ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๑๔๐-กับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน



ชายนักเดินทางยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ วันนี้เขามาถึงยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาเคยเดินทางผ่านมาแล้วในอดีตแต่เขากับจำความเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นไม่ได้เลย ที่แห่งนี้จึงดูเป็นที่ใหม่สำหรับเขา ในช่วงเวลานี้

“สวัสดีครับ ผมเป็นนักเดินทางครับ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก อยากจะหาที่พักใกล้ ๆ นี้ พอจะมีบ้างไหมครับ” ชายนักเดินทางถามหญิงผู้หนึ่งซึ่งกำลังทอผ้าไหมแสนสวยอยู่ เธอไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ชี้นิ้วไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ชายนักเดินทางจึงเดินไปตามทางที่เธอแนะนำ

มีชายชราผู้หนึ่งรูปร่างผอม ๆ ตัวเล็ก มีหนวดเคราสีขาวขึ้นประปราย เดินออกมาต้อนรับ
“สวัสดีพ่อหนุ่ม เป็นอย่างไรบ้างหายหน้าหายตาไปนานเลยนะ” ชายชราพูดทักทาย ทำให้ชายนักเดินทางทำหน้าสงสัยอย่างบอกไม่ถูก

“เออ ลุงคงทักผิดคนแล้วครับ ผมเป็นนักเดินทาง เดินไปเรื่อย ๆ และยังไม่เคยมายังหมู่บ้านแห่งนี้เลย ต้องการหาที่พักคืนนี้สักคืน” ชายนักเดินทางตอบ

“อย่างนั้นรึ โฮ่ ๆ ๆ …ชีวิตและโชคชะตานี่มันคงลิขิตไว้อย่างนี้กระมัง” ชายชราพูด
“หมายความว่าอย่างไรครับลุง ผมไม่ค่อยเข้าใจ”
“เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะ เดี๋ยวลุงจะให้คนจัดที่พักและอาหารไว้ให้” ไม่นานนักก็มีคนรับใช้พาไปยังที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านมากนัก ที่น่าแปลกประหลาดคือ คนใช้เหล่านั้นไม่ได้พูดออกมาสักคำเดียว แม้ชายนักเดินทางจะถามไปแล้วกี่ประโยคก็ตาม ช่างน่าแปลกประหลาดยิ่งนัก

ตลอดการเดินทางของเขาที่ผ่านมาล้วนแต่พบเจอกับดินแดน ผู้คน และสัตว์แปลกประหลาดมาอย่างมากมาย ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขารู้สึกได้ถึงความแปลกทั้งชายชราที่ทักทายเขาเหมือนกับคนที่คุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน และในคืนนั้นเองชายชราก็เดินทางมาพบเขาถึงที่พัก และการสนทนาของบุคคลทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้น

“เป็นอย่างบ้างพ่อหนุ่มกับการเดินทางที่ผ่านมา” ชายชราถาม
“มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายเลยครับ บางช่วงผมเกือบจะเสียชีวิตเลยทีเดียว เช่นตอนที่หนีไฟบรรลัยกัลป์ ผมต้องสูญเสียแขนข้างซ้ายไปครับ” ชายนักเดินทางเล่า
“เป็นการเดินทางที่อันตรายจริง ๆ อ้าว ไหน ขอดูแผลจากแขนที่ขาดหน่อย” ชายนักเดินทางถอดเสื้อ เพื่อให้ชายชราเห็นได้ชัดเจน
“นี่เป็นผลที่ถูกแลกมาด้วย เพราะเหตุจากความรักล่ะซิ” ชายชราพูด
“คุณลุงทราบได้อย่างไรครับ ผมยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลย”
“จริงหรือเปล่า…” ชายชราถามย้ำ
“จริงครับ” ชายนักเดินทางพยักหน้ารับ
“เอาเถอะ คนเราที่ยังอ่อนต่อประสบการณ์ย่อมผิดพลาดกันได้ ลุงก็เคยทำผิดเช่นกัน”
“คุณลุงเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้เรื่องผมได้ล่ะครับ”
“นี่แหละ เป็นผลกระทบจากการเดินทาง พ่อหนุ่มเคยอยู่ที่นี่มาก่อน อยู่มานานทีเดียว ลุงก็คือคนที่แนะนำให้พ่อหนุ่มเดินทางไปยังนิพพานอย่างไงล่ะ จริง ๆ ต้องเรียกลุงว่าอาจารย์ถึงจะถูก โฮ่ ๆ ๆ …”ชายชราพูดและหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“อาจารย์เหรอ ทำไมผมจึงจำอะไรไม่ได้เลยครับ”
“บอกแล้วว่ามันเป็นผลกระทบข้างเคียงจากการเดินทางนั่นแหละ ผู้เดินทางจะค่อย ๆ ลืมอดีต อีกไม่ช้าพ่อหนุ่มก็จะลืมไปว่าเคยมีคนรัก เคยสูญเสียแขนเพราะเหตุใด แต่ที่ลุงภูมิใจในตัวพ่อหนุ่มก็คือ เธอไม่เคยลืมจุดหมายปลายทางคือ นิพพานเลย สิ่งนี้ทำให้เธอรอดชีวิตจากภัยพิบัติมาโดยตลอด” ชายชราอธิบาย

