
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
เรื่องสั้น/ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว
ฉันเกิดและโตไม่ทันยุคสะพายกระดานชนวนไปโรงเรียน แต่ทันได้พกเหรียญสลึงเหรียญบาทดำปิ๊ดปี๋, ใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียนไปซื้อขนมที่โรงเรียน เวลาเดินรีบ ๆ ได้ยินมันกระทบกันกรุ๋งกริ๋ง ๆ อยู่ในก้นกระเป๋า ทำให้อุ่นใจ บางคนเอาสายยางรัดไว้ กันมันร่วง อดได้กินขนม
สมัยนั้นภูมิลำเนาของฉันเป็นถิ่นทุระกันดาน อยู่ไกลตลาด เสื้อผ้าชุดนักเรียนผู้ปกครองนั่งเรือแจวไปซื้อมาให้ ส่วนขนมและผลไม้ พวกสับปะรด ส้มโอ หรือฝรั่งที่เขาปอกเปลือกโรยพริกเกลือใส่กระโทงใบตอง จะมีแม่ค้าใส่แหรกหาบมาขาย มีเจ้าประจำสองเจ้า เป็นหญิงชราทั้งคู่ คนหนึ่งใจดี พูดจาไพเราะ ผิดกับอีกคนที่ดูเคร่งขรึม ชอบด่าแม่พวกเด็ก ๆ จนติดปาก แต่ขนมของแกกลับขายดี เพราะไม่แพง รสชาติก็อร่อยเป็นที่ถูกอกถูกใจของพวกนักเรียนทุกคน
โรงเรียนของฉันตอนนั้น, แม้จะมีรูปทรงคล้ายศาลาวัด สังกะสีบนหลังคาเป็นสนิมสีน้ำตาลเข้มมองเห็นไปแต่ไกล ฝาไม้ไผ่จักสานลายลูกแก้วทั้งสี่ด้าถูกมอดกัดกินเป็นรูพรุนไปหมด แต่มันก็คุ้มแดดคุ้มฝนให้พวกเด็ก ๆ ผ่านมาแล้วหลายรุ่น และตั้งแต่ฉันจำความได้,โรงเรียนหลังนี้ก็มีเฉพาะคุณครูผู้ชายหน้าตาดุ ๆ สอนอยู่คนเดียว จากชั้น ป.๑ ยัน ป.๔ มาตลอด
บ้านของคุณครูอยู่ห่างโรงเรียนราว ๆ ๑ กม. และคุณครูก็มักจะมาถึงโรงเรียนหลังเด็กนักเรียนแทบทุกวัน แต่พอมาถึงก็จะคว้ากระดิ่งทองเหลืองบนโต๊ะของท่านสั่นรัว เสียง กริ๊ง ๆ ๆ บาดแก้วหู พวกเด็กนักเรียนที่วิ่งเล่นกันอยู่ตามที่ต่าง ๆ จะกรูกันมาเข้าแถวที่หน้าเสาธงหน้าอาคารเรียน
กระดิ่งแรกเป็นการเตรียมตัว ใครวิ่งเล่นมาเหนื่อย ๆ มีสิทธิ์จะวิ่งไปล้างหน้าล้างตาชำระเหงื่อไคลให้สะอาดสดชื่นที่ท่าน้ำหลังโรงเรียนเสียก่อนได้ แต่พอกระดิ่งสอง,ต้องมาเข้าแถวและจัดแถวให้เป็นระเบียบเรียบร้อย... เป็นแถวตอนเรียงสอง ชาย-หญิง ตามลำดับชั้นเรียน
ตอนที่หยิบมาเล่านี้ฉันกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๓ ในแถวของฉันมีเด็กผู้ชายทั้งหมด ๙ คน ฉันตัวเล็กกว่าเพื่อนจึงได้รับเกียรติให้ยืนหัวแถว ถัดจากฉันไปทางซ้ายมือ เป็นแถวนักเรียนหญิงชั้น ป.๓ เหมือนกัน พวกเธอมีทั้งหมด ๖ คน เด็กหญิงรัชนี ผอมขี้มูกโป่ง ตัวเล็กกว่าฉัน ได้รับเกียรติให้ยืนหัวแถวนักเรียนหญิงมีศักดิ์เท่าเทียมกับฉัน พอถึงเวรนักเรียนชั้น ป.๓ ทำกิจกรรมหน้าเสาธง ฉันกับรัชนีจะเป็นผู้ออกไปเชิญธงไตรรงค์ขึ้นสู่ยอดเสา เด็กชายประพัทธ์-หัวหน้าชั้น จะขึ้นเพลงชาติและนำบทสวดมนต์ไหว้พระ
