ถ้าขจัดความกลัวออกไปได้ ไม่นานความสำเร็จก็จะตามมา

<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
25 พฤศจิกายน 2555
 

อดีตรักเหมืองป่า บทที่ 25




ภายหลังหน่วยจรยุทธ์ของสหายสุภาพถอนกำลังออกไปแล้ว พวกเหมืองที่อยู่ต้นน้ำก็หอบข่าวมาเล่าให้พวกเราฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับเดินเหยียบรอยหมี รอยเสือ กลางป่า หญิงหมอนตาเบิกโพลงด้วยความสนใจ เพราะที่ผ่านมาผมกับสาวบัวปิดปากเงียบ

"พวกเขาพูดอะไรให้ฟังบ้าง?" หญิงหมอนถามผู้เล่าซึ่งเป็นชายวัยกลางคน 2 คน แวะมานั่งกินหมากสูบยาและพูดคุยตามประสาชาวเหมืองด้วยกัน ชายทั้งสองบอกว่าไม่ได้ซักถามกันกี่คำ เพราะดูเหมือนพวกเขากำลังรีบ

"นึกว่าเขาชักชวนพวกน้าให้เข้าคอมฯเสียอีก"

"ไม่หรอก" ชายคนหนึ่งพูด "ถามทุกข์สุขกันคำสองคำแล้วเขาก็ขอตัว แต่ก็บอกว่าวันหลังค่อยเจอกันใหม่"

"เขาพูดอย่างนั้นจริงหรือ? ไอ้คล่อง" ลุงทองถาม "งั้นก็แสดงว่าไม่นานก็คงกลับมาอีก ดีเหมือนกัน กูจะไปดูหน้าพวกมันสักหน่อย ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเห็นหน้าพวกคอมฯเลย"

"มันก็คนเหมือนเรานี่แหละพี่ทอง" ชายคนชื่อคล่องพูดกับลุงทอง "บางคนหน้าตาซีดเซียวเหมือนเพิ่งฟื้นจากไข้"

"เห็นเขาว่าหน้าตามันดุเหมือนโจร" ลุงทองว่า

"โอ้ย ดุเดอะอะไรกัน- -เท็จทั้งเพ หล่อเหมือนพระเอกหนังก็มี บางคนหน้าตายังเด็กอยู่เลย... ผิวขาวเหมือนลูกเจ๊ก... ฉันว่าเจ้าคนนั้นอายุไม่น่าเกินสิบเก้า หรือยี่สิบ- - ประมาณน้องคนนี้แหละ" เขาชี้มาทางผม และนิ่งมองผมครู่หนึ่ง...

ผมหันไปสบตากับสาวบัว ก็พบกับร่องรอยความขบขันปรากฏอยู่ในแววตานั้น ผมยิ้มให้หล่อน นึกขอบใจที่เก็บความลับไว้ได้

การประโคมข่าวโจมตีลัทธิก่อการร้ายของวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ กระบอกเสียงของรัฐบาล มีขึ้นตลอดเวลาจนกลายเป็นเรื่องฟุ้งเฟ้อ ทำให้สาวบัวและใครต่อใครในเหมืองฟังกันจนชินหู และผิดหวังเมื่อได้เจอของจริง ภาพบิดเบี้ยวที่ภาครัฐกำลังแต่งแต้มให้ดูน่ากลัว กลายเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะเยาะและพุ่งกลับไปหาฝ่ายรัฐบาลทันที เพราะคอมมิวนิสต์ก็คือบุคคลธรรมดาสามัญเหมือนอย่างเรา ๆ ไม่ได้ดุร้ายเหมือนยักษ์มารหรือเป็นพวกอันธพาลที่ไหน แถมพูดจาสุภาพ มีสัมมาคารวะ ไม่มีข่มขู่หรือเกณฑ์บังคับเหมือนอย่างโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายรัฐบาลแต่อย่างใด

หากแต่นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกกังวลเหลือเกิน ดีไม่ดีเมื่อหน่วยจรยุทธ์ชุดนั้นย้อนกลับมา... แล้วผู้คนในเหมืองต่างพากันเข้าร่วมกับพวกเขาก็คงจะยุ่งกันใหญ่

