลายพันล้าน
ให้กับกิจการโรงงานถลุงเหล็กแก่เจ้าเทปเป้ แต่แล้วก็ตัดขาข้างซ้าย
ด้วยการออกเงินกู้ให้แบบไม่เต็มจำนวน แต่ไปๆมาๆเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม
ลงความเห็นชอบเสร็จสรรพ เจ้าเทปเป้ก็พอจะประคองอาการซวนเซ
ด้วยการถ่อไปหาเพื่อนสนิทในอีกธนาคาร ไปเล่าความฝันโดยมีชาติเป็นตัวตั้ง
จะว่าไปก็ไม่ต่างจากที่ม็อบเขาเอามาไฮปาร์ก ลงท้ายมีชาติเป็นศูนย์รวมทีไร
ก็เรียกเสียงเฮแบบคลั่งๆได้ทุกรายการ จนมีทุนสมประสงค์พร้อมที่จะปั้นฝันให้เป็นจริง
ก็มาเจอลูกตัดขาขวา แบบที่ต้องล่มตกเขม่นตีลังกา
เมื่อธนาคารฮันชินของเจ้าสัวป๋าไดสุเกะ ประกาศไม่อนุมัติเงินกู้ให้
โดยอ้างว่า เพื่อเป็นการสำรองเงินทุนในการรับประกันเงินฝาก
ในสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวาน จากแผนการควบรวมกิจการธนาคาร
งานนี้เล่นเอาเทปเป้ ที่มีจะมีสายสัมพันธ์แบบนิติบุคคลระหว่างพ่อกับลูกก็เหอะ
แต่สำหรับกระบวนของการไถ่ถามความจริงด้วยแล้ว มันเกินกว่าที่จะใช้
ความสัมพันธ์ที่แต่เดิมก็ไม่ค่อยจะปกติในมุมเงียบแบบไม่เปิดเผย
อันนำมาสู่การใช้นิติกฎหมาย ในแง่ของกระบวนปกติที่ใช้ต่อสู้
โดยที่มีศาลเป็นตัวกลางตัดสินความถูกผิดแบบเปิดเผย
ผ่านสื่อสาธารณะแบบขายข่าวได้ ที่มีโจทย์ คือ ลูก มีพ่อเป็นจำเลย
เพื่อชี้ถึงความไม่ชอบมาพากล ในการมีอำนาจมืดบางอย่าง
ฟ้าผ่าลงมาในการเขียนบัญชีรายการอนุมัติเงินกู้
ที่ผู้ลูกเชื่อว่า ได้รับการกลั่นแกล้งจากตัวพ่อ ด้วยพื้นฐานของอคติส่วนตัว
แต่นั่นก็มาเฉลยที่หลังว่า เป็นการจงใจปล่อยกู้เพื่อจะทำลายบริษัทเหล็กของลูก
อันจะมีผลกระทบชิงไปอีกธนาคารหนึ่ง ที่รวมปล่อยกู้รายย่อย
ซึ่งก็มีเพื่อนของเทปเป้เป็นประธานบริหาร เพื่อให้เกิดปัญหาในสภาพคล่อง
จะได้มีแผนยึดควบรวมกิจการในตอนท้ายที่สุด



อคติส่วนตัวที่แม้จะเป็นปัญหาเพียงระดับครอบครัว
แต่ก็เป็นปัญหาที่หนักอก ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาในหน้าที่การงาน
แม้หน้าฉากในคฤหาสถ์หลังใหญ่ ที่มีพื้นที่เกินกว่าจะเอามาตราวัดพื้นบ้าน
แบบปู่ผืนเสื่อตาตามิมาใช้ อันนี้ยังไม่รวมพื้นที่สวนส่วนตัว
ที่เจาะหลุมสักสิบแปดรู ก็เนรมิตให้กลายเป็นสนามกอล์ฟสุดหรูได้ไม่ยาก
แต่เมื่อมองทะลุเข้าไป ตามประสาคนรับใช้ที่สอดรู้สอดเห็นแบบบ้านเรา
(แต่บ้านญี่ปุ่นเขาไม่มีเเหะ) ก็จะเห็นถึงความระหองระแหง
ที่ปิ่มๆจะแตกกระซานซ่านเซ่นในไม่ช้า เมื่อคนรักล่าสุดของพ่อที่ไม่ใช่แม่
แม่ที่เคยมีสถานะเป็นภรรยา แบบคำเดียวสั้นๆ อยู่ดีๆ
ก็มีใครอีกคนที่ญาติก็ไม่ใช่ แต่เข้ามาอยู่แบบสบายอกสบายใจแก่หัวเรือใหญ่ไดสุเกะ
กลายเป็นนายหญิงคนใหม่ ที่เข้ามาบ่งการแบบเจ้ากี้เจ้าการสมาชิกทางการคนนั้นคนนี้
โดยอ้างผลประโยชน์ส่วนรวมภายใต้ความมั่นคงเชิงอุปถัมภ์ให้กับกิจการ
มีการจับบุตรสาวคนโตให้แต่งกับข้าราชการใหญ่ในกระทรวงคลัง
ปลุกเร้าบุตรสาวคนเล็กให้ไปหลิ่วตาให้กับบุตรชายของแบงค์ฝ่ายนั้น
รวมทั้งบุตรชายคนรอง ให้แต่งงานกับหญิงแวดวงธนาคารที่ตนไม่ได้รัก
สุดท้ายก็เลิกรากันไปอย่างรวดเร็ว
ไม่เว้นเทปเป้ ที่เป็นผลผลิตในการจับคู่แบบคลุมถุงชนของนายหญิงคนใหม่
แม้ตัวเขาจะมีแฟนสาวอยู่กอ่นแล้ว ก็จำต้องเลิกราเพื่อประคับประคอง
สายสัมพันธ์อันมั่นคงของกิจการธนาคาร เพราะพ่อตาฝ่ายโน้นเป็นถึงรัฐมนตรี
แต่ถึงจะยินยอมแบบถวายตัว จนเป็นผัวเขาตามใจพ่อ
แต่ถึงกระนั้น ก็ดูเหมือนพ่อไดสุเกะจะลุ่มหลงแบบติดมนต์เขมรจนโหงวหัวไม่ขึ้น
ด้วยทุกลมปากของนายหญิงคนใหม่ จะต้องใจผู้เป็นพ่อมากกว่าบุตรชายของตัวเอง
ขณะที่ผู้เป็นแม่ตัวจริง ก็ปล่อยเกียร์ว่าง รั้งไว้เพียงแค่ตำแหน่งภรรยาหลวง
ไม่ต่างไปจาก ตำแหน่งราชการแบบ ผบสส. ทนรับชะตากรรมจากนายหญิงคนใหม่
เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในทางยุทธศาสตร์การเมืองแบบหลังบ้าน
ที่ประสานเดินเกมส์กันอย่างสุดฤทธิ์



และแล้ว มรสุมรุมเร้าแห่งปัญหาก็ถาโถมไม่เว้นแต่ละวัน
ทั้งในส่วนจุลภาคเล็กๆ ที่รู้สึกถึงการไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อ
เพียงเพราะความรู้สึกลึกๆ ที่ต่อต้านวิธีคิดของผู้เป็นปู่ ซึ่งก็คือพ่อแท้ๆของตน
เสมือนจะสลัดร่างใต้ร่มเงาหลุดพ้น เมื่อหมดสิ้นไปในอีกเจเนอเรชั่นหนึ่ง
แต่ก็ต้องมาตามหลอกหล่อนซ้ำอีกครั้ง ในอีกหนึ่งเจเนอเรชั่นถัดไป
แถมยังเป็นเจเนอเรชั่นของผู้ที่เป็นลูกชาย อันถอดแบบในทุกระเบียดนิ้วของเจ้าคุณปู่
อีกทั้งแบบเเผนและวิธีคิดของเจ้าเทปเป้ ก็ไม่สอดคล้องต้องกันกับผู้เป็นพ่อ
อีกทั้งยังแสดงอาการต่อต้านอย่างก้าวร้าว กับหญิงคนโปรดของผู้เป็นพ่อ
จะให้มาจับถอดกางเกงแล้วตีก้นแบบลงโทษมันก็กระไรอยู่
สุดท้ายจึงอาศัยความได้เปรียบในฐานะกิจการที่ก่อร่างสร้างตัวอย่างมั่นคง
และกำเงินทุนหมุนเวียนมหาศาล
พยายามตัดแข้งตัดขาและอาศัยเครือข่ายคอเนกชั่นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอยู่
เพื่อไม่ให้บุตรชายที่ยโสโอหังในความคิดของตน มีโอกาสลงหลักปักฐาน
ในกิจการอุตสาหกรรมเหล็กในฝัน โดยไม่ใส่ใจว่าวิทยาการของบุตรชาย
จะมีคุณูปาการต่อความเฟื่องฟู่ในการยกระดับฐานะประเทศไปสู่เวทีโลกแค่ไหน
แต่เป็นการทำไปเพื่อความสะใจลึกๆของตัวเอง โดยไม่รู้ว่าเป็นการนำมา
ซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ให้กับสายตระกูลมัมเปียวต้องจารึกไปอีกนาน



Boss,Your Techniques have been recognized by a top manufacturer.
(หัวหน้า ด้วยเทคโนโลยีของหัวหน้าจะต้องได้การยอมรับ
ในแหล่งการผลิตของเครื่องจักรชั้นนำแน่เลยขอรับ)

l am excited to see the results from companies like America Bearings
and GM too
(ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลตอบรับจากเหล่าบรรดาบริษัทอย่างพวก
อเมริกาเบียริงส์หรือไม่ก็จีเอ็มทำนองนั้น

Yeah,that's true but....
(อืม ก็ใช่อยู่นะ แต่..........)

Karei naru Ichizoku ถือเป็นซีรีย์ฟอร์มยักษ์ของค่ายทีวี TBS
ที่ระดมทีมสร้างชุดใหญ่มาเผาผลาญเม็ดเงินเยนอย่างม่วนอกม่วนใจ
ในวาระที่ทางสถานีอยู่รอดมาได้ถึง ๕๕ ปี (เลยเข้าใจเลือกย้อนยุค
ในวันที่ใกล้เคียงกับวันแรกๆที่ก่อตั้งสถานี) งานนี้จึงอำนวยรถเข็น
เพื่อประเคนนักแสดงชั้นเทพมากฝีมือ ที่เห็นชื่อก็พอรู้ว่ามุ่งที่จะจับ
ตลาดกลุ่มคนที่มีอายุอานามอยู่สักหน่อย ที่ยังพอเกิดทัน จำได้และยังไม่ตาย
ให้ได้ถวิลถึงวันและอุดมการณ์ของการสร้างชาติและประคองเอาตัวรอด
ในท่ามกลางการผันแปรไปสู่การแข่งขันในโลกอุตสาหกรรมเพ ื่อการส่งออก
และสมรภูมิสู้รบแบบปลาใหญ่รับประทานปลาเล็ก
ขณะเดียวกัน ก็เห็นถึงการขับเคี่ยวของคนวงใน
ในรูปแบบของการอุปโลก ผ่านกลุ่มครอบครัวขยายในแวดวงคนชั้นสูงกลุ่มหนึ่ง
ที่ไม่ได้สอดคล้องต้องกันในความอุดมสุขไปร่วมกับชนชั้นฐานะ ที่ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งหวัง
ที่จะปลดแอกความเป็นไทในฐานะปัจเจกบุคคล ที่กระแสอาจข้นในยุคปัจจุบัน
แต่ถ้าย้อนกลับไปสักสี่สิบห้าสิบปีที่แล้ว มันมีพันธะสัมพันธ์บางอย่าง
ที่จำต้องประคับประคองเอาไว้ เพื่อให้โครงสร้างบางสิ่งบางอย่าง
ที่รู้สึกสำคัญและยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด แต่กับใครสมัยนี้อาจมีดีกรีได้ไม่เท่า
นั่นก็เป็น สถาบันครอบครัว ที่แม้จะรู้ว่า การเข้าสังกัดในสถาบันนี้
จะสอดคล้องในทำนองสุภาษิตที่ว่า หน้าชื่นแต่อกตรม