สมัยก่อน,จะเป็นเพราะฉันเป็นคนผอมและตัวเล็กนิดเดียวหรือย่างไรก็ไม่รู้ ที่ทำให้ฉันเป็นคนขี้หนาวอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะยามเช้าที่น้ำค้างจับชุ่มอยู่บนยอดหญ้าขาวโพลน ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนั้นมันช่างหนาวเหน็บและเหน็บหนาวเข้ากระดูกดำ จนบางครั้งฉันถึงกับคางสั่น, กรามสองข้างบดกระทบกันดังกราว ๆ
เช้าวันนั้นไม่รู้ประพัฒน์ซึ่งเป็นหัวหน้าชั้นเรียนของฉันนึกบ้าบออะไรขึ้นมา พอมาถึงโรงเรียนก็ชวนฉันไปเล่นน้ำคลองที่ท่าน้ำหลังโรงเรียนทันที
เล่นน้ำคลอง... เช้า ๆ อย่างนี้นะหรือ!? บ้าไปได้ ก็ฉันเกือบจะโดนไม้เรียวของย่ามาหยก ๆ ฐานงอแงไม่ยอมอาบน้ำก่อนมาโรงเรียน...
ไม่เอาโว้ย หนาวจะตาย ฉันรู้สึกขนพอง
"กูจะให้มึงขี่แพ"
ประพัฒน์คะยั้นคะยอฉันอีกรอบ
แพ... ฉันนึกวาดภาพของมันอยู่ในใจ ถ้าเป็นแพของพ่อที่กลางป่าดงดิบโน้นละก้อ มันน่าจะลงไปถ่อเล่นจังเลย แต่พ่อบอกว่า แค่ไม้ค้ำยันที่เขาใช้ถ่อแพฉันก็ยกไม่ไหว ต้องรอให้โตอีกหน่อยถึงจะถ่อแพของพ่อได้... "แล้วเมื่อถึงตอนนั้นพ่อก็จะรับผมมาอยู่ด้วยกันที่บ้านไร่แห่งนี้ใช่ไหมครับ" ฉันแอบถามพ่ออยู่ในใจ เมื่อรู้สึกว่าขอบตาทั้งสองข้างกำลังร้อนผะผ่าว ด้วยรู้ว่า ถึงเวลาที่พ่อจะต้องพาฉันกลับจากไร่ไปส่งที่บ้านย่า เพื่อให้อยู่เรียนหนังสือที่นั่นอีกแล้ว
"คุณครูตีตายเลย" ฉันพูดกับประพัฒน์ ซึ่งหาเพื่อนเล่นน้ำคลองได้แล้ว ๒ คน คือ มนัส กับ สุชน นักเรียนชั้น ป.๓ ด้วยกัน
"ว่าแต่มึงอย่าปากบอนก็แล้วกัน" พวกมันว่าแล้วก็วิ่งปร๋อไปที่ท่าน้ำ ถอดชุดนักเรียนกองไว้บนตลิ่ง แล้วพากันกระโดดตูม ๆ ลงไปในคลอง
ฉันอยากเห็นแพที่ประพัฒน์บอกจึงวิ่งตามไปดู
วันนั้นเป็นวันข้างแรมต้น ๆ น้ำทะเลหนุนขึ้นมาในลำคลองตั้งแต่ตอนหัวรุ่ง ดันน้ำจืดที่ไหลเรื่อยเฉื่อยมาจากป่าดงดิบให้ย้อนกลับขึ้นไปทาง เหนือ อีกทั้งระดับน้ำคลองหลังโรงเรียนก็กำลังเอ่อท้นขึ้นมาจนเกือบปริ่มขอบตลิ่ง เจ้าเพื่อนชายสามคนนั้นชวนกันว่ายน้ำเล่นอย่างสนุกสนาน พวกมันพยายามที่จะพิชิตแพไม้ไผ่ที่ผูกยึดอยู่กับโคนไม้ริมคลองต้นหนึ่งให้ได้ ด้วยการพยายามจะป่ายปีนขึ้นไปอยู่บนแพ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะแพลำนั้นเป็นแพเก่า ตะไคร่น้ำจับเขียวพรืดไปหมด ไม่รู้ใครนำมาผูกไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่ได้ย่างกรายมาที่ท่าน้ำแห่งนี้หลายวันแล้ว
