
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 1
บทที่ 1 พญานาคเล่นน้ำ

เรื่องเชย ๆ ที่จะเล่าต่อไปนี้ ส่วนหนึ่งจำลองมาจากเสี้ยวชีวิตจริงของบุคคลผู้หนึ่ง ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็น 'ผม' (ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวละครผู้นั้น) เป็นผู้เสริมแต่ง เพื่อประสงค์จะให้เป็นนิยายตามแต่โอกาสและความพร้อม อันหมายถึงช่วงปลอดภารกิจพอที่จะนั่งทบทวนความหลังอันรื่นรมย์ออกมาได้ แม้บั้นปลายของความหลังดังกล่าว ที่เริ่มต้นด้วยความรื่นรมย์นั้นจะต้องกลายเป็นเศร้ารัดทด แต่มันก็คืออดีตที่ฝังแน่นในความทรงจำที่ผมมิอาจจะลืมได้เลย
ผมจำได้ว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นขณะผมเป็นนักศึกษาวิชาครูปีแรกอยู่ที่วิทยาลัยครูเก่าแก่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของภาคใต้ และเป็นช่วงที่วิทยาลัยประกาศปิดภาคเรียนภาคสุดท้ายของปี-ผมเดินทางกลับบ้าน ซึ่งขณะนั้นยังมีสภาพเป็นป่าดงพงไพร พอตกกลางค่ำกลางคืนก็มีโขลงช้างป่าออกหากินอยู่ริมชายคาของชาวบ้าน และวันดีคืนดีมันก็ดีดลูกแปใส่ชายโครงของชายแก่คนหนึ่ง กระดูกซี่โครงหักไปสามซี่ แต่เคราะห์ดีที่เผอิญรถกรมทางแล่นผ่านมา ช้างป่าตกใจเตลิดเข้าดงลึก พวกพนักงานกรมทางที่ติดมากับรถจึงช่วยกันหามร่างที่โชคเลือดไม่ได้สติของชายแก่ใส่รถพาไปส่งโรงพยาบาล
ทว่าเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดขึ้นคราวนั้น แทนที่จะมีใครหวาดกลัว และคิดสงสารชายแก่ผู้นั้นสักคนก็หาไม่ กลับเห็นเป็นเรื่องตลก และพากันหัวเราะชอบใจ เพราะว่ากันว่า เหตุที่แกโดนช้างป่าถีบเอานั้น ก็เพราะตัวแกได้ผิดคำสาบานต่อแม่ศรีเรือน แอบขับมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งออกจากบ้าน หวังจะไปหาภริยาน้อยที่พำนักอยู่ซีกเขาฝั่งโน้นในเวลาดึกดื่น ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ช้างป่ายกโขลงออกมาหากินกันพอดี ชะรอยคงจะมีช้างตัวหนึ่งตัวใดภายในโขลงนึกรำคาญเสียงมอเตอร์ไซค์ของแกที่ดังหวีดแหลมแสบแก้วหู ความหวังที่แกจะได้ไปเล่นจ้ำจี้จำไชกับแม่หวานใจ ซึ่งผัดหน้าทาแป้งรออยู่ก็พังพินาศ เพราะแกต้องไปนอนในห้องผ่าตัดให้หมอที่โรงพยาบาลผ่าชายโครงเพื่อที่จะดามกระดูกซี่โครงที่หักไปสามซี่นั้นแทน
และนับตั้งแต่นั้น บริเวณที่ตาเฒ่าจอมเจ้าชู้โดนช้างถีบ ใคร ๆ ก็พากันขนานนามว่า"ควนช้างถีบ"
"ควน" แปลว่า เนินเขา "ควนช้างถีบ" จึงพอที่จะแปลเป็นภาษากรุงเทพฯได้อย่างไม่ยากเย็นว่า บริเวณเนินเขาที่ชายแก่ผู้หนึ่งโดนช้างป่าถีบเอานั่นเอง
ผู้ที่จะเข้าป่าไปล่าสัตว์ ตัดหวาย ไปเจาะน้ำมันยาง เสาะหาสมุนไพร หรือเลยลึกไปขุดแร่ในดงเขายา อันเป็นป่าดงดิบตรงรอยตะเข็บติดต่อระหว่างจังหวัดพังงากับจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทุกคนก็จะต้องสัญจรผ่านช่องประตูป่าตรงบริเวณริมถนนฝั่งทิศตะวันออกของควนช้างถีบแห่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อตอนปิดภาคเรียนคราวนั้น ผมก็สะพายเป้ยังชีพท่องป่าเข้าไปขุดแร่ในดงเขายาร่วมกับเพื่อนๆ ของผมสองสามคน ผ่านเข้าป่าดงดิบทางช่องประตูป่าแห่งนี้เช่นกัน พวกเราเดินทอดน่องไปตามสันเขาที่คดเคี้ยวและยักขึ้นยักลงครึ่งค่อนวันก็บรรลุจุดหมายปลายทาง
ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก!
สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม ผมก็เคยดั้นด้นเข้าป่า ไปเสี่ยงโชคขุดหาทรัพย์ในดิน เสริมรายได้ระหว่างปิดภาคเรียน ที่ป่าดงเขายาแห่งนี้มาแล้วเหมือนกัน หากแต่คราวนั้นผมเดินทางเข้าไปอย่างเด็ก ๆ ติดสอยห้อยตามญาติผู้ใหญ่ ท่ามกลางภยันตรายในป่าพงไพร ผมก็ต้องอยู่ในความคุ้มครองดูแลของพวกเขา ไม่อิสระเสรีเหมือนเที่ยวนี้ ซึ่งประมาณตนว่าโตเป็นหนุ่มแล้ว และได้จัดกระบวนทัพแบกขนโสหุ้ยมากันเอง พวกผู้ใหญ่และคนเฒ่าคนแก่ ก็หอบสังขารแยกไปอยู่ในส่วนของเขา จะไปมาหาสู่กันบ้างก็เฉพาะเวลาว่างหลังเลิกงาน หรือวันหยุดพักผ่อนเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แม้งานขุดหาเม็ดแร่ที่ฝังอยู่ในกระสะซึ่งก็คือ หิน ดิน ทราย ตามริมคลอง หรือตามหุบเหวโดยทั่วไปจะเป็นงานหนัก สะกดเด็กหนุ่มอย่างพวกผมให้หลับผล็อยลงไปด้วยความอ่อนเพลียขณะเอนกายลงนอนในตอนหัวค่ำก็ตาม แต่ทว่าพอถึงคราวไก่ป่าขานขันตอนหัวรุ่ง พวกเราทุกคนก็กลับมีเรี่ยวแรงกระชุ่มกระชวย พลังวังชาทั่วทุกส่วนสัดของร่างกายกลับพากันเข้ม,และแข็งไปหมด
"ทำผีอะไร?"
ท่ามกลางบรรยากาศอันหนาวเย็นที่ต้องซุกตัวกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มนอน ผมผงกหัวขึ้นถามเพื่อนคนหนึ่งซึ่งนอนคลุมผ้าห่มอยู่ใกล้ ๆ
มันหัวเราะแหะ ๆ
"เขกหน้าแข้ง"
"อุบาทว์" คนที่นอนถัดไปพลิกตัวมาด่า พร้อมกับดึงผ้าห่มของเพื่อนคนนั้นให้เปิดขึ้น "อันเดียวเท่าแขน ไอ้บองหลาเอ๋ย ฮ่า ๆ -ไอ้นุ้ย-มึงไปเรียนหนังสืออยู่ในเมือง เคยแวะไปเที่ยวหญิงโรงแรมบ้างไหม?"
"สองสามหน" ผมตอแหล
"เห็นสวรรค์รำไรเหมือนอย่างเขาว่าจริงไหม?" ไอ้คนที่เขกหน้าแข้งตัวเองเมื่อครู่เลิกผ้าห่มหันมาถาม
"อ้าว! เวลาพวกมึงออกไปขายแร่ที่ตะกั่วป่า ทำไมไม่คิดจะลองดูบ้าง แถวนั้นก็มีหญิงโรงแรมนี่หว่า" ผมย้อน
มันหัวเราะ
"กลัวเป็นหนอง"
"ไอ้เปรต-มันขี้เท็จ-ไอ้นุ้ยมึงอย่าเชื่อมัน" เพื่อนอีกคนซึ่งตื่นมาได้ยินแล้วทนไม่ได้ จึงพูดสวนขึ้น "ไอ้ผีตัวนี้เวลาไปขายแร่แล้วหายหัวไปเป็นชั่วโมง พวกเรานั่งคอยที่คิวรถหลับเป็นตื่นมันก็ยังไม่โผล่หัวมา"
"กูเดินเที่ยว"
"เที่ยวเปรตอะไรของมึงเป็นชั่วโมง ๆ ?"