ผู้เขียนเคยนึกไปในทำนองว่า บทบาทของป๋ายะในฐานะนักแสดงเจ้าบุญทุ่ม
มันได้ผ่านพ้นช่วงเวลาพีกๆ ให้กับซีรีย์ที่หล่อนจนขึ้นสมอง อย่าง
Sleeping Forest ,the sky has left your eyes หรือไม่ก็ change เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า บทประเภทพระเอกไฮโซ ที่ไม่ต้องพึ่งรูปแบบลีลาเฉพาะตัว
ก็ไอ้ประเภทคิดไม่ออก บอกไม่ได้ เอียงคอหน่อยๆ แล้วพูดเทียบเคียงในแบบอ้อมๆ
ไอ้ลูกเล่นเทือกๆนี้ ไม่มีปรากฎให้เห็นในซีรีย์เรื่องนี้เลยสักแอ๊
คิดอะไร ว่าอะไร ก็ยิงกันโต้งๆ ไม่มีหลบๆแอบๆเหมือนยิง M79 หลังผู้ชุมนุม
สีหน้าแววตา มีความมุ่งมั่นตั้งใจ โอบกอดความฝันที่มีความเป็นไปได้เป็นตัวตาม
ขณะเดียวกัน ในฐานะพี่ชายคนโตที่ช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้กับน้องๆ
แต่ซีรีย์ก็ทำให้มันผิดสูตร จากวิธีการเดิมๆของซีรีย์แนวสร้างชาตินิยม
เพราะในประวัติความเป็นจริง คนภายนอกรับรู้ถึงความสำเร็จทางเศรษฐกิจ
ในช่วงปี ๘๐-๙๐ ที่ดัชนีมวลรวมขึ้นแตะในระดับสิบกว่ามาโดยตลอด
แถมเทคโนโลยีของญีปุ่นก็เข้ามาตีตลาดตะวันตก ด้วยประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน
แต่มูลค่าของการผลิตที่ต่ำกว่าและการเข้าถึงในแหล่งทรัพยากรในเขตเอเชียบุรพา
ไม่รวมถึงพิกัดภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่อะลุ่มอะล่วยในฐานะประเทศถูกปรมาณูพี่เบิ้ม
ปล่อยเสียจนผู้คนได้รับผลกระทบนับล้าน
และที่สำคัญ อาจเป็นซีรีย์เรื่องแรกๆ ที่โผล่มาป๋ายะก็เป็นพ่อคน
ไม่ต้องตามจีบตามง้อ หาศรีภรรยาที่กินความหาตัวเจอ ไปหลายช่วงตอน



แต่ใช่ว่าทาคุยะจะได้โชว์พาวด์แบบไม่มีหืดจับ
ด้วยทีมงานนักแสดงท่านอื่น ก็หาใช่พวกริมทางข้างถนนที่ไหน
ล้วนแล้วเเต่เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่หรือไม่ก็นักแสดงฝีมือจัดจ้าน
ชนิดที่เล่นเปลี่ยนเป็นคนละคน โดยไม่ต้องพึ่งน้ำเปลี่ยนนิสัย
อ่านบทสวมวิญญาณประทับทรงนิดหน่อย ทำให้ทุกการเข้าฉาก
ของเหล่าบุคคลเหล่านี้ทีไร มีได้เสียวสันหลังวาบทุกที
วาบไห้ปลาห้าแรก จากบทตัวละคร พ่อที่ชิงชังลูก ไดสุเกะ มันเปียว
เล่นโดย คิตาโยะจิ คินยะ อาวุโสท่านนี้ผู้เขียนไม่เคยเห็นฝีมือ
การแสดงของท่านมาก่อน และไอ้ความที่ไม่ติดตาในการแสดง
เลยทำให้วิธีการเทียบเคียงจากเรื่องก่อนๆ เพื่อสร้างความรู้สึกดีในตัวละคร
"ว่ามันก็แค่การแสดงนั่นละหว่า ก็ดูอย่างเรื่องที่แล้วมันยังเล่นเป็นคนดีอยู่เลย"
จึงใช้ไม่ได้ผล ผลที่ตามมาก็เลย รู้สึกเครียด-อินจัดและหวาดกลัว
กับเจ้ามันเปียว ไดสุเกะเป็นอย่างยิ่ง ทำให้หมอโนงูจิที่ว่าร้ายๆใน IRYU
คงมีเพื่อนในยามตกนรกหมกไหม้ แต่ทว่าตอนท้ายเฮียไดสุเกะ
มาปรับตัวทัน โดยที่ผู้เขียนก็ยังงงๆ ว่าอ้าว!ไม่รู้รึว่า เทปเป้เป็นบุตรแท้ๆของเฮีย
แต่ก็ไม่กล้าดูซ้ำใหม่เพื่อหาคำตอบ เพราะตลอดที่ลากดูในแต่ละตอน
ก็แสนที่จะสุดเครียดจนท้องกิ้วไปเสียหมดแล้ว แต่พอเฮียแกดังจากเรื่องนี้
ระยะหลังๆ เลยมีงานที่พอรู้จัก เชิญแกไปปรากฎเพื่อล้างภาพลักษณ์
และปรับอิมเมจใหม่ หลายต่อหลายเรื่องที่คนไทยพอผ่านตา อาทิ
Liar Game Atsuhime และ Triangle เป็นต้น



วาบไห้ปลาร้าที่สอง ก็จากบทภรรยาลับหรือคุณนายคนใหม่
ทากาซุ ไอโกะ ที่รับบทโดย ซูซูกิ เคียวกะ เป็นบทที่ร้ายลึก
ในคราบสีหน้าวาจาแบบผู้ดี เล่นดีเสียจนอยากจะเอาทุเรียนแบบไม่หวงเนื้อใน
เขวี้ยงใส่สักสี่ห้าลูก แล้วถ้าไปเจอเจ๊แถวม็อบแล้วถูกสลายเพื่อขอพื้นที่คืน
ก็จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจแต่อย่างใด เจ๊แกเล่นได้เจ้ากี้เจ้าการไม่ถามความเห็น
แก่เหล่าสมาชิกปานประหนึ่งทำตัวเป็นคุณนายซีอีโอ
ที่จะโยกจะรับใคร ให้ใครคนนั้นแต่งงานกับคนนี้ เอาใครคนนี้เป็นเหยื่อล่อคนนั้น
เจ๊แกก็ฟันธงและเออออฉับๆ อาจไปคล้องคอป๋าไดสุเกะแล้วทำอี้อ้อ
สักพักป๋าแกก็ใจอ่อน ยินยอมทำตามใจเจ๊แกแบบข้ามหัวเมียเก่า
แถมประวัติด้านเบื้องลึกยังโสมมพอ ที่จะหยักคิ้วหลิวตาแอบเป็นชู้
กับสามีของบุตรีคนโตของครอบครัวตระกูลมันเปียวเสียอีกนั่น
ร้ายครบสูตรเช่นนี้ แต่ใช่ว่าผู้เขียนจะแยกแยะไม่ได้
เพราะก่อนหน้าที่จะได้ชมซีรีย์เรื่องนี้ ยังโชคดีพอที่ได้ชมหนังใหญ่ Gravity Crown
ที่อยากจะให้เป็นหนังประจำวันแม่เเห่งชาติ เพราะเจ๊เล่นได้แสนดี
สนเป็นคุณแม่ตัวอย่างเหลือใจ จึงพอแยกแยะวิภัชชวาทได้ว่า ที่แท้มันก็แค่การแสดง



ส่วนที่เหลือ ก็ล้วนแล้วแต่ ถ้าเกิดไปรับเล่นซีรีย์เรื่องอื่นๆ
มีแต่จะจับพวกเขาไปเป็นพระเอกนางเอกแทบทั้งน่าน
การรับเล่นเรื่องนี้ จึงคล้ายๆเป็นการมาทำบุญประเทศเสียกลายๆ
ยกตัวอย่าง อาอิบุ ซากิ นี้ก็นางเอกจาก Absolute Boyfriend
นาริมิยะ ฮิโรกิ หมอนี้ก็พระเอกจาก Be with You ซีรีย์
หรือ อินาโมริ อิซุมิ จากหมอหน้าหวาน ใน IRYU
ศรีภรรยาในเรื่อง ก็นางเอกรุ่นๆ ฮาเซกาวา เคียวโกะ จาก Dragon Sakura
ขณะเดียวกันก็ไปเจอครูสาว ที่ตามหาตัวไม่เจอมาเนินนานสองนาง
อาทิ ครูสาวจาก Rookies ฟุกิอิชิ คาซุเอะ และ ครูสาวจาก Gokusen3
ยามาดะ ยู ก็มาโผล่ในแวดวงไฮซ้อไฮโซตระกูลมันเปียวกับเขาด้วย
และจากการสังเกตจากหางตา นักแสดงประกอบที่เหลืออีกหลายคน
แทบจะยกก๊วนทีมเดียว กับที่เล่นซีรีย์เรื่อง change นายกมือใหม่ฯ
ทั้งลุงเคนนิชิ ลุงมาซาฮิโกะ ลุงเซอิ
คาดว่าสถานีคงใช้แผนนโยบายควบรวมกิจการการแสดง
ประหนึ่งคงได้ดูงานตลกคาเฟ่ยุครุ่งๆของเมืองไทย ที่ต้องรีบบึ่งรถ
ข้ามไปเล่นอีกฝั่งของเฮียคาเฟ่อีกคน จนมีเรื่องระหองระแหงผิดใจกันมาแล้ว



และก็ตามคาด ที่จะกวาดรางวัลของเหล่าบรรดานักแสดง จาก
TDAA ครั้งที่ ๕๒ แบบไม่ผิดใจกับที่ผู้เขียนได้คาดการณ์ไว้
ทั้งตัว ป๋ายะ ป๋าคินยะ และน้าเคียวกะ แถมยังจัดสร้างรางวัลพิเศษใน
สาขาทีมอาร์ตให้กับซีรีย์เรื่องนี้อีกด้วย แต่จะให้คลาสสิกจริงๆ
เห็นทีจะต้องเป็นฉบับหนัง ปี ๑๙๗๔ ที่แอบไปดูใน Youtube
มานิดหน่อย นักแสดงยุคนั้นสงสัยจะผิวคล้ำ เลยต้องพอกหน้าขาว
จรดคอ แถมการแต่งหน้าท่าทางยังกับยุคสมัยพิศมัย วิไลศักดิ์ กำลังรุ่งๆ
แต่ดูเหมือนฉบับหนังใหญ่จะเข้าใจง่ายกว่า นิสัยใจคอของตัวละคร
ไม่ต้องมาส่องมิติด้านลึกอะไรมากมาย ดูก็รู้ว่าใครดีใครชั่ว
ใครเหลือง ใครเเดงห รือใครใส่เสื้อหลากสี เพราะของอย่างนี้สีหน้า
มันฟ้องอยู่ทนโท้



ส่วนทีมงานเบื้องหลัง ก็เรียกว่าคัดเอาทีมงานฝีมือฉมังด้วยกันทั้งน่าน
อย่างต้นฉบับคนเขียน ยามาซากิ โตโยโกะ ทุกวันนี้บทประพันธ์ก็ถูกนำ
มารีเมกใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง อย่างปีที่แล้วก็มีซีรีย์ที่ค่ายฟูจิเอามารีเมกใหม่
ที่ชื่อ Fomo Chitai ซึ่งมีพระเอกคาราซาวะ โตชิอากิ รับบทเป็น
ไอกิ ทาคาดะ รุ่นที่สอง แถมซีรีย์ Karei naru เรื่องนี้ยังได้ ฮาชิโมโตะ ฮิโรชิ
มาดัดแปลงบท ใครจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งเคยเขียนงานซีรีย์เบาสมอง
ที่เด็กม.ปลายริจะระบำใต้น้ำส่งท้ายภาคการศึกษา อย่าง Water Boys
นอกจากนี้ ยังได้มือผู้กำกับเล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ อย่าง ฟุกุซาวา คัตสุโอะ
ที่เคยฝากผลงานทุนสร้างใหญ่ๆ อย่าง Good luck และ Mr.Brain
เท่ากับว่าเป็นการร่วมงานระหว่างป๋ายะ กับผู้กำกับท่านนี้ปาเข้าไป
ก็เป็นเรื่องที่สามแล้ว แถมยังมีผู้กำกับอีกท่านอย่าง ยามามุโระ ไดสุเกะ
ที่มาช่วยกำกับตอนที่ ห้า เจ็ดและเก้า คนนี้กว่าจะปลีกเวลามาช่วยได้
ก็ต้องจัดคิวอยู่พอสมควร เพราะอย่างปีที่แล้ว ก็กำกับไปสามเรื่อง
ล้วนแล้วแต่ได้เสียงชื่นชมแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Love Shuffle
Mr.Brain และ Jin ขณะเดียวกันจะไม่ชื่นชมทีมงานวางแผนก็กระไรอยู่
ทั้งการเซตอัพสถานที่ราชการ จัดฉาก กำหนดการถ่ายทำ จัดคิวนักแสดง
ซีรีย์เรื่องนี้ ถึงเป็นงานหินชิ้นหนึ่งในวงการเท่าที่ซีรีย์ญีปุ่นเคยมี
เวโตกุชิ คาซึอากิ และ อุเอะดะ ฮิโรกิ ถือเป็นมือสับหลีกที่ได้ชื่อ่จากเรื่องนี้พอสมควร
อลังการด้วยเพลงบรรเลงสุดยิ่งใหญ่ โดย ฮาโตริ ทากายุกิ
ที่เคยทำให้ GTO , Nodame และ Taiyo to Umi no Kyoshitsu น้ำตาเล็ดมาแล้ว
และบางช่วงบางตอน ก็มีดนตรีคล้อยที่แฟน Eagles อาจร้องเฮ้ย
ว่าซีรีย์เรื่องนี้พี่ท่าน เอางานคลาสสิคที่ชื่อ Desperado มาสะกดวิญญาณความซึ้ง
ที่กว่าจะไปผุดไปเกิดได้ ก็ต้องรอถึงกันในตอนสุดท้าย
เมื่อมีทีมสร้างระดับชั้นเทพ ประกอบกับเนื้อหาที่โดนใจอย่างแรง
จนดูเหมือนกับว่า ซีรีย์นี้ไปสะกดใจให้ผู้ชมแถบพื้นที่คันไซ
นั่งจ่อก้นติดบ้านมากกว่ากลุ่มบ้านๆอย่างคันโต
ซึ่งก็ไม่น่าเเปลกใจที่จะเห็นยอดคนดูที่สูงเป็นประวัติการณ์ของทางค่ายTBSเขา
ที่เฉลี่ยไปตั้งตอนละสามสิบจุด แต่พอออกเขตเมืองหน่อยก็หักลบยอดหายไปเจ็ดจุด
ตามการรวบรวมของ หน่วยงาน Video Research, Ltd.



