
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 20

ตีห้า,รถทัวร์ปรับอากาศคันที่เราโดยสารมา แล่นเข้าจอดที่สถานี บขส.สายใต้ บริเวณสามแยกไฟฉาย ถนนจรัลสนิทวงศ์ ความจอแจของผู้คนที่ได้สัมผัสด้วยสายตาขณะก้าวลงจากประตูรถตามห ลังผู้โดยสารคนอื่น ๆ ทำให้ผมเกิดความประหม่าเล็กน้อย เพราะตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเหยียบย่างมากรุงเทพฯเลยสักครั้ง แม้แต่สาวบัวซึ่งแม้จะเคยติดรถสิบล้อมาเป็นเพื่อนสามีของหล่อนส มัยที่เขายังมีชีวิตอยู่สักครั้งสองครั้ง หากแต่หล่อนก็สารภาพว่าไม่คุ้นกับกรุงเทพฯ และนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอดีตสามีผู้ลาลับขับรถสิบล้อของเขาไปจอด รอบรรทุกของแถวไหนบ้าง รู้แต่เพียงว่าเป็นแถบชานเมือง ไม่ได้เคยเข้ามาในตัวเมืองอย่างนี้เลย
ความแออัดของผู้คนขณะยืนเข้าคิวเบียดกันแน่นตรงช่องเก็บเงินค่า ห้องน้ำหญิง-ชาย ทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง... ผมเอามือคลำกระเป๋าสตางค์ที่ยัดอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนด้านหน้า บ่อยครั้ง เพราะเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ย่านคนพลุกพล่านในกรุงเทพฯมักเต็มไปด้วยมิจฉาชีพที่คอยจ้องหาโอ กาสเล่นงานเหยื่อตอนเผลอ ซึ่งว่ากันว่า เคยมีคนถูกล้วงกระเป๋าหรือไม่ก็ถูกต้มตุ๋นหมดตัว จนต้องกลายเป็นขอทานเพื่อหาเงินค่ารถกลับบ้านมาแล้วหลายราย หนำซ้ำคนที่หมดตัวนั้นบางคนเมื่อหนทางเข้าจริง ๆ ก็กลายเป็นมิจฉาชีพไปเสียเองก็มี
หากแต่ผมเมื่อปรับสภาพจิตใจให้คลายตื่นเต้นและเลิกสั่นประหม่าไ ด้แล้ว ผมก็บอกกับตนเองว่าคิดถูกแล้วที่เลือกตัดสินใจชวนกันมาเที่ยวที ่นี่ เพราะแม้แต่ฝรั่งต่างชาติที่พูดจาสื่อสารกับคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่ อยรู้เรื่อง ต้องใช้ภาษามือประกอบ ยังอุตส่าห์หอบลูกหอบเมียมาเที่ยวกันได้ ผมกับสาวบัวเป็นเจ้าของประเทศแท้ ๆ จะต้องหวั่นวิตกไปทำไม
ก่อนตัดสินใจจองตั๋วรถทัวร์ขึ้นมาเที่ยวกรุงเทพฯ ผมพูดกับสาวบัวว่า "ป่าไม้ภูเขา เราก็คลุกคลีกันอยู่จนชินชา ส่วนทะเลบ้านเราก็มี จะไปเที่ยวกันเมื่อไหร่ก็ได้... เพราะฉะนั้นเที่ยวนี้เราต้องไปในที่ที่เราไม่เคยไปดีกว่า"
"ถ้าอย่างนั้นเราจะไปไหนกันดีคะ?" สาวบัวถาม และเสริมขึ้นอย่างติดตลกว่า "อย่าบอกนะ ว่า--นุ้ยจะพาบัวไปเที่ยวโลกพระจันทร์"
"อ๋อ-นั่นก็เป็นอีกโปรแกรม ที่เราสองคนจะต้องไปเหมือนกัน" ผมหัวเราะและพลอยเล่นมุขตามไปด้วย "ว่าแต่ต้องช่วยกันขุดแร่เก็บเงินเสียก่อนสักพัก ไว้พอค่าเหมายานอวกาศเมื่อไหร่ผมก็จะพาบัวท่องไปทันที"
สาวบัวหัวเราะร่วน ใบหน้าคลายหม่นเศร้าลงไปมาก ผิดกับผมที่มักจะเผลอกังวลกับอนาคตในรั้ววิทยาลัยจนบางครั้งถึง กับเศร้าซึม กระทั่งถูกหม้ายสาวสอบถามเป็นประจำ
"ตกลงหนวดเครานี้จะไม่โกนอีกแล้วใช่ไหม?" สาวบัวหาเรื่องชวนคุย เมื่อเห็นผมนั่งซึม
"ค่อยจัดการตอนจะกลับ วค. ทีเดียว" ผมพูดให้หล่อนฟัง "บางทีเมื่อเราได้ทำอะไรบ้า ๆ บวม ๆ ตามใจตนเองเสียบ้าง มันก็แก้บ้าได้เหมือนกัน - บัวว่าไหม?"
