นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๕
บทที่ ๕ "ตกลงเจ้าจะไปเป็นโต๋ยเชี้ยรถให้เจ๊กฮุยมันจรืงหรือ?"
"ครับแม่ ผมว่าจะช่วยมันสักพัก เพราะมันเพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ ยังไม่คุ้ยกับถิ่นเก่า ก็เลยไม่ไว้ใจใครนอกจากเพื่อน"
"จริง" พ่อว่า "โต๋ยเชี้ยเป็นคนเก็บค่าโดยสาร กระเป๋าเงินอยู่ที่มัน ถ้ามันเล่นไม่ซื่อ คิดยักยอกเข้ากระเป๋าก็ทำได้ง่าย"
"แต่คนอื่นเขาคงไม่คิดอย่างเรานะ" แม่ทำสีหน้ากังวล "คนบ้านเราอาจไม่เป็นไร เพราะเขารู้จักพวกเราดี แต่คนไกลมันจะดูถูกเอาได้ อย่างแถวตะกั่วป่า กะปง พังงา ที่รถเมล์แล่นผ่านนั่นน่ะ มันจะว่าเราเป็นพวกไม่มีราคา"
"แม่ก็อย่าไปคิดมากซิครับ ผมไม่เห็นอยากจะได้ลูกสาวคนแถวนั้นมาทำลูกสะใภ้ให้แม่สักหน่อย"
ผมพูดพลางเล่นพลางจริงเพื่อเอาใจแม่ เพราะรู้ว่าที่แม่พูดมานั้น ในใจของแม่กำลังคิดอะไรอยู่
ผู้คนแถวบ้านผมไม่ชอบเด็กหนุ่มที่ทำตัวสะโอดสะอง เหยียบขี่ไก่ไม่ฝ่อ ชนิดที่เรียกกันว่า "พวกนั่งหัวพาน ยานท้ายรถ คดห่อบ้านคนอื่น แม้ความหมายจะไม่เหมือน ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก" เสียทีเดียว แต่ก็มีส่วนคล้ายอยู่มาก เหมือนกับว่ากองสุมในเข่งใบเดียวกัน เด็กหนุ่มที่นั่งกะพริบตาอยู่ในเข่งใบนี้จึงมักไม่มีใครอยากจะยกลูกสาวให้ แม้จะไปสู่ขอก็จะถูกเขาเรียกสินสอดเสียสูงลิบ
นั่งหัวพาน ยานท้ายรถ คดห่อบ้านเพื่อน มันบอกยี่ห้อว่าไม่เอาไหน ตกเย็นก็ชวนกันจับกลุ่มเดินท่องไปตามถนน ชวนกันนั่งคุยโม้บนราวสะพาน บ้านช่องตนอยู่ไหนไม่สนใจ เพราะปากท้องฝากไว้กับผู้อื่น
สำหรับโต๋ยเชี้ยรถ, ส่วนมากจะเข้าลักษณะที่สอง คือ ยานท้ายรถ จะไปไหนก็ห้อยโหนอยู่ตรงท้ายรถ ไม่กล้าเข้าไปนั่งข้างใน เพราะไม่มีค่าโดยสาร
บางแห่งเขาก็เรียกว่า 'ลอกอ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าหมายถึงอะไร แต่ทว่าพออยู่ไปนาน ๆ ลอกอพวกนี้ก็จะค่อย ๆ คุ้นเคยกับเจ้าของรถ เพราะการที่เคยเกาะติดท้ายรถของเขาไปฟรี ๆ บ่อยเข้า เขาก็ต้องใช้งานเอาบ้าง อย่างน้อยก็ช่วยโต๋ยเชี้ยประจำรถแบกขนสัมภาระติดตัวของผู้โดยสารขึ้นลงจากรถบ้างไรบ้าง--ทำนองนั้น จนบางครั้งเจ้าของรถก็แถมค่าบุหรี่ให้ หรือเมื่อไปถึงตลาดก็พาไปเลี้ยงข้าว พวกลอกอก็เลยได้ใจ ชอบที่จะห้อยโหยท้ายรถสองแถวจนอยู่ไม่ติดบ้าน