Maybe human should have a dream for make it real.
(บางทีเพราะเป็นแบบนั้น มนุษย์จึงมีความฝันเพื่อทำให้มันเป็นจริง)

Also You'll face danger with obstacles and pains
(ถึงแม้จะต้องพบกับอุปสรรคมากมายและบางครั้งก็ต้องเจ็บปวด)

Nevertheless something build for your future is fullly inspirational dream
l believe that.
(ถึงอย่างไร สิ่งที่จะสร้างอนาคตได้ก็คือความฝันที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ)

but when we forgot it .give rise to diminish successfulness as quick
(แต่เมื่อใดที่เราลืมมัน ไม่ช้าความรุ่งโรจน์ก็ดับวูบไปอย่างรวดเร็ว)
But l'm not wait to see a sunshine next day
(แต่ว่าทำไมผมถึงไม่อยู่รอเพื่อดูดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้นะ)

ถึงกระนั้นสุดท้าย
จะหักเหลี่ยมเฉื่อนคมจนมีดด้ามเพียงใดเมื่อรับรู้ถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น
ทุกอย่างก็ถูกปล่อยวางและอโหสิกรรมอย่างให้อภัย
เลือดใดเหล่าจะเข้มข้นไปยิ่งกว่าน้ำ
ยิ่งกับสีเลือดบนผืนธงไตรรงค์ไทยด้วยแล้ว เห้อ!........



อวยข้อมูลจาก
prysang@bloggang
kmurafreek@bloggang
and wikidrama




 

Create Date : 25 เมษายน 2553    
Last Update : 27 เมษายน 2553 23:09:52 น.
Counter : 2985 Pageviews.  

Absolute Boyfriend หุ่นตัวนี้มากกว่าคำว่าเพื่อน


หลังจากที่เห็นภาพของการต่อคิวปานประหนึ่งว่าจะก่อม็อบ
เพื่อรอฤกษ์เปิดตัวสินค้าตัวล่าของค่ายคอมพิวเตอร์รูปทรงผลไม้ยี่ห้อแอปเปิ้ล
ก็ได้เห็นกระเเสคลั่งไคล้อย่างท่วมท้น
ชนิดที่ยอดสั่งการผลิตสินค้ากระดานไฮเทคที่ชื่อ IPad
ไม่เพียงพอต่อการรองรับเมื่อเทียบกับจำนวนของผู้บริโภค
จนต้องจำกัดอัตราการซื้อต่อคน ได้ไม่เกินสองเครื่อง
อีกทั้งยังมีแผนการเลื่อน การสั่งยอดออเดอร์เสริมไปอีกตั้งเดือนอย่างนี้
แอบไปเห็นเครื่องหิ้วที่ยังไม่มีการนำเข้ามาจำหน่ายเมืองไทยอย่างเป็นทางการ
ก็ถูกพ่อค้าแม่ค้าหัวใสยิ่งกว่าใบหน้า ตั้งราคาเครื่องหิ้วระดับสองหมื่นอัพขึ้น
ถ้าคิดสารตะตามอัตราแลกเปลี่ยนอย่างหยาบแล้ว ก็ฟันค่ากำไรไปบานเปรอะพอควร
พอเห็นกระแสความเห่อเจ้าผลิตภัณฑ์ตัวล่า ก็ทำให้นึกถึงซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่องนึง
ที่ว่าด้วยความเป็นตัวเจ้าผลิตภัณฑ์ตัวล่าเช่นกัน
แม้สายสกุลจะออกไปในการเอาใจตลาดอาร์ทตัวแม่อยู่สักหน่อย
แต่อาร์ทตัวพ่ออย่างเรา ก็สนานหรรษาครื้นเครงอยู่ได้ไม่หยอกเช่นกัน
แถมได้สาระสำคัญแบบแฝงข้อคิดไม่ผ่านเมโมรีชิบ
เพราะในซีรีย์ เขาว่าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไฮเทคกว่าไอพงไอเพคกว่าตั้งเยอะ



เป็นซีรีย์ประมาณสองปีที่แล้ว ของค่ายฟูจิทีวี ที่ชื่อ Zettai Kareshi
หรือที่ตลาดนักชมซีรีย์เมืองไทยกลุ่มหนึ่งพอรู้จักกันดี ในชื่อ "Absolute Boyfriend"
แต่ถ้าเป็นนักอ่านกลุ่มเฉพาะ จะรู้จักกันดียิ่งกว่าจากสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับการ์ตูน
แนวโชจูตาใสดิกของผู้วาด วาตาเซะ ยู
เมื่อมาเป็นลิขสิทธิ์ในฉบับเมืองไทยเขาให้ชื่อ "ขอคู่ใจ ใครสักคน"
(ซึ่งถ้าใครมองเเค่เปลือกนอกของหนังสือ ก็แทบจะไม่รู้ว่านี้เป็นฉบับตัวแม่
ของ Absolute Boyfriend ) ซึ่งต้องขอบอกกันก่อนเลยว่า
พล็อตเรืองก็แทบจะไม่ต่างไปจากแนวก๊วนเดียวกัน
เมื่อเทียบกับประเภทของสิ่งบันเทิง
ที่เป็นเรื่องอลหม่านจากปรากฎการณ์ของสิ่งมหัศจรรย์เกินจะเชื่อระหว่าง
หุ่นไซบอร์กกระป๋องหนึ่งที่ดันไปหลงรักมนุษย์คนหนึ่งเข้าอย่างหัวปักหัวป้ำ
แต่ Absolute Boyfriend ก็ได้สร้างจุดเฉพาะที่แตกต่างบางส่วนออกไป
จึงทำให้เนื้อเรื่องและการดำเนินทิศทาง ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดไว้ในใจ
ว่าแนวเช่นนี้ มีทางให้เล่นใหม่กันสักกี่ทางเชียว




ซีรีย์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพนักงานลูกจ้างชั่วคราวคนหนึ่ง
ที่ชื่อ อิซาวา ริอิโกะ ที่อุทิศชีวิตส่วนใหญ่ของมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง
ให้กับการเสริฟน้ำชา ชงกาแฟ ถ่ายเอกสารและเป็นลูกหาบ
ให้กับพนักงานประจำของบริษัท เรียกว่า นี้แหละคือชตากรรมตามประสาเด็กTemp
(ถ้ายศเต็มตัว ก็เรียกว่า Temporary ที่มีความหมายเดียวกับ Haken
ซึ่งก็คือ ลูกจ้างชั่วคราวที่รอการบรรจุ) เมื่อทุ่มเทหน้าที่สุดแรง
แล้วคอยกลับไปสลบสไลนอนตายคาหมอนอยู่ ณ ห้องเช่า
เป็นเช่นนี้เยี่ยงทุกวัน เลยทำให้ตลอดทั้งชีวิตที่ยังสาวใส
ไม่เคยได้มีโอกาสไปข้องแวะแกะเกาชายหนุ่มหุ่นแฟนปิ๊ง
แบบที่สาวเจ้าคนอื่นๆเขาได้ปฏิบัติกัน แอบไปรักใครชอบใครก็ถูกหนุ่มเจ้า
เขามองข้ามกะลาหัวอยู่ร่ำไปหรือไม่ก็มีเป็นตัวเป็นตนเป็นที่เรียบร้อย
จนกระทั่งวันหนึ่งสวรรค์ในนามบริษัทสุดไฮเทค
เกิดอุบัติเหตุทำให้หล่อนได้รู้จักกับพ่อหนุ่มเซลล์แมนของบริษัท Kronos Heaven
เป็นบริษัทที่กำลังพัฒนาสินค้าและทำแผนทางการตลาดให้กับ
หุ่นยนต์แมนสุดแสนจะเฟอร์เฟ็กซ์ (the perfect male humanoid) หมายเลข 01
ตามคอนเซปต์ที่ว่า "จะอุทิศและภักดีอย่างดุษฎีให้กับเจ้าของแบบสุดจิตสุดใจ"
ว่าแล้วคณะกรรมการบอร์ด ก็ทุบโต๊ะฟันธงให้เจ๊ริอิโกะ
เป็นคนแรกที่ได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เป็นเวลาห้าวันเต็ม
เป็นผลิตภัณฑ์ที่แม้ตัวริอิโกะเองก็ไม่เคยได้รับการเพ่งพายเลยมาก่อน นอกจากการกรอก
ตามวัตถุประสงค์ทุกประการที่เจ๊ริอิโกะ ได้คลิกเมาท์เลือกคุณสมบัติผ่านหน้าเว็บไซด์
ด้วยการรับประกันเเบบเฟ้อๆที่ว่า "หากไม่พอใจเราหยิบดีคืนเงิน"



Perhaps love is by a nature sorrowful thing.
(บางทีรักก็เป็นดั่งศาลาคนเศร้าที่ธรรมชาติจัดหามาให้)

If mass production of this of model is a sucess
There won't be any more women suffering
(แต่ถ้าผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เกิดได้รับความนิยมขึ้นมา
นั่นก็หมายความว่า ต่อไปจากนี้ก็จะไม่มีแล้วซึ่ง
ความระทมทุกข์ในใจของบรรดาหญิงสาว)

แถมหุ่นที่ได้ ก็เป็นหุ่นที่มีร่างกายสมส่วนแลดูเป็นมนุษย์ปกติทุกประการ
ในรูปแบบการบรรจุหีบห่อแน่นหนาและมิดชิดเป็นอย่างดี
เมื่อชำแหละแกะออกมา ก็มีสภาพพร้อมใช้แต่หนักใจหน่อย
ตรงที่สภาพของเจ้าหุ่นต้นแบบปรากฎเรือนร่างแบบไร้เครื่องอาภรณ์
ทำเอาเจ๊ริอิโกะผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เกิดอาการกรี๊ดยิ่งกว่าเสียงริงโทนเบอร์ห้า
สร้างปัญหาหนักอกหนักใจแบบเจ๊ยังไม่ได้ตั้งสติรับการสิ่งแปลกใหม่
แต่ที่หนักใจยิ่งกว่า ก็ตรงที่จะสตาร์ทเซทอัพแต่ละที ก็ต้องยื่นจงอยริมฝีปาก
เพื่อทำการจุมพิตเพื่อเข้าสู่ระบบทุกครั้งทุกคร่าไปนี้สิ
ซึ่งตอนแรกๆ เจ๊แกจะออกลูกกล้าๆกลัวๆอยู่
แต่ยิ่งสนิท ยิ่งจะชิดใกล้มากตอนทีไร
ดูท่าเจ๊ริอิโกะแกอยากจะยื่นปากทำการเซทอัพอยู่บ่อยๆ
ทั้งๆที่ ก็ยังเดินเครื่องเดินเหินไปมาได้ปกติอยู่
แต่ถึงแม้ว่า คุณสมบัติของเจ้าหุ่นตัวนี้ จะเป็นไปตามทุกๆคลิก
ที่เจ๊ริอิโกะได้กำหนดในทุกๆคุณสมบัติดั่งใจเอาไว้
กลับกลายเป็นว่าในทุกโอเปอเรชั่นที่เจ้าหุ่นนั่นได้กระทำ เช่น
การบอกรักทั้งเช้าและค่ำ การแสดงอาการเจ้าข้าวเจ้าของ
การมั่นเข้าครัวจัดหาอาหารการกินอยู่เป็นนิจ
และลากเจ๊ไปกอดเพื่อจะkissในทุกโอกาส
ล้วนแล้วแต่เป็นการรับรู้อยู่เป็นเบื้องต้น ว่ากระทำไปตามโปรแกรมที่ได้เซทเอาไว้
จากอารมณ์เลิฟโรแมนติกแบบหญิงสาวที่ได้วาดฝัน
ต้องดันมากลายเป็นอาการรำคาญใจแบบคุณแม่ไม่ปลื้ม
จะเข้าห้องน้ำห้องท่าเวลาปวด เจ้าหุ่นก็ดันมาเก็บตัวนั่งเข่าคู้ชาร์ตแบตฯไม่แลเทศะ
จนนางเอกต้องตั้งชื่อแทนชื่อรุ่นผลิตภัณฑ์เดิม 01 ให้เปลี่ยนมาเป็น "ไนต์โตะ"
ที่เอามาจาก Night ในมักมาโผล่ในส้วมกลางดึกทุกคืน
จนแล้วจนรอด จากสถานการณ์ของการทดลองใช้ที่ไม่น่าจะไปรอด
ก็นำมาสู่ การตัดสินใจแบบแม่เจ้าบุญทุ่ม แต่เป็นทุ่มแบบผ่อนนานไปจนแก่เฒ่า
ด้วยมูลค่าที่ตั้งไว้ที่ ร้อยล้านเยน ร้อยล้านที่มีเลขศูนย์ห้อยท้ายถึงแปดตัว