ฉันยืนมองไปจากขอบตลิ่งริมคลอง ก็เห็นว่าเหลือกำลังที่พวกมันจะพิชิตแพนั้นได้ เพราะตะไคร่น้ำที่จับเขียวพรืดอยู่ทั้งลำนั้น เมื่อเปียกน้ำมันก็จะลื่นจนจับไม่อยู่... และทันใดนั้นเอง ประพัฒน์-ซึ่งทำท่าว่าจะเป็นผู้พิชิตได้สำเร็จเป็นคนแรกก็เกิดหมดแรงเอาดื้อ ๆ สองมือที่กำลังไขว่คว้าลำแพลื่นไถล และหายหลังร่วงตูมลงน้ำ จมมิดไปใต้ท้องคลอง เจ้าเพื่อนสองคนที่เล่นน้ำำอยู่ด้วยกันใกล้ ๆ ก็คงจะไม่เฉลียวใจว่าประพัฒน์จะตกน้ำ
ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ครั้นเห็นประพัฒน์จมหายไปนานผิดสังเกต ก็ชักใจเสีย... พอเห็นมันโผล่ขึ้นมาแวบ ๆ ครั้งแรก ห่างจากแพลำนั้นไปตามกระแสน้ำที่ไหลย้อนไปทางเหนือราว ๆ สามวา ก่อนที่จะจมมิดลงไปอีกครั้งด้วยท่าทางของคนที่หมดเรี่ยวแรง ฉันก็ตกใจกลัว ยิ่งเห็นมันพยายามโบกมือขอความช่วยเหลือ... ใบหน้าที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมานิด ๆ แสดงอาการตื่นตระหนกสุดขีด นัยน์ตาสองข้างเถลือกถลนเหมือนคนกำลังจะขาดใจตาย ฉันจึงไม่รีรอ และรีบตัดสินใจทันที
ด้วยความลืมตัว เพราะมัวแต่คิดที่จะช่วยเพื่อนให้รอดตาย ฉันจึงตัดสินใจกระโดดตูมลงไปในคลองทั้ง ๆ ที่สวมชุดนักเรียนอยู่ พร้อมกับตะโกนบอกเพื่อนอีกสองคนนั้นว่า
"เฮ้ย ไอ้พัฒน์จมน้ำ ช่วยกันเร็ว"
ที่โรงเรียนนอกจากจะมีหัวหน้าชั้นเรียนแต่ละชั้น ไว้เป็นตัวแทนนักเรียนทั้งชั้นกับคอยเป็นหูเป็นตาดูแลพวกนักเรียนในชั้นเรียนแทนคุณครู ก็ยังมีหัวหน้านักเรียนทั้งหมดของโรงเรียนอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็ได้แก่หัวหน้าชั้นห้อง ป ๔ นั่นเอง ถ้าคุณครูไม่อยู่โรงเรียน เขามีหน้าที่ควบคุมความประพฤติของนักเรียนทั้งหมด ใครทำอะไรที่ไหนฝ่าฝืนคำสั่งของคุณครูเขามีสิทธิ์ห้ามปราม ถ้าไม่เชื่อฟังเขาก็จะจดชื่อไปส่งคุณครู หรือใครพบเห็นนักเรียนคนไหนทำผิด ถ้าไม่มีคุณครูอยู่ที่โรงเรียนก็ต้องไปแจ้งกับเขา ให้เขาเป็นคนจัดการห้ามปราม แต่ทว่าวันนั้นฉันไม่ได้ทำตามกฏระเบียบ เพราะไม่ได้แจ้งให้หัวหน้านักเรียนทราบ ว่ามีนักเรียนเล่นน้ำคลองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ฉันจึงต้องตกกระไดพลอยโจรกับเขาด้วย
วันนั้น นอกจากจะโดนคุณครูหวดก้นเสียครึ่งโหล ฐานฝ่าฝืนกฏระเบียบแอบไปเล่นน้ำคลองโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันก็ยังต้องทนหน้าด้านนั่งแก้ผ้าเรียนหนังสืออีกครึ่งวันกว่าชุดนักเรียนที่เอาไปผึ่งแดดไว้ที่รั้วโรงเรียนจะแห้ง ไม่กล้ากลับไปเปลี่ยชุดใหม่ที่บ้าน เพราะรู้ว่าขืนกลับไป ก็มีหวังได้เจอไม้เรียวรอบสองแน่
ก็เพิ่งจะโดนไม้หวายเส้นเท่านิ้วก้อยของคุณครูมาหยก ๆ จะให้ไปโดนเรียวไม้มะขามของย่าที่บ้านเข้าอีก... ไม่เอาโว้ย-ทนหน้าด้านดีกว่า
