A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
Tokyo Tower ความสาหัสยิ่งกว่าในหนัง เพราะระดมซ้ำเป็นตอนๆ


"มีคำๆหนึ่ง ที่ฟังดูแสนจะไพเราะจับใจ ที่แม่อยากจะได้ยินจากลูกทุกวัน
แม่ครับ! ผมรักแม่"



แค่ขึ้นต้นประโยคดังกล่าว ก่อนเข้าเนือ้หาของละคร
เพียงทางสถานีโทรทัศน์ ThaiTBS สร้างวาทกรรมประโยคนี้ขึ้น
บอกต้นๆ อย่างไม่จริตนะครับ ผมว่า "มันเห่ยสุดจะเยิ่นเย้ออะ"

มันคล้ายกับเวลาที่มีการจัดมวยโลกในประเทศไทย (แต่ประทานโทษสถานบันของท่าน
แทบไม่เป็นที่รู้จักในสารบบโลกเขายอมรับกัน) เป็นการต่อยเพื่อเอาใจท่านผู้จัดที่เป็นนักการเมือง
หรือไม่ก็ดูเป็นการจัดแก้บนอะไรสักอย่าง มันจึงแลดูมีพิธีรีตองเอะอะเข้าเรื่องตั้งมากมาย
ประกาศศักดิ์ดา แจกจ่ายสร้อยคอทองคำ เสนอหน้าของเหล่าพวกนายห้างหรือตัวแทน
ผู้บริหารบริษัทสมาคมที่กินเวลากว่าครึ่งโมงยาม แต่สุดท้ายคู่แข่งล้มพ่ายตั้งแต่ยกหนึ่ง
ชนิดที่ชิงสุกก่อนห่าม อุตสาห์ลุ้นประนามตั้งนานนม

แต่พอได้ลำดับรับชมขึ้นตอนที่สองที่สามของซีรีย์เรื่องที่จะว่า สิ่งที่เคยบอกว่า "เยิ่นเย้อ"
กลับกลายเป็นสิ่งที่มีพลานุภาพ ที่สะกดความหมายของทุกอนุในซีรีย์ทั้งเรื่อง
ครอบคลุมชัดทุกกระทำของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่แลดูไม่เอาไหน ในสังคมเมืองใหญ่
ที่ทำท่าว่าจะไปไม่รอด ลูกผู้ชายที่ไม่จำเป็นต้องไปรบราฆ่าฟัน แอ๊บแมนให้ดูเก่งกล้าสามารถ
แสร้งให้มีความรู้-ดูภูมิฐาน หรือต้องทำเป็นเข้มแข็งอย่างไม่เคยมีน้ำตาสักหยด
เพียงแค่ เอ่ยปากอย่างจริงใจและทำมันอย่างสมภาคภูมิให้แก่หญิงผู้ให้กำเนิดชีวิต
มันทำให้ผมเห็นกับอีกมิติหนึ่ง มิติที่ลูกผู้ชายสามารถเป็นได้
ได้ด้วยปัจจัยพื้นฐานเล็กๆ ใกล้ตัว
ที่ไม่ดูห่างไกลจากความเป็นจริง ความเป็นจริงที่เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
แม้น้อยครั้งที่เราจะกลับมาคิดถึงหญิงอื่น มากไปกว่าแม่ของตน