His price of 100 million yen can be made in installments
with 1 % interest.
We also entered you into a life insuranee plan.
So there's no need for a guarantor.
(ราคาของมันตั้งอยู่ที่ร้อยล้านเยน ที่มีอัตราการผ่อนชำระ
โดยคิดดอกเบี้ยเพียงหนึ่งเปอร์เซนต์เท่านั้น
อีกทั้งเราได้ผนวกเข้ากับแผนการประกันภัย
โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีซึ่งผู้ค้ำประกัน)

A 70 years loan will go before you know it.
(หนี้เเค่เจ็ดสิบปีแค่เรื่องจิ๊บๆ บางทีหมดไปโดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว)

แต่ซีรีย์ไม่ได้จดจ่ออยู่กับความสัมพันธ์ระหว่าง
หุ่นยนต์หนุ่มรูปหล่อกับนางเอกสาวจอมเปิ่นเพียงเท่านั้น
ซีรีย์เรื่องนี้ ยังทรมานใจท่านผู้ดูด้วยการมีตัวละครที่จะทำให้ท่าน
ต้องเลือกที่รักมักที่ชังแบบโน้นก็ดี นี้ก็ใช่ เพราะมีผู้จัดการใจพระ
พระทั้งแง่ความใจดีมีเมตตา พระทั้งที่เป็นพระเอกในเรื่องก็ยังได้
อาซาโมโตะ โชชิ ที่แต่เดิมในตอนแรก ดูจะเป็นคนย่ำเปเรื่อยเปื่อยได้
ก็ด้วยบารมีของความเป็นบุตรชายของเจ้าของบริษัท ASAMOTO คอยค้ำหัว
เลยมีโอกาสนั่งหน้าแสลนกลางโต๊ะประชุมอยู่เสมอ
และบริษัท ASAMOTO ก็เป็นกิจการที่พัฒนาสืบมารุ่นต่อรุ่นจนกลายเป็นบริษัทใหญ่
ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการทำขนมเค้กเพื่อขายฐานลูกค้าระดับบนแบบเน้นส่งออก
ซึ่งแผนการดำเนินงานในปัจจุบัน ที่มีพี่ชายเป็นผู้คุมบังเหียน
เลยทำให้โชชิผู้น้อง ไม่กินแหนงแคลงเส้นกับพี่ชายเท่าไรนัก
ด้วยอยากดำรงสถานปฏิบัติแบบเดิม ที่คนรุ่นปู่ได้วางเอาไว้
และเจ้านายโชชิคนนี้ ดูจะเป็นคนได้มองเห็นเพชรในตมของบริษัท
เมื่อพบว่าฝีมือการทำบัฟเฟอร์ไส้ครีมของริอิโกะนางเอกของเรื่องนั้น
มืพรสวรรค์ขั้นเทพและให้รสชาติไม่ต่างจากคนรุ่นปู่ที่ห่างหายไปนาน
จนลงมือทุ่มความคิดนี้สุดตัว ภายใต้การบริหารในแบนด์ของบริษัท
แต่การเปิดตัวสินค้าใหม่ตัวนี้ไปได้ไม่สวยนัก เพราะไม่มีลูกค้าคนไหนกล้าที่จะซื้อ
จนเบื้องบนมีคำสั่ง โดยการโยนบาปที่จะเลิกต่อสัญญาจ้างให้กับริอิโกะ
ในฐานะเจ้าของสูตรการทำบัฟเฟอร์ครีมที่ลูกค้าไม่ปลื้ม แต่เจ้าหนุ่มโชชิ
ขอสิ่งแลกเปลี่ยนกับการรั้งตัวริอิโกะเอาไว้ โดยถูกกำหนดเงื่อนไขใหม่มาเป็น
การลดตำแหน่งงานของตัวเอง ให้เหลือเพียงสถานะพนักงานของบริษัท ASAMOTO
ถึงแม้จะไม่มีใครกล้าที่จะซื้อเค้กสูตรบัฟเฟอร์ครีมของริอิโกะ
แต่การกระทำในครั้นนี้ เป็นการซื้อใจของริอิโกะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่เหลือจากนี้ ก็เคลียร์กันเองดีๆละกันระหว่างพ่อหนุ่มโชชิหรือเจ้าหุ่นไนท์โตะ
ว่าจะใครคนใดคนหนึ่ง หรือใครตัวใดตัวหนึ่งมาเป็นคู่ใจของริอิโกะจัง



เพราะไอ้ความแสนดีทั้งหมดทั้งปวงในตัวละครของซีรีย์ญีปุ่น
ถือเป็นสูตรที่ทำร้ายความรู้สึกของคนดู ในส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมตลอดมา
ถ้าตัวละครอย่าง ไนต์โตะ หรือ โชชิ จะมีส่วนเลวที่ปรากฎจนอัยการรับฟ้อง
ก็น่าจะทำให้คนดูปฎิบัติการ เลือกข้าง-เปลี่ยนสีเสื้อฝั่งหนึ่งฝั่งใดได้ไม่ยากนัก
แต่เมื่อมันมาเป็นความรักแบบบริสุทธิ์ใจของผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบเเทนจากผู้ได้รับ
ความรู้สึกเลวมันเลยวกกับเข้าใส่คนดูที่มีองค์ แต่ไม่ใช่องค์ตามตัวสะกด
แต่เป็นองศาแห่งความอิจฉา ที่เร้ารอนถึงการเป็นสาวเจ้าที่โชคดี
ที่มีชายหนุ่มลูกคุณหนูผู้อุดมการณ์อย่างยึดมั่นกับเจ้าหุ่นหน้าใส
ที่สามารถพัฒนาระบบชิบส่วนตัวให้ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์และภักดีต่อริอิโกะ
เพียงคนเดียวอย่างไม่เปลี่ยนแปลง จนอยากจะเชื่อว่าชาติที่แล้วริอิโกะ
คงทำบุญกับโครงการตาวิเศษ มั่นเก็บเศษขยะมารีไซเคลเพื่ออนุรักษ์โลก
ชาตินี้เลยได้หุ่นกระป๋องแสนดีมาหนึ่งตัว เพื่อเป็นคู่ข้างกายไว้คลายเหงา
ที่มีความมั่นคงต่อเนื่องและยาวนาน (มีนอกใจไปบ้างในบางตอนด้วย
อิทธิพลริมฝีปากของสาวเจ้าท่านอื่น) ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆบังเกิดมรสุม
จากโชชิเปลี๊ยนไป๊ ที่มีความสนิทสนมกับริอิโกะจนเกินเลยจากความสัมพันธ์
ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องไปในที่สุด



และด้วยความประมาทในช่วงต้น ที่คิดและเห็นตามสิ่งที่เห็นว่า
เป็นซีรีย์เล่าสนุกชวนหัวบนความเพ้อฝันของพล็อกเรื่อง
ซึ่งเรื่องราวก็ทำหน้าที่ไปตามทรัพยากรที่จัดวางเอาไว้ได้ดี
แต่สถานการณ์ที่มากตอน ก็ทำให้คนดูกลับถลำแบบไม่รู้สึกตัวว่า
จากตลกคอเมดี้ที่มีไว้อย่างเหลือเฟือ กลับค่อยๆลดปริมาณลง
จนเข้าสู่ความเป็นดราม่าในช่วงตอนท้ายๆ ที่เล่นเอาชายไทยวัยฉกรรจ์
ออกอาการน้ำหูน้ำตาไหลไม่แพ้กับการเจอแก๊สน้ำตาลูกย่อมๆ
เป็นความซึ้งปนเศร้า ที่เราก็รู้ว่าไอ้คนที่เล่นมันแกล้งทำเป็นหุ่นยนต์
แต่ความเป็นซีรีย์ทั้งหมดของ Absolute Boyfriend
มันล้างสมองเราไปครึ่งหัวโดยที่เราไม่รู้ตัว ความรู้สึกส่วนหนึ่ง
เลยพลีไปให้กับหัวจิตหัวใจของความเป็นหุ่นยนต์ที่เราจินตนาการขึ้นลอยๆ
แบบที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นแบบให้รับรู้เป็นประสบการณ์ เชื่อได้เลยว่า
ต้องติดลูกอารมณ์สงสารในเวทนากรรมของความเป็นหุ่นยนต์
เพราะดันเกิดมาแบบไม่มีเลือดเนื้อ ไม่มีดีเอ็นเอ ไม่มีวิญญาณ
แต่ก็แปลก ที่คนดูอย่างเรากลับรับรู้และปรุงแต่งไปต่างต่างนานา
จนหลงเชื่อไปว่า ไนต์โตะตัวนี้อยู่ระดับเส้นที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ไปทุกขณะ
แม้จะรู้อยู่ทนโท้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่า ไอ้ที่เล่นอยู่มันก็เป็นคนอย่างเรานี้ละหว่า
(น่าตาดี พอๆกันเสียด้วย) แม้ภายในตอนหลัง ความพิเศษในตัวไนต์โตะ
จะสามารถพัฒนารูปแบบด้วยตัวของมันเอง นอกเหนือจากการป้อนคำสั่ง
ของทางบริษัท สู่บทสรุปในคำสั่งว่าจะต้องเร่งทำลายทุกวิถีทาง
เพื่อรักษาชื่อเสียงของบริษัทในแง่ความผิดพลาดของผลิตภัณฑ์
แต่ในฐานะของริอิโกะด้วยแล้ว ไนต์โตะถือเป็นสิ่งสำคัญไม่ต่างเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
ที่ได้เลยเส้นของขอบนิยามในความเป็นแค่ผลิตภัณฑ์เพียงชิ้นหนึ่งไปแล้ว




lt will be fine .01 is perfect
(ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้า01โคตรจะเพอร์เฟกท์จะตาย)

Nothing in this world is perfect .
That is the viewpoint of all real scientists.
(ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
นัน่เป็นทัศนคติที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เหวง เขาคิดกัน)

งั้นมาดู ประวัติคนที่เล่นกันดูดีกว่า
ผู้ที่เล่นเป็น เทนโจ ไนต์โตะ เจ้าหุ่นหน่วยก้านดีผู้นี้
ตัวเเรกทีเดียว ผู้เขียนก็หลงนึกไปว่าเป็นดาราหน้าใหม่จากค่ายไหนสักแห่ง
แต่พอมาดูประวัติ ก็ต้องร้องอ้อตามฟอร์มเสมอ เพราะเขาก็คือ "ฮายามิ โมโคมิชิ"
หรือ ไอ้หนุ่มโมโค ที่ผ่านงานซีรีย์ดีๆ มาตั้งหลายเรื่อง ที่เคยเอามาโม้อยู่ก็ไม่น้อย
อย่าง Gokusen ภาค ๒ ,Tokyo Tower ฉบับซีรีย์ หรือหนังใหญ่ทำมาจากการ์ตูน
ปลายปากกาของ อาดาจิ มิซุรุ ใน Rough ไอ้หมอนี้พอไว้ผม-เปลี่ยนบท
ก็เล่นเอาผู้เขียนหัวมึนๆ เพราะไอ้น้องเล่นบริหารความนิ่งให้ใกล้เคียงกับความ
เป็นหุ่นยนต์หน้าตาย บทง่ายๆอย่างนี้ ทำเอาหลายคนที่เคยเห็นบทเช่นนี้
ตัวเกร็งอยู่ไม่น้อยเลย แม้แต่น้องอายาเซะยังเคยเข็ดมาแล้วใน Cyborg She
เรื่องแบบนี้ ถ้าบทไม่มีสีสันมากพอจริงๆ อาจจะตายไปพร้อมความตีหน้าตายได้ง่ายๆ
ในฐานะที่ ไม่มีบทส่งชวนบิ้วอารมณ์คนดูให้อินตามไปด้วย
ถือเป็นการกลับคืนมากินตังค์จากค่าย ฟูจิ ในแนววคอมเมดี้อีกครั้ง
สำหรับเจ้าโมโคหลังจากห่างหายไปสามปี นับจากซีรีย์เรื่อง Densha Otoko
ส่วนนางเอ๊ก นางเอก อันนี้ในตอนแรกๆ ก็ทำท่าว่าจะลืมได้
พอๆกับเจ้าโมโค ที่เคยดูผลงานของเขาหลายเรื่อง แต่จะจดจะจำให้ขึ้นใจ
กับทำให้ไม่ได้ ทั้งๆที่น้องๆหนูๆ ก็หน้าไม่ตี๋ไม่หมวยอยู่ตามโซนอาหม่า
เธอคนนี้ เล่นโดย "อาอิบุ ซากิ" ถือเป็นเจ้าแม่นักแสดงคนหนึ่ง
ที่รับบทแต่ละเรื่อง ไม่ซ้ำพล็อกกันเลยทีเดียว
แสนดีก็มีให้เห็น หน้าทะเล้นก็มีไม่น้อย ร้ายย่อยๆก็เล่นมาแล้ว
ถือเป็นนักแสดงงานชุกคนหนึ่งในวงการบันเทิงบ้านเขา
อย่างปีที่แล้วปีเดียว ก็เล่นซีรีย์ไปหกเรื่อง รับเชิญอีกหนึ่งเรื่อง
ก็ไม่รู้จะรีบไปแต่งสามี หรือปลุกขึ้นบ้านใหม่ไปถึงไหน
งานแจ่มๆ ที่นักดูน่าจะพอรู้จัก อย่าง Attention Please,Triangle
Buzzer Beat แต่ฟังมาหลายปากแล้วหลายคนเห็นตรงกันว่า
ในซีรีย์เรื่องนี้ เธอเล่นได้โนดาเมะเอาม๊ากมาก ไม่เลียนแบบสักทีเดียว
แต่ก็พอเข้าเค้ากันอยู่หลายส่วน ทั้งทรงผม ท่าทาง ชะตาชีวิต
และพรสวรรค์ แต่ก็ไม่แอ็กติ้งแบบฮาสุดขั้ว ถือว่ารสชาติกำลังพอดีๆ