“นั่นสินะ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทำไม คำว่า นิพพาน ถึงได้ฝังแน่นอยูในจิตใจผมตลอดเวลา หลายสถานที่ที่ผมผ่านไป ผมถามหาดินแดนนิพพานไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่พบสักที แต่คุณลุงครับ ทำไมผมต้องสูญเสียความทรงจำในอดีตไปด้วยครับ เพราะถ้าผมจำได้ผมคงเชื่อลุงได้สนิทใจมากกว่านี้”

“มันเป็นกฎตายตัว นักเดินทางส่วนใหญ่ต้องลืมอดีต เพราะอดีตชาติความรัก ความแค้นมันจะเป็นตัวขัดขวางทำให้เราล่าช้า และติดอยู่กับวังวน อย่างไม่มีวันหาทางออกไปได้ ดังนั้นคนที่เดินทางนั้นเขาจะเริ่มสูญเสียความทรงจำในอดีตไปเรื่อย ๆ”

“แต่ทำไมลุงถึงไม่เดินทาง ลุงบอกให้ผมเดินทางแต่ลุงกับหยุดอยู่กับที่ และยังจำอดีต จำเรื่องราวของผมได้อีก”
“บอกไว้แล้วมันเป็นเพราะโชคชะตา และแรงปรารถนาของเราทั้งคู่นั้นต่างกัน ลุงปรารถนาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าพ่อหนุ่มมาก สิ่งนี้เขาเรียกว่าพุทธภูมิ เคยได้ยินมาบ้างไหม”ชายชราถาม
“คืออะไรกัน ผมอาจจะเคยได้ยินมาก่อน แต่ตอนนี้ผมจำไม่ได้ครับ” ชายนักเดินทางพูด
“ลุงปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เป็นสิ่งที่สูงที่สุดที่น้อยคนจะทำได้ ลุงจำเป็นต้องเดินทางเช่นเดียวกับพ่อหนุ่ม แต่การเดินทางของลุงจะเนิ่นนาน และช้ากว่ามาก เพราะมีภาระคือการต้องขนคนอีกจำนวนมากติดตามไปด้วย ส่วนหนึ่งก็เพื่อสั่งสมบารมีของตัวเอง และช่วยเหลือแนะนำให้ผู้อื่นสร้างบารมี และเดินทางไปนิพพานพร้อมกัน”ชายชราอธิบาย ทำให้ชายนักเดินทางถึงกับเงียบเสียง ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาเป็นเวลานาน

ตลอดเวลาเขาคิดเสมอว่าตนเองเป็นคนเก่ง เป็นคนเดินทางที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ และจะถึงยังดินแดนนิพพานอันเป็นจุดหมายปลายทางอย่างไม่ยากเย็น แต่เมื่อเขาได้ฟังอุดมการณ์ และความมุ่งมันอันยิ่งใหญ่ของชายชรา ทำให้เขารู้สึกตัวว่าสิ่งที่เขาเคยรู้สึกที่ผ่านมานั้นเล็กลงไปถนัดตา เขาเดินทางคนเดียว แต่ชายชราผู้นี้มีผู้ที่จะเดินทางไปด้วยมากมาย และยอมเสียเวลาเพื่ออนุเคราะห์คนจำนวนมาก ผิดจากเขาเองที่เร่งแต่จะเดินทางไปเรื่อย ๆ อยากจะถึงจุดหมายไว ๆ โดยที่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือกับคนที่เดินทางมาด้วยกันเลย

น้ำตาแห่งความปลื้มใจที่มีโอกาสได้พบเพื่อนที่ยิ่งใหญ่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ชายนักเดินทางกราบเท้าผู้เป็นอาจารย์สามครั้ง และเรียกชายผู้นั้นว่า อาจารย์ ตั่งแต่บัดนั้น

และเขาปรารถนาจะช่วยเหลืองานของผู้เป็นอาจารย์ แต่ทว่าก็ถูกผู้เป็นอาจารย์ทัดทานไว้
“ไม่ได้หรอก บัดนี้สายไปแล้ว เธอตั้งความปรารถนาไว้แล้วว่าจะเดินทางคนเดียว คราวก่อนอาจารย์ก็ทัดทานเธอหลายหน แต่เธอเองต่างหากที่ดื้อดึง เมื่อเดินทางไปเรื่อย ๆ การพบเจอผู้คนที่ยังเวียนวนอยู่ในวัฏฏะ แม้จะสามารถทำให้เธอเปลี่ยนใจอยากจะช่วยเหลืออาจารย์ในวันนี้ แต่มันก็สายไปจริง ๆ เพราะเธอกำลังตกอยู่ในกระแสนิพพาน มีอันจะต้องเดินทางต่อไป ไม่อาจจะหยุดได้อีกแล้ว” ชายชราอธิบาย ซึ่งชายนักเดินทางก็ยอมรับแต่โดยดี

