|
Smile รอยยิ้มที่รอวันอิ่มเอม
โดยปกติแล้ว การชมซีรีย์ญี่ปุ่นของผู้เขียน จะมุ่งเน้นเจาะจง เพียงเฉพาะความบันเทิงเริงรมย์แต่เพียงอย่างเดียว แม้เสียงใหญ่ของนักชมซีรีย์ญี่ปุ่น จะมีเสียงออกไปในทางชื่นชมของ หลักคิดและการให้กำลังใจ ไปสู่การบรรลุความฝันและการปรองดองร่วมกลุ่ม แต่นั้น ก็แทบจะไม่มีความหมายแต่ประการใด ต่อผู้เขียนนัก เพราะโอกาสในการปฏิบัติได้จริง มันสวนกันคนละเลนกับฉบับโลกซีรีย์ ที่ปรารถนาจะให้ตอนจบเป็นเฉกเช่นไรก็ได้ แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้น แม้ปฏิบัติตามเหตุปัจจัยฉบับซีรีย์อย่างเคร่งครัด แต่สิ่งที่ตามมา ก็ไม่ได้เป็นเช่นตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวเนื่อง จากเหตุของความซับซ้อนในจิตใจของมนุษย์ และค่าความเบี่ยงเบนของตัวแปรอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามสูตรเคมีหรือคณิตศาสตร์ ชนิดต้องเป้กทุกเม็ด
อย่างดีที่สุด ที่ซีรีย์จะผลิดอกออกผลได้ สำหรับผู้เขียนแล้ว คือ การเป็นภูมิคุ้มกันข้างต้นเมื่อภัยที่ยังมาไม่ถึง จึงเป็นโอกาสของการได้เรียนรู้ แบบภาพจำลองในภาวการณ์ที่ยากจะหลีกเลี่ยง เพื่อให้ได้พอมีโอกาสเตรียมรับมือ และวางแผนการรองรับในผลกระทบที่จะตามมา กล่าวง่ายๆ ก็คือ ถ้า "วิชาสปช." ตามความหมายมีว่า "สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต" เช่นไร ซีรีย์ญี่ปุ่น ก็เกือบจะมีค่าเท่านั้น ค่าศูนย์กลางทางการศึกษา จึงมุ่งตรงไปที่ตัวเอก เมื่อต้องเจอะกับภาวการณ์ความซวยมาเยือนเยี่ยงไร แล้วถ้าสมมติว่าเขาเป็นเรา ควรจะปฏิบัติตัวเยี่ยงนั้นรึไม่ อยากจะเป็นพระเอกแสนดี แต่ไม่เหลืออะไร หรือจะเป็นผู้ร้ายที่แสนเลว แต่กอบโกยความมั่งคั่งที่กองอยู่ตรงหน้า อันนี้ก็ว่ากันไป แต่เพิ่งจะมามี ซีรีย์ญี่ปุ่นในฐานะ "สิ่งปลูกสร้างกำลังใจ" และ "ประกอบเป็นยาชูกำลัง" แม้โดยความหวังที่ว่านั้น ตามท้องเรื่องจะเเล่นไหลเชี่ยว มีเลี้ยวบ้างไปตามบท แต่ผู้เขียนก็อดไม่ได้ ที่จะเตลิดคิด ไปแบบเป็นจริงเป็นจัง เป็นตุเป็นตะ ทำตัวแบบสวมวิญญาณพระเอกเข้าว่า ทั้งที่ในใจลึกๆแล้ว โคตรจะสังเวชจิต ในตัวพระเอกอย่างหนักหนาระทม
ช่วงพักเวลาบาดเจ็บ จากพิษของหน้า(น้ำเข้า)ที่และการ(ไม่เป็น)งาน มาบรรจบกันแบบไม่ตั้งตัว ผู้เขียนเเอบไปเยี่ยวยาใจตัวเอง ด้วยการค่อยๆทยอยเปิดซีรีย์เรื่อง Smile ของค่าย TBS แบบพักฟื้นอยู่เงียบๆคนเดียว เหตุที่เงียบไว้ก็เพราะ ในช่วงเวลาที่คับขันแบบเข้ามาได้ แต่หาทางออกให้กับตัวเองไม่เจอ ความเงียบ นอกจากจะไม่เป็นการรบกวนใจผู้อื่นแล้ว ยังเป็นการสร้างสมาธิสมดุล หลักจากที่จิตเตลิดเกิดๆดับๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่ประทานโทษ บางทีแล้ว "ความดัง" อาจจะเป็นเสียงที่เรียกแขกให้ร่วมดู จนต้องสูญเสียน้อง "อารากาชิ ยูอิ" ไปทั้งเซ็ทซีรีย์หกแผ่น แบบเสีย smile ด้วยรอยยิ้มที่พิมพ์ใจ จนแอบสงสัยว่า การเรียกรอยยิ้มกลับคืนของคนกรุงเทพ ตัวเราเองจะผูกขาดวัฒนธรรมการยิ้ม ให้เป็นสมบัติประจำชาติตนไปเลยรึไง ถ้าการยิ้ม เป็นการส่งสัญญาณถึงมิตรภาพ ความหวังและการให้กำลังใจอย่างเป็นสากล แล้วเราจะมา "อมยิ้ม" โดยไม่ยอมแจกจ่ายและถ่ายเทมิตรภาพนี้ ประคองไว้ให้เป็นของชาติใดชาติหนึ่งกันทำไม
แม้ผู้เขียนจะขอสวมวิญญาณพระเอกตลอดเรื่อง ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้เขียนจะชื่นชมในบทของพระเอก "วีโต้" ที่มัตซึโมโตะ จุน ต้องรับบทพระเอกลูกครึ่งเสี่ยว พ่อฟิลิปปินส์-แม่ญี่ปุ่น ซึ่งต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นเด็กหลังครัว เพื่อจะเก็บเกี่ยวสูตรการทำอาหาร ให้สมเจตนารมณ์ตามความฝัน ที่หวังจะเปิดร้านอาหารนานาชาติ ที่ชนทุกชาติทุกภาษา สามารถมีความสุขและร่วมโต๊ะรับประทาน โดยไม่มีอคติในเรื่องของสีผิว เชื้อชาติและศาสนา แต่กระนั้น ปมปัญหาในชีวิตของวีโต้ ที่เป็นบาปติดตัวเขาสองเรือ่ง ก็ทำให้เส้นทางตามความฝันของเรา ตีบตันและค่อยๆหลุดลอยไป ประกอบด้วย