ส่วนคู่แข่งหัวอกชายรักแท้ไม่แพ้หุ่น อาซาโมโตะ โชชิ
เล่นโดย "มิซุชิมะ ฮิโระ" ในบทลูกชายเจ้าของบริษัท ที่มีความฝันของตัวเอง
ในความเห็นส่วนตัว ผู้เขียนคิดว่านี้เป็นบทที่ดีที่สุดในตอนนี้ของเจ้าฮิโระเขา
ในฐานะผู้ที่บรรลุนิติภาวะและขีดเส้นทางเดินเป็นของตัวเอง
ถึงแม้กลุ่มคนสีเสื้อรูปหน้าไนต์โตะ ก็ยากที่จะไม่ให้อภัยโทษแก่โชชิในฐานะคู่แข่ง
แม้จะเป็นบทที่น่าอิจฉา ที่ได้สวาปามเค้กหน้าตาอย่อยๆไปหลายชิ้น
จนทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกหลายขีด เพราะหลังๆก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า
ทำไมบทที่ต้องทำหน้าตาเหร่อร่าปัญญาไม่ค่อยปรากฎ
ที่มักตกใส่เจ้าฮิโระอยู่สม่ำเสมอ อย่างน้อยล่าสุด ก็ปรากฎให้เห็นไหน
Mr.Brain กับ Tokyo Dogs
ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกขวางหูขวางตาอยู่พอสมควร
หรือเพราะไม่มีใครกล้าเล่นแบบไม่หวงลุกซ์ หรือลุกซ์นี้ไม่มีใครทานทันเท่า
ส่วนถ้าใครไม่เคยได้ปลื้มเจ้าฮิโระมากอ่น ก็อาจปลื้มได้ไม่ยาก
ส่วนที่เคยปลื้มแล้ว เรื่องนี้ก็ช่วยส่งเสริมความปลื้มในอย่างที่เห็น
แบบที่หล่อเกินวัยมัธยมศึกษาใน Hanakimi อาจไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไร



เป็นบุญที่ได้มาเจอลุง"ซาซากิ คุราโนสุเกะ" อีกหน รับบทเป็น กากุ นามิคิริ
ก็เป็นบทคนประหลาดๆอีกหน ในฐานะนักประดิษฐ์คิดค้นเจ้าเทคโนโลยีหุ่นไฮเทค
ที่ควบรวมกับการทำหน้าที่เซลล์แมน จึงมักจะเห็นลุงแกโผล่หน้าจอ
อยู่หลายช่วงหลายตอน ก็ต้องเข้าใจเอาว่าลุงแกต้องรับภารกิจหนัก
ไหนจะทั้งการติดตามข้อมูล การประเมินผล การซ่อมบำรุง
ไม่เว้นทั้งการไล่เบี้ยเพื่อเก็บค่าผ่อนหุ่นยนต์ ใครขืนได้ไปทำงานกับบริษัทนี้
มีหวัง วันๆจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน บทที่แกเล่นก็เป็นอารมณ์ประมาณ
นิ่งเรียบแต่ได้ฮา ในแบบฉบับคนมีองค์สไตล์เป็นของตัวเอง
ซีรีย์ทุกเรื่องที่แกรับเล่น นอกจาก Triangle แล้ว ก็ยังไม่มีเรื่องไหนที่ไม่สนุก
สำหรับตัวผู้เขียน แต่สุดๆ ก็ต้อง iryu กับ orthros dog ที่ดูจะโชว์พลังเป็นที่สุด
ขณะเดียวกัน ก็ได้มาเจอพี่ชายสุดหล่อ "ยามาดะ เมอิเคียว"
ในฐานะพี่ชายของเจ้าโชชิ เพราะผู้เขียนไม่ได้เจอหมอนี้ตั้งแต่นาน
นับจาก Summer Snow ตอนนั้นยังเล่นเป็นคุณหมอที่คุณพ่อขอร้อง
บุคคลิกที่ได้รับเล่นในครั้งนี้ ถึงยังดำรงในแนวท่านคุณชายอยู่เช่นเคย
แต่ก็ยังคงแห้งแล้ง เกี่ยวกับในด้านของการแสดงอารมณ์
ถือว่าตีกินเพื่อพอยั่งชีพในพื้นที่การแสดง ที่จะว่าไปบทยังเด่นมากกว่า
นักแสดงประกอบท่านอื่นๆอีกตั้งหลายคน



ขณะที่ตัวละครเสริม อย่าหาว่าไม่สำคัญนักเชียว
เพราะในสถานการณ์ที่ตัวละครหลัก ต้องการซึ่งคำเตือนสติและกำลังใจ
ถ้าขาดซึ่งตัวละครแวดล้อมเหล่านี้ไปเสียแล้ว
มีหวังตัวละครหลัก ไม่ว่า ไนต์โตะหรือริอิโกะ
คงเดินโง่แบบเพ้อเจอ้ไปเรื่อย หรือหาทางออกให้กับชีวิตตัวเองไม่เจอ
ดังนั้น ตัวละครที่แม้บทจะไม่ส่งให้โดดเด่นนัก
อย่าง เพื่อนนางเอก ป้าแห่งร้านค็อกเทลเล้าท์ เจ้าของหอพัก
ล้วนแล้วแต่ มีแง่คิดและคำคมดีๆ ในการเลือกคนที่ใช่
ใช้ชีวิตคู่ให้หยั่งยืน และพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามา
ความจริงแล้วประเภทที่เป็นพล็อกหุ่นไซบอร์กรักมนุษย์นะจุ๊บๆเรื่องอื่นๆ
มีกจะละเลยในการเติมเต็มสภาพจิตใจ เพราะมุ่งเน้นในสายสเปเชียลเอฟเฟก
ซึ่งถ้าใครบ้าในส่วนนี้ ค่ายฟูจิคงมีให้ท่านได้ไม่เต็มอิ่ม
หรือมีก็ส่วนน้อยเอามากมาก เพียงแต่ค่ายเขาฉลาดด้วยการเอาส่วนที่น้อย
มาเล่นฉายซ้ำไปซ้ำมาช่วงระลึกความทรงจำ และเอามาโปรโมทไว้ล่วงช่วงขึ้นต้น
และลงท้ายเืพื่อล่อหลอกในการดึงคนดูให้ติดหน้าจอทีวี
ซึ่งสุดท้ายคนดูเขาก็จับติดและหายโง่ เพราะที่ตามมาก็คือ
ยอดเรตติ้งคนดูที่มากสุดก็เพียงแค่ตอนสองถึงตอนที่สาม
จากนั้นมันก็เลย กลายเป็นระดับค่าเฉลี่ยคงทีตลอดทั้งเรื่องที่ไม่ถึงขั้น ๑๔ อัพ
ซึ่งเข้าใจเอาเองว่า คงเป็นฐานคนดูที่ไม่เน้นความเวอร์แบบทรงเครื่องCG
และจงรักภักดีในเนื้อหาเสียมากกว่า จึงขออุทิศเวลาส่วนตัวที่เหลืออยู่เพื่อตามลุ้นในสถานการณ์
ว่าริอิโกะจะเลือกข้อ ค.คน หรือ ข้อ ย.หุ่นยนต์ เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน
จะว่าไป ซีรีย์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม เพราะขับเคลื่อนไปพร้อมๆ
กับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยน โดยไม่สร้างอุบัติสถานการณ์ที่ดูจะไม่เกี่ยวข้อง
หรือแจกซีนให้คนละตอน แบบที่เป็นสูตรสำเร็จในการช่วยขยายความยาวให้เกินสิบตอน
เรื่องจึงเดินไปพร้อมๆกับพัฒนาการของความรู้สึกนึกถึงคิด
ที่เป็นของตัวละครหลัก ไหนจะไปพร้อมกับเทคโนโลยีของตัวหุ่นที่ก้าวข้าม
ข้อจำกัดตามคุณสมบัติของโปรแกรมที่ประมวลผล เพราะมันเลยเส้นที่
ใกล้เคียงกับความนึกคิดแบบมนุษย์ ที่ทางบริษัทผู้ผลิตมองว่าเป็นข้อผิดพลาด
ไนต์โตะจึงเป็นจุดเลี้ยวครั้งใหญ่ นอกจากชื่อเสียงของบริษัทที่จะล่มเอาง่ายๆแล้ว
ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ สำหรับใครบางคนที่เก็บซ่อนความลับบางสิ่ง
มิให้ใครรู้ เพื่อทำให้ไนต์โตะเป็นเสมือนหนึ่งในสมาชิกแบบเราๆท่านๆ
ที่ต้องการใครสักคนในการปฏิสัมพันธ์เพื่อแชร์ความรู้สึกของตัวเองให้กับผู้อื่นได้รู้




What should l do to make Riiko happier.
(ผมควรทำอย่างไรเพื่อให้ริอิโกะเธอมีความสุขได้)

It's not what you should do.but more what you want
to do for her.
(มันไม่ใช่ว่าเธอควรจะทำสิ่งใด แต่อยู่ที่ว่าอะไร
ที่เธอปรารถนาจะทำให้แก่ริอิโกะ)

The Most important thing is thinking about the feeling of others.
(สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา)

แม้เป็นงานที่มีลายเส้นญิ๊งญิงร่างที่เป็นต้นฉบับ
แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะบทถูกดัดแปลงเพื่อเอื้อตลาดต่อคนดูทุกเพศทุกวัย
ยิ่งเป็นสถานีทีวีค่ายฟูจิ ที่มักเอาการ์ตูนหัวโตตาใสปิ๊งป๊างมายำ
แต่ก็ยังคงอรรถรสความสนุกได้ ไม่แพ้กับต้นฉบับในหนังสือการ์ตูน
ยกตัวอย่างที่พอเห็นๆ ก็มี โนดาเมะ , Hana Kimi, Mei-chan no Shitsuji
ล้วนแล้วแต่หรรษาครื้นเคร่ง เอาสาระบ้างก็มีอยู่ประปราย
แต่ถ้ามุ่งในสายคนหล่อคนสวย ค่ายนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
ยังคงเอาใจตลาดคุณแม่บ้านและคุณลูกสาวคุณแม่บ้านมานมนานกาเล
ถึงกระนั้น ก็ต้องย้ำเตือนถึงบทขยี้ในตอนท้ายเรื่อง ที่มองว่าเป็นจุดเด่น
เห็นเสียงแซ่จากหลายบล็อกและหลายคำบอกเล่า เห็นด้วยตาได้ยินมากับหู
ซึ่งผิดขนบการเอาการ์ตูนโชจูมาสิงในร่างคน ที่ปกติจะมีลูกซึ้งก็พอประมาณ
และความซึ้งที่แม้เรตติ้งจะไม่วือหวา แต่ทางสถานีแกก็ใจกล้า
ที่จะสร้างภาคสเปเชียล โดยจำลองเหตุการณ์ผ่านไปอีกสามปีข้างหน้า
เมื่อเจ้าหุ่นเทนโจ ไนต์โตะฟื้นกลับคืนชีพ ส่วนจะกลับมาได้อย่างไร
พังไปตอนไหน แล้วใครเป็นคนทำ อันนี้ก็ต้องหาดูกันเอาเอง
เพราะผู้เขียนพาทุกท่านมาสุดทางได้เพียงเท่านี้
ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรที่ต้องไปชาร์ตแบตเตอรีเพิ่ม
ทว่าแค่หาอะไรมาเติมเชื้อเพลิงในท้อง ตามภาษานิ้วขยับได้เมื่อกายพร้อม
เพียงแต่ตอนนี้ สัญญาจากท้องมันร้องเป็นเสียงไซเรนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว........