วันรุ่งขึ้นเขาจึงกราบลาผู้เป็นอาจารย์ในอดีต และมุ่งหน้าเดินทางไปยังดินแดนที่มีชื่อว่านิพพานต่อไป
จบ –

วันนี้คงจะได้เรียนรู้อุดมการณ์และความคิดระหว่างคนสองคนไปบ้าง คนหนึ่งแสวงหาความสำเร็จของตนเองไปเรื่อย ๆ แต่อีกคนต้องการที่อยากจะให้ผู้อื่นสำเร็จตามเช่นกัน แต่เราไม่ควรตำหนิชายนักเดินทางว่าเห็นแก่ตัว เอาตัวรอดเพียงคนเดียว แต่เราพึงตำหนิตัวเราเองมากกว่า เพราะการที่จะเดินทางไปนิพพานได้จำเป็นต้องอาศัยแรงกำลังของตัวเองทั้งสิ้น ไม่มีใครอุ้มใครไปได้ มีเพียงแต่การแนะนำกันและกัน ช่วยเหลือกันบ้าง ขึ้นกับว่าเราจะยอมรับคำแนะนำ แล้วน้อมมาปฏิบัติตามหรือไม่ หากไม่ได้น้อมหลักธรรมมาใส่ใจปฏิบัติ ต่อให้พบพระพุทธเจ้าสักกี่ร้อยพระองค์ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด




 

Create Date : 25 มีนาคม 2552    
Last Update : 25 มีนาคม 2552 18:59:12 น.
Counter : 648 Pageviews.  

๑๓๙-หัวขโมยความคิด




ความสมบูรณ์แห่งศีลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น จำเป็นต้องใช้สติและสมาธิเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญ วันนี้มีเรื่องที่สะดุดใจหลายต่อหลายเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าพิจาณาแล้วเกิดควมไม่สบายใจพอสมคววร นั่นคือ เรื่อง ซอฟแวร์ที่ใช้เป็นของที่ละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา

นั่นสิครับ แต่แล้วมันสำคัญอย่างไร เพราะคนโดยมากเขาก็ใช้กันทั่วทั้งบ้านทั้งเมือง ซึ่งก็อ้างกันโดยเข้าข้างตัวเองเสียเป็นส่วนมาก จนเกิดความเคยชินไปแล้ว ทุกวันนี้ความเคยชินดังกล่าวมันฝังรากลึกในสันดานจิตของเราไปเรียบร้อยแล้ว(มั้ง)

เคยถามเพื่อนคนหนึ่งว่า
“นี่รู้ไหมว่า window ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จริง ๆ แล้วต้องเสียตังค์ซื้อแยกต่างหาก ราคาหลายพันบาทเลยนะ”

“ต้องเสียตังค์ด้วยเหรอ ไม่รู้มาก่อนเลยนะนี่ ก็เห็นเขาก๊อปปี้แถม ๆ มากับเครื่องให้ใช้กันฟรี” นั่นเป็นเพียงคำตอบส่วนหนึ่ง

ข้าพเจ้าเชื่อว่า ซอฟแวร์ ที่คุณใช้ส่วนใหญ่เป็นของละเมิดลิขสิทธิ์ คุณอาจจะค้านด้วยเหตุผลทางการเงินหรืออะไรก็สุดแล้วแต่ ซึ่งอย่างน้อยช่วงเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้แต่คิดติดอยู่ในวังวน การหาเหตุผล และความถูกผิดในเรื่องศีลธรรม และกฎแห่งกรรม

สิ่งเหล่านี้เป็นการขโมยอย่างแน่นอน ถึงแม้คุณจะอ้างได้ว่าเสียตังค์จ่ายค่าแผ่นผี จากพ่อค้ามืดไปแล้ว แต่รายได้นั้นมันไม่ได้ถูกจ่ายให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแท้จริง

เอาล่ะคุณอาจจะมองว่า ซอฟแวร์ เถื่อนส่วนหนึ่งมีส่วนช่วยสร้างความเจริญ แบบก้าวกระโดดให้กับประเทศชาติ จะมีนักศึกษาคนไหนลงทุนซื้อซอฟแวร์เฉพาะทางที่มีราคาหลักหมื่นหลักแสนได้ เรื่องการเรียนรู้นี้ ข้าพเจ้าก็คงต้องผ่อนผันยกเว้นกันบ้าง แต่หากเราต้องรู้จักปลูกฝังตัวเอง หากในอนาคตเติบโตขึ้นมาต้องรู้จักใช้ของที่ถูกต้องถูกกฎหมาย