ประการแรก ความเป็นลูกครึ่งฟิลิปปิโน-เจแปน ส่วนนี้ เป็นอคติเชิงมุมมองของวัฒนธรรมเฉพาะที่คนญี่ปุ่นโดยสว่นใหญ่ มักมองคนต่างชาติที่เข้ามาหากินในประเทศของตัวเองด้วยความเหยียดหยาม และไม่ไว้ใจ ทั้งที่จริงๆแล้ว วีโต้เกิดและเติบโตในประเทศญี่ปุ่น พูดภาษาตากาล็อกก็ไม่ได้สักคำ และไม่เคยเลยที่จะออกไปนอกประเทศสักครั้ง ประการที่สอง วีโต้เคยถูกกล่าวข้อหาว่าด้วยไปพัวพันก็แก็งค์มิจฉาชีพ และถูกลงโทษให้ติดคุกด้วยข้อหาในเกณฑ์ระดับเยาวชน เมื่อถูกพ้นโทษมา ก็ถูกยัดเยียดข้อหามียาเสพย์ติดไว้ในครอบครอง เคราะห์ยังตามซ้ำ เมื่อร้านอาหารที่เขาฝึกงานไปมีส่วนผสมของสารปนเปื้อน ที่เป็นเหตุให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง ต่อจากนั้น ก็ไปมีส่วนร่วมกับการทำร้ายและยึดปืนของเจ้าหน้าที่ หนีคดี ถูกตามล่าหมายหัว และข้อหาฉกรรจ์ คือ ฆ่าคนตายโดยเจตนา
แต่กระนั้น ท่ามกลางทุกข์ซ้ำกรรมซัด อยู่โดยตลอด วีโต้ก็ยังมีกัลยาณมิตร ที่ให้ความเชื่อมั่นแก่เขาและพร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ลุงโชสุเกะ ป้ามิโดริ เพื่อนเกลอทั้งสอง ฮิเดโนริกับสุซุโนสุเกะ และที่สำคัญเหนือกว่าใครๆ ก็หนีไม่พ้น น้องหนูมิชิมะ ฮานะ (ที่รับบทโดย อรากาคิ ยูอิ) สาวใบ้ปริศนาที่พบกับโดยบังเอิญที่้ร้านหนังสือ และดูเหมือนกำความลับบางอย่าง ที่อยากจะบอกเล่าให้วีโต้ได้ทราบ จนได้มีโอกาสเข้ามาช่วยฝึกงานในร้านเดียวกันกับวีโต้ จนถักทอกลายเป็นรักที่บริสุทธิ์ให้กับวีโต้ และส่งสัญญาใจ ผ่าน "รอยยิ้ม" ที่บานไม่มีหุบ และ "หมูตุ๊กตา" อู๊ดๆ อีกหนึ่งตัว
ขณะเดียวกัน ซีรีย์มีวิธีการนำเสนออย่างแยบคาย ด้วยผู้กำกับ "ยาสุฮารุ อิชิอิ" (จากKurosaki,Hana Yori Dango,Byukiyako) "ทซึโบอิ โตชิโอ" (จากManhattan of Love,Tiger&Dragon,Love Suffle) ใช้กรรมวิธีเล่าเรือ่งแบบราโชมอน "หนึ่งเรือ่ง-หลายปากคำ" เพื่อสร้างความซับซ้อนของเหตุการณ์และสร้างปรากฎการณ์เกินคาดเดา ให้กับคนดูให้ได้ตามลุ้นและหาความจริงของเรือ่ง ต่ออดีตตัวตนที่คลุมเครือของวีโต้เอง และเบื้องหลังที่ดำมืดอันไปพัวพันกับอีกหลายเหตุการณ์ ที่ไปยึดโยงกลายเป็นปัญหาระดับองค์กรแห่งชาติ แต่ในเรื่องการสลับห้วงเวลานี้ เล่นเอาสับสนพอสมควรในช่วงแรกๆ ซึ่งกว่าจะปรับตัว โดยอาศัยรากไทร้ยาวๆของเจ้าจุนเป็นตัวบอกระยะ ก็คลำทางพอสมควร ซีรีย์เหมือนจะเริ่มต้นว่าด้วย ประเด็นปัญหาเล็กน้อยจนคล้ายจะชาชินของเมืองใหญ่ อย่างกรณี การจำหน่ายยาเสพย์ติดตามเธคตามบาร์ จนสุดท้ายก็สะสางและแก้ปมในข้อกล่าวหาที่ดูเหมือนจะเเฝงเร้นไปด้วยอคติทางชาติพันธ์ แต่จากนั้น ก็มีปมปัญหาใหม่ตามมาอีกหลายระลอก ที่ทวีความหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการยึดโยงในแง่ตัวบุคคลเป็นหลัก แต่ก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงในอคติทางชาติพันธ์ดังกล่าว ที่ไม่สอดคล้องกับการกระทำ โดยมุ่งที่จะโยงใยในรูปคดีที่เกิดขึ้นเพื่อให้เข้าถึงการซัดทอดยังตัวบุคคลที่หมายหัวแรกเริ่ม โดยไม่ได้สนใจในข้อเท็จจริงของรูปคดีตามประจักษ์พยานของหลักฐาน ซึ่งถ้าไม่มองเป็นความซวยซ้ำซวยซ้อนแบบยกกำลังสองด้่วยแล้ว ก็ต้องมองได้อีกอย่างว่า วีโต้เป็นชายที่เลือกเกิดในผิดที่และผิดที่ประเทศนี้เขาไม่เห่อลูกครึ่ง จนถูกกดทับเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง ทั้งๆที่ในสูจิบัตรแล้ว เขามีความเป็นพลเมืองโดยสมบูรณ์
If one was hurt by someone. that person surely would have sought revenge. (ถ้าใครสักคน ทำให้คนอื่นบาดเจ็บ แล้วคุณมั่นใจว่า อีกฝ่ายต้องตามราวีไม่เลิก)
Because you can only look at people on that basis I said that you're a pitiful man. (เพราะว่าคุณมองเขาเหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจ ฉันถึงบอกว่า ฉันเวทนาในตัวคุณจริงๆ)
