พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาถึงความจริงของชีวิตอยู่เสมอว่า สรรพสัตว์และ สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน มีเกิด แก่ เจ็บ และตายไปเป็นธรรมดา จึงควรที่เราจะใช้ชีวิตที่มีอยู่นั้นให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด โดยนำสิ่งต่างๆ ที่เรามีออกทำประโยชน์ โดยไม่เพียงเฉพาะให้เกิดประโยชน์ตน ยังจะต้องเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นและสังคมอีกด้วย เพราะสมบัติสิ่งของต่างๆ ที่ถูกสมมติว่า เป็นของเรานั้น แท้จริงแล้วเราเป็นเพียงผู้รักษา และมีสิทธิ์ใช้สมบัติได้ต่อเมื่อเรามีชีวิตอยู่เท่านั้น เมื่อเราตายไป สมบัตินี้ก็เปลี่ยนเจ้าของ ไม่สามารถติดตามเราไปได้
ศีล-สมาธิ-ปัญญา คือเครื่องกั้นไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของสิงห์ร้ายอันได้แก่ กิเลส ตัณหา และความปรารถนานานาทั้งปวง ศีลและศาสนาจึงเปรียบดังเกราะที่คุ้มครองมนุษย์ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายดังภาพ
.......กิเลสเครื่องเศร้าหมองที่เป็นตัวบั่นทอนคุณภาพใจของเรานั้น อุปมาเหมือนกับเชื้อโรคที่เป็นเหตุให้ เราเจ็บไข้ไม่สบาย ซึ่งเชื้อโรคนั้นยังแบ่งออกได้เป็นอีกหลายชนิด แต่ละชนิดก็ก่อให้เกิดโรคที่มีอาการ แตกต่างกันไป กิเลสในใจคนก็เช่นกัน มีประเภทที่แตกต่างกันถึง 3 ชนิด (สิงห์ร้ายทีอาจกัดกินมนุษย์) คือ
1. โลภะ คือ ความโลภ ความอยากได้ของผู้อื่น
2. โทสะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท อาฆาตผู้อื่น
3. โมหะ คือ ความหลง ความไม่รู้ไปตามความเป็นจริง
การรักษาศีล สมาธิและปัญญานั้นสามารถปฎิบัติได้เองที่บ้านหรือศึกษาจากครูอาจารย์ที่เป็นพระแท้ๆ เท่านั้น ในสายพระป่าที่เคร่งครัดนั้นท่านให้ฝึกสติปัฏฐาน4 และ เจริญปัญญาจาก อริยสัจ 4 เพื่อสร้างเกราะคุ้มครองภัยจากสิงห์ร้ายทั้งสาม ครับ