Tokyo Tower ชื่อที่บ่งบอกว่ามันน่าจะเป็นซีรีย์สักเรือ่ง ที่ประชาสัมพันธ์ว่าด้วยการท่องเที่ยว
มากกว่าอรรถธิบายของคนผู้เป็นลูกที่มีต่อแม่คนหนึ่ง กว่าจะไปรู้ว่า เจ้าหอคอยกลางกรุง
ไปสัมพันธ์กับคนเป็นแม่อย่างไร มันก็ต้องมีซับมีซ้อน มีนัยยะสัญลักษณ์ปราการกันอยู่สักหน่อย
ไม่งั้นเผลอยิงเข้าตรงจุด อย่างนี้ไม่เกินสองตอน ก็เป็นการจบเอวังด้วยประการละฉะนี้
แม้ซีรีย์ชุดนึ้ ผมจะไปดูช้ากว่าญี่ปุ่นตั้งสองปี ช้ากว่าการเสนอครั้งแรกทางThaiTBS ร่วมเกือบปี
และช้ากว่าที่ตอนสถานี เอามาRe-Run ไปตั้งสองสามสัปดาห์เข้าไปโน่น
แต่ความทรงพลังของคำว่า "แม่" มันอยู่เหนืออนันตกาล และดูจะเป็นสากลโลก
ที่ไม่ว่าชาติไหน ก็สัมผัสจับต้องได้ไม่ต่างกัน ไม่ว่าแม่ที่ เอธิโอเปีย มองโกเลีย แคลิฟอรเนีย
หรือบ้านหนองตาเพลี้ยะ ก็ตามที
แม้ก่อนหน้านี้ จะเคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อที่ติดห้อยท้าย โดยให้ความสำคัญแก่ผู้เป็นพ่อ
นิดหน่อย อย่าง Tokyo Tower : Mon & Me and Sometimes Dad ที่ไปกวาดหลายรางวัลใน
สถาบันจับแจกแก่วงการหนังเมืองยุ่น สร้างมาจากงานหนังสือที่มีแปลในไทยเรียบร้อย
จากนามปากกา ลิลลี่ แฟรงกี้ (เห็นเขาว่างานผ่านตัวหนังสือให้อารมณ์สาหัสยิ่งกว่า)
ในฐานะที่เคยดูแต่หนังก็ว่าสาหัสเพียงพอแล้ว เมื่อได้มาดูฉบับซีรีย์ขยี้อารมณ์เป็นตอนๆแล้ว
ต้องขอบอกว่า มีความเหมือนและต่างกันอยู่ จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย
แล้วตกลง! มันมากหรือมันน้อยกันแน่ละหว่า?

เรื่องจากข้ามค่ายถ่ายเทจากหนังสู่ละคร แล้วละครสู่หนัง
อันนี้มีให้เห็นเป็นบ่อยไป จนแทบจะเป็นธรรมเนียมของนักสร้างหนังไปเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้ ก็มี Be with You แล้วเรื่องหนึ่ง แต่ก็ถูกทำให้ยืดยาวจนหาวไปหลายรอบ
ความจริงถือเป็นแง่ความเสี่ยง เพราะส่วนใหญ่หนังที่ถูกสร้างมาเป็นละคร
มักเป็นหนังที่สร้างรายได้และกวาดรางวัลมานับไม่ถ้วน ถ้าไม่ผ่านการตีความใหม่
ขยายจุดที่ลดทอนในหนังให้ชัดเจนขึ้น คิดสักเอาว่ารับรสชาติที่แตกต่าง
จากความหมายเดียวกัน เสียอย่างเดียวที่ไม่ต้องเดาตอนจบ
เพราะของนี้ ถ้าขืนไปเปลี่ยน คงได้ถูกแฟนหนังและเจ้าของบทประพันธ์สวดยับไปไม่ใช่น้อย



เอาเป็นว่า.............เริ่มต้นที่โครงเรื่อง
โครงเรื่องยังคงยึดมั่นตามระเบียบวิธีของต้นฉบับหนังสือ ที่ยังคงว่าด้วย
เรือ่งราวของการบอกเล่าจากปากผู้เป็นลูก ที่ชื่อ "มาซายะ นากางาวา"
แต่มักจะอับอายที่ถูกแม่ตัวเองเรียกเสียอย่างอินโนเซนต์ว่า "มาคุง"
หนุ่มวัยรุ่นที่ไม่รู้จักโต เที่ยวเล่นไปวันๆ
ถึงขนาดจะเรียนจบม.หก ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า จะเลือกไปในเส้นทางไหน
(อันนี้ผมเถียง เพราะช่วงเวลานั้น ตูก็เป็นเหมือนกัน)
แต่ยังดีที่มีพรสวรรค์หลบในทางด้านการวาดภาพ จึงสามารถสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะที่โตเกียว
ได้เป็นหน้าเป็นตาของคนในหมู่บ้าน แต่ความมันเศร้า เพราะเท่ากับเขาจำต้องจากแม่
ที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แม่ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว นับตั้งแต่ได้แยกทางกับพ่อ
ตั้งแต่เขายังเล็กอยู่ ความทรงจำของมาคุงต่อผู้เป็นพ่อจึงค่อนข้างเลือนราง
ที่แม้ปัจจุบันจะพบหาคาตากับอยู่ได้บ้าง แต่ก็ไม่สนิทใจนัก และยังคงรักษาคอนเซ็ปต์
ของวัฒนธรรมซีรีย์ญี่ปุ่น คือ ไม่สร้างความเกลียดชังต่อผู้ให้กำเนิดอีกเช่นเดิม