In this world,There are people who live with all their might indifferent to such attitudes. (ในโลกนี้นะ ยังมีคนอีกมากที่เขาอาศัยร่วมอยู่กับเรา โดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดให้เหมือนกัน ด้วยกะลาครอบใบเดียวกัน)
แต่ความลึกซึ้งของซีรีย์เรือ่งนี้มีมากไปกว่านั้น เพราะไม่ได้แตะเพียงแค่ประเด็นทางอคติในเรื่องของชาติพันธ์เท่านั้น ยังไปกระทบชิงเชิงตั้งคำถามถึง "โครงสร้างขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม" แบบที่ไม่ต้องมาทำคลิปหลุด แอบถ่ายหรือโพสต์ลืมไว้ในยูทูป เพื่อเจตนาดิสเครดิตของคณะตุลาการเหมือนกับบางประเทศ ซีรีย์เรือ่งนี้ เลยสร้างตัวละครในสังกัดขบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็น "ฟุรุเซะ" ที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแค้น (แสดงโดย ทาคามิ โตชิยุกิ จากCode Blue , Last Friend, GTO ,Dr.Koto) หรือ "คิตากาวะ" ที่เล่นเป็นอัยการตามเช็ด (แสดงโดย โคโมโตะ มาซาฮิโระ จาก ส่วนใหญ่เจอเขาในบทรับเชิญอย่าง Jin และ Galileo) ขณะเดียวกัน ก็สร้างกระทู้วิพากย์ไปถึงระบบลูกขุนญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า The saiban (ที่มีลูกขุนหก ผู้พิพากษาสาม คน รวมเป็น 9 คน ทำหน้าที่รับฟังพยานและตัดสินคดี ซึ่งคดีที่จะใช้ลูกขุนทำการตัดสินคดี เป็นระบบประมวลกฎหมาย (CIVIL LAW) ส่วนการพิจารณาคดีในศาลใช้ระบบกล่าวหาตามแบบสหรัฐอเมริกา (the Anglo-American model) โดยฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวหามีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อน จากนั้นให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ โดยโจทก์จำต้องสืบพยานจนสิ้นข้อสงสัย ซึ่งมองในข้อดี ก็จะมองได้ว่า เป็นพิจารณาพิพากษาที่เคารพความเห็นของประชาชน และตัดความมีอคติของผู้พิพากษาออกไป แต่ถ้ามองในข้อเสีย ก็จะมองได้ว่าเป็นการให้อำนาจตัดสินความเป็นความตายของจำเลยสักคน จากบุคคลที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการตัดสินคดีและแบกรับความกดดันด้วยระยะเวลาที่จำกัด ในซีรีย์บ่งบอกถึงวุฒิภาวะของการ "เชื่อได้ว่า" ซึ่งไม่สอดคล้องต่อความเป็นจริงในเหตุการณ์ แน่นอนว่าสว่นนี้ไม่พ้น อคติทางชาติพันธ์ ที่ปักธงไว้ในใจกลางก่อนเริ่มคดี ที่ยากจะสลัดมันทิ้งได้
ซึ่งน่าชื่นชมคนเขียนบท "ทากามะ ทากายุกิ" (เหมาในตอนที่1-9) ว่าเขียนเรือ่งได้น่าติดตามและกำหนดเงื่อนไข ที่ต้องตามลุ้น กันจนเหนื่อยหอบไปข้าง แต่ไม่ได้ระดมใส่ตะพืดตะพืออย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างน้อยๆ ก็มีลูกผ่อนลูกพัก ไม่ทารุณกรรมคนดูจนเกินเหตุแบบ Life และ Last Friend โดยเฉพาะทากายุกิ ดูจะพีคฟอร์ม ผิดกับงานเขียนในงานก่อนๆ ที่ยังเป็นเรื่องชิวๆ อย่าง Osen , Yasuko to Kenji ,Hana Yori Dango และ Tiger and Dragon แต่ก็พอเข้าใจอยู่บ้างว่า ในตอนที่สิบและสิบเอ็ด จำเป็นต้องตบมือเปลี่ยนข้าง ให้ "เจ๊เอริโกะ" มาพลิกบทใส่ลูกจูดิคอลดราม่า ที่เข้มข้น ซับซ้อน หนักแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะต้องหาทางลงจอดของเรื่องให้สวยงาม ซึ่งก็เป็นรันเวย์ ที่ค่อยๆไถลลงได้อย่างนุ่มนวล แม้ในใจอยากให้พระเอก สวมวิญญาณเจ้าสคอร์ฟิวใน Prison Break แหกคุกไปพบรักนักก็ตาม