"กูหลงทาง-เดินกลับคิวรถไม่ถูก"
ไอ้บองหลาเล่นมุขหลบเลี่ยงจนผมอดหัวเราะไม่ได้
พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ครั้งแก้ผ้ากระโดดน้ำคลอง จริตนิสัยเป็นอย่างไร ล้วนรู้ไส้รู้พุงกันดี หากแต่ทั้งหมดที่นอนเรียงเป็นตับอยู่บนเสื่อเก่า ๆ ภายในทับนอนริมลำธารกลางป่าลึกในขณะนั้น ผมค่อนข้างมีภาษีกว่าพวกมันในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะความหล่อเหลาเงางาม เพราะชีวิตส่วนใหญ่ของผมหมกตัวอยู่แต่ในร่ม อย่างน้อยผิวพรรณก็ผุดผ่องดั่งทองทาและต้องตาอิสตรีมากกว่าพวกมันที่แต่ละคนดำเหนี่ยงเหมือนหัวตออยู่หลายขุม
วันนั้นเราตื่นกันแต่เช้า หลังจากช่วยกันล้างถ้วยจานและติดไฟก้อนเส้าหุงข้าวต้มแกงเสร็จแล้ว ก่อนกินข้าวเอาแรงออกไปขุดคุ้ยหินทรายในหน้าเหมือง ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจับไข้ พวกเพื่อนๆ เห็นอาการก็บอกให้หยุดพักอยู่ที่ทับนอนเสียสักวัน ผมจึงบอกพวกมันว่า
"พวกมึงไม่ต้องคดห่อ ประเดี๋ยวตอนเที่ยงกูจะเอาไปส่งเอง"
"ไหวเหรอ" เพื่อนคนหนึ่งถาม
"คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอก ประเดี๋ยวล่อพาราฯเข้าไปสักเม็ดสองเม็ดก็จบ"
พวกมันกินข้าวกินน้ำกันเสร็จก็ชวนกันไปลงงาน ผมหอบถ้วยจานที่ทุกคนกินเสร็จแล้วนำไปซ้อนวางกันไว้บนแคร่ไม้ไผ่ ตรงไปที่ลำธาร
ตรงนั้นมีแท่งศิลาสีดำคล้ำ กว้างใหญ่ ปูลาดเหมือนมีใครมาเทพื้นคอนกรีตไว้ให้ ผมวางถ้วยจานที่นำมาล้างลงบนพื้นศิลาปริ่มน้ำ แล้วทรุดตัวลงนั่งทอดหุ่ยใจลอย... ฟังเสียงชะนีกู่ร้องเรียกผัวดังโหยหวนอยู่บนเนินเขาใกล้ ๆ ในขณะที่พิษยาบรรเทาไข้ซึ่งตอกเข้าไปสองเม็ดเริ่มออกฤทธิ์ มันขับเหงื่อไหลเยิ้มและเหนียวหนืดไปทั้งตัว
ทั้งที่อากาศยามเช้ายังหนาวเย็น ทว่าความร้อนรุ่มจากฤทธิ์ยาก็ทำให้อยากอาบน้ำ หากแต่เกรงความไข้จะจู่โจมเล่นงานเข้าจริง ๆ ผมก็เลยไม่กล้า
"วันนี้ไม่ไปขุดแร่หรือ?"
ผมหันขวับ!
สาวบัวนั่นเอง! มายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ?
"ฉันเห็นพวกนั้นเดินผ่านหน้าทับ ไม่เห็นนุ้ยไปกับเขาด้วย..." หล่อนพูดเสียงหวาน
"รอให้ยาหมดฤทธิ์แล้วจะตามไป"
"อ้าว เป็นไข้หรือ?"