อีกทางออกหนึ่งที่จะทำให้เราใช้ซอฟแวร์ ได้อย่างไม่ต้องกังวลลิขสิทธิ์นั่น Software Open Source ในระดับระบบปฏิบัติการที่ยอมรับและนิยมกันมากคือ Linux ซึ่งในปัจจุบันก็มีความสามารถทัดเทียม สูสีกับระบบปฏิบัติการของ Microsoft พอสมควร

หากแต่เรื่องเหล่านี้ยังอยู่ในวงแคบ ๆ จำกัด มองไปตามร้านหนังสือจะหาเรื่องที่เกี่ยวกับ Linux นั้นก็ยากเต็มที เพราะตามชั้นวางก็มีแต่เผ่าพันธุ์ และสาวก Microsoft เกลื่อนไปหมด

เดือนที่ผ่านมาจึงถึงเวลาย้ายบ้าน(ระบบปฏิบัติการ)ครั้งใหญ่ โดยทำการติดตั้ง Linux สายพันธุ์ Ubuntu 8.10(intrepid) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและได้รับรางวัลอย่างมากมายในขณะนี้ การกลับมาเรียนรู้และศึกษา Linux เป็นการกลับมาฟื้นความทรงจำในครั้งอดีตสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในชั้นเรียนนั้นไม่มีการเรียนการสอน แต่ข้าพเจ้าก็ศึกษาและเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสมัยนั้นระบบ xWindow หรือ graphic user interface (GUI) ยังไม่สมบูรณ์มากมายเทียบเท่ากับปัจจุบันนี้ ซึ่งหลังจากที่ใช้งานไประยะหนึ่งก็ถึงกับทึ่งในความสามารถที่เปลี่ยนไปจากอดีตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ยอมรับว่าข้าพเจ้าไม่อยากเกิดมาเป็นคนที่ต้องเป็นหนี้ใคร ไม่อยากเกิดมาเป็นคนไร้สมอง ไม่มีความสมบูรณ์ในทางสติ และปัญญา ซึ่งวัน ๆ เอาแต่นั่งก๊อปปี้โหลดหนังโหลดเพลงไร้สาระ ไม่รู้จักพัฒนาความรู้และใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะอยากเป็นหัวขโมยขี้โกงต่อไป หรือจะยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ Microsoft และพันธมิตรซอฟแวร์ ของเขา

หรือจะเอาอคติความเคยชินวางไว้สักพักก่อน หันมาใช้ Linux และกลุ่มสหภาพ Open source ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ไม่ผิดกฎหมาย และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ก็เลือกเอาเถอะครับ เพราะผลลัพธ์ตามกฎแห่งกรรม มันมารอตอบสนองคุณในภพ ชาติต่อไปอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะปฏิเสธ หรืออ้างเหตุอ้างผลอย่างไรก็ตามที

ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้หวังว่าท่านทั้งหลาย ต้องเปลี่ยนแปลงถึงขนาดเป็นกังวลมากเกินไป(อันนี้คิดไปเองหรือเปล่า) แต่ในฐานะที่เราทั้งหลายที่อยู่ในสายพานแห่งผู้บริโภค ก็ควรเลือกแต่สิ่งที่บริสุทธิ์ ไม่มีสารเจือปนถูกไหมครับ

อยากจะให้ท่านทั้งหลายสละเวลาที่มีค่า จากการโหลดหนัง ฟังเพลง มาศึกษาและทำความเข้าในเรื่องนี้ อย่างน้อยหากมีข่าวหรือเกร็ดความรู้เรื่อง Open source หรือ Linux ตามหน้าเวบไซต์ต่าง ๆ ก็อย่างเพิ่งมองข้าม

โปรดลองอ่านสักนิด เพื่อละลายอคติและความเคยชินของเราไปบ้าง สิ่งเหล่านี้ก็คล้าย ๆ กับการย้ายต้นไม้ ไปปลูกยังที่แห่งอื่น สิ่งที่เราต้องทำก็คือการศึกษาสภาพแวดล้อม ข้อมูลเกี่ยวกับอากาศ สภาพดินและค่อย ๆ ลงมือถอนต้นไม้นั้นอย่างช้า ๆ โดยให้มีดินเพียงพอที่จะอุ้มรากของมันไว้บ้าง เมื่อนำไปปลูกยังสถานที่แห่งใหม่ ต้นไม้นั้นก็จะเจริญเติบโตได้ไม่ยาก

แต่ถ้าเรารีบเกินไปขาดกการศึกษาอย่างเข้าใจและถูกวิธี โดยการถอนรากต้นไม้อย่างไม่รอบคอบระมัดระวัง โอกาสที่ต้นไม้นั้นจะตายก็มีสูงครับ







 

Create Date : 23 มีนาคม 2552    
Last Update : 23 มีนาคม 2552 8:08:06 น.
Counter : 458 Pageviews.  