แต่ปัญหาสำหรับซีรีย์เรือ่งนี้สำหรับผู้เขียนแบบเต็มๆ คือ ความเชื่อที่ว่า เจ้าจุนคนดีนักหนานี้ละนะ เป็นลูกครึ่งต่างชาติ แม้จะพยายามปล่อยให้ลื่นไหลไปตามน้ำทีละตอน แบบว่า ค่อยๆกัดกลืนจนหลงเชื่อไปโดยปริยาย แต่อย่างไรเสียก็กลืนไม่ลืนคอ เพราะผู้เขียนติดตามงานแสดงของหมอนี้มาเนิ่นนาน ตั้งแต่ Gokusen ,Kimi wa Pet,Hana Yori Dango.Bambino กล่าวง่ายๆเลย ดูอย่างไรก็ไม่ดูออก ว่าหมอนี้มันใช่ชาวต่างชาติครึ่งเสี้ยวกันตรงไหน แม้จะพยายามโปะโคลนอับสีแทนไปตามพื้นผิว ปล่อยทรงผมกระเซอะกระเซิง ขณะเดียวกัน ปัญหาอีกอย่างที่แลดูจะขัดใจอย่างมาก คือ "ความแสนดีที่เกินกว่าเหตุ" ประมาณว่า ก็เข้าใจอยู่นะ ว่าพระเอกเขาต้องเป็นแมนแสนดีไปตามบท แต่ความแสนดีที่ว่านี้่ ถ้ามีสัดส่วนที่พอเหมาะพอควร ก็จะกลายเป็นความเห็นใจได้อย่างไม่ยาก ถึงเข้าใจแล้วว่า "ผู้ชายที่ดีเกินไป" ทำไมผลลัพธ์ถึงไม่ดีไปตามความเกิน มันกลายเป็นระดับเกินความพอดี ชวนให้ "สังเวช" และ "เวทนา" ในท้ายที่สุด ถ้าดีแล้วยอมรับในผลของการกระทำ จะไม่ว่าเลย นี้มีแอบตีอกชกหัว มาร้องห่มร้องไห้ แถมยังมีหน้ามาไล่น้องยูอิให้กลับบ้าน เหมือนไม่เคยมีอะไรต่อกัน ในฐานะแฟนบุญธรรมของน้องเขา พี่ของเคืองหน่อยเหอะ
ส่วนของดี ที่เกินคุณภาพของการคาดหมายในการเล่นตามบท แบบที่ตระหนักเต็มๆตา ยกให้เลยสำหรับสามท่านนี้ ท่านแรก คือ คนที่เล่นเป็น "ทนายคาซุมะ" (แสดงโดยนากาอิ คิอิชิ จาก Hero SP,Kaze no Garden) ที่กะจะไม่ว่าความให้แต่ต้น เพราะวันๆพี่ท่านมุ่งสนใจแต่ออกหน้ากล้องทีวี เพื่อสร้างชื่อให้กับบริษัทว่าความของตัวเอง ดูตอนแรก น่าจะเป็นการคัดคนที่โหลยโท้ย แต่พอได้ขึ้นว่าความเท่านั้นแหละ เป็นได้โชว์ของร้อนวิชากันทั้งบัลลังค์ ยิ่งมีการใส่ปมอดีตชนิดให้หงายหลังกันอีกรอบ กลายเป็นนักแสดงที่ได้่รับความเห็นใจในสัดส่วนที่พอเหมาะ มากกว่าตัวพระเอกสักอีก เลยอธิษฐานปรารถนา ให้แกได้สมรักกับคู่เลขาฯ ชิโอริ เสียจริงๆ
ส่วนคนที่สอง คือ เจ้า โอการิ ชุน ที่รับบท "รุ่นพี่เซอิจิ" เล่นได้เป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงสำหรับเรื่องนี้ ถึงได้รู้ว่า บทจะเลว ไอ้หมอนี้ก็เลวได้ไม่หยอกเช่นกัน เป็นตัวละครที่พัวพันกับแก็งค์อันตพาล เมื่อตอนที่วีโต้ถูกดำเนินคดี แม้บทพูดจะมีให้ไม่มากนัก แต่ทุกตอนที่เข้าฉากสร้างความรู้สึกไม่ไว้วางใจ และสมควรที่จะหลีกเลี่ยงไปให้ไกลๆ ตามประสาผู้ก่อการร้ายฉายเดี่ยว ถือเป็นบทเลวในการแสดงที่ดี พอมีดีกรีเป็นคนขี้คุก ไ ม่ต่างจากเจ้าวีโต้เช่นเดียวกัน ที่นานๆที จะมีตัวละคร "เลวได้ถ้วย" ปรากฎในซีรีย์สักเรื่อง ทำให้ในบางการกระทำของวีโต้ ที่ขัดแย้งกันผู้เขียนมาโดยตลอด อย่างน้อยๆ ก็สมประสงค์ใจตรงกันสักอย่าง ซึ่งถ้าใครได้ดูคงรู้อยู่ชิมิๆ
ส่วนตัวละครสุดท้าย คือ "อัยการคิตะงาวะ" อยู่ในฐานะที่หน้าตาของพี่ ก็ไม่น่าไว้วางใจ และดูช่างคิดช่างแค้นจนตามเช็คไม่เลิก อยากจะขอแก้มืออยู่ไม่รู้หาย ยิ่งประกอบท่วงท่าเริ่ดๆเชิดๆ ซ้ำยังกดปากกาจิ้มจุ๋มๆ ให้ชวนรำคาญไปตามหน้า เวลาที่เจอะลูกตอกสวนกลับ จากฝีปากของทนายคาซามะ โคตรจะได้ใจเสียทุกครั้งที่มีการนำเสนอ แม้อาจจะไม่ถึงกับเกลียดมาก แต่ก็ชอบอาการหมั่นไส้ของพี่ไม่หาย ถ้าลองเอานักแสดงอื่นมาเล่น ก็ยังนึกไม่ออกว่าใครจะยียวนกวนได้เท่าผืนหน้าแกได้อีก
แต่กระนั้นทั้งหมดที่ว่ามา ก็หาได้มีใครดีเท่ากับ น้องยูอิ ในบท "ฮานะจัง" สาวใบ้ปริศนาเกือบทั้งเรื่อง เคยดูซีรีย์ My Boss My Hero ว่าน้องเธอน่ารักแบบสุดๆแล้ว เธอยังทำได้พิกัดเกินสุดสำหรับซีรีย์เรื่องนี้ อาจเพราะความใบ้ จึงทำให้เธอต้องเค้นความน่ารักที่หลบใน ให้โผล่มากขึ้นกว่าที่เคย ผลก็คือ ตกหลุมรักยูอิจังกันทั้งบ้านทั้งเมือง ความที่ปากทำงานไม่ได้ นอกจากฉากจูบเย้ยยีราฟเหล็กแถวริมแม่น้ำ ทั้งสีหน้า ท่าทางและแววตา ดูจะถูกใช้ในงานแสดงมากกว่าซีรีย์เรื่องก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น Papa to Musume no Nanokakan หรือ Code Blue ทั้งสองภาค จนได้รับการันตีทางรางวัล TDAA ครั้งที่ 61 ในฐานะนักแสดงสมทบหญิง แบบโผล่พรวดอยู่คนเดียว โดยที่คนอื่นแห้วรับประทานกันทั่วหน้า ความที่ต้องมารับบท "ยาใจคนจน" "เทพีบ้านไพร" และ "มื้อใด๋สิคิดฮอด" ต้องถือเป็นความโชคดีของพระเอก ที่ได้น้องฮานะมาเป็นยาชูกำลังใจ ที่ผู้เขียนอยากดื่มเกินวันละสองขวด และต้องเเสร้งเสทำตัวเป็นพระเอกวีโต้ชั่วคราว เพื่อให้หลงเชื่อไปเองว่า กำลังมีน้องฮานะ "ยืนยิ้มแจกหมู" อยู่ข้างหลัง เมื่อเเผ่นจบตอน ก็เข้าสู่หมวดโลกของความเป็นจริงที่โหดร้ายต่อไป