เรื่องมาทำท่าว่าจะเละเทะ เพียงเจ้ามาคุงเอาเท้าไปเหยียบพื้นเมืองกรุง
เท่านั้นแหละ ลูกคนดีก็ทำงามหน้า กลายเป็นเด็กใจแตกเสเพล ถลุงเงินแม่ใช้กินเที่ยวเล่น
ไปวันๆ หนังสือหนังหามีไว้เป็นหิ้งบูชาสักการะ ห้องเรียนก็กลายเป็นอโคจรในใจตนไปซะ
เอาเป็นว่าเห็นนายมาคุงในภาพยนตร์ว่าเละเทะอย่างไร ในซีรีย์ยิ่งเละเทะยิ่งกว่า
บทนี้ เจ้ามาโคมิชิ ฮายามิ (พระเอกที่เคยเล่นในGokusen) ตีบทแตกสนิท
ประเภทลูกอันประเสริฐอย่างผม เห็นแล้วขัดใจแทนแม่ของแก เพราะพี่แกมีอาการ
ยื้อๆยักๆ มันเป็นเงือกๆหงักๆ จะไปทางโน่นก็ไม่ใช่ ทางนี้ก็ไม่เอา สองจิตสองใจ
ความไม่เอาไหนของแก ชนะเลิศจนได้รับรางวัล ตัดน้ำตัดไฟ ถูกไล่ออกจากห้องเพราะค้างคา
ไปเร่รอนนอนกลางสวนสาธารณะ เพื่อนรักร่วมแชร์ห้องอย่างเจ้า "บักบึ้ก" ก็ตีจาก
เป็นสถานการณ์ที่วิกฤตขนิดจนตรอก
จึงมีหนทางแค่ทางเดียว คือ ไม่หนีกลับบ้านเกิด ก็ต้องลุกขึ้นสู้ ไม่หนทางใดก็ทางหนึ่ง
ปรากฎว่า ไอ้หมอนี้มันเลือกทางหลังแหะ!
แสดงว่ามีสายเลือดนักสู้ของแม่ ที่สู้อุตสาห์ทำงานหนักเพื่อหาเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนจนสำเร็จ
ลองใจมันมีเชื้อไฟประกายลุกโหมเข้าหน่อย พอได้ตั้งใจที่จะลงมือกระทำเป็นจริงเป็นจัง
ชีวิตคนเรามันก็เปลี่ยนจากหน้าฉากเป็นหลังฉาก คนที่ปากว่าตัวเองอาภพ ไม่มีงานทำ
เป็นเพราะเราไปตั้งโจทย์ในข้อจำกัดของานรึเปล่า? ลองไม่เลือกงานแทนที่จะให้งานเลือกเรา
มันก็ต้องได้งานทำอย่างแน่นอน พี่มาคุงจึงเลือกลบอุดมคติในงานที่ใฝ่ฝันไว้ชั่วคราว
หยิบจับแตะฉวยทุกอย่าง ที่พอจะสามารถสร้างรายได้ประทังชีพได้
ถึงแม้งานเล็กๆ อย่างวาดขยะหน้าร้านบาร์ เป็นจราจรทางหลวงยามดึก
แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของพี่แกได้ แต่อย่างน้อยก็เปลี่ยรจิตใจจากคนไม่เอาไหน
ให้เป็นคนที่ใจไม่ฝ่อ เป็นชายที่มีความมุมานะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาเพียงข้ามตอน
ทั้งๆที่ตอนที่แล้ว ยังเห็นเป็นลูกแหง่กันอยู่เลย................