"ไม่หรอก" ผมพูดพลางหันกลับไปหยิบถ้วยจานทั้งหมดแช่ลงน้ำที่ตื้นแค่ศอก "คงเพราะเพิ่งเดินทางเข้าป่ามาใหม่ ๆ จึงครั่นเนื้อครั่นตัว กับปวดเมื่อยตามข้อนิดหน่อยเท่านั้น"
"ตายจริง" หม้ายสาวหันมาทำเสียงดุ "ยังจะมาถูกน้ำเย็น ๆ เข้าอีก ไม่ได้นะ ประเดี๋ยวเป็นไข้ขึ้นมาจริง ๆ - ถอยออกมา-พี่ล้างให้เอง-เธอกระเถิบไปนั่งตรงโน้น-ไป"
หญิงหม้าย-ลูกหนึ่ง ชี้ให้ผมขยับขึ้นไปนั่งบนแท่งศิลาอีกก้อน ซึ่งอยู่ถัดไปทางเหนือซักประมาณครึ่งวา แท่งศิลาก้อนนั้นรูปร่างคล้ายโซฟาตัวยาว ๆ แถมมีส่วนที่มองคล้ายพนักพิงผุดขึ้นมาชวนให้นั่งพักผ่อนอีกด้วย
ชะนีนางบนเนินไพรยังคงกู่ร้องโหยหวน ลมป่าพัดแผ่ว ผมสูดหายใจเก็บเกี่ยวความสดชื่นเข้าสู่ภายในอย่างลุ่มลึก... กระทั่งรู้สึกดีขึ้น เมื่อสายลมเย็นที่โชยมา ช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนจากพิษยาให้ผ่อนคลาย
สาวบัวนั่งยอง ๆ บนพื้นศิลาที่ทอดลาดลงสู่ผิวน้ำริมสายธาร หล่อนนั่งหันหลังให้ผม ขณะโน้มตัวก้มลงสาละวนอยู่กับถ้วยจานที่กำลังเช็ดล้างอยู่ในน้ำนั้น ตะโพกงอนผายภายใต้ผืนผ้าถุงปาเต๊ะลายดอกไม้รัดรูปแต่งตึงได้สัดส่วนของหล่อน ยวนยั่วสายตา ปลุกเร้าความหนุ่มของผมให้ขยับตัวและขยายพองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
"ไอ้โรคจิต!"
ผมเคยโดนเพื่อนหญิงในรั้วการศึกษาด้วยกันด่าตวาด ขณะเผลอตาจ้องมองเธอผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ประดับกายอยู่หลังฉากเวทีละคร ตอนที่เราเล่นละครเป็นคู่พระคู่นางกัน
ผมหัวร่อก้าก
"ตูดมึงสวยชิบหายเลยว่ะ"
"ไอ้เปรต-นี่แน่ะ..."
"โอ้ย!"
ผมรู้สึกจุกเสียดในช่องท้องจนหายใจไม่ออก เมื่อโดนลูกถีบของเพื่อนสาวคนนั้นส่งกระเด็นลงไปกองอยู่กับพื้น
ทว่าสาบานให้ตายโหงตายห่า!ในเก้าวันเจ็ดวันก็ได้ ขณะนั้นผมไม่มีความรู้สึกใด ๆ ในด้านลบกับเพื่อนหญิงคู่พระคู่นางของผมเลย
หากแต่บัดนี้ ท่ามกลามความอ้างว้างเดียวดาย ณ กลางป่าดิบ จิตใจของผมกำลังว้าวุ่นและฟุ้งซ่านระส่ำระสายสิ้นดี
หม้ายสาวล้างจานใบสุดท้ายเสร็จ... เธอก้มวักน้ำล้างหน้าเรียกความสดชื่นให้ตนเอง
"สาวบัว"
"จ๋า"
"ไอ้ตัวเล็กอยู่กับใคร" ผมหมายถึงลูกสาวอายุขวบกว่าของหล่อน
"ฝากแม่ไว้"
หล่อนลุกขึ้นยืน สอดปลายนิ้วมือสองข้างรวบเส้นผมอันดกดำเสยไปไว้ด้านหลัง พร้อมหมุนกายหันมาทางผม
"ถามทำไม"
"เปล่า- -เกรงว่าจะรีบกลับ" ผมหยั่งท่าทีแบบหมาหยอกไก่
"วันนี้หยุดพัก"
หล่อนทอดสะพาน และผมก็รีบเดินข้ามด้วยการขยับที่ให้หล่อน
"มานั่งรับลมเย็นด้วยกันตรงนี้ดีกว่า"
สาวบัวเป็นหญิงสาวรุ่นพี่ผมสองปี หล่อนแต่งงานกับไอ้หนุ่มสิบล้อเมื่ออายุสิบหกย่างสิบเจ็ด ทว่าโชคร้าย ขณะตั้งท้องได้สามเดือน ไอ้หนุ่มสิบล้อคนนั้นก็ประสบอุบัติเหตุขณะขับรถไปส่งของให้เถ้าแก่ ยางรถล้อหน้าข้างหนึ่งเกิดระเบิดทำให้รถสิบล้อของเขาเสียหลักพุ่งประสานงากับรถบรรทุกสิบล้อด้วยกันที่แล่นสวนมาจบชีวิตทั้งคู่
"นึกอย่างไรถึงได้ดั้นด้นขึ้นมาขุดแร่ในป่าดงดิบอย่างนี้"
ผมถามเมื่อหล่อนเดินมานั่งลงใกล้ ๆ
"ก็คนบ้านเราส่วนใหญ่ยึดอาชีพนี้กันทั้งนั้นมิใช่หรือ? มีแต่พ่อแม่ของนุ้ยกับคนอื่น ๆ อีกไม่กี่บ้านเท่านั้นใช่ไหม- -ที่ทำสวน?"