ถือเป็นซีรีย์ที่กล้าลองของ ต่อโครงสร้างอคติเชิงวัฒนธรรมประจำชาติ ที่อาจจะไม่โสภานักต่อนักดูที่เป็นชาติเดียวกัน โดยว่าด้วยเรื่องของสิทธิพลเมือง (citizenship) ในลำดับของการเป็นสมาชิกในชุมชนร่วมหมู่ ที่ประกอบไปด้วยความหลากหลายของชาติพันธ์และวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อน ในรูปแบบเมือง แต่ดูเหมือนว่า "ไกจิน" ที่เป็นคำจำกัดกรอบของการมีส่วนรวม ที่ไม่เอื้อต่อพหุนิยมในการแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ (identity) ทางวัฒนธรรม ภาษา ชาติพันธ์ ศาสนาและเพศสภาพ วาทกรรมเรื่องของความเป็นพลเมือง จึงเป็นวาทกรรมของผู้ด้อยอำนาจ ใช้ในการแสวงหาการยอมรับ และการขยายสิทธิภายใต้เขตแดนของรัฐชาติ ซึ่งหน่อความคิดนี้น่าจะถูก ถกเถียงได้อย่างไม่รู้จบ ซึ่งในหนังสือ Next 100 Year ของ Grorge Friedman มีตอนหนึ่ง ว่าด้วยขุมนรกของแรงงานต่างชาติ เป็นประเทศที่แรงงานอยากเลือก โดยเลือกที่จะไม่เลือกไปร่วมทำงานด้วย แม้แต่เกาหลีที่อาศัยและทำงานในญี่ปุ่นตลอดชีวิต เขาก็จะได้รับเอกสารที่ออกโดยตำรวจญี่ปุ่น ว่าเขาคือ "คนเกาหลี" ซึ่งคนญี่ปุ่นก็รู้ในการติดยึดวัฒนธรรมส่วนหนึ่ง เลยแก้ปัญหาด้วยการย้ายฐานการผลิต และสอนหนังสือให้คนชาตินั้นพูดภาษาญี่ปุ่นซะ
How did you accept a whole of your life? When l saw you,You overcome a pain by smile How do you it? (นายยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ยังไง ตอนที่ฉันมองนาย นายเอาชนะความเจ็บปวด ผ่านรอยยิ้มได้ยังไง)
Smile จึงเป็นซีรีย์ที่ดี ที่มาถูกที่และถูกเวลา เป็นโอสถแผนกการสร้างกำลังใจ สำหรับคนที่กำลังท้อแท้และเป็นทุกข์อยู่ตอนนี้ ให้รู้สึกปลุกเร้าความมีกำลังใจ และการเผชิญกับรอยยิ้มที่หล่นหายโดยที่มีเราเป็นเจ้าของ แม้จะไม่ข้ามขั้น "ยิ้มเย้ยประกัน" ตามแบบฉบับ "ยิ้มได้เมื่อภัยมา" แต่หลังจากรวบยอดความคิดปิดท้ายของซีรีย์ จุดหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนขบคิดได้ เป็น ความคับแคบทางสังคมญี่ปุ่นที่มีผลสืบเนื่องจากประวัติศาสตร์การปิดประเทศ ในยุคซาโคคุกว่าสองร้อยปี แต่กระนั้นก็ตอบไม่ได้เพราะในสมัยพระเพทราชา อาณาจักรอยุธยาก็เคยขับไล่ที่ปรึกษาชาวต่างชาติ ในสมัยพระนารายณ์ด้วยเช่นกัน แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่สังคมญี่ปุ่นขาดหาย คือ สังคมวัฒนธรรมอันหลากหลาย (Multiculturalism) ในความหมายหนึ่งก็คือ สังคมพหุนิยม เท่ากับเป็นการบิดเบือนความหมายที่แท้จริง เป็นสังคมที่ขาดการยอมรับและเคารพในความแตกต่าง เกิดปฏิปักษ์ ไม่ไว้ใจ แบ่งแยก ปิดกั้น ล้อมรั้ว และวางขอบเขตวัฒนธรรมตนเองออกจากวัฒนธรรมอื่น เข้าข่ายต่อต้านความเป็นพหุนิยม (anti-pluralist) แต่แปลกเพราะปราบดา หยุ่น เคยเขียนถึงว่า สังคมญี่ปุ่นนิยมที่จะอ่านมุมมองของคนต่างชาติที่ย้อนมองวัฒนธรรมของชาติตนง จึงพอเข้าใจถึงค่าเฉลี่ยของเรตติ้ง ในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจของผู้สร้างเท่าไรนัก ตามประสา "ตีแสกหน้าชนชาติเดียวกัน" ซึ่งสภาวการณ์นี้ มือเขียนบททากายุกิ น่าจะเคยซาบซึ้งกันดีจากประสบการณ์ของซีรีย์ Osen ที่ไปตีแสกหน้าวัฒนธรรมการบริโภคแดกด่วนฉบับพี่ยุ่นเขา จนผู้เขียนรู้สึกเป็นกังวล ถึงงานสร้างซีรีย์ของญี่ปุ่นที่เน้นในเชิงสายวิพากย์ แต่สุดท้าย มักจะประสบความไม่น่าพึงปรารถนาของอัตราเรตติ้งท่านผู้ชม ซึ่งก็ได้แต่ส่งผ่าน "เรตติ้งเมืองนอก" แบบนับรายหัวได้กลีบหนึ่งคะแนนเสียง แบบที่ต้องกล่าวขอบคุณงานซีรีย์ดีๆ แบบดูอย่างเป็นกังวัลว่า
"เซโลงัง อารากิโตะ" ........