"ไม่รู้ซิ" หล่อนว่า "เพราะตั้งแต่เกิดมา ก็รู้สึกว่ายังไม่เคยทำอะไรบ้า ๆ บวม ๆ กับเขาสักที แล้วก็ไม่เข้าใจความหมายของมันด้วย อะไรกันล่ะ- -ที่เรียก บ้า ๆ บวม ๆ "
"อ้าว- ไม่รู้ความหมายแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่เคยทำอะไรบ้า ๆ บวมๆ" ผมย้อนอย่างขบขัน
"เอ่อ- -จะพูดอย่างไรดีล่ะ" หม้ายสาวกระพริบตาถี่ ๆ ใช้ความคิด "เอาเป็นว่าไม่เคยทำอะไรแผลง ๆ อย่างนั้นได้ไหม?"
ผมยิ้มให้หล่อน...
"ความจริงเขาเรียก บ้า ๆ บอ ๆ" ผมอธิบาย "คือมันรวมความบ้าไว้ในนั้นทั้งหมด ทั้งบ้าน้ำลาย บ้าดีเดือด บ้าหอบฟาง แต่ไม่ถึงกับเสียสติ ถ้าเสียสติเขาเรียกว่า วิกลจริต"
คราวนี้สาวบัวหัวเราะบ้าง
"แล้วตกลงนุ้ยบ้าประเภทไหนกันแน่?"
"บ้า ห... มั้ง" ผมว่า สาวบัวอายหน้าแดงและเลิกซักถาม
หลังจากแยกกันเข้าห้องน้ำหญิง-ชายกันเสร็จแล้ว ผมคล้องแขนสาวบัวเดินฝ่าผู้คนที่กำลังสาวเท้าสวนทางกันอยู่ขวัก ไขว่ภายในบริเวณท่ารถแห่งนั้นออกมายืนรอโบกแท็กซี่ที่ริมถนนใหญ ่ ซึ่งไม่ถึงห้านาทีเราสองคนก็ขึ้นแท็กซี่ข้ามไปฝั่งพระนครทางสะพ านสมเด็จพระปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ เพิ่งสร้างเสร็จและเปิดใช้เมื่อสองสามปีมานี้เอง เพื่อมุ่งไปยังโรงแรมแถวบางลำพูตามคำแนะนำของชายขับแท็กซี่คันน ั้น
"ท่าทางยังไม่เคยขึ้นมากรุงเทพฯกันละซี" ชายคนขับแท็กซี่วัยกลางคนชวนคุย
"ครับ"
"มาธุระหรือมาเที่ยว"
"มาเที่ยวครับ"
"กลางวันร้อนหน่อยนะ-กรุงเทพฯ ผิดกับบ้านนอก อากาศเย็นสบายทั้งปี"
"แต่ก็มีคนบ้านนอกจำนวนมาก ดิ้นรนอยากเข้ามาอยู่กรุงเทพฯกันนะครับ"
"โธ่คุณ" ชายขับแท็กซี่ ครางออกมาเบา ๆ "ถ้าคนบ้านนอกมันได้รับการเหลียวแลเสียบ้าง อย่าปล่อยให้อยู่ตามยถากรรม ผมคิดว่าคงไม่มีใครอยากดิ้นรนมากันหรอกครับ เพราะกรุงเทพฯนี้จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับนรกสำหรับคนจน ๆ อย่างเราหรอกครับ ที่เขาว่าเมืองสวรรค์ ก็สวรรค์สำหรับคนรวยเท่านั้น พวกคุณพากันมาเที่ยวเปิดหูเปิดตาให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ดีแ ล้ว แล้วอย่าลืมสังเกตดูให้ดี ว่ามันจริงอย่างที่ผมพูดหรือไม่ แล้วนี่พวกคุณจะมาเที่ยวกันซักกี่วันละครับ" เขาถาม
"เรากะกันว่าซักอาทิตย์หนึ่งละครับ"
ชายผู้ขับรถแท็กซี่นั้นพยักหน้า ขณะสองมือจับพวงมาลัยรถ ทอดสายจ้องมองไปข้างหน้าตามหน้าที่ของเขา "ค่าโรงแรมที่พัก ค่ากิน ค่ารถ ก็คงจะหลายอยู่นะครับ"
"เราจะพยายามใช้จ่ายกันอย่างประหยัดที่สุด แล้วก็จะหาซื้อคู่มือเกี่ยวกับเส้นทางรถเมล์และแหล่งท่องเที่ยว ด้วยครับ เพราะจะได้เซฟเรื่องค่ารถบ้าง นั่งแท็กซี่ไปทุกแห่งคงไมไหว"
"ใช่ครับ"
แม้ชายผู้นี้แม้จะมีอาชีพขับแท็กซี่ แต่เขาก็เห็นด้วยกับความคิดของผม
เมื่อไปถึงหน้าโรงแรมตามที่เขาได้แนะนำให้ผมกับสาวบัวเข้าพักแล ะจอดรถให้เราลงกันแล้ว หลังรับเงินค่ารถจากผมเสร็จเขาก็ยังอวยพรให้เราสองคนโชคดี และเที่ยวกันให้สนุก พร้อมทั้งเตือนให้ระวังพวกมิจฉาชีพที่มีอยู่กลาดเกลื่อนในกรุงเ ทพมหานครแห่งนี้