ใครที่คิดว่า Tokyo Tower จะเป็นซีรีย์เจ้าน้ำตา
ก็อาจจะเป็นการเข้าใจผิดสักเล็กน้อย เพราะเอาเข้าจริงออกจะเป็น Comedy Siries เสียด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่าเป็นละครฮาสนุกสนานบานตะไถ ในช่วงครึ่งแรกของแต่ละตอน
แต่พอจะจบเรื่องก็ไม่วายสร้างบรรยากาศซึ้งกินใจระหว่างแม่กับลูก
ทั้งตอน ส่งลูกขึ้นรถไฟ ตอนชวนมาอยู่ด้วยกัน ตอนจูงมือแม่ข้ามถนน ตอนโรงพยาบาล
อะไรที่เคยมีซึ้งในหนัง
ก็ยังถูกยกกลับมาใช้เล่นงานต่อมน้ำตาในซีรีย์ทั้งกะปิ ที่แย่กว่านั้น คือ มันขยายให้ยาวกว่าเดิม
งานนี้จึงต้องมีลูกฮึดกันหน่อย และคาถาที่ยังใช้ได้ดีและควรท่องไว้ คือ มันเป็นแค่การแสดง ๆ
บทจะเลวร้าย ก็เลวร้ายแบบแจ้งในทราบ อันจะต่างกับหนังที่เลวร้ายอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นในซีรีย์จึงเป็นละครที่เราเดาคาดการณ์ตอนต่อไปได้ไม่ยาก
ยิ่งถ้าเคยดูหนังแล้ว ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ แต่อย่างที่บอกFeel ของหนัง กับFeel ซีรีย์
แม้จะมาจากเนื้อเรื่องเดียวกัน แต่กับให้อารมณ์ไปคนละอย่าง ซึ่งก็ดีทั้งคู่
เพียงแต่ถ้าให้เลือก ผมคงจะเลือกฉบับที่ถ่ายทอดผ่านหนังมากกว่า
ซึ่งก็ไม่ใช่อะไร เพราะน้องนางเอกจากหนังอย่าง ทาคาโกะ มัตซึ น่ารักกว่านะสิ อิอิ....



เอาเข้าจริง นางเอกของเรือ่ง ที่ควรจะเป็นแฟนของมาคุง
บทนี้ไม่ต้องบอกคงรู้ว่า คุณแม่มาคุง ที่เล่นโดย มิซูโอะ บาอิโช
กินพื้นที่การแสดงนักแสดงนำฝ่ายหญิงเป็นหลัก ถามว่าเล่นได้ดีไหม?
ก็ถือว่าเล่นได้ตามมาตราฐานซีรีย์อยู่ในเกณฑ์ขั้นดี เป็นถึงดารารุ่นใหญ่ที่เล่นตั้งแต่ปี ๗๐
เพียงแต่ในหนังมันมีลำดับของการสลับช่วงเวลาของ คุณแม่ยังสาวกับคุณแม่ยังชรา
(ที่เขาใช้แม่ลูกตระกูลคิคิจริงๆมารับบท แล้วจะหาใครที่หน้าคล้ายได้กว่านี้อีกละเอ่ย)
จึงสามารถมองเห็นและลำดับพัฒนาของภาพตัวละครได้ชัดเจนกว่า และในแง่ความ
สมจริงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านอะไรมากมายในชีวิต ทั้งสุข สมหวัง เศร้า ซึม
ในหนังดูจะเข้ากับโลกที่เป็นจริงได้ดีกว่า ขณะที่ในซีรีย์ ออกไปในทางหญิงสูงอายุ
ที่ใจดีมีเมตตา ทำอาหารเก่งและมีมิตรจิตมิตรใจกับคนรอบข้างจนเป็นที่รักของผู้มาเยือน
มากกว่ามาเยือนเพื่อพบกับเจ้าของห้อง ลงทุนแบกไหใบใหญ่ที่ภายในบรรจุผักดองอันเลืองชื่อ
ของเมือง เพียงเพราะรู้อย่างเดียวว่าลูกชายชอบทาน โดยไม่ค่อยมีสมบัติอะไรหลงเหลือ
ให้ติดตัว เพราะได้ลงทุนโดยมีความเสี่ยงกับคนผู้ลูกไปหมดแล้ว
แม่ที่ใจดีที่จะพยายามทำอาหารให้แก่คนข้างๆห้อง
ตามฉบับคนต่างจังหวัดผู้จริงใจ จนผู้เป็นลูกต้องมาเบรคว่า "แม่นี้ ตังค์ผมนะ"
หันกลับมามองแม่เรา ขืนทำงอแงเส้นปรี๊ดขึ้นสมองเมื่อไร ก้านมะยมใกล้มือ
ทันใด งานนี้เตรียมเดียวคูณร้อย วิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำล็อคโดยพลัน ถ้าห้องว่างก็
ดีหน่อย แต่ถ้าบังเอิญมีคนใช้อยู่นี้สิ.....งานนี้หลงลงลายพร้อยเชียว