สาวบัวก็คงไม่ต่างจากผม เพราะบ่อยครั้งที่ผมเห็นหล่อนพยายามพูดคุยกับหญิงหมอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งดูเหมือนหญิงหมอนเธอจะสนใจเป็นพิเศษ เธอจะคอยติดตามข่าวการเคลื่อนไหวสู้รบของทั้งสองฝ่ายอยู่เสมอ และที่สำคัญเมื่อยามปลอดคนเธอก็มักจะเปิดวิทยุเสียงประชาชน ซึ่งเป็นกระบอกเสียงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ส่งกระจายเสียงมาจากเมืองคุนหมิงในประเทศจีนฟังอยู่บ่อย ๆ

"น้องหมอนสนใจเรื่องการเมืองดีจัง" ผมพูดกับเธอ "แต่ต้องระวังไว้บ้าง เผื่อคนอื่นได้ยินเข้า เขาจะหาว่าเราฝักใฝ่"

"ฉันเพียงอยากรู้ความจริงเท่านั้น" เธอว่า "นุ้ยพอจะมีความรู้เรื่องคอมมิวนิสต์อยู่บ้างไม่ใช่หรือ คุยให้ฟังบ้างสิ"

"แค่งู ๆ ปลา ๆ" ผมพยายามออกตัว แต่ก็ไม่อยากขัดใจ "ว่าแต่น้องหมอนอยากรู้เรื่องอะไรเล่า?"

"ก็อยากรู้ว่า ทำไมถึงต้องมีพรรคคอมมิวนิสต์? พวกเขามีดีอย่างไร?" หญิงสาวพูดขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้ และตั้งความหวัง... อย่างไรเสียผมคงจะต้องถ่ายทอดความรู้ให้เธอแน่ เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เธอจะได้รับรู้พื้นฐานของสิ่งเหล่านั้นเสียบ้าง อย่างน้อยก็เท่ากับสร้างประสบการณ์ทางความคิด ไม่ต้องรอให้เธอต้องขวนขวายใฝ่หาด้วยตนเอง... ซึ่งอาจจะดิ่งลึกไปกันใหญ่

แต่ผมจะยกย่องตนเองได้อย่างไรว่า มีความรอบรู้อย่างลึกซึ้งกับลัทธิการปกครองระบอบนี้ เพราะจริง ๆ แล้วผมเพียงแค่นักศึกษาวิชาครูคนหนึ่งที่ชอบเสาะหาความรู้ใส่ตน ลัทธิคอมมิวนิสต์ในกระบวนการใฝ่รู้ของผมอาจผิดแผกไปจากกระบวนการเสาะสัมผัสของพวกเขาก็ได้

ผมจึงรู้สึกหนักใจไม่น้อย แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นแก่เธอ...

" ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง ผมจะพูดให้ฟัง แต่ขอแบบคร่าว ๆ ก่อนนะ..." จากนั้นผมก็คิดหาวิธีสาธยาย ที่คิดว่าน่าจะรวบรัดและเข้าใจง่าย เกี่ยวกับความเป็นมาของลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยเท่าที่ผมได้อ่านและศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราเมื่อครั้งเรียนอยู่ วค.ปีแรกให้เธอฟังจนจบสิ้น

เมื่อฟังผมพูดจนจบ กรามสองข้างของหญิงหมอนก็บดเข้าหากันเป็นสันนูน สายตาเหม่อลอยออกไปไกล

"แสดงว่ารัฐบาลของเราเป็นสุนัขรับใช้อเมริกาจริง"

ผมสังเกตอากัปกิริยาของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงพูดกับเธอว่า "ถ้าจะให้ดี น้องหมอนควรศึกษาระบอบการปกครองที่เหนือกว่า ระบอบคอมมิวนิสต์ หรือ ระบอบประชาธิปไตย อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ควบคู่ไปด้วย"

"ยังมีลัทธิการปกครองอย่างอื่นที่เหนือกว่าลัทธินี้อีกหรือ?"

