ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 
๔๐๐ - ค้นหาตัวตน




บางช่วงเวลาของชีวิต บางคนอาจจะเคยตั้งคำถามว่า

"แท้จริงแล้ว...อะไรคือตัวตนของเรา...และตัวตนของเรามีอยู่จริงไหม...?"

แม้ศาสนาพุทธจะสอนเรื่องตัวตนว่าเป็นอนัตตา แต่คำสอนเรื่องตัวตนนั้น เป็นหมวดคำสอนที่ลึกซึ้งมาก ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำความเข้าใจให้ได้

ทุกวันนี้เรามีตัวตนกันอยู่หรือ...?

ที่จริงแล้ว หากตัวตนมีความหมาย คือ รูปกาย ก็ต้องตอบว่าเรามีตัวตนของเราในเชิงกายภาพอยู่ แต่พุทธศาสนาก็ตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า ตัวตนของเราที่เรายึดมั่นว่าเป็นของเรานั้น มันใช่ตัวตนของเราจริงหรือเปล่า หลายคนอาจจะตอบว่า "ใช่" เพราะทุกวันนี้เราก็ยังเป็นเรา ความรู้สึกนึกคิดก็ยังเป็นเรา ไม่ได้ตื่นนอนขึ้นมาแล้วกลายร่างเป็นคนอื่น หรือสูญหายไปอย่างไร้ร่องลอยหรือไม่มีเหตุที่มาที่ไป

คราวนี้คำถามต่อไปคือ หากร่างกายเป็นของเราจริง ๆ เราก็ควรจะสามารถควบคุมบังคับบัญชาได้ทุกอย่าง แต่ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่สามารถบังคับควบคุมร่างกายหรืออวัยวะเราได้เต็มที่ เช่น เราไม่อยากแก่แต่ก็ไม่สามารถบังคับได้ เราไม่อยากนอนหลับ แต่เราก็ไม่สามารถบังคับได้ หรือเราไม่อยากป่วยก็ไม่สามารถบังคับได้ ทำให้มีข้อที่น่าสังเกตว่า อาจจะมีกลไกอะไรบางสิ่งบางอย่างเหนือการควบคุมของเราเป็นแน่

แล้วสิ่งนั้นคืออะไร...?

กลไกนั้นอาจจะเป็นเพราะธรรมชาติที่เป็นผู้สร้างร่างกายของเรานี้ ตามรูปแบบของธรรมชาติแล้ว มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมบนโลกมนุษย์ มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงจนพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูง เช่น มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งนับได้ว่าต้องใช้เวลายาวนานเป็นพันล้านปี เป็นเวลาที่ยาวนานมาก รูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่ผ่านกระบวนการวิวัฒนาการ จะต้องมีระบบป้องกันตัวเองแบบอัตโนมัติ เพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่า สิ่งมีชีวิตที่ผ่านกระบวนการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานนั้น จะไม่สูญพันธุ์ไปโดยง่าย เช่น การพยายามหยุดหายใจเอง (ซึ่งเราทราบกันดีว่า เราไม่สามารถฆ่าตัวตายโดยการกลั้นหายใจได้) หรือการนอนหลับ แม้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายจะได้หยุดพัก แต่กระบวนการหายใจของเรายังทำงานต่อ หรือเมื่อมือเราสัมผัสความร้อนอย่างกระทันหัน ก็จะถูกดึงกลับอย่างอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องคิดเลย เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าระบบร่างกายของเรา ก็ยังมีระบบอะไรบางอย่างควบคุมอยู่ และอยู่เหนือการบังคับบัญชาของเราเสียด้วย

ถ้าเช่นนั้น เราเป็นใครภายใต้ร่างกายของเราเอง...?

เป็นคำถามที่น่าสนใจอีกครั้ง หากเราลองทำใจให้ว่าง พิจารณาแยกแยะให้ดี จะค่อย ๆ ค้นพบว่า
แท้จริงแล้ว ร่างกายของเราเป็นเพียงส่วนประกอบส่วนหนึ่ง และจิตใจ ความนึกคิด ความรู้สึก มันก็อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเรารู้จักกันดีว่ามันคือ รูปกับนาม

รูปในที่นี้ ขอให้เข้าใจความหมายว่าเป็นร่างกายของเราในเบื้องต้นก่อน ส่วนนามนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ความรู้สึก นึกคิด เป็นตัวตนอย่างหนึ่ง ซึ่งซ้อนทับอยู่กับรูปที่เป็นของหยาบคือ ร่างกายเรา สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาในโลก ที่มีความรู้สึก ตอบสนองต่อสิ่งเร้า และรู้จักการหาอาหารและเคลื่อนไหวได้อิสระจะต้องประกอบด้วยคุณลักษณะสองประการนี้ เรียกตามภาษาธรรมว่า ขันธ์ ซึ่งแปลว่า กอง ในส่วนของนามนั้น ยังสามารถแบ่งย่อยออกได้อีก คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อรวมกับรูปที่กล่าวไว้ก่อนหน้า จะได้เป็น ๕ กอง ท่านเรียกว่า ขันธ์ ๕