ภาพนึกของคนทั่วไปที่มีต่อโต๋ยเชี้ยรถจึงมักจะออกมาในรูปนี้ โดยไม่เกี่ยวกับที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ
แถวบ้านผมจะมีผู้ที่ยึดอาชีพกระเป๋ารถสองแถว หรือ โต๋ยเชี้ย เป็นอาชีพหลักกันหลายคน หรือกระทั่งว่า หลายครอบครัวกันเลยก็ได้ เพราะอย่าลืมว่าสองฝั่งทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔ ในช่วงตั้งแต่จังหวัดระนอง เรื่อยลงไปจนถึง พังงา ภูเก็ต กระบี่ สี่จังหวัดนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นรถไฟด้วยซ้ำจ จะสัญจรไปไหนมาไหนแต่ละครั้งก็อาศัยรถยนต์โดยสารเป็นหลัก
คนมีเงินเขาก็ลงทุนซื้อรถมาวิ่งรับจ้าง คนไม่มีทุนถ้าชอบทางนี้ก็สมัครเป็นกระเป๋าแล้วตกทอดไปถึงลูกหลาน
ทว่าพอตกมาถึงรุ่นของเจ๊กฮุยเพื่อนผม บ้านเมืองก็พัฒนาขึ้นมา จากรถสองแถวเล็ก ๆ กลายเป็นสองแถวใหญ่ ใช้รถแรงม้าสูง ๆ เอามาต่อกระบะรถสองแถว รูปทรงเหมือนเดิม และยังคงเรียกกันว่ารถสองแถวเหมือนเดิม แต่พอมาถึงยุครถโดยสารรุ่นใหม่ รูปทรงห้องโดยสารเลียนแบบรถต่างประเทศ แล้วเรียกทับศัพท์ว่า"บัส" ซึ่งเดิมทีก็เริ่มไปจากกรุงเทพฯ กระทั่งแพร่หลายถึงที่นั่น รถสองแถวในบางพื้นที่ก็ค่อยหายไป และกลายเป็นมินิบัสแทน
เจ๊กฮุยถูกเรียกตัวกลับบ้าน แป๊ะเค่งพ่อของมันก็ซื้อมินิบัสคันใหม่เอี่ยม ให้มันนำมาร่วมวิ่งในเส้นทางที่พี่ชายของมันขอสัมปทานได้คันหนึ่ง เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมันรอบนี้จึงเกิดขึ้นเพราะนี้เป็นเหตุ
และถ้าหากจะพูดกันถึงเรื่องราวของการศึกษาแล้ว เจ๊กฮุยก็เหมือนผม ชีวิตในรั้วการศึกษาของมันก็ขลุกขลักจนเรียนไม่สำเร็จเหมือนกัน แม้วิถีจะต่างกันอยู่บ้างตรงที่ผมโดนพิษภัยทางการเมืองเล่นงาน ส่วนมันนั้นโดนพิษภัยจากความเป็นคนหนุ่มหล่อที่บรรดาหมอดูจะให้คำจำกัดความว่า 'ความหล่อเป็นศัตรูตนเอง' กระทั่งสุดท้าย, เราสองคนต่างก็เป็นคนไม่เอาไหนในเรื่องการเล่าเรียนพอ ๆ กัน
ความหล่อเหล่าเงางามที่เรียกกันว่า เท่หรือหุ่นสมาร์ทของเจ๊กฮุยในเวลานั้นจะเป็นเช่นไร ก็ขอให้หลับตานึกถึงดาราภาพยนตร์ต่างประเทศสองคนมารวมกัน คนหนึ่งคือ ฉี เส้าเฉียน ดาราดังของฮ่องกง กับอีกคน คือ สตีฟ แมกควีน ดาราดังจากฮอลลีวู้ด
เมื่อเอาดาราทั้งสองนี้มารวมกันแล้ว นั่นแหละเขาล่ะ นายไพรัช อภิชิตสกุล เพื่อรักของผม