ผมยกมือไหว้ขอบคุณในความหวังดีของเขาแล้วจูงมือสาวบัวเดินเข้าไ ปในโรงแรม หยุดยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์
"หวัดดีคาบ" ชายจีนผมสีดอกเลาสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ สวมเสื้อคอกลมสีขาว นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ทักทายเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สำเนียงทักทายแม้จะไม่ชัดถ้อยชัดคำเท่าใดนัก แต่บ่งบอกถึงความมีน้ำใจแฝงอยู่ "ต้องการห้องพักใช่ไหมคาบ? จาเอาห้องธรรมดาติดพัดลม หรือว่า...ห้องแอร์ลีคาบ?"
"ราคามันต่างกันมากไหมครับเถ้าแก่" ผมถาม
"ห้องธรรมดาใช้พัดลมคืนละร้อยห้าสิบคาบ ส่วนห้องแอร์คืนละสองร้อย... เอ่อ ว่าแต่คุณจาพักกันซักกี่วันละคาบ เผื่อพักนาน ๆ ผมก็จาหยวนให้มั่ง"
"เรากะกันว่า จะพักอยู่ที่นี่ซักอาทิตย์ครับ"
"อ้อ.. ลีคับ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจาพักห้องแอร์นาคาบ ผมจะได้หยวนให้... เอ่อ-คิดไปคืนละร้อยแปดสิบก็แล้วกันคาบ"
"ว่าไงจ๊ะ- -บัว" ผมหันไปถามคู่รัก อาแป๊ะคนนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้หล่อนด้วย
สาวบัวมีท่าทางลังเลไม่กล้าตัดสินใจ อาแป๊ะผู้จัดการโรงแรมจึงว่า "กุงเทพฯมันล้อนนาคาบคุณผู้หญิง กลางวันออกไปทำธุระเหนื่อย ๆ กับมากลางคืนก็ควรพักผ่องหลับนอนให้ซาบาย" ว่าแล้วก็หันมาทางผม "จิงไหมคับคุงพ่อหนุ่ม"
"ตกลงครับ" ผมพยักหน้า "ผมพักห้องแอร์ครับ"
โรงแรมแห่งนั้นแม้จะไม่ใช่ระดับสี่ซ้าห้าดาว แต่บรรยากาศภายในห้องพักก็ดูสดชื่นระรื่นตา ห้องน้ำที่ติดอยู่กับผนังด้านประตูทางเข้าสะอาดสะอ้าน ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนขาวเหมือนใหม่ เก้าอี้ โซฟา และตู้ใส่เสื้อผ้าจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ภายในตู้เย็นมีน้ำโพลาริส แช่ไว้ ๒ ขวด แต่ยังไม่เย็นเพราะกระแสไฟภายในห้องเพิ่งมีขึ้นเมื่อตอนที่บ๋อย หนุ่มกดปุ่มเปิดล็อค ภายหลังเปิดประตูห้องนำเราสองคนเข้ามา
"หิวไหม" ผมเลิกคิ้วถามสาวบัว ซึ่งกำลังเอนหลังขับไล่ความเมื่อยขบอยู่บนเตียงนอนตรงหน้าผม "ถ้าหิวก็โทร.สั่งลงไปได้ ตอนนี้ครัวเปิดแล้ว"
ผมวางเมนูอาหารของโรงแรมที่เปิดดูเสร็จแล้วลงบนโต๊ะ และชี้ไปที่โทรศัพท์ของโรงแรมที่วางอยู่ใกล้ ๆ หม้ายสาวลุกจากเตียง เดินมานั่งลงบนโซฟาติดกับผม พร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่งหยิกแก้มผมหยอกเล่นอย่างรักใคร่
"อาบน้ำให้สดชื่น และนอนพักเสียก่อนซักตื่น แล้วค่อยลงไปหาอะไรกินกันข้างล่างก็ได้"
"ตกลง" ผมพยักหน้าเห็นด้วย "เราอาบพร้อมกันเลย ประเดี๋ยวผมจะเข้าไปเปิดน้ำอุ่นใส่ไว้ในอ่าง แล้วเราค่อยลงไปนอนแช่ด้วยกัน"
แน๊ะ" สาวบัวเอาปลายนิ้วมือข้างเดียวกันนั้นจิ้มคางผมอย่างรู้ทัน เลือดลมในกายสาวสูบฉีดแดงซ่านไปทั่วใบหน้า ทำให้ผมไม่อาจห้ามใจไว้ได้ จึงรวบหล่อนเข้ามาแนบไว้กับอก ก่อนประทับจูบลงบนริมฝีปากคู่นั้นนิ่งนานด้วยความรักใคร่เสน่หา