"มีสิ" ผมพยักหน้า และบอกเธอว่า "ถ้าสังคมมนุษย์ถูกปกครองโดยลัทธิที่ว่านี้เมื่อใด โลกก็จะสงบ ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกันให้เดือดร้อนทุกข์ยากอย่างนี้หรอก แล้วโลกก็จะเกิดสันติภาพอย่างถาวรขึ้นมาทันที เพราะมนุษย์ทุกคนต่างก็จะมีค่าตามที่เกิดมาอย่างเท่าเทียมกัน คือ มีค่าในจิตสำนึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งนั้น จะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แต่จะแบ่งปันกันด้วยความยุติธรรมในทุก ๆ ด้าน"

"ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้กับเขาเลย"

"อาจเคยได้ยิน แต่ไม่ได้ใส่ใจต่างหาก เพราะคำสอนลัทธินี้ขาดการส่งเสริมจากรัฐบาล และถูกคัดค้านจากคอมมิวนิสต์ โดนเฉพาะพวกนักวิชาการ ซึ่งบางคนถึงกับหาว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันไปก็มี..."

"จริงหรือ-นุ้ย?" หญิงหมอนจ้องหน้าผม "ลัทธิอะไรอีกเล่า ที่เหนือกว่านั้น"

"จริงล้านเปอร์เซ็นต์" ผมยืนยัน พร้อมทั้งบอกที่มาที่ไปของลัทธิการเมือง และอุดมคติทางการเมืองในแนวทางพระศาสนา "มีพระสงฆ์ผู้น่าเคารพเลื่อมใสท่านหนึ่ง ได้รวบรวมหลักคำสอนของพุทธองค์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันของมวลมนุษย์ เพื่อความผาสุขและสันติภาพอย่างถาวรเข้าไว้ด้วยกัน โดยท่านได้ตั้งชื่อหัวข้อหลักธรรมนั้นว่า "ธรรมะกับการเมือง" รู้สึกว่าที่บ้านผมจะมีอยู่สักเล่มสองเล่ม ประเดี๋ยวกลับไปเที่ยวนี้แล้วจะเอามาให้อ่าน น้องหมอนจะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย จึงจะเข้าใจหลักการเป็นอยู่ของสังคมมนุษย์ตามที่เป็นจริง และควรจะเป็น ได้อย่างถูกต้อง"

เมื่อพูดผมจบ ผมก็ค่อยโล่งใจ ที่เห็นหญิงหมอนเธอให้ความสนใจใคร่รู้ ไม่แพ้เรื่องราวเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ที่ผมเล่าอย่างรวบรัดจนจบไปก่อนหน้านี้แล้ว แม้จะกังวนอยู่บ้าง กับความยาก-ง่ายในเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้น ซึ่งเกรงว่าเธอจะตีความหมายคำบางคำไม่ออก เพราะหนังสือธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาสชุดนั้น ค่อนข้างจะมีศัพท์แสงทางการเมืองและธรรมะชั้นสูงปะปนอยู่ในเนื้อหาพอสมควร ผู้ผ่านการศึกษาระดับชั้นประถมปีที่ 7 อย่างหญิงหมอน คงต้องอาศัยพี่เลี้ยง จึงจะสำเร็จประโยชน์จากการอ่านและเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง

ผมจึงคิดหาพี่เลี้ยงให้เธอ... แน่ล่ะ นอกจากสาวบัวพี่สาวของเธอแล้ว จะเป็นคนอื่นไม่ได้เลย


บ่ายวันหนึ่ง หลังเลิกงาน ผมกับสาวบัวชวนกันไปอาบน้ำที่ลำธารหน้าทับ เราผลัดกันใช้หินน้ำนมก้อนขาว ๆ ขัดถูขี้ไคลและฟอกสบู่ให้กันอย่างมีความสุข สายน้ำไหลซ่านซ่า สาวบัวมีสีหน้าอิ่มเอิบ และยิ้มเบิกบานตลอดเวลา ขณะที่ผมกลับรู้สึกกังวนกับการพยายามชักจูงและเปลี่ยนแนวความคิดทางการเมืองของหญิงหมอนอยู่ไม่คลาย จนทำให้หล่อนสงสัย

"กลัวจะกลับไปเข้าห้องเรียนไม่ถูกหรือยังไง?" สาวบัวพูดแล้วหัวเราะคิก ๆ "ตาลอยเชียว คิดอะไรอยู่หรือ บอกบัวได้ไหม?"