๑๓๘-ท่ามกลางความวุ่นวาย



ฉันคิดเสมอว่าฉันเบื่อ
แล้วเราเบื่ออะไรกันแน่ เพราะชีวิตทุกวันนี้มันก็สนุกไม่ใช่เหรอ
แน่นอนว่ามันสนุก มันคงจะสนุกกว่านี้ถ้าวันข้างหน้าเราไม่ต้องจากสิ่งนี้ไป
ฉันอยากให้ความสนุกนี้อยู่กับฉันนาน ๆ แต่มันก็ไม่อาจจะเป็นไปอย่างที่ฉันปรารถนา
ทุกวันฉันยังคงมึนงงในความรู้สึกว่า
โลกมันวุ่นวายจริง ๆ หรือ จิตใจฉันวุ่นวายกันแน่
มีคนบอกว่าจิตใจของฉันนั่นเองที่วุ่นวาย

ฉันได้แต่พยักหงึก ๆ ยอมรับ แต่ในใจมันก็คัดค้านอีก
แล้วทำอย่างไรฉันจะสงบล่ะ ?
มีทางไหนบ้างที่จะทำให้จิตดวงนี้สงบลงไปได้
ห้ามบอกว่าฆ่าตัวตายนะ เพราะมันไม่ใช่หนทางของการแก้ปัญหา

อาทิตย์ที่แล้วมีงานเลี้ยงมีคนมากมาย ทำไมในใจฉันถึงอยากจะปลีกตัวหนีความวุ่นวายนี้
ทำไมเรานึกถึงแต่ป่าเขา ลำเนาไพร ทำไมเรานึกแต่อยากจะนั่งสมาธิ
นั่นมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ทำไมมีผู้หญิงสวย ๆ มากมายเข้ามา
แล้วฉันได้แต่ถอนหายใจ
สิ่งใดที่โลกชื่นชม ฉันกลับรู้สึกตำหนิ...
แต่สิ่งใดที่โลกบอกว่า 'ไม่' แต่ฉันกลับนำสิ่งนั้นมาพิจารณา

นี่เราคัดค้านโลกมากเพียงนี้เชียวหรือ แต่ก่อนฉันไม่ได้เป็นอย่างนี้
พระพุทธเจ้าทำให้ฉันเปลี่ยนไป แต่พระองค์ก็จาก(ปรินิพพาน) ไปนานแล้ว
เพราะพุทธานุภาพนั่นเองที่ยังอยู่ และมีอิทธิพลเหนือจิต เหนือใจของฉัน
สิ่งนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าศรัทธา ศรัทธาที่ปรารถนาจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม
เพื่อตอบแทนคุณของพระองค์

คนรอบตัวบอกว่าฉันเพี้ยนไปแล้ว ฉันบ้าธรรมะขนาดหนัก
หลัง ๆ มานี่ฉันแทบจะขาดธรรมะไม่ได้เลย
ฉันต้องฟังธรรมทุก ๆ วันจากรายการธรรมะทางวิทยุ
หรือไม่ก็จากซีดีของพระอาจารย์ต่าง ๆ หรือไม่ก็อ่านหนังสือ
ตามห้องสมุดของมหาวิทยาลัย หรือ ไม่ก็ต้องอ่านจาก Blog ทางอินเตอร์เนต
เป็นอย่างนี้ทุกวันเสมอ ๆ

มีคนบอกว่าการศึกษาธรรมะไม่ควรติดตำราเกินไป และหมกมุ่นมากเกินไป
ซึ่งตัวฉันนั้นไม่ค่อยจะเห็นด้วย เพราะฉันไม่ได้บ้าธรรมะ
แต่มันเป็นธรรมชาติของฉันเอง ฉันฟังธรรมเพราะจิตใจฉันมีความสุขที่ได้ฟัง
ฉันรู้สึกดีและอิ่มใจที่ได้ฟังธรรมเสมอ ไม่มีการบังคับหรือขัดขืนแต่อย่างใด

หลายคนบอกว่าฉันเข้าถึงและบรรลุไปแล้ว
แต่ฉันกลับส่ายหัว บอกว่า 'อย่าได้กล่าวเช่นนั้น'
ฉันไม่อาจจะทำนายตัวฉันเองได้อย่างนั้น และก็ไม่ปรารถนาจะทำนายด้วย
เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำเช่นนั้น
การได้รับคำชม ฉันก็เกลียดพอ ๆ กับคำด่าทอ
เพราะมันทำให้ใจฉันพองฟู เกิดมานะทิฏฐิ มันน่าเกลียดน่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

ถ้าอย่างนั้นการอยู่คนเดียวดูจะเป็นสุขมากกว่า แต่การอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวเขาก็หาว่ามีโลกส่วนตัวอีก บ้างก็ว่าตึงเกินไปอีก นอนกับพื้นก็ว่าตึงเกินไปอีก แล้วจะยังไงกันแน่…

แน่นอนสิ่งที่คนอื่นเห็นก็คงคิดว่ามันตึงเกินไป แต่สำหรับตัวฉันเองมันกลับย่อนเกินไป
คำว่าตึงหย่อนเกินไป โดยบรรทัดฐานของแต่ละคนมันไม่เท่ากันหรอก ฉันเองก็อยากจะบอกคนทั่วไปว่าอย่างนี้

เรามองคนอื่นก็มักจะเอาตัวเองเป็นฐานในการตัดสินว่า คนนั้นดีกว่า คนนี้เลวกว่าเสมอใช่ไหม ?