๙.๓๐ น. ผมกับสาวบัวออกจากโรงแรมที่พักและเดินหาซื้อแผนที่กรุงเทพฯตามแ ถวนั้นได้มาฉบับหนึ่ง ซึ่งเขาเย็บเป็นเล่มคล้ายสมุดปกอ่อนของนักเรียน ภายในเล่มนอกจากจะมีแผนที่ที่แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยรวมแล้ว ก็ยังได้แยกแยะลายระเอียดในแต่ละจุด รวมทั้งสายรถเมล์ที่แล่นผ่านไว้ด้วย
เมื่อได้แผนที่ไว้ในมือผมก็ค่อยมีความมั่นใจมากขึ้น นึกถึงคำพูดของแม่ "คนอย่างไข่นุ้ยชอบการผจญภัย" ก็เห็นจะจริงแล้วล่ะเที่ยวนี้
หลังจากกินข้าวมันไก่ในร้านซึ่งอยู่ติดกับร้านขายเครื่องเขียนท ี่เราเลือกซื้อแผนที่กันคนละจาน ตามด้วยโอเลี้ยงเย็น ๆ กันคนละแก้วเสร็จแล้ว ผมกับสาวบัวก็เดินควงแขนลัดเลี้ยวออกสู่ถนนข้าวสาร และเดินท่องต่อไปจนลุออกถนนจักรพงษ์ ด้านขวามือเป็นสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ฟากตรงข้ามเป็นพระอารามหลวง คือ วัดชนะสงครามราชมหาวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย ์สมบัติเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นให้คล้ายคลึงกับกรุง ศรีอยุธยามากที่สุด ตลอดจนเปลี่ยนชื่อวัดให้เหมาะสม เพื่อเทิดเกียรติทหารชาวรามัญในกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุ รสิงหนาท ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับพม่าในสงครามเก้าทัพ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ สงครามที่ท่าดินแดงและสามสบ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ และสงครามที่นครลำปางป่าซาง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐ หลังจากนั้นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทได้ทรงบูรณปฏิสังข รณ์ แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ จึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดชนะสงคราม เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงมีชัยชนะต่อพม่าในการรบทั้ง ๓ ครั้ง-ดังกล่าว
ย้อนกลับมาที่ผมกับสาวบัวเมื่อเดินทอดน่องมาถึงทางแยกตรงนั้น ก็พากันหักเลี้ยวไปทางซ้าย โดยที่ผมตั้งใจจะพาหล่อนมุ่งไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเป็นแห่ งแรก เพราะผมอยากชมโบราณวัตถุ รวมทั้งศิลปวัตถุชิ้นสำคัญ ๆ ที่เคยอ่านเจอในหนังสือให้เห็นกับตาตนเองสักครั้ง
สาวบัวพยักหน้าเห็นด้วยทุกสิ่ง ภาพใบหน้าของหล่อนที่ยิ้มออกมาอย่างชื่นชมเมื่อผมแนะนำสิ่งต่าง ๆ ที่หล่อนไม่เคยรู้มาก่อนให้ได้รู้ได้เข้าใจ ยังคงแนบประทับอยู่ในความทรงจำของผมอย่างมิอาจลืมเลือน
************************************
Create Date : 27 พฤศจิกายน 2554 |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2554 16:11:54 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1614 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: blogwhite วันที่: 27 พฤศจิกายน 2554 เวลา:8:19:52 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 28 พฤศจิกายน 2554 เวลา:15:58:41 น. |
|
| |
|
หลวงเส |
 |
|
 |
|