ครั้งหนึ่งเคยรำลึกถึงการแสดงของโมโค ในซีรีย์ Tokyo Tower


ครั้งหนึ่งเคยรำลึกถึงการแสดงของโมโค ในซีรีย์ Gokusen2


ครั้งหนึ่งเคยรำลึกถึงการแสดงของหนูซากิ ในซีรีย์Buzzer Beat


ครั้งหนึ่งเคยรำลึกถึงการแสดงของลุงคุราโนสุเกะ ในซีรีย์Orthros Dog


ครั้งหนึ่งเคยรำลึกถึงการแสดงของเจ้าเมอิเคียว ในซีรีย์Summer Snow




 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 18 เมษายน 2553 22:14:43 น.
Counter : 3456 Pageviews.  

Hana & Alice สองหัวใจหนึ่งความทรงจำ กับอีกหลายอาวุโส


เข้าสู่วาระต่อมา ของการย้อนเวลาเพื่อรับอรรถรสปนความหลัง
ไปกับงานเก่าๆของผู้กำกับ ชุนจิ อิวาอิ อีกคำรบหนึ่ง
เพียงแต่ อาจจะไม่ซาบซึ้งผสมโรแมนติกเท่าไรนัก
อันนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหนังของพี่ท่าน
เนื่องด้วยเป็นสายตรงอันถนัดถนี่ของผู้กำกับท่านนี้อยู่กอ่นแล้ว
เพียงแต่ผู้เขียนดันเลือกช่วงเวลาในการรับชม
เมื่อตอนได้กลับไปยังบ้านเก่า ในเทศกาลเชงเม้งพอดิบพอดี
เลยกลายเป็นเทศกาลโรแมนติกแบบเม้งๆ ที่ให้ความแตกต่าง
ไปจากการแสดงความกตัญญูบนพื้นฐานของความแปลกตาตื่นใจ
ในทุกครั้งของเทศกาลเชงเม้งในทุกคราวไป




วันก่อนได้หลงไปดู Love Letter ของผู้กำกับชุนจิ
ที่เล่นทำเอาน้ำหูน้ำตาพราก จนหลายคนที่บ้านนึกคิดไปว่า
ต่อมความกตัญญูรู้คุณเพิ่งจะบังเกิด
วันต่อมา เลยต้องหาของที่ปรับเปลี่ยนอารมณ์กันเสียหน่อย
หวยฉลากจากผู้กำกับคนเดิม จึงลงล็อกไปที่ Hana and Alice
ชื่อของหนัง ที่น่าจะมาขายตรงให้กับกลุ่มตลาดชายชาย
เพราะปะหน้าชื่อชัดเจน อย่างน้อยๆก็รับประกันได้ว่าคนดู
ไม่น่าจะพลาดตัวละครหลัก ที่ชื่อมิควรที่จะโอนเอนให้เป็นบุรุษเพศตามสภาพ
แล้วก็เป็นจริงตามนั้น และทั้งสองสาวก็สะกดคนดูอย่างผู้เขียนเสียอยู่หมัด
แบบไม่ต้องขีดเค้นอะไรมากมาย เพียงเดิน เล่นและก็พูดไปตามเนื้อผ้า
เลยไม่อยากเชื่อเลยว่า จะเป็นสองชั่วโมงที่ผู้เขียนได้รับความหรรษา
แต่ค้นหาสาระจริงๆจากเนื้อเรื่องแล้ว ไม่เจอ




จริงๆแล้ว Hana and Alice
ถือว่าเป็นหนังในส่วนของภาคขยายจากโฆษณาที่ทำเป็นหนังสั้น
เพื่อให้ผู้ที่ชอบสาวาปามช็อกโกแลตของบริษัทเนสต์เล่ ให้ได้ดาวน์โหลดเล่นๆกัน
แต่ไม่รู้เล่นอีท่าไหน ยอดของการดาวน์โหลดดันไปทะลุหลักหลายล้าน
ผู้กำกับชุนจิเลยสมองใส เปลี่ยนจากหัวนักกำกับ มากลายเป็นหัวพ่อค้า
ที่มองเห็นช่องทางทางการตลาด ประมาณว่า
ได้ทั้งฐานของผู้ชมคนดูกลุ่มหนึ่ง ที่ปรากฎเป็นยอดจำนวนตัวเลขอันน่าพึงพอใจได้ว่า
ถ้าขืนได้ลงมือทำ ก็ไม่น่าจะเจ๋งกะป๊งไม่เป็นท่า
อีกส่วนหนึ่ง ก็แค่ขอต่อสัญญากับเหล่านักแสดงจากชุดโฆษณาหนังสั้นชุดเดิม
ส่วนแผนงานที่เหลือ รอแค่การต่อยอดและสร้างในส่วนของภาคขยาย
ซึ่งคิดว่า ผู้กำกับที่ควบกิจการในการเขียนบทมาโดยตลอด
คงมีเนื้อเรื่องส่วนต่อเอาไว้ในใจ กำหนดไว้เป็นเบื้องต้นอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนที่เหลือ ก็เป็นเพียงแค่รอการละเลงให้เป็นเรื่องเป็นราวแบบที่มีสูตร
กำหนดสไตล์ชุนจิเป็นตัวผสม




และจากสิ่งที่ตกค้างในโฆษณาของหนังสั้นดังกล่าว
ได้ถูกนำมาขยายผลแบบไม่ต้องหาต้นตอ และมุ่งที่จะดำเนินไปอย่างมีทิศทาง
จากเดิมที่ถูกวางไว้เพื่อขายมนต์เสน่ห์ถ่ายเดียว
แบบเตะลูกกะตาแล้วพุ่งหาเข้าไปในกลางใจ (พร้อมแอบขายแบนด์ช็อกโกแลตอย่างไม่รู้)
ซึ่งนักแสดงสองเด็กสาว อย่าง ฮานะและอลิส
ถูกทำให้มีมิติและตัวตนที่ชัดเจนขึ้นกว่าครั้งก่อน
จากหนังสั้นไม่กี่นาที เมื่อถูกทำให้เป็นหนังเต็มชั่วโมง
สิ่งที่ยังคงเดิมในแง่ของการรับรู้ของคนดูที่เคยดูโฆษณาหนังสั้น คือ
ความเป็นเพื่อนสนิทที่แสนชิดจนติดเชื้อ ของตัวฮานะและอลิส
ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับเพิ่มเนื้อหาให้แรงกว่าเดิมขึ้น
เมื่อเพื่อนรักสองสาวต้องมาหักเหลี่ยมโหด ด้วยเหตุจากการแอบชอบ
เจ้าเด็กหนุ่มวัยเดียวกันแต่ต่างสถาบัน ที่ประสบพบเจอบนรถไฟอย่างไม่บังเอิญ
แต่จุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่ชวนอลหม่าน เกิดขึ้นจากอุบัติแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ
ของชายหนุ่มที่เด็กสาวทั้งสองแอบชอบที่ชื่อ มิยะ
เด็กจากชมรมการแสดง Rakugo (ศิลปะการเล่าเรื่องที่นั่งพับเพียบ แล้วจ่อติดตลกโดยตลอด)
ที่มั่นท่องบทเกินขนาด จนศีรษะเผลอไปกระแทกประตูอย่างฉับพลัน
จากนั้นฮานะก็เข้าสวมบทอย่างฉับพลันยิ่งกว่า โดยอาศัยสถานการณ์แบบคิดเอาเองว่า
พ่อหนุ่มมิยะมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความทรงจำ แล้วเจ้าหนุ่มมิยะก็หลงเชื่อไปตามนั้น
จนกระทั่งได้คบหาเป็นแฟนกันอยู่สักพัก และมาได้รู้จักอลิส
ที่ฮานะติ๊กต๊างเอาว่า อลิสเดิมทีเป็นอดีตแฟนของมิยะที่ได้เลิกลากันไป
และฮานะนี้แหละ ที่เข้ามาเป็นยาใจ จนมีสถานะเป็นเเฟนที่ใครก็มาทำแทนไม่ได้




เอาเข้าจริง Hana and Alice แทบจะเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
และตอกย้ำได้อีกหลายๆคำ ว่าเป็นหนังไร้พล็อต
กล่าวคือ มันไม่มีเนื้อเรื่องเนื้อราวอะไรพอให้เป็นแก่นสาร
ไอ้หนังประเภทนี้ ถ้าตัวละครที่คอยจูงเรื่องราวให้ดำเนินไปอย่างยัตถากรรม
ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจได้เพียงพอแล้ว มีสิทธิ์ที่จะตกม้าตายตั้งแต่ต้นเรื่องได้ไม่ยากนัก
แต่ถือได้ว่าผู้กำกับชุนจิ นอกจากจะคัดเลือกตัวละครหน้าใหม่แบบท้าให้ลอง
เพื่อชิมตลาดคนดูตามใจของแกที่จะปรารถนา
กลวิธีในการนำเสนอแบบตัดมาเป็นฉากๆ แล้วมาปะติดปะต่อ
จนเป็นเรื่องเป็นราวได้ตั้งหนึ่งเรื่อง พี่ท่านก็ทำได้อย่างชาญฉลาด
อีกทั้งกำหนดบทสนทนาของตัวละคร แบบยิงไปทางกระชิงไปอีกทาง
ในแง่ความหมายที่ฟังดูคลุมเครือ ที่เหมือนจะแถไปตรงๆก็ได้
แต่เลือกวิธีการพูดทางอ้อม
ที่ให้ความหมายใกล้เคียงคำพูดแบบที่แถไปตรงๆ
เลยน่าจะเป็นหนังเด็กแนวแบบอ่อนๆ แบบใครที่ชอบอ่านการ์ตูนของ
อดาจิ มิซุรุ ที่สร้างงานฮิบๆ อย่าง Touch , H2 , พริกขี้หนูสีรุ้ง
น่าจะพอเทียบเคียงรสอารมณ์ได้ไม่ยากนัก
นี้ยังไม่รวมฝีมืออาร์ทๆ จากตากล้องคู่บุญ โนโบรุ ชินโนะดะ
ที่ร่วมทุกข์ร่วมรับทรัพย์ กับผู้กำกับชุนจิ นับตั้งแต่
Undo,Love Letter และ Yentown Swallotail Butterfly
ที่นอกจากรองรับเนื้อบทที่แลดูฟุ้งซ่านจากผู้กำกับชุนจิท่านได้แล้ว
ยังสโคปภาพให้มีแสงฟุ้งแบบอ่อนๆ ให้ภาพช่างดูชวนฝันและยังชวนตา
สอดรับกับเรื่องราวที่อ่อนโยนและอ่อนวัย ในรักคราวสมัยเด็กมัธยม




ขณะเดียวกัน ก็ต้องถือว่าบารมีของผู้กำกับชุนจิ
ได้แสดงกำลังภายใน ในการชักจูงดารารุ่นใหญ่ให้มาเข้าร่วม
ในฐานะดารารับเชิญด้วยกันหลายท่าน และแต่ละท่านก็ให้โผล่ขึ้นกล้อง
ได้เพียงไม่กี่นาที เพื่อรักษาอัตราค่าเฉลี่ยของอายุจากนักแสดงในเรื่อง
จะได้ไม่โอนเอียง จนทำให้หนังหลงเข้าไปสู่เรตของกลุ่มคนวัยกลางคน
คนที่โผล่แล้วผู้เขียนต้องชี้นิ้วและเอาฝ่าเท้ากระแทกพื้น ก็มีอาทิ
ลุงชิโรชิ อาเบะ (ล่าสุดปีที่แล้ว เพิ่งได้ดูคุณพ่อโจรกลับใจ ใน shiroi Haru)
ลุงทากาโอะ โอซาวะ (ล่าสุดปีที่แล้วเพิ่งได้ดูหมอย้อนยุค ใน Jin)
น้าเรียวโกะ ฮิโระสุเอะ (ล่าสุดปีที่แล้วเพิ่งได้ดูสาวรักอารมณ์แค้น ใน Triangle)
ลุงเชอิ ฮิราอิซุมิ (ล่าสุดปีที่แล้วเพิ่งได้ดูผู้เชี่ยวชาญในการแยกดีเอ็นเอของนิติวิทย์
ใน Mr.Brain) เลยไม่รู้ว่า
พวกเขาเหล่านี้มาเพื่อสร้างชื่อให้กับหนังหรือรับเล่นหนังเพื่อให้ได้ชื่อ
ว่าครั้งหนึ่งก็เคยได้ร่วมงานกับผู้กำกับขวัญใจประชาเซียนกันรึเปล่า
ซึ่งความจริงแล้วถ้าดาราเหล่านั้น จะได้รับการชักจูงให้เล่นเป็นตัวละครหลัก
ก็น่าจะไม่มีใครเอ่ยปากปฏิเสธแบบต้องกลืนน้ำลายตามทีหลัง
เพียงแต่ว่า แนวในการนำเสนอเรือ่งของผู้กำกับ เขานิยมป้ำเด็กให้แจ้งเกิดเสียมากกว่า