แต่อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธหรือยอมรับ…
นอกจากคุณจะนำกลับไปคิดตรองดูก่อน



วันนี้มาแบบเศร้า ๆ เบื่อ ๆ ล่ะครับ




 

Create Date : 20 มีนาคม 2552    
Last Update : 20 มีนาคม 2552 18:00:44 น.
Counter : 806 Pageviews.  

๑๓๗-หยดน้ำตาในวัฏฏะ



มีใครบ้างหนอที่ไม่เคยร้องไห้ อย่างน้อยก็ตอนแรกเกิดหรือเป็นเด็ก พวกเราก็ผ่านการร้องไห้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น การร้องไห้จึงดูเป็นเรื่องปกติที่เราต้องประสบพบเจอกันโดยมาก หากยังต้องอดทนเวียนว่ายตายเกิดอยู่

ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเคยเสียน้ำตาครั้้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มันอาจจะนานแสนนานข้ามเดือนข้ามปีมาแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่ค่อยใส่ใจกับมันนัก มีเพื่อนหลายต่อหลายคนที่ต้องร้องไห้เสียน้ำตาเพราะเหตุของความรัก ความใคร่ถวิลหา... หรือว่าคุณก็เป็นเช่นกัน

ถ้าอย่างนั้นพระศาสดาท่านได้ตรัสไว้อย่างถูกต้องแล้ว ตัณหา ความทะเยอนอยากในบ่วงกาม ทำให้เราต้องทนร้องไห้อย่างนับชาติไม่ถ้วน แม้จะรู้จักฤทธิของมันดี ว่าเจ็บปวดสักเพียงไหน แต่เราก็ยังไม่เข็ด ยังอยากจะลิ้มลองความเจ็บปวดนั้นอยู่เรื่อย ๆ

โอ้หนอชีวิตสัตว์โลก นี่เหตุของความไม่รู้มันมีอิทธิพลต่อชีวิตพวกเรามากมายขนาดนี้เชียวหรือ นี่คงเป็นวงจรที่เราทุกคนต้องประสบพบเจอกัน และเสียน้ำตาให้กันอยู่อีกร่ำไป

แล้วใครว่าน้ำตามีแต่ด้านเสียล่ะ…คุณอาจจะคัดค้านประเด็นนี้ก็ได้ เพราะบางคนปลื้มใจ ดีใจก็มีน้ำตาออกมาเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นน้ำตาก็ไม่ได้แปลว่ามันจะหลั่งออกมาในช่วงที่เราเสียใจเสมอ ถูกไหม

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความจริง เราไม่ได้เสียน้ำตาเพราะผลจากความทุกข์ ความพลัดพรากอย่างเดียว แต่มันก็มีความประทับใจด้วย ที่น้ำตาไหลอาบอิ่มชโลมย้อมใจอยู่
เสมอ

นั่นเพราะเราไม่มีสติ…

เป็นคำตอบเดียวที่อธิบายเหตุและผลได้ชัดเจนที่สุด เราไม่มีสติระลึกรู้ทันท่วงทีว่าสิ่งที่มากระทบนั้นต่างตกอยู่กฎแห่งไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ทุกอย่างมีความเกิดขึ้นและมีความเสื่อมไป ดับไปเป็นธรรมดา หากเราระลึกรู้ทันเราจะไม่เสียใจ ดีใจจนเกินไป และไม่เสียน้ำตาให้กับโลกอีก แต่ปัญหามันก็มีอยู่อีกว่า กฎแห่งไตรลักษณ์ที่พระศาสดาตรัสสอนเป็นครั้งแรกนั้น เป็นการสอนภูมิของพระอริยชั้นต้น มีปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรก นั่นเป็นการพิสูจน์ได้อย่างเนือง ๆ ว่า ไตรลักษณ์แม้จะเรียนรู้ง่าย แต่การมองเห็นจริง ๆ เข้าใจจริง ๆ นั้นยาก ต้องเป็นภูมิธรรมของพระอริยชั้นต้นเท่านั้น

ปุถุชนคนธรรมดาแม้ได้ฟังธรรมในหมวดนี้เป็นร้อยรอบ แต่ก็ไม่อาจจะทำความเข้าใจ ให้เห็นจริงได้ในเร็ววัน คุณอาจจะสาธยายพระสูตรในหมวดนี้ได้อย่างกระจ่างชัดเจน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมองเห็นไตรลักษณ์ที่เกิดจากธรรมจักษุ สิ่งที่อธิบายได้มันเกิดจากสัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือการจำได้เท่านั้น ดังนั้นการอธิบายธรรมได้อย่างกระจ่างชัด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นไปจากอบาย ๔ ได้อย่างเด็ดขาด ดังเช่นพระเถระที่สามารถสั่งสอนศิษย์จนบรรลุอรหันต์มามากมายในครั้งพุทธกาล แต่ตนเองไม่สามารถทำได้แม้เพียงฌานชั้นต้น จึงเป็นบุคคลที่พระศาสดาตรัสตำหนิว่า ‘ใบลานเปล่า’