"Smile" ซีรีย์ดีที่บิวต์อารมณ์ไม่ค่อยจะขึ้น อย่างน้อยๆ ก็ยังมีเพลงเสียงแป๋นๆ ที่ชื่อ "Ariamaru Tomi" (ความมั่งคั่งที่ไม่จำเป็น) Theme Song ประกอบซีรีย์ Smile ที่ร้องหลอนกันกระหึ่ม โดยการเดียวโซโล่ของ Ringo Shiina หนึ่งในสมาชิกของวง Tokyo Jihen ซึ่งเธอนิยามความเป็นตัวเองว่า นักแต่งเพลงสไตล์ชินจูกู (Shinjuku-style writer-performer) แต่ชอบในยามที่เธอคงอยู่กับวง Tokyo Jihen มากกว่า มันแนวกว่าเยอะอะนะ ชิมิๆ
อ้างอิงจาก wikipedia,d-addict,prysang@bloggang
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2553 | | |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2553 20:56:57 น. |
Counter : 2409 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Puzzle ครูสาวซ่าล่าปริศนา
แม้ผู้เขียนจะริลองร่ายกับเหล่าบรรดาซีรีย์เทือกเขาเหล่ากอเป็นกอง จากสกุลชาติเจแปน อย่างเป็นคุ้งเป็นแควยาวนานกว่านับปี เป็นการร่ายเอาเรื่องบ้าง เอาถ่านก็ไม่น้อย โดยมุ่งคัดในลำดับต้นๆ ที่พอสามารถจะหาซื้อเดินเตะจากกองแผง แต่ไม่วาย หลายเรื่องรอคอยการรีวิวจากผู้เมตตา เพื่อประกอบพิจารณาถึงรายละเอียด และข้อมูลในการช้อปปิ้งส่วนตัว ไว้เป็นเครื่องคัดสรรเงินในกระเป๋า ให้สำเร็จเป็นมรรคผล สมทั้งราคาและเวลาที่ได้สูญเสียไป แต่กระนั้นก็จำต้องลงมาเล่นเสียเอง ด้วยกุศลความดีของซีรีย์ ที่ไม่อาจจะอยู่นิ่งเฉย อมความสนุกไว้เป็นการส่วนตัว ถึงจะเคยร่ายซีรีย์พอประมาณ ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้เขียนจะรู้แจ้งเห็นชาติ มีอาณาเขตในการริลองซีรีย์ญี่ปุ่นอย่างชาญฉลาด ตรงกันข้าม ผู้เขียนก็ยังติดกรอบอยู่แต่เฉพาะบางค่าย ที่ส่วนใหญ่จะหนีไม่พ้น ค่าย ฟูจิทีวี ทีบีเอส และเอ็นทีวี บางทีก็อาจจะมีเอ็นเอสเคทีวี เล็ดลอดให้โม้เป็นประปราย แบบไม่ตั้งใจ แต่ทว่าพอได้เปิดไปดูและเห็นแบนด์ของบางสถานี บางที อาจต้องพักปิดเครื่องเพื่อปรับสติ-จูนสมาธิ ก่อนการรับชม ไม่ให้ไปตรงกับกรรมวิธีนำเสนอของอีกค่าย ที่ยังค้างคาในสายตา ด้วยแต่ละสถานี เขาก็มีสูตรมีวิธีแต่ละชนิด ที่เป็นเอกลักษณ์วิธีของตน
อย่างล่าสุดที่เพิ่งได้ชมมา แม้ไม่ต่อเนื่อง เพราะขยับกระชับการดู สุดแต่ปรารถนาทางอารมณ์ฆาตกรรมปริศนา จากเรื่อง Puzzle ของค่าย อาซาฮีทีวี (TV Asahi) ที่อาจจะเป็นเรื่องแรกในชีวิต นับจากลืมตาแล้วให้โลกดูเรา เป็นโลกที่ได้สรรสร้างอารยธรรมอันน่าพิศสมัยอย่างซีรีย์ญี่ปุ่น ให้เป็นสินค้าอิมพอร์ต สำหรับสร้างความบันเทิงภายใต้โลกาภิวัฒน์ puzzel เป็นหนึ่งในซีรีย์ ในแนวสืบสวนสอบสวนฆาตกรรมอำพราง ถ้านับโครงสร้างความเข้มแข็งเฉพาะ ในส่วนของงานวรรณกรรมประเภทนี้ แค่ในงานมหกรรมหนังสือ ครั้งที่ได้เยือนมาล่าสุด มีชิ้นงานวรรณกรรมแนวฆาตกรรมอำพราง ทั้งเก่าและใหม่ ได้รับการแปล เพื่อเอาใจนักอ่านเสพย์ติดการฆ่าและผู้ต้องหาล่องหน ไม่ว่าจะเป็น คินดะอินจิแพ็ก นักสืบกาลิเลโอ ไหนจะมิกะเนะโกะโฮมส์ เป็นต้น ส่วนเฉพาะแนว ที่ถูกทำเป็นซีรีย์นี้ ก็เยอะไม่น้อย ไม่ว่า เรือ่ง Galileo ,Voice ,Boss ,Trick ,Karei naru Spy เหตุที่กระแสงานสาย Mystery Murder ไหลเกลื่อนออกนอกคุก-เฉียดกระทรวงเช่นนี้ มีผู้รู้ท่านเล่าว่า เพราะปริมาณปัญหาอาชญากรรมของประเทศเขามีน้อย ในขนาดที่ แนวโน้มของการใช้ชีวิตระดับเส้นความจำเจคงที่เช่นทุกวัน แนวฆาตกรรม จึงเป็นอะไรที่ไปกระตุ้นด้านมืดของผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ เพื่อให้อะดรีนาลินท์ส่วนตัว มีการขยับเขยื้อนออกกำลังกายเป็นการสมควร ขนาดเดียวกัน ก็ส่งเสริมจินตนาการในความซับซ้อนทางคดี โดยใช้ทรัพยากรของการมีศพในเรื่อง เป็น"วัตถุปริศนา"ประเภทหนึ่ง เพื่อโยงปริศนาในรูปแบบฆาตกรรมอำพราง ให้องค์ความรู้ชั้นเทพ ระดับ "เนติวิทยาศาสตร์" ยังต้องหงายหลัง ถ้าขืนไปเจอะเคสต์กรณีฆาตกรรมเฉกเช่นนี้ สักสองสามคดี แบบที่ผู้เขียนได้ชมในซีรีย์ Puzzle
yoshida sensei will be absent for a little while due to sickness. (ครูโยชิดะ จะขอลาพักชั่วคราวในขณะที่มีอาการป่วยอยู่)
so from today onwards a new teacher will be teaching you in english. (นับตั้งแต่วันนี้ไป จะมีครูเข้ามาสอนใหม่ในวิชาอังกฤษ ให้กับพวกเธอ)
She looks young but she's been in this field for over to years. (หล่อนอาจจะดูเด็กไปหน่อย แต่ทว่ามีประสบการณ์ ในการสอนมาหลายปีพอควร)
