อุตสาหกรรมพลังงานทดแทนนั้นจะมีศูนย์เรียนรู้พืชพลังงานทดแทนครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ คือเริ่มจากการคัดเลือกที่ดิน คัดเลือกสายพันธุ์ การเตรียมดิน การเตรียมระบบน้ำการปลูก-ดูแล การเก็บเกี่ยว และการแปรูป การใช้ประโยชน์ผลิตภัณฑ์
แผนงานพัฒนาและยกระดับรายได้-คุณภาพชีวิตประชาชน
โรงงานไฟฟ้าก๊าซชีวภาพขนาด 1เมกกะวัตต์ จะใช้เงินส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชพลังงาน 17.20 ล้านบาท ขอสนับสนุนจากภาครัฐหรือเป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจาก ธกส เพื่อใช้เป็นงบส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรปลูกพืชพลังงาน จำนวน 50 ครัวเรือนพื้นที่ 1,000 ไร่ หญ้าพลังงานโตเร็วอายุ 50-60 วัน สนับสนุนให้เกษตรกรไร่ละ 17,202 บาทประกอบด้วย
- ค่าเตรียมดินและระบบน้ำ 8,760 บาท/ไร่
- ค่าท่อนพันธุ์ 3,542 บาท/ไร่
- ค่าปุ๋ย 2,300 บาท/ไร่
- ค่าฝึกอบรมพัฒนา 600 บาท/ไร่
- การพัฒนาฟาร์ม 2,000 บาท/ไร่
รวม 17,202,000 บาท/1000ไร่
เป็นการสนับสนุนลงทุนในครั้งแรกเท่านั้นเช่นเดียวกับการส่งเสริมการปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันของรัฐบาลที่ผ่านมา เงินกู้ส่วนนี้ไม่มี โอกาสเกิดNPLเพราะเกษตรกรมีสัญญาซื้อขายวัตถุดิบกับโรงงานไฟฟ้า-CBG หนึ่งครอบครัวหรือรวมตัวกันเป็นหนึ่งวิสาหกิจชุมชน กู้เงินไปลงทุน350,000บาทเพื่อปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เนเปียร์20 ไร่ และขายเป็นวัตถุดิบให้โรงงานพลังงานในชุมชน พวกเขามีศักยภาพในการส่งคืนเดื่อนละ10,000บาท จำนวน 36 เดือนก็หมดเงินต้นแล้ว( ดีกว่านโยบายจำนำราคาข้าวและรถคันแรกเสียอีก )
ผลประโยชน์ทีเกิดขึ้นต่อชุมชนต่อโรงไฟฟ้าขนาด1MW
1) ยกระดับรายได้เกษตรกรให้เที่ยบเท่าค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วัน
2) เพิ่มการมีงานทำในพื้นที่จากอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องด้านปุ๋ยชีวภาพไม่ต่ำกว่า 20 คน
3) เพิ่มทักษะฝีมือแรงงงานในด้านการเพิ่มมูลค่าการเลี้ยงปศุสัตว์ในชุมชนอีกไม่ต่ำกว่า 50 คน
4) ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคงไม่ต่ำกว่า 100 ครอบครัว
5) สร้างกระบวนการบูรณาการความร่วมมือของชุมชน มีเงินหมุนเวียนในชุมชน 20-30ล้านบาทต่อชุมชน ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้และลดปัญหาความยากจน
6)ลดการเคลื่อนย้ายแรงงานเกษตรกร ในท้องถิ่นเข้าสู่เมืองหรือโรงงานอุตสาหกรรม
เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกพืชพลังงาน เนื้อที่ 20 ไร่ ปลูกหญ้าพลังงานโตเร็วอายุ 50-60 วัน เกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ยจากการปลูกพืชพลังงาน 280,000 บาท/ครัวเรือน/ปี (ผลผลิตหญ้า40ตันต่อไร่ต่อปี ราคา400บาทต่อตัน) หักต้นทุนแล้วมีกำไรขั้นต้นจากการปลูกพืชพลังงาน 140,000 บาท/ครัวเรือน/ปี หรือมีรายได้จากการปลูกพืชพลังงาน 6,000 บาท/คน/เดือน ซึ่งมีรายได้เทียบเท่ารายได้ขั้นต่ำวันละ 300 บาท ตามนโยบายของรัฐบาล และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯจะมีรายได้สูงกว่าการปลูกพืชไร่ชนิดอื่นๆ
สมมุติฐาน : วิสาหกิจชุมชนพืชพลังงานผลิตไฟฟ้า 10,000 เมกะวัตต์/5 ปี
1. โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานขนาด 1 เมกะวัตต์
1)เวลาทำงาน 360 วัน
2)ผลิตก๊าซชีวภาพ(Biogas) 4.00 ล้าน ลบ.ม./ปี
3)ขายไฟฟ้าสู่ระบบจำหน่าย 7.00 ล้านหน่วย/ปี
4)ความต้องการหญ้าสดเข้าระบบ112 ตันสด/วัน(40,000 ตัน/ปี)
5)อัตราการผลิตก๊าซชีวภาพจากถังหมัก 100 ลบ.ม./ตันสดหญ้า
6)ปริมาณปุ๋ยอินทรีย์(Solid)ที่ได้จากระบบ 15.2 ตัน/วัน(5,500 ตัน/ปี)
2. รายได้เกษตรกรต่อครัวเรือน(2 แรงงาน)
1) พื้นที่ปลูกหญ้าพลังงาน 20 ไร่/ครอบครัว
2) ผลผลิตหญ้า 40 ตัน/ไร่/ปี
3) ราคาจำหน่ายหญ้าสด ณ ฟาร์ม400 บาท/ตัน
4) ต้นทุนการปลูกหญ้า 171 บาท/ตัน
5) รายได้รวม 320,000 บาท/ปี
6) ค่าใช้จ่ายรวม 137,200 บาท/ปี
7) กำไรสุทธิ 15,233 บาท/ครอบครัว
@7,617 บาท/คน/เดือน
@292 บาท/คน/วัน
3. ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ 10,000 เมกะวัตต์ (adder 4.50 บาท/หน่วย)
1)ภาคการเกษตรมีการส่งเสริมปลูกหญ้าพลังงาน 10 ล้านไร่ จะทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายหญ้าพลังงาน 160,000 ล้านบาท/ปี ครัวเรือนเกษตรกรมีกำไรจากการปลูกพืชพลังงาน 3,500 บาท/ไร่/ปี (อ้อยกำไร 2,000 บาท/ไร่/ปี, มันสำปะหลัง กำไร 2,000 บาท/ไร่/ปี) การปลูกพืชพลังงานจะไม่มีความผันผวนด้านราคา
2)ภาคอุตสาหกรรมเกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมผลิตพลังงานทดแทนมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท เป็นโรงไฟฟ้าสีเขียวที่มีเสถียรภาพในด้านวัตถุดิบเป็นอย่างมาก และมีปุ๋ยอินทร์ที่เหลือจากกระบวนการผลิตก๊าซชีวภาพจำนวน 55 ล้านตัน/ปี คิดเป็นมูลค่าได้ 110,000 ล้านบาท/ปี
3)ด้านพลังงาน การผลิตก๊าซชีวภาพจะสามารถทดแทนการนำเข้าพลังงานและสร้างพลังงานเสรี ดังต่อไปนี้ : ก๊าซชีวภาพ 1 ลบ.ม. เทียบเท่าก๊าซหุงต้ม 0.46 กิโลกรัม, น้ำมันเบนซิน 0.67 ลิตร, น้ำมันดีเซล 0.60 ลิตร, น้ำมันเตา 0.55 ลิตร, ฟืนไม้ 1.50 กิโลกรัมและไฟฟ้า 2 หน่วย
โอกาสดีมาถึงแล้ว ลุกขึ้นมาทำเถอะจะได้ไม่เสียของและเวลาทีผ่านไป ลูกหลานไทยจะจารึกว่าท่านเป็นผู้กล้าหาญในการทำคุณงามความดีเพื่อแผ่นดินนี้ครับ