แต่กระนั้นก็เหอะ หนังเรื่องนี้ก็ได้สร้างอันแสนประทับใจไว้หลายฉาก
และเป็นการโชว์ของในหลายตอนๆ ที่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เอามาใช้ใน
งานชิ้นหลักๆ อย่างตอน เอ่ยปากว้อ อ้าย หนี่ ที่ไม่คิดว่าคนใกล้พื้นที่
จะไม่รู้ความหมายอะไรกับชาวบ้าน ฉากเต้นบรรเลย์บนแก้วกระดาษ
ฉากถ่ายภาพทีมเพื่อนบรรเลย์ด้วยภาพซีเปีย ทุกๆการโชว์ของ
เลยเหมือนถูกของเข้าไปเสียทุกครั้ง เพราะมันเข้ากันง่ายๆโดยไม่ต้อง
อาศัยซีจีหรือเทคนิคพิเศษให้ยุ่งยากอย่างที่คิด
แต่ก็บอกได้อย่างไม่เต็มปากนัก ว่าเป็นหนังคั่นเวลาของพี่ชุนจิเขา
เพราะดูจากระยะเวลาที่เว้นว่างของการทำหนังแต่ละเรื่องแล้ว
Hana and Alice ถือว่าทิ้งช่วงของการทำหนังพอสมควร
นับจาก All About Lily Chou-Chou ในปี ๒๐๐๑ จนมาถึง Hana and Alice
ในปี ๒๐๐๔ แล้วมาต่อด้วย Rainbow Song ในปี ๒๐๐๖
เพราะก่อนหน้าที่จะมีโครงการต่อยอด Hana and Alice
พี่ท่านเน้นแต่การรับจ๊อบเล็กจ๊อบน้อย อย่าง งานรวมหัวผู้กำกับใน Jam Film
และ สอดส่องชีวิตของฝีเกือกทีมชาติ ใน
30 days with the Japanese National Football Team
มันจึงน่าจะเป็นการพักรบ เพื่อมาปล่อยของ-ลองวิชาเสียมากกว่า
และของๆเขาคงดีจริง จนฝั่งฝากตะวันตกสนใจ โดยเฉพาะตลาดอเมริกาที่ติดใจ
มาตั้งแต่ Love Letter จนขอนำเข้าประเทศแล้วไปเปลี่ยนชื่อตามธรรมเนียม
จะได้แยกแยะว่าเป็นหนังนำเข้าเฉพาะพื้นที่ มิให้ไปหลงโผล่อยู่แถวยุโรป
ในชื่อ When l close my eye




Hana and Alice จึงเป็นหนังรักพี่เสียดายน้องอีกหนึ่งเรื่อง
ที่เติมเต็มอารมณ์แห่งความสุขของผู้เขียน
และสร้างความชิงชังในนิสัยส่วตัวของตัวผู้เขียนอีกหนึ่งเรื่อง
เหมือนกับทุกเรื่อง ที่ตั้งใจขายนางเอกสองคน หรือตามขนบหนังแบบรักสามเศร้า
ที่บังเกิดอีก "หนึ่งเศร้า" ซึ่งก็คือตัวผู้เขียนอีกนั้นเอง
อนาคตของนักแสดงหลักสามคน ก็ถือว่ายังโลดเเล่นในแวดวงบันเทิงอยู่
อย่าง แอนเน่ ซูซูกิ ที่เล่นเป็น อลิส คนไทยน่าจะได้เห็นและรู้จักกันมากหน่อย
เพราะมีโอกาสได้เล่นหนังใหญ่ที่เข้าโรงเมืองไทย อย่าง Returner
หนังวิทยาศาสตร์ไซไฟในโลกอนาคต ทีมีทาเกชิ ทาเคชิโร่ เล่นเป็นยอดนักฆ่า
และรู้จักกันมากขึ้นหน่อย ใน initial D หนังฮ่องกงที่ทำมาจากการ์ตูน
ของญี่ปุ่น ที่มีเจโชย์ ไอ้หนุ่มตีนผีที่ทุกตีห้าต้องลงเขาเพื่อไปส่งเต้าหู้
แม้จะมีบทแรงๆว่าคุณน้อง เล่นเป็นเด็กใจแตก ที่แหกโค้งจนชนะ
ก็ไม่อาจชนะใจแมนๆจากพี่เจโชย์ได้
ส่วนน้องหน้าตาสวยอีกคน คือ อาโออิ ยู ที่เล่นเป็น อลิส
อันนี้แฟนซีรีย์และแฟนหนังญี่ปุ่นคงเห็นหน้าเธอมากหน่อย
อย่างในซีรีย์นี้ก็มี Tiger and Dragon ,Dr.Koto ภาค๒ และ Osen
ส่วนหนังนี้ ปีหนึ่งก็รับเล่นไม่ต่ำกว่าสามเรื่องโดยเฉลี่ย
แต่ดูเหมือนว่า คนเฉลิมไทยจะรู้จักเธอดีใน Hula Girl และ Rainbow Song
ที่มีผู้กำกับชุนจิยังคงเห็นประโยชน์จากการมีเธออยู่ แม้จะเดินเป้ด้วยตาบอด
ตลอดทั้งเรื่องก็ตาม
ส่วนเจ้ามิยะ ที่เล่นโดย โทโมฮิโระ กากุ ก็ยังคงงานมี มีเงินใช้พอประปราย
จะว่าไป ถือเป็นนักแสดงร่วมบุญกับเฮียชุนจิอยู่อย่างต่ำๆก็สามเรื่องเข้าไปแล้ว
ทั้ง All About Lily Chou-Chou ,Hana and Alice และ Rainbow Song
ส่วนซีรีย์ก็มีเล่น อย่างใน Hana Yori Dango รับเชิญใน TBS, 2008
แล้วโชว์พลังเหนือมนุษย์จากบทรีเมกใน Nanase Futatabi




จึงเป็นงานที่ดูได้อย่างไม่เอาสาระ มากกว่าอรรสรสจากการรับชม
แต่เป็นหนึ่งงานที่ไม่อยากแนะนำให้ได้ดูโดยวงกว้าง
เดี๋ยวจะเกิดอาการ จมปลักแบบมักมาก จนมาเป็นคู่เเข่งของผู้เขียนไปอีกหนึ่งคน
แค่เห็นการร่ายใน wikipedia และกระทู้ในห้องเฉลิมไทย
ผู้เขียนก็รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของโลกไซเปอร์ ที่มีให้กับสองนักแสดง
ที่มีให้อย่างสุดโต้งแบบหัวลิ่มทิ่มประตู
เป็นงานพริตตี้ๆ ใสๆ ที่ไม่มีพิษมีภัยเหมือนที่เห็นในงานมอเตอร์โชว์
ที่มือขวาจับลูกบิด มือซ้ายพกกล้องดิจิตอล แล้วเดินเบียดเสียดประหนึ่ง
ก่อม็อบมอเตอร์โชว์ย่อมๆ เป็นงานที่ไม่ทรมานต่อมน้ำตาและข่มขืนในใจ
แบบที่เคยได้เห็น จากงานในครั้งก่อนมา แต่กับต่อมน้ำลาย
อันนี้ไม่ขอรับปากนะก็แล้วกัน........





อวยข้อมูลจาก
wikipedia , imdb


ครั้งหนึ่งเพิ่งเคยเขียนถึงหนังของผกก.ชุนจิ ใน Love Letter


ครั้งหนึ่งเคยเขียนถึงซีรีย์ที่ยู อาโออิ เล่นใน osen




 

Create Date : 11 เมษายน 2553    
Last Update : 11 เมษายน 2553 19:44:46 น.
Counter : 2675 Pageviews.  

Love Letter ถาม(จดหมาย)รักจากสายลม



การได้กลับมาเยือนบ้านนอกแบบไฟร์บังคับของชาติตระกูลเช่นนี้
ทำให้ผู้เขียนได้รับประโยชน์สองทาง
ทางแรก ว่าด้วยเรื่องของความกตัญญูรู้คุณ ด้วยจุดประสงค์หลัก
ของความคาบเกี่ยวในเทศกาลเชงเม้ง ที่อาจติดอารมณ์เม้งๆ
ที่เงื้อรอดจากอุปสรรคของม็อบเคลื่อนที่ที่อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ
อันเป็นเส้นทางที่ทำให้ผู้เขียน มีโอกาสที่จะตกรถหรือวีรกรรมไม่ต่าง
จากคนขี่เปอร์เชต์ที่ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ
ทางสอง ทำให้ผู้เขียนมีเวลาย้อนเพื่อคุ้ยหาสื่อบันเทิงเก่าเก็บ
ที่ครั้งหนึ่งยังพอจ่ายเจียดแบบอดค่าขนมบางส่วน ไว้เป็นสมบัติส่วนตัว
หนึ่งในนั้น มีหนังที่อยากโม้ ด้วยเหตุปัจจัยจากคนเมืองระดับเซเลป
เขาเป็นคนแนะนำเอาไว้ ว่าเป็นหนึ่งในหนังของดวงใจของเหล่าคุณเธอทั้งหลาย
กับเรื่องที่มีชื่อ เหมือนกะจะขายหนังสือเล่มหนึ่งในเครือสำนักพิมพ์นั้น
ที่ชื่อดันไปพ้องตรงกันอย่างตั้งใจ ในชื่อว่า Love Letter



Love Letter ในการรับรู้เบื้องต้นในครั้งแรกนั้น
ยังจำได้ดีว่า เป็นการแนะนำของนักเขียนสัญจรในเครือมติชน
ที่จะขนกองหนังสืออันมหึมาในเครือ พร้อมกับส่วนลดที่ไม่ต่างแตกนัก
ที่กำหนัดอาทรณ์สำหรับคนกรุงเทพ แต่จะมาขายหนังสือเพียงอย่างเดียว
ก็มิใช่เหตุจูงใจให้พอเรียกจากแขกต่างจังหวัด ให้มาก้มๆดมๆเพื่อหนังสือสักเล่ม
เลยต้องมีมาตราการเสริม โดยเชื้อเชิญเหล่าบรรดานักเขียนให้มาเวียนสัญจรร่วม
หนึ่งในกิจกรรมที่แสนจะสร้างสรรค์อย่างบรรเจิด มากกว่าการที่ต้องทนนั่งฟัง
นักเขียนท่านหนึ่งมาพล่ามเกี่ยวกับหนังสือตัวเอง โดยที่เจ้าตัวอย่างเรา
ไม่คิดจะซื้อ ความสร้างสรรค์ที่พอรับได้ คือ การที่ให้นักเขียนแต่ละท่าน
งัดหนังในดวงใจมาสักเรื่อง แล้วเปิดให้ชมกันฟรีๆ พร้อมกับการวิพากษ์วิจารณ์
ผู้เขียนจำไม่ได้หรอกว่า เซเลปท่านไหนเป็นคนที่เลือกหนังเรื่องนี้
แต่มันก็ทำให้เปิดกะลาทัศน์ของผู้เขียนของเด็กต่างจังหวัด
ว่าหนังชอบ ไม่จำเป็นต้องแอคชั่นตระการตาหรือพระเอกกล้ามใหญ่เสมอไป
เรื่องอันเรียบง่าย พล็อกเรื่องแจ่มๆ ก็สามารถสะกดให้ผู้เขียนไม่อาจลุกขึ้น
เอาก้มไปกระแทกตาใคร แถมดูจนน้ำตาไหลก็เห็นถึงน้ำใจ
จากกระดาษทิชชูของคนข้างๆ ที่มีอาการไม่ต่างจากเรา
ว่าแล้ว ก็เลยสอยหนังสือ Love Letter ของ ปราย พันแสง
ที่เป็นบทความตอนลงในมติชนสุดสัปดาห์ เมื่อนำมารวมเป็นรูปเล่ม
แม้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับหนังที่ดู มิได้เอ่ยถึงผู้กำกับชุนอิไว้สักบรรทัด
ก็ตามประสาเด็กต่างจังหวัดน้ำใจงาม ที่จะมาส่องดูฟรีๆ
โดยไม่มีสินน้ำใจกระนั้นเลยรึ? กลายเป็นสัปดาห์แห่งความรักเบ่งบาน
แม้จะไม่ประสีประสากับชาวบ้านชาวหญิง ยังคงนัดเตะบอลพลาสติกในตอนเย็น
กับชาวบ้านชาวชายเช่นทุกการโดดเรียน
แต่ก็พอรู้ได้ว่าต่อมฮอร์โมนส่วนหนึ่งเจริญวัยมิได้เป็นหมันหายไปที่ไหน