ผมสึกจากพระมาอยู่ช่วยพ่อแม่ทางบ้านขุดมันสำปะหลังเลี้ยงหมู และดายหญ้าในสวนเงาะสวยยางได้ไม่ถึงอาทิตย์ เจ๊กฮุยก็ขับรถกระบะมาหาผมถึงบ้าน โดยชักชวน ทวิช สุทิน คำนึง เพื่อนผมที่เป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนในหมู่บ้านนั่งติดกระบะท้ายรถมาด้วย แถมมีแม่ครูสาวนั่งมาในห้องโดยสารด้านหน้าคู่กับเจ๊กฮุยอีกคน
"สงสัยงวดนี้กูจะถูกเบอร์เว้ย อาเสี่ยนางย่อนขนพรรคพวกมาเยี่ยมถึงบ้าน"
พ่อผมทักทายหยอกล้อเจ๊กฮุยอย่างสนิทสนม เพราะจะว่าไปแล้ว ครอบครัวของปู่ย่าของผมกับครอบครัวอาก๋งเจ๊กฮุยสนิทสนมกันมานาน ตั้งแต่สมัยที่คุระบุรี หรือ บ้านนางย่อน ยังเป็นเมืองปิด เป็นป่าดงดิบทุรกันดาร จะสัญจรไปไหนมาไหนก็แสนลำบาก แม้จะไปหาหมอที่ตะกั่วป่า ก็ต้องอาศัยเรือแจวแจวโล้คลื่นลมเลียบชายฝั่งทะเลอันดามันไปเป็นวัน ๆ กว่าจะถึงปากน้ำตะกั่วป่า
สมัยนั้นทางหลวงแผ่นดินสาย ๔ ในปัจจุบันยังสร้างมาไม่ถึง พวกเจ๊กจีนที่แจวเรือกางใบมาเปิดโรงเตี๊ยมขายของชำในหมู่บ้านก็มีอยู่แค่สองเจ้าเท่านั้น เจ้าแรกคือแป๊ะกิมเส้ง -อาก๋งของเจ๊กฮุย ส่วนอีกเจ้าก็เป็นโรงเตี๊ยมของยายแป้น ลูกสาวชาวจีน-แต่มาได้สามีเป็นคนไทยที่นี่
เว้นจากวัดนางย่อนของหลวงพ่อโข้ยแล้ว โรงเตี๊ยมทั้งสองแห่งจึงเป็นดังจุดศูย์กลางของผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนละแวกนี้พบปะพูดคุยกันหลังแก้วกาแฟ หรือถ้วยยาดองกระดูกเสือโปํวตง อันเป็นที่นิยมกันในเวลานั้น กลางวงเหล้าวงกาแฟก้เหมือนสภาประชาชน ซึ่งใครคบได้ไม่ได้อย่างไรก็รู้กันหมด สมัยก่อน, ปู่ของผมแม้อดีตจะเป็นขุนโจรปล้นฆ่าจนต้องหลบหนีอาญาแผ่นดินจากฝั่งทะเลตะวันออกที่อำเภอไชยา ตัดป่าฝ่าดงข้ามเทือกเขาบรรทัดมาอยู่ฝั่งทะเลตะวันตกฝั่งนี้ แต่ปู่ก็ทิ้งเขี้ยวเล็บไว้ในป่าที่ลุยผ่านมาจนหมดสิ้น เมื่อมามีครอบครัวอยู่ทางนี้ ปู่ก็ประกอบแต่กรรมดี ช่วยเหลือเพื่อนบ้านไม่นิ่งดูดาย วิชาความรู้เรื่องการตีเหล็กตีมีดผลิตอาวุธ ดาบ หอก หัวธนู ง้าว กระทั่งปืนแก๊ปปืนลูกซองในคราวก่อน ก็เปลี่ยนมารับตีมีดพร้าิ ขวาน จอบ เสียม ทำเครื่องไม้เครื่องมือทำกินให้กับเพื่อนบ้าน ถ้าเหลือก็เอาไปฝากขายที่โรงเตี๊ยมดังกล่าว จนกระทั่งคุ้นเคยสนิทสนมกันในที่สุด