จริงของหล่อน!
เพราะนอกจากพวกเพื่อน ๆ ของผมที่บุกป่าฝ่าดงเข้ามาเสี่ยงโชคขุดแร่ในป่าแห่งนี้เป็นอาชีพแล้ว ก็ยังมีบุคคลอื่นอีกจำนวนมากที่พากันเข้ามาเสี่ยงโชคขุดหาเม็ดแร่ใต้พื้นดินหรือตามท้องคลองยึดเป็นอาชีพด้วยเหมือนกัน
"เคยมีคนมาจีบบ้างไหม?" ผมเลี้ยวกลับทางเก่า
"นับไม่ถ้วน ไอ้บองหลาเพื่อนรักของนุ้ยก็เอากับเขาเหมือนกัน"
ผมปล่อยก้าก นึกถึงตอนมันเขกหน้าแข้งตัวเองเมื่อตอนหัวรุ่ง
"ไอ้บองหลามันขยันงานนะ" ผมหยั่งท่าทีของหม้ายสาว
"คนบ้านเดียวกัน คุ้ยเคยกันมาตั้งแต่เด็ก-รักไม่ลง"
"แล้วผม...?" ว่าพลางตัดสินใจเล่นบทเจ้าชู้ยักษ์ กระเถิบเข้าไปเบียดพร้อมโอบไหล่รวบกายหล่อนมาแนบชิด จนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตูม ๆ เหมือนรัวกลอง
สาวบัวไม่ขัดขืน หากแต่ก้มหน้ามองพื้น หายใจหอบถี่ หน้าแดงเรื่อ พูดติด ๆ ขัด ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ในลำคอสองสามคำแล้วนั่งตัวแข็ง
ผมก้มจูบตรงเรียวแก้มของหล่อน กระซิบเบา ๆ
"เราลงไปเล่นน้ำกันเถอะ"
"หนาว"
"แต่ผมร้อน..." ผมลุกจากที่ แล้วก้มไปโอบรัดกายหล่อนพยุงให้ลุกตาม
หม้ายสาวเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาด ๆ
"เดี๋ยวใครมาเห็น"
"ในน้ำไม่มีใครเห็นหรอก"
จากนั้นผมก็ค่อย ๆ ประคองหม้ายสาวก้าวย่างไปตามพื้นศิลาที่ทอดยื่นออกไปในสายน้ำ กระทั่งถึงช่วงน้ำลึกเหนือบั้นเอว ก็ตระกองกอดพาหล่อนแหวกว่ายไปตามกระแสน้ำมุ่งสู่หลืบหินริมฝั่งอีกด้าน ซึ่งมั่นใจว่าลับตาคน
**************************
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2554 |
Last Update : 2 ธันวาคม 2555 22:36:15 น. |
|
5 comments
|
Counter : 2671 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: diamondsky วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:15:05:22 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:17:50:25 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:18:48:12 น. |
|
โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:21:02:39 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:15:04:35 น. |
|
| |
|
หลวงเส |
 |
|
 |
|
เรื่องนี้มีติดเรทนิดๆๆๆ (ไม่เยอะค่ะ มิเป็นไร อิอิ)
หนุ่มสาวจีบกัน ท่าทางน่าสนุก
ไว้จะมาติดตามตอนต่อไปนะคะ
ปล. พี่เอิงอยู่มิลานค่ะ (ไม่ใช่โรม) แต่ชอบไปเที่ยวโรม
มีอะไรให้ดูเยอะมาก ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองมาเที่ยวดูนะคะ