Love Letter เหมือนจะเป็นหนังเศร้า ที่คู่รักต้องพลัดพราก
ด้วยเรื่องของอุบัติเหตุ เมื่อ ฟูจิกิ อิทซึกิ เจ้าสาวในมะร่ำมะร่ออยู่ไม่กี่วัน
ต้องกลายเป็นหม้ายอย่างฉับพลัน แบบยังไม่ได้เข้าห้องลงหอ
ด้วยแฟนหนุ่ม ฮิโรโกะ วาตานาเบ้ ได้เสียชีวิตจากการพลัดตกเขา
สไตล์เดียวกันกับผู้วาดการ์ตูนชินจังอะไรปานนั้น จนเวลาล่วงเลยมาสองปี
อิทซึกิก็มิอาจจะหักห้ามใจ ไปจากคนรักเก่าได้เสียที
วันดีคือดี อุตริลองดีแบบไม่ค่อยมีใครคิดจะลองทำ
ด้วยการเปิดหนังสือรุ่นของคู่หมั้นเก่า
แล้วเขียนจดหมายตามที่อยู่ เสมือนว่าแฟนหนุ่มยังมีชีวิตอยู่
ตามที่อยู่ที่ได้บันทึกไว้ในเล่ม
ก็เขียนไปแบบคนที่ห่วงหาอาทรณ์อย่างไร้สติ ทั้งๆที่ลึกๆแล้ว
ก็ทราบดีว่า คนรักจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
เขียนเพื่อเข้าถึงสมมติที่ว่า เขายังมีตัวตนอยู่ แต่แล้ว
จดหมายนั้น ก็ได้รับการตอบกลับมาหาเธอ (อิทซึกิ)
แต่มันไม่ใช่จดหมายแบบที่ส่งตีกลับโดยไม่มีผู้รับ
กลับเป็นจดหมายที่มีผู้ตอบรับ และเขียนตอบกลับแบบจงใจที่จะสื่อสาร
ในทุกข้อความที่อิทซึกิ ได้ไตร่ถามทุกประเด็นอย่างเข้าใจโดยแจ่มแจ้ง
ที่สำคัญ ดันลงท้ายชื่อ ฮิโรโกะ วาตานาเบ้
อันเป็นชื่อของแฟนหนุ่มที่จากไป ด้วยอุบัติเหตุตกเขาเมื่อสองปีก่อน



ความจริงจะให้ผู้เขียนสปอยด์ปริศนาส่วนนี้ก็ได้
ด้วยเข้าใจว่า คงสิ้นอายุความของความเป็นสปอยด์
ด้วยฉบับหนังฉายไปสู่สาธารณชน ตั้งแต่ปี ๑๙๙๕
(เหมือนกับรายการหนังหน้าไมค์ ที่เอาสปอยด์เรื่อง six senth
ว่า บรู๊ซ วิลลิส เป็นผี เวลาเกิดอาการเดธแอร์คิดอะไรไม่ออก
แล้วทำท่าตกใจกันยกใหญ่) แต่กาลนี้ ขอไม่เฉลยว่า
ฮิโรโกะ วาตานาเบ้ ที่เขียนจดหมายตอบกลับ เขาเป็นใคร?
เป็นวิญญาณที่ไม่ไปไหน หรือ การกลับชาติมาเกิดโดยไปสิงร่างใคร
แต่เอาเป็นว่า เป็นความสมเหตุสมผลอย่างตั้งใจ
ที่ผู้กำกับและเขียนบทไปเองในตัว อย่าง ชุนจิ อิวาอิ
ได้สร้างไว้ และเป็นผลงานลำดับแรกๆ ที่ทำให้เขาแจ้งเกิด
และได้รับการจับตามองในแวดวงอุตสาหกรรมหนังของญี่ปุ่น
ปลุกกระแสหนังในแนวโรแมนติกดราม่า ที่เคยหลับใหล
ให้กลับมาตื่นกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอีกครั้ง



ทั้งๆที่ ฤดูกาลของการดำเนินเรื่อง
จะมีแต่บรรดาหิมะที่ขาวโพลน เป็นโทนแสงให้ดูอึดอัดลูกกะตา
แถมบรรยากาศยังขะมุกขะมัว แลดูทึบๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นภายใน
แต่ทว่าปริศนาของตัวบุคคล ก็ช่วยตรึงผู้ชมมิให้ลุกนั่งออกไปไหนไกล
ด้วยการเชื่อมในเรื่องราว แบบปะติดปะต่อเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
อย่างไม่สิ้นสุด ขณะเดียวกันมนต์สะกดจากคาถาฉบับอิวาอิ
ก็ทำงานอย่างได้ผล ในการทำเรื่องน่าเบื่อ
ให้มีความสอดคล้องต้องกันได้ อย่างไม่รู้สึกสะดุดเลยแม้แต่น้อย
แทนที่จะสืบเรื่องลำดับ ให้ตัวละครก้าวไปหนึ่ง-สอง-สาม-สี่
เพื่อหลุดจากกรอบพันธนาการที่ตัวเองสร้างขึ้น
หนังกลับมาแปลก ด้วยการให้ตัวละครก้าวย้อนถอยหลัง
เพื่อค้นหาความจริงบางอย่าง และบางอย่างนั่นเองที่จะทำให้
ตัวอิทซึกิได้ก้าวเผชิญต่อไปข้างหน้า ได้อย่างมั่นคงและสมบูรณ์



แต่นอกจากบทจะดี ผู้กำกับจะเจ๋ง และทีมงานที่แสนจะรู้ใจแล้ว
นักแสดงหลักที่ต้องแบกรับน้ำหนักบนฐานของเวลา ๑๒๐ นาที
ถ้าไม่ได้นักแสดงที่มากประสบการณ์ อย่าง มิโฮะ นากายาวา
ที่รู้ทางหนีทีไล่ และจับอารมณ์คนดูได้ถูกหลัก
และศึกษาอย่างเข้าใจในตัวละคร คู่หมั้นแฟนสิ้น
เพื่อให้คนดูรู้สึกสงสารแต่ไม่เวทนา (ไม่เหมือนสาวเจ้าบางคน
ที่ผู้เขียนเพิ่งได้ดู New Moon หรือ Twilignt ภาคสองอยู่หยกๆ)
การได้กลับมานั่งดูอีกสักหน ก็ต้องยอดรับว่าเจ๊แกเอาเราอยู่หมัด
เพราะเจ๊ไม่ได้มาเพียงแค่หนึ่ง แต่เล่นถึงสอง
แล้วเป็นสองที่เราคนดูรับรู้ได้
โดยไม่ต้องติดชื่อป้ายหรือมีเครื่องหมายกำกับไว้ก็ตาม
นึกๆว่า ถ้าเราเป็นตากล้องแล้วเที่ยวถ่ายแต่หน้าแกตลอดทั้งวัน
ถึงจะแอบปลื้มมิโฮะ ก็เถอะ แต่ถึงเจอกันบ่อยๆ มันก็ยอมมีเอื้อมเป็นธรรมดา
(นี้ไม่บวกกับความชรา ตามวันและเวลาที่ร่วงโรยนะเอย)
มันจึงมากกว่า ความหมายของคำว่า "จดหมายรัก"
แต่เป็นความรักทั้งปวง ที่มนุษย์ปถุชนคนหนึ่งพึ่งมี
และได้แสดงออกถึงความรักที่มีต่อคนๆหนึ่ง ให้โลกได้รับรู้
แม้ต้องตะโกนแหกปาก เรียกชื่อใครบางคนในเชิงขับไล่ไสสงก็เหอะ
ถ้าทำแล้วดี แล้วโลกจะกู่ก้องตอบรับกลับมา จะไปถือสาอะไร
ในเมื่อครั้งหนึ่งเจ๊ก็เคยเขียนจดหมายถึงคนตาย
แบบฝืนหลักตรรกความจริง มาแล้วก็ตาม
Love Letter ถ้าเอาดาราสาวหน้าใหม่มาเล่น อาจจะเป็นงาน "แจ้งเกิด"
ให้กับคนๆนั้น แต่กับมิโฮะแล้ว ต้องถือว่าเป็นงาน "แจ้งกลับ"
สำหรับแวดวงภาพยนตร์ เพราะสายหลักของเจ๊เธอจริงๆแล้ว
คือ การร้องเพลง แม้ระยะหลังๆจะไปหวานชื่นกับคุณสามีที่ปารีส
จนห่างหายวงการไปพักใหญ่




ส่วนดาราท่านอื่นๆ ไม่อยากจะเชื่อว่า ในวันเวลาที่ผ่านไป
หลายคนก็เปลี่ยนตามยัตถาวัยเสมือนทานอาหารไม่ครบหมู่ อาทิ
อัตซึชิ โตโยกาวา ที่ไปรับบทไอ้หนุ่มนักฆ่าผมยาวเซ่อ ใน 20 century boys
และ Hula Girls มิกิ ซาไก นับแต่เล่นซีรีย์ Love Revolution
ผู้เขียนก็ไม่เจอเธออีกเลย
เคน มิซึอิชิ ก็พอเห็นบ่อยหน่อย ทั้ง 20 century boys , Pandemic
Tokyo Tower และ oppai volleyball และหนึ่งในนั้น
มี ซูซูกิ ราน ที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับ อิวาอิ ในซีรีย์ Ghost Soup
แม้บทจะไม่เด่นนักก็ตาม



นอกจากคนไทยจะได้รับชม Love Letter ในรูปแผ่นบันทึกแล้ว
ชุนจิ ยังกินเงินบาทไทย เมื่อ ค่ายสำนักพิมพ์ Bliss ยังได้รับลิขสิทธิ์
แปลจำหน่ายภาคภาษาไทย ให้ผู้อ่านได้ฝันเฟื่องตามจินตนาการ
ที่อาจเหนือและไม่มีในฉบับหนัง โดยการแปลของ
สมเกียรติ เชวงกิจวณิช ที่เคยแปลงานเขียนญี่ปุ่นหลายเล่ม
อาทิ BLU เยือกเย็น และ มิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ
ตอนนี้จะพิมพ์เป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบ แต่เดาเอาว่ามีชื่อ นายชุนอิ
ก็พอรับประกันให้อุ่นใจแท่นพิมพ์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว



ส่วนผู้กำกับ ชุนจิ นับจากถอดตัวจากแวดวงโทรทัศน์
นับแต่เรื่องสุดท้ายที่ดูจะเป็นงานหลักในการยึดโยงมาเป็นสไตล์ส่วนตัว
จาก Fireworks : Should We See It from the Side or the Bottom?
มาตราฐานตรงจุดนี้ ก็ไม่เคยตกต่ำในผลงานทางภาพยนตร์ในหลายๆเรื่อง
และดูจะเป็นปกติ ในทุกๆเรื่องที่แกลงมือกำกับ
การเขียนบทด้วยตัวเอง ก็จะเป็นสิ่งที่ทำควบคู่กันไปด้วย
ซึ่งก็เป็นเรื่องสามัญธรรมดา นับตั้งแต่เรียนจบจนมารับงานทางสถานี
พี่แกก็เล่นในสไตล์ จ้างทีเดียว-คุ้มค่าตลอดงาน มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ซึ่งทุกวันนี้ของพี่แก จะอนาคตไกลถึงฮอลลิวู้ด
แม้จะแค่ทำหนังแบ่งขายแล้วค่อยมาแพ็คเหมารวมกัน
ใน New York , l love you ที่มีงานของผู้กำกับที่อยากยกให้เป็นครู
อย่าง Brett Ratner ที่เคยสร้างงานดัง Rush Hour สามภาค หรือ
Mira Nair ที่เคยทำหนังฉาวๆ ใน # Kama Sutra: A Tale of Love
ก็ถือเป็นการตอบรับในสายตาประชาโลกที่ฝีมือการกำกับของแก
จะเรียกแขกและให้การยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของผู้กำกับมีชื่อ
แม้วันคล้ายวันเกิดที่ผ่านมาต้นปีนี้ของแก
จะไม่มีแม้คำขอบคุณมาสักทวิสต์ก็ตาม ........




อวยข้อมูลจาก imdb and jkdramas

ครั้งหนึ่ง เคยเขียนถึงผู้กำกับชุนจิ อิวาอิ ใน

โลกแห่งซีรีย์ของผู้กำกับชุนอิ อิวาอิ

Fireworks ซีรีย์workๆสั่งลาของผกก.ชุนจิ อิวาอิ








 

Create Date : 05 เมษายน 2553    
Last Update : 6 เมษายน 2553 8:41:40 น.
Counter : 2800 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.