แต่ซีรีย์เรือ่งนี้ ได้สร้างส่วนขยายให้ดูแตกต่างกว่าฉบับของหนัง
ตัวละครที่ดูห้วนๆ ในหนัง ถูกเพิ่มบทบาทสำคัญให้ได้แง่คิดไม่น้อย
รักแม่ แล้วไม่รักยาย ที่เป็นแม่ของแม่ รักอย่างนี้ เรียกว่า รักไม่ครบออปชั่น
ซีรีย์ก็เหลือร้าย สร้างมิติตัวละครของยายในฐานะผู้สูญเสียคนที่หนึ่ง
เสมือนการวอร์มเครือ่งชีวิตของมาคุง ให้ก้าวผ่านพัฒนาการของวัยเป็นเบือ้งต้น
ต่อด้วยการสร้างตัวละครที่เป็น "หมู่เพื่อน" ให้มีมิติที่ไปสัมพันธ์ทั้งฐานะ
"มนุษย์ผู้พร่อง" อันเนื่องมาจาก การขาดความรักพื้นฐานเบื้องต้นจากแม่ของตน
อันเนื่องจากได้ร่วมสัมผัสกับความสัมพันธ์อันเอกอุดม ของสองแม่ลูกคู่นี้เข้า
และ "มนุษย์ผู้ต่อเติม" โดยหวนระลึกถึงแม่ที่ตนได้จากลา ในฐานะลูกผู้เข้ามาเผชิญ
ในเมืองใหญ่ ด้วยต่างกรรมต่างวาระกันสุดจะวาระเหตุผลในใจของแต่ละคน
แต่จะมีใครสักกี่คน ที่ไม่เคยมีแม่
อย่าง ฮิโรชิ เด็กกุ๊ยที่เคยทำร้ายแม่ จนต้องหนีออกจากบ้านเป็นสิบปี
รุ่นพี่ที่มีบาปติดตัว ที่ไม่ได้ดูแลแม่ป่วยที่บ้านนอก จนไม่มีโอกาสได้ไปเคารพศพ
หนุ่มบาร์เทนเดอร์ชาวจีน ที่รับบทโดยจางป้อฉือ ดาราฮ่องกง ที่อพยพจนห่างบ้านมาไกล
หรือนางเอกของเรือ่ง ที่น้อยใจแม่ที่สนใจแต่กิจการร้านมากกว่าผลงานของตัว
ถือเป็นการหยิบยกประเด็นระดับมนุษยชาติ ที่มีแม่เป็นตัวเป็นตนกับเขาบ้าง
แต่ไม่อาจสร้างตัวตนที่ชัดเจนในใจ ทุกคนที่ดูจะมีสภาพกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
ออกจะร่าเริงเกินขนาดสามัญชนควรเป็น แต่ลึกๆแล้ว ทุกคนต่างมีความพร่องจากแรง
ปรารถนาลึกๆที่ไม่ได้รับจากผู้เป็นแม่ บทที่เหลือ จึงเป็นการนึกถึงและปรารถนา
แทนที่จะเฉยชาอย่างที่เคยเป็นมา ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วเกิดจากการที่มาคุงรับแม่ของตน
มาอุปการะเลี้ยงดูทดแทนในห้องเช่าเมืองกรุง เพื่อให้สมกับครั้งหนึ่งในวัยเด็ก
มีแต่เเม่เท่านั้นที่ดูแลเขา อย่างที่ไม่เคยรู้สึกเดี่ยวดายว่า เขาเป็นลูกที่ไม่มีพ่อดูแล
แม่จึงเป็นทุกอย่างที่จะสามารถทดแทนความรัก ความห่วงใยและความอบอุ่น
โดยที่เขาไม่เคยโหยหา สิ่งอื่นใดทดแทน ยกเว้น กระต่ายหนึ่งตัวกับเจ้าหุ่นยนต์มาชิก้าหนึ่งชิ้น