และเมื่อตกมาถึงรุ่นพ่อผม, ที่ย่านโรงเตี๊ยมชายคลองแถวนั้นกลายเป็นตลาดย่อม ๆ แป๊ะกิมเส้งก็มีแป๊ะเค่งเป็นทายาทสืบสกุล แล้วต่อมาก็มาคบค้าสนิทสนมกับพ่อผมอีก โดยที่พ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่า สมัยก่อยแป๊ะเค่งเคยชักชวนพ่อไปปลูกบ้านเรือนอยู่ใกล้กันที่ตลาด และแกจะแบ่งที่ดินให้พ่อผมเปล่า ๆ เพื่อให้พ่อไปหัดทำการค้าอะไรก็ได้ จะได้อยู่ใกล้ ๆ กันเพื่อความอุ่นใจ เพราะขึ้นชื่อว่าลูกหลานของปู่ผมแล้ว ใคร ๆ แถบนั้นก็มักไม่กล้าตอแย กิตติศัพท์ในอดีตของปู่ยังมีอิทธิพลอยู่พอสมควร ทว่าพ่อผมไม่ยอมไป
พ่อหัวเราะ และว่า "ดินแถวนั้นปลูกไรไม่ขึ้นหรอก มีแต่ไผ่ตากวาง กับหญ้าขี้เกรย (หญ้าเจ้าชู้) ทั้งเพ" พ่อเลยไม่ยอมรับการชักชวนของแป๊ะเค่ง แต่เรื่องการคบหากันนั้นยังแนบสนิทเหมือนเดิม แม้กระทั่งในช่วงต่อมาที่แป๊ะเค่งเปิดโรงสีรับสีข้าว แล้วก็สร้างปั๊มน้ำมัน กระทั่งลูกชายหัวปีของแกซึ่งคุมกิจการปั๊มน้ำมันขอสัมปทานเส้นทางเดินรถส สายคุระบุรี-- พังงา จากกรมการขนส่งได้มา แป๊ะเค่งเรียกลูกชายผู้เหลวไหลคนนี้กลับบ้าน เพื่อจะให้มาช่วยเหลือกิจการกับพี่ชาย พ่อของผมกับแป๊ะเค่งก็ยังมีสายสัมพันธ์และรักใคร่ชอบพอกันเหมือนเดิม
คืนแรกที่เจ๊กฮุยกับพวกขับรถกระบะมารับผมไปสังสรรค์กันที่บ้านพักครู ผมถูกพวกเขาคะยั้นคะยอให้ร่วมดื่มกินกันตั้งแต่หัวค่ำยันดึกก กระทั่งไอ้หนุ่มคออ่อนอย่างผมเมาพับต้องนอนพักที่นั่นจนเช้าถึงได้กลับบ้าน แล้วทีนี้พอตกเย็น ไอ้เพื่อนที่เป็นครูพวกนั้น ไม่คนใดก็คนหนึ่งจะต้องขี่มอเตอร์ไซค์มารับผมไปดื่มกินกับมันทุกวัน ซึ่งสุดท้ายผมก็เมาพับอยู่ที่นั่นทุกคืนเหมือนกัน กระทั่งแม่เห็นท่าว่าลูกชายคนนี้ชักจะเหลวไหลไปกันใหญ่ จึงนัดแนะกันกับย่าของผม ชวนกันเดินลัดป่าขึ้นไปดงเขายา ไปทาบทามหญิงหมอนกับลุงทองและป้าพัวว่าจะสู่ขอมาแต่งงานอยู่กินกับผม เพื่อว่าผมจะได้มีครอบครัวที่ต้องหันมารับผิดชอบเสียที
เพราะแม่นั้นมองออกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหญิงหมอนน้องสาวของสาวบัวคิดยังไงกับผม
"ไอ้มัดมือชก หรือคลุมถุงชนกันแบบนี้น่ะมันล้าสมัยแล้วนะ-แม่ทูนหัว"
พ่อผมพูดกับแม่ และเมื่อผมได้ยินเข้า ผมก็รีบบ่ายเบี่ยง
"มัดมือชกอะไรกัน" แม่มองพ่อตาเขียว ก่อนจะหันมาเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากผม "ก็ไอ้ หมอนี้ไปยั่วลูกสาวเขาให้หลงรักต่างหาก แล้วทีนี้ก็คิดจะตีตัวออกห่างนะสิ--ใช่ไหม?"