ย้อนกลับมาถึงเรื่องน้ำตากันอีกครั้ง อาจจะสงสัยว่าทำไมจึงต้องนำไตรลักษณ์มากล่าวแทรกด้วย มันเกี่ยวอย่างไรกันกับน้ำตา นั่นก็เพราะว่าน้ำตาที่เราสูญเสียให้กับความทุกข์ มันเป็นผลมาจากการไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจในกฎแห่งไตรลักษณ์ เมื่อไม่เข้าใจเราก็จะดึงดูดความทุกข์ให้เข้ามาหาเราได้อย่างง่ายดาย

แต่แค่เข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ เราต้องฝึกต้องปฏิบัติสติให้ระลึกได้อย่างทันท่วงที ตามหลักแห่ง สติปัฏฐาน ๔ โดยอาจจะเลือกมาหมวดใดหมวดหนึ่งก็คงจะเพียงพอในระดับแรก อย่างนี้เป็นเพียงหลักใหญ่ ๆ หรือเป็นหลักการกว้าง ๆ เป็นเมื่อนำมาปฏิบัติจริง ๆ มันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะ แล้วแต่เหตุการณ์และแต่กำลังใจของผู้ปฏิบัติแต่ละคนจะมีมากน้อยเพียงใด

โดยสรุปข้าพเจ้าไม่ได้อยากจะให้ท่านต้องฝืนตัวเองที่จะไม่เสียน้ำตา แต่ทุกครั้งที่เสียน้ำตา อยากจะให้ท่านได้ลองพิจารณาถึงสภาวะธรรม และหาสาเหตุของความเสียใจ หรือเสียใจในครั้งนั้น อย่าให้น้ำตาที่เสียไปนั้นสูญเปล่า ต้องนำมาพิจารณาสอนจิตสอนใจให้เราเป็นคนที่มีสติอยู่เสมอ

และให้รู้เสมอว่าน้ำตา ความเสียใจ ความพลัดพรากมันเป็นธรรมดาของโลก ที่อยู่กับโลก พระโสดาบันที่มีชาติภพเหลืออยู่อย่างมาก ๗ ชาติ ก็ยังเสียน้ำตาได้ หากแต่การเสียน้ำตาของท่านจะยังมีสติกำกับอยู่เนือง ๆ เพราะการจะทำให้น้ำตาเหือดแห้งไปสนิทนั้น ก็คงจะมีแต่พระอริยบุคคลชั้นสูง ซึ่งมีชาติภพที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำตาเหลือน้อยที่สุดเท่านั้น




 

Create Date : 18 มีนาคม 2552    
Last Update : 18 มีนาคม 2552 13:34:23 น.
Counter : 676 Pageviews.  

๑๓๖-เกร็ดเล็ก ๆ ของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ(พระโพธิสัตว์)



ปริศนาและความเข้าใจเรื่องพระโพธิสัตว์นี้เริ่มกระจ่างขึ้นเรื่อย ๆ แต่คงไม่อยากจะอิงเข้ากับแนวทางของมหายานมากนัก เพราะไม่มีจริตไปทางสายนี้ แต่ที่จะนำมาเขียนเป็นซอกเป็นมุมเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่มหาศาลของบุคคลที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะหนึ่งในนั้นคือการมีกำลังที่ยิ่งใหญ่ ท่านเปรียบได้กับการตั้งใจจะเดินฝ่าทะเลเพลิงด้วยลำพังเท้าเปล่า คิดดูว่าจะต้องใช้ความอดทนสักเพียงไหน การกำเนิดขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นจึงเป็นไปได้ยากมาก ๆ ถึงมากที่สุด บางช่วงบางสมัย(กัปป์) ก็ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติเลยแม้แต่พระองค์เดียว

นอกจากบารมีที่ต้องสั่งสมอบรมกันอย่างมากมายแล้ว ยังต้องอาศัยเวลาขับเคี่ยวต่อความรู้สึกของตัวเองอีกเป็นเวลายาวนานนับอสงไขย กว่าจะได้รับพุทธพยากรณ์ หากบุคคลใดสามารถได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ก็ต้องมีอันได้ตรัสรู้อย่างแน่นอน