บัดนี้วันเวลาแห่งวัยเยาว์ได้ล่วงเลยมากว่า ๕๐ ปีแล้ว ฉันกับเพื่อน ๆ ก็ย่างเข้าสู่วัยแก่เฒ่าด้วยกันทุกคน คุณครูท่านอายุยืน เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีนี้เอง (พ.ศ. ๒๕๔๒) สิริอายุได้ ๙๒ ปี พวกฉันและลูกศิษย์รุ่นอื่น ๆ ทั้งใกล้และไกล ซึ่งบางคนไปทำงานมีครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด เมื่อรู้ข่าวก็มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพของท่านกันทั่วหน้า
ทว่าท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้โศกเศร้ากับการจากไปของครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา, จะมีการสำรวมกายวาจาให้สงบเสงี่ยมตามประสาผู้เฒ่าด้วยกันทุกคนก็หาไม่ เพราะเมื่อนาน ๆ จะได้พบหน้าพูดคุยกันสักครั้ง ก็อดที่จะฉวยโอกาสสุมหัวเท้าความหลังกันบ้างไม่ได้... โดยเฉพาะเรื่องที่ฉันต้องทนหน้าด้านนั่งแก้ผ้าเรียนหนััังสือในวันนั้น เมื่อเอ่ยถึงมันทีไร ก็จะชวนกันหัวเราะงอหงายไปเสียทุกคราว
"ไม่มีวันนั้นอีกแล้วนะ- -ไข่นุ้ย"
"อือม์..." ฉันพยักหน้าแล้วก้มมองพื้น
ไม่ใช่อะไรหรอก น้ำตามันจะไหล-อายเพื่อน
-จบ-
Create Date : 04 กรกฎาคม 2554 |
Last Update : 10 กรกฎาคม 2554 22:35:58 น. |
|
12 comments
|
Counter : 1113 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: KeRiDa วันที่: 5 กรกฎาคม 2554 เวลา:7:41:51 น. |
|
โดย: diamondsky วันที่: 5 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:12:33 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 6 กรกฎาคม 2554 เวลา:7:59:38 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 7 กรกฎาคม 2554 เวลา:7:26:17 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 7 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:26:33 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 7 กรกฎาคม 2554 เวลา:16:27:03 น. |
|
โดย: diamondsky วันที่: 7 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:24:52 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 8 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:12:46 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 9 กรกฎาคม 2554 เวลา:7:34:33 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:9:41:20 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 12 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:30:45 น. |
|
| |
|
หลวงเส |
 |
|
 |
|