"โธ่-แม่" ผมอ้อน "ผมไปยั่วใครที่ไหน แม่น่ะ-ไปฟังใครเขามา"
"เฮ้ย--เอ็งอย่ามาพูด" แม่ทำเสียงแข็ง พร้อมเชิดหน้าใส่ผม "มีอย่างเรอะ- เราน่ะไปเที่ยวจูบเที่ยวกอดเขาแล้วยังจะมาพูดว่าไม่ได้ไปยั่วเขาอีก"
พอแม่พูดจบ พ่อผมก็หูผึ่ง
"ฮ่ะ! " พ่อทำตาเลิกลัก "แรกเดี๋ยวเธอว่าไรนะ"
แล้วพ่อก็มองจ้องไปที่แม่ไม่ยอมกะพริบตา คล้ายต้องการจะเค้นความจริงนั้นเสียให้ได้
มันก็เลยเข้าทางแม่ผมพอดี
"ในเมื่อเธออยากรู้ก็ดีแล้ว" แม่ว่า "ไอ้หมอนี้แหละ ไอ้เจ้าลูกชายตัวดีของเธอคนนี้แหละ มันริจะเป็นอ้น จะกินให้หมดทั้งกอ เธอรู้หรือเปล่า..."
"แม่!"
ผมตกใจ แต่ไม่ทันได้พูดอะไร พ่อของผมก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
"เฮ้ย-เธออย่าพูดบ้า ๆ นะ" พ่อผมว่า "กินทั้งกอที่ไหนกัน ก็ในเมื่อหญิงบัวมันจากพวกเราไปตั้งนานแล้วนี่นา--- จะเป็นไรไปล่ะ--หือ-ถ้าเจ้านุ้ยลูกเราจะไปรักชอบหญิงหมอนน้องสาวของมัน ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่-- จริงไหมล่ะ- แล้วอีหมอนน่ะ -หน้าตามันน่ารังเกียจกับเขาที่ไหน ได้มาเป็นลูกสะใภ้เราก็ดีนะสิ งานการรึก็ขยันนี่-เจ้านุ้ย พ่อว่าแกทำตามที่แม่เขาว่าไปเถอะนะ... "
เจ้ย!
แรก ๆ ผมก็หลงดีใจ นึกว่าพ่อจะยืนข้างผม แต่เอาไปเอามาที่ไหนได้ สองคนรวมกันเล่นงานผมเสียนั่งไม่ติดเลย เคราะห์ดีที่ไอ้เจ๊กฮุยมันขับรถกระบะเลื้อยเข้ามาจอดหน้าบ้าน ช่วยขวางไว้เสียทัน
"น้ารุ่น-ตกลงผมจะต้องดึงตัวไอ้นุ้ยไปช่วยเป็นโต๋ยเฉี้ยให้ผมวันนี้ละนะ คนเก่าไว้ใจไม่ได้แล้ว มีอย่างที่ไหน--คนโดยสารแน่นรถทุกเที่ยว แต่ผมไม่เคยได้เห็นตัวเงินเลย บางวันทั้งไปทั้งกลับเก็บค่าโดยสารได้ไม่ถึงสองพัน -มันจะเป็นไปได้ยังไง!!"