ความเด่นของ Puzzle ที่สามารถฉีกกรอบให้มีความต่างไปจาก เหล่าบรรดาซีรีย์แนว "ทิ้งศพแล้วหลบหนี" ทั่วไปได้ ผู้เขียนพอจะจับจุดสังเกตได้อยู่สองกรณี คือ จุดหนึ่ง การใส่ลูกอารมณ์ comedy ที่ดูไม่น่าเข้ากับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบงานเข้า ในแต่ละตอนที่การันตีว่ามีศพเป็นเครือ่งสังเวยโจทย์ปริศนา เป็นสภาวะอารมณ์แบบเทียบเคียงในแนวโคนันการ์ตูนหรือคิดะอินจิ ที่กลุ่มคณะตัวเอก ไปเป็นฝ่ายเยือนบ้านไหน ก็"งานเข้า" ทำให้เขาเป็น "ศพ" และมี "ตำรวจ" ที่ออกโรงท้ายในทุกตอนจบเสียทุกที น่าเห็นใจ แขกรับเชิญที่มาร่วมเล่นในแต่ละตอน ที่ถูกกรอบจำกัดของความเป็นสถานะเพียงไม่กี่จำพวก ถ้าไม่ได้รับบทเป็น "ศพ" หรือ "ผู้ต้องสงสัย" ซึ่งที่เหลือที่พอให้คุณเป็นได้ ก็แค่ "ฆาตกร"
สอง คือ เสน่ห์ในโครงสร้างเงื่อนไขหลักของตัวละคร ผู้เขียนมองว่า ทีมงานคัดนักแสดงของทีวีค่ายนี้ตาถึง ที่เลือกเอา "ซาโตมิ อิชิฮาร่า" มารับบทเป็น "อายุกาวา มิซาโนะ" ครูสาวสอนภาษาอังกฤษ ที่หน้าฉากเเสร้งทำจริตใสซื่อมือสะอาด แต่เบื้องหลังนิสัยที่แท้จริงแล้ว แสนจะเจ้าเล่ห์เพ่ทุบาย 1ต่อหน้าประชาชีsheจะทำแอ็บซื่อไปทั้ว จะมีก็แค่นักเรียนภายใต้การคอนโทร์ลของแก ที่รู้่ไส้เห็นผุง จนบรรดาลูกศิษย์ต้องส่ายหน้า โดยเฉพาะลูกศิษย์สามเกลอหัวไปร์ทอนาคตไกล เพราะเป็นเด็กม.ปลาย จากโรงเรียนเคมปิน สถาบันชื่อดังที่ใครต่างใครได้ยินชื่อก็ชูนิ้วให้ ที่มักเผลอไปเผชิญชะตากรรมร่วม ด้วยครูท่าน ประสงค์ต่อทรัพย์ปริศนาที่มีค่าเป็นล้านแบบรวยทางลัด สามนักแสดงเด็กมัธยม ประกอบไปด้วย "ชิอิจิ" (แสดงโดย โยสุเกะ ยามาโมะโตะ จาก Rookie The Gradution,Taiyo to umi no kyoshitsu ,Rescue, "อากิระ" (นำแสดงโดย คิมุระ เรียว จาก Yankee Boukou ni Kaerue ,Nodame Cantabile, Akai Ito) และ "โยชิโอะ" (แสดงโดย นากายามะ เคนโตะ จาก Ghost Town No Hana) Koizora,Liar Game the Final Stage) ทีอาสาพาช่วยอาจารย์สาวด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่สุดท้าย มักตกเป็นแพะรับบาปในทางคดีไปเสียทุกคราว และเสียงยกย่องดันไปตกใส่ครูสาวมิสาโกะไปเสียทุกครั้ง
ที่ผู้เขียนกล่าวชื่นชมในทีมงานที่คัดเลือก "อิชิฮาระ" มารับบทครูสาวหน้างก (แต่เบื้องหน้าทำใสทำซื่อ) เพราะทีมงานรู้จัก นำบุคลิกหลักของอิชิฮาระ ที่ไม่ว่าไปรับบทซีรีย์เรื่องไหนๆ ก็ไม่ละทิ้ง "ดาราหน้าโก๊ะ" ฝากไว้เป็นลายเซ็นต์ในงานแสดง ไม่ว่าเป็น Waterboys 2 Ns Aoi,H2 และ Voice ซึ่งอาจมองได้ ทั้งในส่วนของแง่ดีในรูปลักษณ์การแสดงที่โดดเด่น เกินหน้าและงามตามากกว่านักแสดงหญิงเจ้าไหนๆ แต่ในขนาดเดียวกัน ก็ยังมองในแง่ร้ายได้อีกว่า เป็นเหตุให้ เธอมีข้อจำกัดในงานแสดงที่ไม่อาจละทิ้ง อารมณ์โก๊ะๆ ให้ดูแตกต่างอย่างไม่เหลือเยื่อใยในเรื่องก่อนๆ อาจเป็นเหตุให้ เธอไม่อาจยกระดับในรางวัลนักวิจารณ์สถาบันใดใด ซึ่้งตรงกันข้ามกับการขายเสน่ห์ส่วนตัว ที่ Puzzle จำเป็นต้องพึ่งพาพลังในตัวเธอมากเป็นพิเศษ เพื่อเอาคนดูให้อยู่หมัดในฐานะตัวป่วน นอกเหนือจากพล็อตปริศนา และสาเหตุแรงจูงใจในการฆาตกรรมที่มีอิทธิพลแบบโคนันคุงการ์ตูน อาทิ ฆาตกรรมในห้องปิดตาย คำสาปในตำนาน ปริศนาองค์กรลับ เป็นต้น จนมีแนวโน้่มว่า จะก้าวข้ามความเป็นการ์ตูนไปเสียหลายครั้ง ผิดกับสามเกลอหัวเรียน ที่ไร้อารมณ์เกรียนตามแบบอาจารย์ผู้ชักนำ ตามความเห็นสว่นตัวนะ "ใครมาเล่น ก็เป็นได้" ซึ่งเป็นคนละความหมายกับ "ไม่จำเป็นต้องมี" เพราะถ้าไม่มี เรือ่งน่าจะกร่อยไปอีกเยอะเลย แม้จะไปเพิ่มเวลาให้ครูมิซาโนะก็เหอะ (ใครเล่นก็เป็นได้นี้ รวมถึงสามสาวมัธยมวัยศึกษา โดยการนำของ อิวาตะ ซายุริ จาก Akai Ito เป็นคู่แข่งในการออกล่าสมบัติ ที่มักใช้เล่ห์อิสตรีให้สามหนุ่มเคลิบตาม แต่สุดท้ายก็เตะเบรคกำราบ จากครูสุดงกมิซาโกะให้แก็งค์ไตรสตรีอยากกรี๊ด)