เราทำความรู้จักรูปคือ ร่างกายของเราไปแล้ว แต่ความหมายของรูปยังมีเยอะกว่านั้น แต่จะไม่ขออธิบายในขั้นนี้ เดี๋ยวจะสับสนไปเสียก่อน ตัวตนจริง ๆ ของเราที่อาศัยรูปอยู่ คือ นาม ซึ่งจะเรียกว่าตัวตนให้ชัดเจนแจ่มแจ้งไปเลยก็ไม่ได้ เพราะมันยังถูกประกอบด้วย ๔ ส่วนย่อยไปอีกคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เวทนา คือ ความรู้สึกต่อการปรุงแต่ง สุข ทุกข์ เฉย ๆ
สัญญา คือ ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์
สังขาร คือ ความปรุงแต่ง สภาพที่ปรุงแต่งจิต
วิญญาณ คือ การรับรู้แจ้งทางอารมณ์

ทั้ง ๔ ส่วนที่มันประกอบกันเป็นนาม ขอตั้งสมมติฐานก่อนว่า มันอาจจะเป็นตัวตนที่เราเข้าใจและซ่อนอยู่ในกายนี้ มันเกี่ยวพันต่อเนื่องสืบสายกันอย่างลึกซึ้งมาก เหมือนกับด้ายยาว ๆ ๔ เส้นที่พันนัวจนเป็นก้อนเดียวกัน เราไม่สามารถแยกแยะออกได้โดยง่าย ว่าจริง ๆ แล้ว มันเป็นคนละเส้นกัน สัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อไม่เข้าใจ มองไม่เห็นด้วยปัญญา ก็มีความคิดว่า สิ่งนี้เป็นเรา กายนี้เป็นของเรา เรามีอยู่ในกายนี้



จะเห็นได้ว่าตัวตนแท้จริงของเรานั้น แทบจะไม่มีหรือหาจับต้องได้อย่างชัดเจนเลย แต่ที่เรายังมีความรู้สึกว่ามีตัวตน ก็เพราะการเกิดดับของรูปนามนั้นรวดเร็วมหาศาล และต่อเนื่องอย่างแนบเนียน คล้าย ๆ กับหลอดไฟนีออน ที่มันส่องสว่าง ดูเหมือนไม่มีการกระพริบใด ๆ เลย แต่แท้จริงแล้วมันมีการเกิดดับจากการไหลของกระแสไฟฟ้าสลับที่รวดเร็วเกินกว่าสายตาเราจะรับรู้ได้ราว ๆ ๕๐ รอบต่อวินาที ซึ่งยังเทียบไม่ได้เลยกับรูปนามที่เกิดดับในฐานวัดเวลาเดียวกัน

ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่บอกว่า เราต้องสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตา แม้แต่ตาของเราก็ยังถูกหลอก สมองเราก็ยังถูกหลอก แล้วจิตใจของเราที่สับสนวุ่นวาย ผ่านร้อนผ่านหนาวจากสังสารวัฏมาอย่างมากมายล่ะ จะไม่ถูกกิเลสมันหลอกเอาเชียวหรือ...?

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.zapcoint.com //www.oknation.net //www.alive-house.comมากมาย ครับ

สารบัญ



Create Date : 25 ตุลาคม 2555
Last Update : 25 ตุลาคม 2555 21:39:38 น. 5 comments
Counter : 1061 Pageviews.

 
อรุณสวัสดิ์ครับน้องอัส

ภาพประกอบสื่อความหมายได้ดีจังครับ









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:6:02:18 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
ทักทายยเช้าสายๆ นะคะ คุณอัสติสะ


โดย: Nissan_n วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:10:39:23 น.  

 
สวัสดีครับน้องอัส ไม่ได้เข้ามานานเลยสบายดีนะครับ

ธรรมะยังเข้มข้นเหมือนเดิม โมทนาด้วยจริงๆครับผม

อ่านแล้วก็อืมใช่เลยนะครับ สัญญานั่นเองที่ทำให้เรายังมีความรู้สึกว่ามีตัวเราอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อชากล่าวว่า

"ผู้ที่เข้าใจตัวเองได้ดีที่สุด ก็คือ คนที่เข้าใจว่าตัวของเราไม่ได้มีอยู่จริง"

อ่านแล้วงงๆ แต่คิดไปคิดมาแล้วใช่เลยครับ ปัญญาท่านเฉียบแหลมยิ่งนัก

เพราะต้องแยกออกมาเป็นรูปเป็นนามแล้วไม่เหลืออะไรเลย แบบที่เขียนไว้นี่แหละครับ อิอิ

ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันนะครับผม ^^








โดย: วนารักษ์ วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:12:40:46 น.  

 
เราคือใคร..ใครคือเรา..ท่านเจ้าขา
จะมองหา..ที่ไหนเล่า..เราอยู่ไหน
พอมองลึก..ตรึกเข้า..เราเป็นใคร
ยิ่งมองไป..เราไม่มี..มิใช่เรา
ถ้าเป็นเรา..ของเราแท้..บอกมันที
จงสวยหล่อ..อยู่คงที่..มันฟังไหม
มีแต่แก่..ลงทุกที..ทุกปีไป
ทำยังไง..แก่ไม่หยุด..ฉุดจนตาย


โดย: เฒ่าจอย วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:19:23:32 น.  

 
สวัสดียามดึกค่ะคุณอัสติสะ ขอบคุณที่ไปทักทายนะคะ กิ่งต้องขอโทษด้วยที่มาตอบช้า เพราะพักนี้งานกิ่งเยอะมากก็ขอพักบล็อกไปก่อนชั่วคราวค่ะ พองานสร่างซาแล้วกิ่งก็จะกลับมาเปิดบล็อกเช่นเดิมค่ะ

มาอ่านเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมขอบคุณมากนะคะที่นำสิ่งดีๆมาให้อ่านค่ะ

หลับฝันดีมีความสุขค่ะ



โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:23:59:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.