วิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียว 10,000 เมกกะวัตต์ เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและเพิ่มผลผลิตการเกษตร ?
มีคำถามมากมายกรณี รมว.กระทรวงพลังงาน ประกาศส่งเสริมพลังงานสีเขียวในการผลิตไฟฟ้าและ CBG จำนวน 10,000 เมกกะวัตต์ ใช้พื้นที่ปลูกหญ้าพลังงาน ประมาณ 7 ล้านไร่ จะไปแย่งพื้นที่ปลูกพืชอาหารและอาจทำให้ประเทศไทยเกิดวิกฤติด้านอาหารขึ้นมาได้ จะเป็นความจริง-เท็จ เป็นอย่างไรนั้น ...ขณะนี้พวกเราต่างทราบกันดีว่าประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤติด้านพลังงาน และกำลังเกิดความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรมพลังงานดังนี้
1.เรานำเข้าพลังงานจากแหล่งต่างๆทั่วโลก โดยส่งออกสินค้าเกษตรในราคาถูกเพื่อเอาเงินมาซื้อพลังงานราคาแพง มาบริโภคในอัตราสูงกว่าร้อยละ 10 ของ GDP มูลค่าตลาดของพลังงานนำเข้าและในประเทศน่าจะสูงถึง 4 ล้านๆบาทหรือ ร้อยละ 40 ของ GDP หรือสูงกว่างบประมาณประจำปีของรัฐบาล (เฉพาะยอดขายรวมของ ปตท.ปี2555 ประมาณ 2.4 ล้านๆบาท )
2.ประเทศเราพึ่งพิงการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพือนบ้าน อาทิเช่น ลาว มาเลเซีย เป็นต้น
3.มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลสูงกว่าร้อยละ90ของการผลิตทั้งหมด (พลังงานทดแทน ร้อยละ2) ในขณะที่นานาประเทศต่างมองไทยในด้านการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
4.เมษายนปีนี้2556 ไฟฟ้าอาจจะดับบางพื้นที่และน่าจะไม่พอใช้เพราะเมียนมาร์หยุดส่งก๊าซธรรมชาติที่เป็นพลังงานสำคัญในการผลิตไฟฟ้าถึงร้อยละ 72
เหลียวหันกลับมาดูเกษตรกรและภาคการเกษตร ที่เป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้
1. ปี2552 อายุเฉลี่ยชาวนาไทยประมาณ 55 ปี กำลังเข้าสู่วัยชรา เป็นผู้ปลูกข้าวนาปี 3.4 ล้านครอบครัวและปลูกข้าวนาปรัง 4 แสนครอบครัวหรือเป็นชาวนาที่พอมีจะกินเพียงร้อยละ 12 เท่านั้น อีกร้อยละ 88 ต้องอาศัยน้ำฝนให้เทวดามาโปรดจึงจะได้ผลผลิตข้าวที่เอาแน่นอนไม่ได้ บางปีฝนทิ้งช่วงหรือโรคแมลงระบาดต้องไถทิ้งปลูกข้าว 2 ครั้งแต่ขายได้ครั้งเดียวจึงขาดทุนอย่างแน่นอน ถ้าไม่ปลูกข้าวก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะไม่มีตลาดรับซื้อพืชผล
2.นักการเมืองยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีวันอดข้าวหรือขาดข้าวบริโภคอย่างแน่นอน เพราะผลผลิตข้าวนั้นทะยอยออกสู่ตลาดเป็นระยะ รัฐบาลมีสตอ๊คมากพอทีจะบริโภคกันได้ตลอด แต่ทีบอกว่าไม่อดนั้น อาจไม่จริง ไม่ใช่อดเพราะไม่มีข้าวให้ซื้อกินแต่อดเพราะไม่มีเงินพอจะซื้อกิน และราคาข้าวแพงขึ้นจากราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นไม่ใช่ว่าเราผลิตได้ไม่พอกับความต้องการ