เรื่องนี้จึงเป็นที่มาของประเด็นที่อาจจะทำให้เราเข้าใจผิดกันเสียโดยส่วนมากว่า พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ทำนายทายทัก แล้วเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงทรงกระทำเสียเอง เรื่องนี้นั้นเป็นวิสัยแห่งมหาบุรุษซึ่งเราปุถุชนไม่อาจจะเข้าใจได้โดยง่าย อีกอย่างก็เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าจะกระทำกัน เพื่อสืบต่อหน่อเนื้อพุทธวงศ์ไม่ให้ขาดสายเป็นเวลาเนิ่นนานจนเกินไป

แต่บุคคลที่จะได้รับคำทำนายนั้น ก็เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมจะบรรลุอรหันต์ในชาตินั้น ๆ อยู่แล้ว แต่ยังไม่ปรารถนาจะบรรลุธรรม อยากจะช่วยเหลือสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปด้วยกัน เหมือนกับเศรษฐีที่มีทรัพย์อยู่แล้ว ปรารถนาให้คนอื่นมีทรัพย์เช่นเดียวกับตนเองด้วย

พุทธพยากรณ์เป็นดังลิ่มที่ตอกย้ำลงไปในจิตของพระโพธิสัตว์ ไม่ให้ละทิ้งพุทธภูมิของตนเองได้ง่าย ๆ และยังคงดำเนินสั่งสมบารมีไปจนกว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่หากไม่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า บุคคลนั้นจะยังมีโอกาสละทิ้งพุทธภูมิของตนเองได้เสมอ เพราะหากเบื่อต่อการอดทนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะดำเนินรอยตามแห่งอริยมรรค เข้าสู่กระแสแห่งนิพพานไปในชาตินั้น กลายเป็นสาวกภูมิไป ซึ่งสามารถทำได้เช่นเดียวกัน

หากแต่การทำดังกล่าวจะต้องใช้กำลังใจที่สูงกว่าในชาติใด ๆ ที่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน หากกำลังจิตและแรงแห่งสมาธิอ่อนด้อยกว่าในชาติอดีตก็หมดสิทธิ์ที่จะละทิ้งพุทธภูมิ ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อเหล่าบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย

หลายท่านอาจจะเคยอ่านตำราพุทธวงศ์ ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ ที่มีแรงศรัทธามาก ๆ ขนาดถึงกับตัดเศียรของตัวเองถวายเป็นพุทธบูชาไปเลยก็มี เรื่องนี้ฟังดูน่ากลัวสำหรับปุถุชนผู้ยังไม่เข้าใจพุทธศาสนา

อาจจะสงสัยว่าการกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นกุศลหรืออกุศล เพราะศาสนาเองก็สอนว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาปมหันต์ แต่การตัดเศียรของตัวเองถวายพระพุทธเจ้านี้ไม่ถือว่าบาปหรืออย่างไร เรื่องนี้ตอบได้อย่างเดียวว่าก็เป็นวิสัยแห่งผู้ปรารถนาการเป็นพระพุทธเจ้าอีกนั่นเอง เพราะบุคคลนี้เป็นผู้ยอมเสียสละทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง

มองอีกนัยหนึ่งซึ่งต่อจากนี้เป็นความเห็นของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยบารมีอันมาก หากยังประกอบด้วยแรงศรัทธาที่แก่กล้า และปัญญาบารมีที่สั่งสมมานาน ท่านบุคคลเหล่านั้นยังทนฟังธรรมอันจริงแท้ของพระพุทธเจ้าต่อไป และยังไม่ได้รับพุทธทำนาย ก็มีหวังบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น หากแต่การตัดเศียรของตัวเองถวาย ก็เป็นบทพิสูจน์หนึ่งแห่งแรงศรัทธา และเพื่อหยุดยั้งกำลังแห่งปัญญาของตนให้อยู่แต่เพียงนี้ก่อน

อย่าลืมว่าในบรรดาคุณสมบัติหนึ่งของผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น สามารถที่ทำการน้อมใจจุติจากภพนั้น ๆ ก่อนอายุขัยของตนจะหมดลงได้ เพื่อปรารถนาบำเพ็ญบารมีต่อไป โดยไม่เสียเวลาติดขัดอยู่กับสวรรค์หรือโลกมนุษย์หรือชั้นพรหมโลกมากเกินไป ซึ่งคนทั่วไปที่บารมี่อ่อนแอจะไม่สามารถทำได้ เหตุผลนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่าการตัดเศียรถวายพระพุทธเจ้านั้นไม่เป็นบาป(สำหรับผู้ปรารถนาพุทธภูมิ) ทั้งยังมีแรงส่งไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์อีกด้วย

เรื่องเหล่าฟังดูก็เป็นมุมมองอีกมุมหนึ่งซึ่งพิศดาร แต่คงจะขัดต่อความรู้สึกของเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่มากก็น้อย

แต่สำหรับวิสัยแห่งมหาบุรุษแล้วนั้น เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปกติ ธรรมดามาก ๆ ครับ




 

Create Date : 16 มีนาคม 2552    
Last Update : 16 มีนาคม 2552 8:04:08 น.
Counter : 1898 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.