ในขณะเดียวกัน กรรมวิธีในการเล่าเรื่องของค่ายอาซาฮีทีวี ถือเป็นหลักสูตรใหม่ ที่ผู้เขียนไม่คุ้นชิน (ก่อตั้งขึ้นกลางปี 1957 โดยมีนโยบายเป็นช่องเพื่อการศึกษาเป็นแก่นหลัก) แต่สะท้อนเอกลักษณ์ของการนำเสนอที่มุ่งตอบโจทย์ของการดำเนินเรือ่ง มากกว่าการลำดับเรื่องแบบที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียว จึงเป็นผลให้ งาน Puzzle ของค่ายอาซาฮี ไม่เอื้อนเอ่ย และเหนิบนาบจนรำคาญใจ แต่มีความฉับไวในแบบฉบับการ์ตูน ที่เน้นไปทีละฉาก ไม่ค่อยให้ความสำคัญในข้อปลีกย่อย ส่วนเกินและเเหล่งที่มา ซึ่งอาจเป็นผลให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือของเรือ่งดูอ่อนลงไปถนัดตา หรือเป็นการแสดงที่ดูออกว่า เป็นการตัดตอนในหนึ่งเหตุการณ์ แล้วมาปะติดปะต่อเพื่อเปลี่ยนเเปลงมุมกล้อง สำหรับคนดูแล้ว Puzzle จึงเป็นงานที่ไม่เนียน และขาดลูกประณีตในการเล่าเรื่อง เข้าข่าย "เทคเดียวผ่าน" ไม่ต้องมาถ่ายปรับแก้ให้กินเวลาถ่ายทำ แต่ซีรีย์ก็ไม่ถือขนาดว่า "แย่" เพราะวัตถุประสงค์ อยู่ที่การสร้างอรรถรสร่วมมิให้ขาดตอน แบบเข้าถึงเนื้อหาหลักโดยพลัน และปริศนาของแต่ละเคสต์ ชนิดที่ส่งยื่นให้อัยการก็น่าจะรับทำสำนวน เพราะล่อหลอกคนดูให้อยู่หมัด ชนิดที่อนุญาติให้เดาถูกแต่ไม่ใช่กับทุกคน ซึ่งถือว่าผิดแนววิธีการปรุงแต่งของ ผกก. "คาตายามะ โอซามุ" ที่เคยกำกับซีรีย์ Tiger and dragon ,Hana yori dango Call center no koibito นับจากปี 2006 พี่ท่านก็มาเป็น ผกก. ประจำให้ค่ายอาซาฮีเป็นการถาวร ส่วนดีที่มีเสน่ห์แบบโดดเด่นกว่าซีรีย์แนวฆาตกรรมอำพรางทั่วไป คือ การอาศัยทรัพยากรพื้นบ้านโบราณแบบญี่ปุ่น สอดรับกับบรรยากาศ ของเคหสถานร่วมสมัยในยุคของเมจิตอนต้นได้อย่างลงตัว และเพิ่มศักยภาพใน บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยปริศนามากมาย แม้อาจจะไม่ซึมซับ และก็ขลังจนยากที่จะเลี่ยงศรัทธา
ด้วยความที่ปริศนา หรือ puzzle ในแต่ละตอน จะโยงใยที่เต็มไปด้วย ขุมทรัพย์จากลายแทงในอันดับแรก ในฐานะ "ตัวล่อ" แก่ทุกฝ่าย ก่อนจะไล่มาถึง "เรื่องเล่าหรือตำนานในท้องถิ่น" เพื่อให้เกิดการผูกเรือ่งไปถึง "การฆาตกรรม" "วิธีการฆาตกรรม" "แรงจูงใจในการฆาตกรรม" และท้ายสุด "ขุมทรัพย์อันสืบเนื่องจากเหตุของการฆาตกรรม" ซึ่งน่าชื่นชมในตัวผู้เขียนบท "มากิตะ มิทซึฮารุ" ซึ่งดีกรีประวัติก็ไม่เบา เพราะมีสว่นเขียนบท ทั้ง ซีรีย์ trick, Bloody Monday และMr.Brain ถ้าไม่หยิบยกแต่เริ่มแรกว่า Puzzle เป็นซีรีย์แนว comedy thriller ที่นอกจากจะมีองค์ประกอบของ main puzzle ที่แก่นหลักในแต่ละตอน แม้ในแต่ละตอน ก็ยังมีส่วนที่เรียกว่า sub puzzle ที่แยกย่อย ทั้งที่ส่งเสริมในส่วนของ main หลัก และใส่ๆไว้เพื่อ "โชว์วิชา" และ "เอนเตอร์เทนด์สมอง" Puzzle ยังอาจเป็น "ยากระตุ้นและบำรุงสมอง" เพราะแม้แต่ชุดปริศนาที่ยากขนาดไหน เขาก็ยังมีวิธีอธิบายให้เห็นภาพ ว่าใครเป็นใคร แม้ว่าวิธีการอาจจะเชย ด้วยการตัดกระดาษวาดหน้าคนนั้น แทนที่จะพึ่งคอมพิวเตอร์กราฟฟิคแบบซีรีย์ทันสมัย จุดนี้เลยได้ความคลาสสิกบันเทิงใจ โดยที่แม้ทุนสร้างจะไม่มาก แต่ฉลาดเลือกกรรมวิธีในการอธิบาย ที่ง่ายทั้งการเข้าใจทำและการเข้าใจเล่นอีกด้วย
แต่อุปสรรคของนักดูชาวไทยสำหรับซีรีย์เรื่องนี้ ต้องเข้าใจว่า ในฐานะของปริศนาคำถามจากในเรื่อง บางส่วนเข้าข้ายความเป็นสากลนิยม ที่ชนทุกชาติเข้าใจได้ แต่บางส่วนก็เข้าข้ายความเป็นท้องถิ่นนิยม ที่มีเฉพาะคนญี่ปุ่นในชาติเท่านั้น ที่จะเข้าใจกันเองได้ โดยเฉพาะการเล่นเสียง สะกดคำ ถอดความหรือสำนวนโบราณ ซึ่งเงื่อนไขสว่นนี้ คงไม่น่ามีปัญหาในการรับชม ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์จากงานการ์ตูนเทือกๆของประเทศนี้ เพราะไม่ใช่ระดับสาระสำคัญ ที่จะไปทำให้อรรถรสโดยรวมของเรื่อง ชนิดไม่อยากติดตามในปลายท้องของตอนเรื่องกันสักที่ไหน เพียงแต่การตายของตัวละครรับเชิญทีก่ินค่าตอน แบบมาแค่ตอนเดียว ดูจะไม่ได้สร้างความรู้สึกร่วมในฐานะ "ผูกพันกับตัวละคร" มากไปกว่า "เหยือ่ที่ถูกกระทำ" ในฐานะสิ่งจงใจให้เป็นศพมาแต่เเรก หรืออาจจะเรียกว่า ในฐานะ "ศพรับเชิญให้มาเป็น" (ชั่วคราวแล้วค่อยตายนานๆ ดังนั้น ผู้เป็นห่วงในอวัยวะ "ต่อมน้ำตา" ว่าจะทำงานหนัก โดยฐานะที่เหมารวมความเป็นซีรีย์ญี่ปุ่น ว่าเป็นเครื่องมือสำหรับ "เช็ดหัวเข่า" ก็อาจเบาใจได้ แต่ถ้าจะคัดสรรหาระดับงานคุณภาพมาสเตอร์พีช เรืองนี้อาจสร้างความทรมานใจสำหรับนักล่ารางวัล แต่ถ้า "หนุกหนานเพื่อไปสังหารเวลา" Puzzle ก็เข้าทางฆาตกรเวลาชั้นดีเชียว ขอบอก
Create Date : 31 ตุลาคม 2553 | | |
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2553 20:52:21 น. |
Counter : 2717 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|