แม้ล่าสุดเพิ่งจะได้ดูย้อนหลังเป็นตอนที่ เจ็ด
ก็ทำเอาต่อมน้ำตาแทบเล็ดไปเสียทุกตอน ซีรีย์ที่ไม่ได้จี๊ดใจชนิดบิ้วกันเอาเป็นเอาตาย
แต่เพราะมันมีความหมายสอดรับกับฐานชีวิตของลูกชายผู้เผชิญโชคกลางกรุง
แล้วยังยื้อๆยักๆ ไปต่อไปถูก ตอนที่แปดที่จะเอามาฉายรีรันในจันทร์หน้า
ก็ไม่รู้จะรับกระบวนท่าใหม่ได้รึไม่? เพราะแม่มาคุงท่านไซร้ เริ่มมีอาการของโรค
มะเร็งในหลอดลมกำเริบ แม้ตอนแรกจะผ่าตัดรักษาได้ แต่ต้องเเลกกับการที่จะต้อง
ตัดเนื้องอกส่วนนี้ อันมีผลต่อการไม่สามารถใช้เส้นเสียงได้ เสียงที่จะไม่สามารถเอ่ย
ถึงความรักเป็นห่วงเป็นใยให้ลูกชายมาคุงได้รับรู้ เธอจึงเลือกที่จะไม่ผ่าตัด
แล้วมาหนักกับการที่จะถูกไล่ที่ของสัญญาผู้ได้สิทธิ์ให้เช่ารายใหม่
งานนี้มีกดปุ่ม pause เพื่อหยุดเป็นระยะๆ ชีวิตคนที่เขาว่า "เล่นตลก"
บางทีเป็นตลกที่อยู่เฉพาะในสำนวน เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ตลกอย่างที่คิด
อาจมีเสียง "แหะๆ" บ้าง ก็สะท้อนความซือบื้อให้กับตัวเองพอเป็นกระสัย

ตอนนี้ทาง ThaiPBS ก็ยังคงนำมาฉายซ้ำในทุกวันจันทร์และอังคาร
เวลา ๑๑ นาฬิกา อันเวลาที่เหมาะกับผู้เป็นแม่มากกว่าผู้เป็นลูก
แต่อย่างไรซะ ด้วยเทคโนโลยีที่เราสามารถดูย้อนหลังผ่านอินเตอร์เน็ตได้
ถ้าผู้ที่ยังมีสถานะที่ไม่หมดอายุของคำว่าเป็น "ลูก"
พอมีเวลาเจียด นอกเหนือจากการ แชต เกมส์ออนไลน์ หรือหาคู่ผ่านเน็ต
ขอแนะนำว่าดูแล้ว จะได้รู้คุณค่าถึงสิ่งที่มี ก่อนที่สิ่งนี้จะจากไปพร้อมสำนึกแห่งคุณค่า
ว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่ครั้งหนึ่งเคยมี แต่ไม่ได้ดูแล........รักแม่นะ จุ๊บๆ........






ภาพจาก popcornmag
ข้อมูลจาก imdb







Create Date : 12 สิงหาคม 2552
Last Update : 12 สิงหาคม 2552 18:40:18 น. 3 comments
Counter : 1671 Pageviews.

 
I remember reading this book "Tokyo Tower" and finished it just over a night. And I would say this is one of the best story I have ever read. ( never have a chance to watch because I am living aboard) but highly recommend !!


โดย: Ann IP: 121.73.88.139, 121.73.88.139 วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:16:17:55 น.  

 
ตามมาหาดูรายการซีรีย์เรื่องต่อไป แถวนี้แหละ ....


โดย: prysang วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:20:09:13 น.  

 
เรื่องนี้ส่วนตัวก็ร้องไห้มากมายเช่นกัน
แต่ไม่ค่อยจะชอบนิสัยของมาคุง
นิสัยไม่น่ารัก แต่แม่นี้รักลูกจริงๆเลยนะ
ตอนเห็นตัวละครแม่ครั้งแรก แอบตกใจ
ว่าทำไมแก่คราวป้า แต่มีลูกอายุไม่ถึง10ขวบ
แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องชวนติดตาม ก็เลยทำเป็นลืมๆเรื่องนี้ไป
ส่วนตัวแล้วชอบversionที่เป็นซีรีส์มากกว่าหนังใหญ่ค่ะ
ดูแล้วรู้สึกซาบซึ้งมากกว่า
แต่ว่าหนังใหญ่เลือกตัวละครได้เหมาะสมมากกว่าค่ะ




โดย: มะนาวเพคะ IP: 125.24.72.110 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:15:55:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.