"ได้เลย ๆ" ผมละล่ำละลัก"ได้เลยเพื่อน กูจะไปช่วยมึงเอง"
"อ้าว-เฮ้ย- ไอ้ลูกคนนี้นี่..." พ่อเกาหัวแกรก ๆ จะขัดเจ๊กฮุยก็ไม่กล้า เพราะท่านคงคิดเลยเถิดไปถึงแป๊ะเค่งพ่อของมัน
ส่วนแม่ผมนั้นได้แต่นั่งค้อนลูกชายของท่านด้วยสองตาที่น่ารักน่าบูชาเท่านั้น เพราะเรื่องรู้ใจลูก ๆ ละก้อ--ไม่มีใครเกินแม่ของผมคนนี้หรอก
ชะรอยแม่คงจะรู้ล่ะว่า เรื่องแบบนี้อยู่ ๆ จะหักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ แม่ก็เลยปิดปากเงียบ ไม่คัดค้านอะไรเมื่อเห็นผมเดินไปเปิดประตูห้องนอน เก็บเสื้อผ้าบางชุดยัดกระเป๋าเดินทางติดตามเจ๊กฮุยมันไป
"อ้อ-มาแล้วเรอะไข่นุ้ย"
แป๊ะเค่งยิ้มร่าเมื่อผมวางกระเป๋ายกมือไหว้
คุณเจ๊อยู่หลังร้าน-ได้ยินเสียงก็เร่งเดินออกมายิ้มทักทายผมเหมือนกัน
คุณเจ๊ ก็คือคุณแม่ของเจ๊กฮุย เป็นหญิงบ้าบ๋าที่แลละม้ายคนจีนมากกว่าคนไทย ท่านเป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว นัยน์ตาชั้นเดียว เวลายิ้มก็เหมือนกับว่าเปลือกตาสองข้างจะแนบติดกันสนิท ซึ่งเป็นลักษณะการยิ้มแย้มของผู้ที่จิตใจดีงาม
"กินข้าวซินุ้ย เจ๊ทำกับข้าวไว้เยอะแยะแนะอาฮุยเอ้ย พานุ้ยไปกินข้าวกินน้ำเสียก่อนเถอะ กว่าจะได้เวลาออกรถก็อีกตั้งนานไม่ใช่หรือ?"
"ผมกินมาจากบ้านแล้วครับ-เจ๊"
เจ๊กฮุยและพี่ ๆ น้อง ๆ ของมันเรียกแม่ของตนว่า "เจ๊" กันทุกคน ผมก็เลยพลอยเรียกท่านว่าเจ๊ไปด้วย ส่วนกับพ่อของเขานั้น พวกเขาเรียก "แบ" แต่ผมเรียกแป๊ะ
"เฮ่ย-ลื้อกินจากบ้านมาแล้ว จะกินที่นี่อีกหน่อยเป็นไรไปเชอะ-ว่าแต่อารุ่นพ่อของลื้อสบายดีไหม หมู่นี้ไม่เห็นเขาออกมาตลาดเลย"
"สบายดี-ครับแป๊ะ" ผมบอก "หมู่นี้พ่อกำลังยุ่งกับเล้าหมูที่เพิ่งสร้างใหม่ครับ "
"อ้อ-เรอะ- ถ้าจะเลี้ยงหลายสิบตัวละสิท่า"
"พ่อกะจะสร้างให้ผมนะครับ จะให้ผมเลิกทำเหมืองมาอยู่บ้าน ทำสวน เลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่"
"ฮ่า ๆ ๆ พ่อลื้อก็คิดเป็นแต่เรื่องแบบนั้น สมัยก่อนอั๊วเคยชวนให้ออกมาทำการค้าด้วยกันในตลาดก็ไม่ยอมมา" พ่อของเจ๊กฮุยพูดแล้วหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ รำพึงกับตนว่า "คนเรานี้ชอบและถนัดไม่เหมือนกันจริง ๆ น่อ "
******************************
Create Date : 21 มกราคม 2556 |
Last Update : 21 มกราคม 2556 21:30:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 918 Pageviews. |
|
|
|