ผมเอื้อมมือขวาออกไปหมายคว้าหล่อนมากอด แต่ไม่สำเร็จ เพราะฟองสบู่ขาว ๆ เกาะติดตามเนื้อตัวหล่อนทำให้ลื่นจับไม่อยู่ ผมจึงแก้เขินด้วยการวิดน้ำใส่ แต่สาวบัวก็สู้ยิบตา หล่อนวิดน้ำสาดกลับมาทางผมบ้าง เราสองคนจึงกลายเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เล่นสาดน้ำเข้าใส่กันอย่างดุเดือดเหมือนเมื่อสมัยก่อน... กระทั่งเหนื่อยหอบ...ซี่โครงพะงาบ ๆ ก็หยุดนั่งแช่น้ำ - -จ้องตากัน ผมจับมือสาวบัวขึ้นมาประจงจูบทั้งสองข้างด้วยความรักใคร่ แล้วชวนกันกระเถิบไปนั่งบนก้อนหินใหญ่กลางลำธาร

เกลียวน้ำใส ๆ ไหลเชี่ยวลงไปด้านล่าง แลคดเคี้ยวเป็นทางไปท่ามกลางแมกไม้กอหญ้าสองริมฝั่ง ผีเสื้อสีสวยบินวาบวับอยู่เหนือยอดไม้และดอกไม่สีสวย เสียงน้ำไหลกระทบแก่งหินซ่านซ่า ลมเย็น ๆ โชยพลิ้ว พัดพากลิ่นพฤษชาติในป่าหอมอบอวล

ผมช้อนสาวบัวขึ้นมานั่งบนตัก สอดมือสองข้างกอดรัดมิให้หล่อนดิ้นหนีหลุดไปได้

"กลับไปเรียนหนังสือเที่ยวนี้ ห้ามวอกแวกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอีกนะ" สุดที่รักของผมพูดขึ้นเบา ๆ "บัวอยากอยู่ใกล้ชิดกับนุ้ยอย่างนี้เรื่อยไป"

"เช่นเดียวกัน" ผมก้มลงจูบแก้มหล่อนเสมือนให้คำมั่นสัญญา "แต่ว่าต่อไปนี้ ป่าดงแห่งนี้ต่างหากที่น่าเป็นห่วง"

"เรื่องคอมฯ นั่นหรือ?"

"ใช่" ผมตอบ "ถ้าหากพวกเขาเคลื่อนไหวปลุกระดม อย่างน้อยน้องหมอนคนหนึ่งล่ะที่มีสิทธิ์เอนเอียงไปทางฝั่งเขา"

"บัวก็สังเกตเหมือนกัน" สาวบัวถอนใจใหญ่ "หมู่นี้เห็นเธอชอบเปิดวิทยุจีนแดงฟังอยู่เรื่อย นุ้ยเจอเหมือกันหรือ?"

"ครั้งสองครั้ง" ผมตอบ "แต่ผมได้พยายามโน้มน้าวให้เธอเข้าใจความจริงบางด้านของคนเราให้เธอรับรู้บ้างแล้ว แต่ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่า เพราะดูท่าทางเธอจะศรัทธาเอามาก ๆ เลยทีเดียว"

"นั่นนะซี - - อ๋อ เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่ไหมเล่า ที่นุ้ยนั่งซึมไปเมื่อตะกี้?"

"ผมเป็นห่วง กลัวเธอจะด่วนตัดสินใจโดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน"

"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็คงต้องพาหนี" สาวบัวพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"หนีไปไหน" ผมว่า"หนีไม่พ้นหรอก!"

ผมพูดพลางเล่นพลางจริง และรู้สึกขบขันเมื่อนึกถึงบทหนังตะลุง ของหนังประเคียง ระฆังทอง ศิลปินของประชาชน ในหน่วยศิลปวัฒนธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตงานภาคใต้...

แล้วในที่สุดผมก็ขับบทหนังตะลุง ‘หนีไม่พ้น’ ของท่านให้สาวบัวฟัง

สาวบัวนั่งฟัง... ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง...อย่างถูกใจ

(ขอกราบคาระแด่ดวงวิญญาณศิลปินของประชาชน-นายหนังตะลุง อาจารย์ประเคียง ระฆังทอง กระผมพลอยพนม กราบขออนุญาตนำบทกลอนหนังตะลุงของท่านมาเผยแพร่ เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้อนุชนรุ่นหลังได้จดจำสืบไป)


****************************************



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2555 18:34:21 น. 0 comments
Counter : 744 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

หลวงเส
 
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add หลวงเส's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com