3. เปิดตลาดเสรี A.E.C. ภาคการเกษตรเราแข่งขันไม่ได้อย่างแน่นอนทั้งเรื่องต้นทุนสูงและผลผลิตต่ำจาก ดิน น้ำ ป่าไม้ และระบบนิเวศน์ที่เปลี่ยนไป เฉพาะดินการเกษตรบ้านเราที่ใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงกันมานานจะพบว่าดินเสื่อมสภาพ เป็นดินกรดและขาดอินทรีย์วัตถุถึงร้อยละ70 ปลูกอะไรก็ไม่งามหรือผลผลิตต่ำและต้นทุนสูงกว่าเพือนบ้าน โอกาสจะมีรายได้เป็นค่าแรงวันละ 300 บาทตามนโยบายรัฐบาลนั้น คงต้องรอชาติหน้า
4.เจ้าสัวธนินท์ บรรยายเมื่อ เมษายน 2551 บอกว่าที่นาเราขณะนี้ 67 ล้านไร่ (ผลผลิตเฉลี่ย 400 กก.ต่อไร่ต่อปีหรือผลผลิตรวมข้าวเปลือก 27 ล้านตัน ) ไม่ต้องทำนาทั้ง 67 ล้านไร่หรอก หากมีระบบชลประทานทำนาปีละ 3 ครั้ง ผลผลิตแค่ไร่ละ 800 กิโลกรัมต่อรอบ หรือไร่ละ 2400 กก.ต่อปี ใช้พื้นทีปลูกแค่ 25 ล้านไร่ ก็จะได้ข้าวเปลือกปีละ 60 ล้านตัน คิดเป็นสองเท่าของผลผลิตข้าวในปัจจุบัน มากพอที่จะเอาไว้ใช้กินเอง บวกมีเหลือส่งออกได้อีก 12 ล้านตัน.... พื้นที่เคยปลูกข้าวยังเหลืออีก 40 ล้านกว่าไร่ เสนอให้ปรับที่นาเอาไปปลูกยางพารา 30 ล้านไร่ และอีก 12 ล้านไร่เอาไปปลูกปาล์มน้ำมัน ...ผลผลิตการเกษตรไทยเปรียบเสมือน น้ำมันบนดิน และประเทศไทยมีความได้เปรียบจึงจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากพืชพลังงาน
จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ถ้ามีพลังงานสีเขียว 10000 เมกกะวัตต์ ใน 5 ปีนี้
1. กระจายเงินลงทุนสู่ชนบท ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านๆบาท กรณีคิดเงินลงทุน 100 ล้านบาทต่อ 1 แห่ง จะเอาเงินมาจากใหนนั้น น่าจะเป็นดังนี้ รัฐบาลออกพันธบัตรพลังงานสีเขียว 3 แสนล้านบาท กลุ่มผู้ค้าพลังงานฟอสซิลที่สร้างก๊าซเรือนกระจกได้แก่ ปตท.+กฟผ.+ กฟภ. ร่วมลงทุน 3 แสนล้านบาท และ ภาคเอกชนร่วมลงทุนอีก 6 แสนล้านบาท
2. เกิดการจ้างและรายได้เกษตรกรทั่วประเทศดังนี้ โรงงานขนาด 1 เมกกะวัตต์ ใช้หญ้าพลังงาน 40000 ตันต่อปี รับซื้อราคาตันละ 300 บาท หรือ 12 ล้านบาทต่อปี จำนวน 10000 แห่ง=มูลค่าซื้อหญ้าพลังงาน 120000 ล้านบาทต่อปี หรือ ร้อยละ 12 ของ GDP ภาคเกษตรขณะนี้ เงินจำนวนนี้ผู้บริโภคพลังงานไฟฟ้าและ CBG เป็นผู้จ่าย ไม่มีภาระกับรัฐบาลเหมือนการรับจำนำและการประกันราคาสินค้าเกษตร
3.เกิดฐานเศรษฐกิจใหม่และพลังทางเศรษฐกิจตามทฤษฎี INVISIBLE HAND ในการพัฒนาประเทศไทยสู่พลังงานยั่งยืน ไทยช่วยไทย เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ.
ข้อมูลเพิ่มเติม //clip.thaipbs.or.th/home.php?vid=5043&ap=flase
ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [
