ถ้าขจัดความกลัวออกไปได้ ไม่นานความสำเร็จก็จะตามมา

<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
3 มิถุนายน 2554
 

เรื่องสั้นตกรอบครับ

เป็นผลงานที่เขียนส่งไปร่วมประกวดเรื่องสั้นรางวัลสุภาว์ เทวกุล ปี 2552 แต่ไม่เข้ารอบ เลยนำมาโพสต์เก็บไว้ที่เว็บศาลานกน้อย ตอนนี้กำลังตกที่นั่งเขียนอะไรไม่ออกจึงไปงัดออกมาเกลาเสียหน่อยหนึ่ง ก่อนจะโพสต์ลงมาอวดโฉมที่นี่

ดีร้ายประการใดขอเชิญชิมไปบ่นไปได้เลยครับ

***************************

เรื่องสั้น
ชื่อ ก่อนแสงอรุณฉาย
โดย ชายเสรี

แม้จะมีบ้านพักอยู่ในที่ทำงานอยู่แล้วหลังหนึ่ง แต่ทว่าคืนไหนไม่ติดเวรตรวจไข้บนตึกผู้ป่วย แพทย์หญิงสิริมาก็มักจะกลับมานอนพักค้างคืนกับแม่และน้องสาวของหล่อนที่บ้านหลังนี้เสมอ บ้านซึ่งเป็นตึกสองชั้นเก่า ๆ อยู่ติดชายคาตลาดสด อบอวลไปด้วยกลิ่นไอของตลาด ตลอดจนกระทั่งเสียงอึกทึกครึกโครม ซึ่งเป็นบรรยากาศที่หล่อนเคยสัมผัสมาแต่ไหนแต่ไร จนแทบจะกล่าวได้ว่า ชีวิตเลือดเนื้อของหล่อนส่วนหนึ่งถูกหล่อหลอมให้เข้มแข็งขึ้นมาได้ก็เพราะได้ซึมซับวิถีผู้คนไปจากที่นี่นั่นเอง

คืนนี้ไม่ติดเวร หล่อนจึงกลับมาค้างคืนที่บ้านหลังนี้กับแม่และน้องสาวของหล่อนอีกครั้ง ในขณะที่น้องชายอายุไล่เลี่ยกับหล่อนอีกคน ซึ่งตอนนี้กำลังศึกษาวิชากฎหมายระดับปริญญาตรีอยู่ที่มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ต้องรอถึงตอนปิดภาคเรียน จึงจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันสี่คนแม่ลูกสักครั้ง

เสียงตะโกนหยอกล้อด้วยถ้อยคำหยาบโลนอันเป็นสิ่งปรกติระหว่างพ่อค้าแม้ค้าในตลาดที่กำลังจัดร้านจัดแผงของตน และบ้างก็กำลังขนของลงจากกระบะรถบรรทุก รถเข็น รวมไปถึงสามล้อพ่วงข้าง, ทั้งรถผัก รถปลา ตลอดจนรถส่งเนื้อชำแหละจากโรงฆ่าสัตว์ ดังเจี๊ยวจ๊าวเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนของหล่อนตั้งแต่หลังเที่ยงคืน ปลุกให้หล่อนรู้สึกและสัมผัสกับมันตลอด กระทั่งตีสี่กว่า ๆ หล่อนก็ลืมตาตื่นชนิดที่ไม่อาจฝืนหลับต่อไปได้ ป่านนี้แม่และน้องสาวของหล่อนซึ่งนอนกันคนละห้องคงจะออกไปขายผักอยู่ในตลาดกันแล้ว

แพทย์หญิงสิริมาลุกจากเตียงนอนด้วยความกระฉับกระเฉง อันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ หล่อนเปิดประตูห้องนอนก้าวลงบันไดตรงมาชั้นล่าง จะไปเข้าห้องน้ำ... หากแต่ความรู้สึกเสมือนว่าตนยังเป็นเด็กแล่นปราดลงสู่ฝ่าเท้า ทำให้อดที่จะเดินไปชะเง้อมองบรรยากาศอันอึกทึกครึกโครมภายในตลาดสดที่หล่อนคุ้นเคยตรงช่องประตูเหล็กหน้าบ้านเสียก่อนมิได้

แต่ก่อนบ้านหลังนี้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวและข้าวต้มโจ๊กของเตี่ย หัวรุ่งตีสี่ตีห้าเด็กหญิงร่างบอบางในชุดนอนสีสดสวยจะลุกขึ้นมาติดไฟเตาถ่านต้มข้าวต้ม และต้มน้ำซุป-น้ำร้อนสำหรับลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวให้เตี่ย พร้อมทั้งจัดโต๊ะ เก้าอี้ และวางพวงพริกน้ำส้มไปตามโต๊ะต่าง ๆ ภายในร้านให้เข้าที่เข้าทาง เพราะลูกค้าของเตี่ยส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ที่มักจะมาสั่งโจ๊กหรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยวรองท้องกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ส่วนน้องชายและน้องสาวจะออกไปช่วยตัดแต่งผักจัดวางไว้บนแผงให้แม่ ที่แผงขายผักในตลาด

แม่เป็น ‘ลูกคนไทย’ ไม่ถนัดเรื่องขายอาหารเหมือนเตี่ย "หุ่นไม่ให้" แม่พูดแล้วหัวเราะ เตี่ยค้อนปะหลับปะเหลือก แต่ไม่ว่าอะไร นอกจากยื่นใบแดง ๆ สามสี่ใบให้แม่ เตี่ยบอกลูก ๆ ว่าแม่เป็นคนรู้จักคิด แม้ไม่รู้ว่าการหมุนเงินคืออะไร แต่แม่ก็รู้ว่า จะต้องใช้จ่ายอย่างไรจึงจะไม่เดือดร้อนภายหลัง ผิดกับเพื่อนแม่ค้าหลายรายที่รู้จักแต่ผันเงินท่าเดียว ไม่ช้าก็ตกเป็นหนี้พวกนายทุนเงินกู้ร้อยละยี่ร้อยละสิบจนวุ่นไปหมด

แพทย์หญิงรู้สึกใจหายเมื่อคิดถึงเพื่อน ๆ ลูกแม่ค้าในตลาดเดียวกัน ซึ่งครอบครัวประสบปัญหาด้านการเงิน บวกกับพวกเขาที่มักทำตัวเหลวไหลเป็นทุนเดินอยู่แล้ว เมื่อการเงินทางบ้านฝืดเคือง พ่อแม่ส่งให้ไม่พอใช้ก็มักจะหันไปหาทางออกกันอย่างผิด ๆ โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงบางคนที่ชอบเที่ยวเตร่และคบผู้ชายไม่ซ้ำหน้า บางคนชอบดื่มเหล้าเมายาตามผับตามบาร์และสถานบันเทิงต่าง ๆ เป็นว่าเล่น ครั้นถึงคราวตกอับและขัดสนเข้าจริง ๆ ก็มักจะลงเอยด้วยการขายบริการทางเพศ ทำให้หล่อนรู้สึกหดหู่และอดที่จะนึกเสียดายอนาคตของเพื่อน ๆ เหล่านั้นไม่ได้ แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ในเมื่อพวกเขาเลือกทางเดินของเขาเอง

ครั้นหันกลับมามองชีวิตของตนซึ่งโชคดีที่เกิดเป็นลูกของแม่ผู้ไม่ยอมก้มหน้าให้กับความเหนื่อยยาก แม้บ้างครั้งอดที่จะผวากับเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้วไม่ได้ เพราะชีวิตในรั้วการศึกษาของหล่อนในระยะหลัง ๆ ก็ใช่ว่าจะราบรื่นนัก หลังจากโดยสารประจำทางคันนั้นพลิกคว่ำลงไปในคูลึกริมทางเป็นเหตุผู้โดยสารเสียชีวิตหมดทั้งคัน รวมทั้งเตี่ยของหล่อนก็ต้องพลอยจบชีวิตทิ้งครอบครัวและลูกเมียไปกับเขาด้วย หล่อนจึงเหลือแม่เป็นที่พึ่งเพียงผู้เดียว...

แม่ต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูลูก ๆ ซึ่งอยู่ในวัยกำลังกินกำลังเรียนไปตามลำพัง ยอดเงินที่ได้มาจากการเสียชีวิตของเตี่ยก็ใช่ว่าจะมากมายอะไรนัก ถ้าหากจะนำมาเทียบกับรายได้ที่เตี่ยหาได้ในแต่ละวันสมัยที่เตี่ยยังมีชีวิต อีกทั้งไม่นับความอบอุ่นภายในครอบครัวซึ่งหาค่าไม่ได้ ก็ต้องสูญสลายไปด้วย หล่อนสงสารแม่จนคิดจะออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ทำงานเก็บเงินส่งเสียให้น้อง ๆ เล่าเรียนแทนหล่อนอยู่หลายครั้ง แต่แม่ไม่ยอม

"เอ็งก้าวไปกว่าครึ่งทางแล้ว ขืนล้มเลิกกลางคันก็เสียดายแย่ เชื่อแม่เถอะ- ลูกของแม่สามคน แม่จะต้องหาทางส่งเสียให้เล่าเรียนจนสำเร็จให้จงได้ เอ็งไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้พวกเอ็งตั้งใจเรียนก็แล้วกัน"

นั่นคือถ้อยคำที่แม่คอยย้ำเพื่อเป็นกำลังใจให้หล่อนและพวกน้อง ๆ ได้สำนึกอยู่เสมอ จนทำให้หล่อนมีความมุ่งมั่น และตั้งใจเล่าเรียนโดยไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคใด ๆ


๒.

"สิริมา งานวิจัยชุดนี้ของพวกเธอยังบกพร่องอยู่นะ"

ท่านอาจารย์แพทย์หญิงประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ยื่นแฟ้มงานวิจัยที่หล่อนและเพื่อนนักเรียนแพทย์ในกลุ่มจัดทำและส่งให้ท่านตรวจสอบกลับมาให้หล่อน เพื่อนำกลับไปแก้ไขในบางส่วน

และนั่นคือกระบวนการแก้ไขครั้งสุดท้ายสำหรับงานวิจัยภาควิชาที่หล่อนเลือกเรียนชุดนั้น, เสร็จจากนั้นก็เร่งทำวิทยานิพนธ์... จนในที่สุดภาคการศึกษาสุดท้ายก็สิ้นสุดลง หล่อนผ่านการศึกษาค้นคว้าและผ่านเกณฑ์ทดสอบหมดสิ้นทุกกระบวนวิชา จนกระทั่งจบหลักสูตรการศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ สาขากุมารเวช ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่งตามความมุ่งหวัง




๓.

"ตื่นมาทำไม !?"

นางทำเสียงดุเมื่อหันไปเห็นบุตรสาวคนโตในชุดกางกางขาสั้นสีขาว เสื้อยืดคอปกสีฟ้า มีตรากระทรวงสาธารณสุขติดอยู่ที่หน้าอกเสื้อด้านซ้าย เดินอ้อมแผงขายผักของนางมาหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ กับบุตรสาวคนเล็กที่ตื่นมาขายผักที่แผงนี้พร้อมกับนางเมื่อตอนตีสี่ ในขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังรวบต้นผักยกใส่ตาชั่งเพื่อคิดเงินให้ลูกค้า ปากของนางก็บ่นพึมพำ

"ประเดี๋ยวไปทำงานก็ง่วงแย่" นางว่า

"จะตีห้าแล้วนะแม่!"

สิมาสบตากับน้องสาวแล้วหันไปพูดกับมารดาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ลูกค้าขาประจำที่หล่อนคุ้นหน้าคุ้นตายืนรอรับถุงผักจากแม่หันมามองหล่อนด้วยสายตาชื่นชม

ถึงแม้จะไม่ได้มาช่วยแม่ขายผักที่แผงนี้เสียนาน แต่หล่อนก็ยังจดจำใบหน้าของลูกค้าผู้มีพระคุณเหล่านี้ได้ดี บางคนเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่งอยู่ในตัวเมือง บางคนขายของชำอยู่ในหมู่บ้าน พวกเขามาซื้อผักจากแม่ของหล่อนในราคาขายส่งแล้วนำไปวางขายบนแผงที่บ้านของเขาอีกทอดหนึ่ง แพทย์หญิงสิริมาสนิทสนมและคุ้นเคยกับพวกลูกค้าของแม่แทบทุกคน หล่อนจึงหันไปยิ้มและทักทายอย่างคนกันเอง

"ที่บ้านขายดีไหมจ๊ะ-น้า?"

"ก็พออยู่ได้ค่ะ-หมอ" น้ำเสียงที่ตอบออกมา ฟังดูประหม่าจนสิมานึกขันอยู่ในใจ เดี๋ยวนี้หลาย ๆ คนมักจะพูดกับหล่อนไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่นัก แม้แต่พวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาดที่คุ้นเคยซึ่งมักใช้คำพูดคำจาแบบถึงลูกถึงคนก็เช่นกัน ไม่มีใครเรียกหล่อนว่า "อีมา" หรือ "อีสิมา" เหมือนก่อนอีกแล้ว ถ้าไม่เรียก "หมอ" ก็จะเรียก "สิมา" เฉย ๆ อี ไอ้ ที่เรียกติดปากอย่างเก่าหายไปหมด

แม้ส่วนหนึ่งหล่อนจะภูมิใจกับสิ่งนี้ แต่ในอีกส่วนหนึ่งแพทย์หญิงลูกสาวแม่ค้าขายผักผู้นี้ก็อดรู้สึกว้าเหว่มิได้

สมัยก่อน...หัวรุ่งตีสี่ตีห้า, ก่อนแสงอรุณจะฉายฉาบท้องฟ้าเบื้องทิศตะวันออก พวกเด็ก ๆ ลูกแม่ค้าในตลาดอย่างหล่อน ทั้งเด็กผู้หญิงผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันซึ่งมีอยู่นับสิบคนจะต้องลุกขึ้นมาช่วยงานพ่อแม่ด้วยกันทั้งนั้น พ่อแม่ขายผัก ลูก ๆ ก็ต้องช่วยตัดแต่งต้นผักตั้งเรียงไว้บนแผงให้สวยงามเป็นระเบียบน่าเลือกซื้อ เด็กคนไหนพ่อแม่ขายของชำก็ต้องช่วยหยิบจับและจัดใส่ภาชนะยกขึ้นตาชั่ง จากนั้นก็ช่วยกันขนไปใส่กระบะรถให้ลูกค้าซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถ พวกที่พ่อแม่ขายน้ำกะทิก็ต้องช่วยปอกมะพร้าว พร้อมกับขนเปลือกขนกะลาใส่เข่งไปทิ้งถังขยะ... ทุกคนต้องทำงานกันอย่างรีบเร่งก่อนแสงเงินแสงทองจะฉาบฉายท้องฟ้าเบื้องทิศตะวันออก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาซื้อของในตอนหัวรุ่งนั้น จะนำไปขายต่อที่บ้านหรือที่ร้านค้าของเขาตอนเช้ามืด พวกเด็ก ๆ จึงต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียวไม่ต่างจากผู้ใหญ่แต่อย่างใด

เด็กบางคนอดทนและขยันขันแข็ง แม้เหน็ดเหนื่อยก็ไม่ปริปาก เพราะสำนึกในหน้าที่ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องการฝึกนิสัยให้ลูกหลานของตัวให้รู้จักทำกิน โตขึ้นจะได้เอาตัวรอด ไม่ต้องเป็นภาระสังคม หากแต่เด็กบางคนก็เกียจคร้านจนผู้ใหญ่ต้องเคี่ยวเข็ญและบังคับเฆี่ยนตีอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งในจำนวนนั้น ก็มีเด็กชายหน้าตี๋อยู่คนหนึ่งที่แพทย์หญิงสิริมายังคงจดจำเขาไม่ลืม




๔.

"มา"

หญิงสาวสะดุ้งและหันไปตามเสียงเรียก!

บานกระจกประตูรถเก๋งสีแดงเพลิงซีกฝั่งคนขับ ซึ่งปุ่มปิด-เปิดอัตโนมัติได้กว้านกระจกลดลงกว่าครึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายของชายหนุ่มผู้ที่เรียกชื่อหล่อนซึ่งนั่งอยู่ในรถยนต์คันนั้นเต็มตา

ใครกันนะ!?

หญิงสาวในชุดนักเรียนแพทย์งุนงง

เหนือหางคิ้วอันดกดำข้างซ้ายของชายหนุ่มผู้นั้น มีรอยแผลเป็นลากยาวขึ้นไปเกือบนิ้ว! และเมื่อเขาเปิดปากยิ้มเพราะคิดว่าหล่อนคงจำเขาไม่ได้...ภาพความหลังสมัยวัยเยาว์ก็ฉายวาบเข้าสู่ความทรงจำของหญิงสาวทันที...

"ปล่อยเราเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นเราจะตะโกนเรียกอาป๊าให้มาจัดการกับนาย"

เด็กหญิงร่างบอบบางแต่ทว่าเต็มไปด้วยพละกำลังส่งเสียงขู่ พร้อมทั้งใช้สองมือยันหน้าอกฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเด็กชายหน้าตี๋วัยเดียวกันให้ถอยห่าง

"จ้างให้ !"

เด็กชายยังฝืนกอดรัด แสยะยิ้มจนปลายเขี้ยวแหลมเก๋ด้านบนสองข้างโผล่แย้มออกมาอย่างน่ากลัว

เด็กหญิงใจสั่นระทึกเมื่อเห็นเขาจ้องตาเธอพร้อมกับโน้มใบหน้าก้มต่ำลงมา... ทำให้เธอต้องปิดตาลงด้วยความตกใจกลัว เรี่ยวแรงหดหายจนมิอาจดิ้นรนขัดขืน

แต่ทว่าก่อนที่ปลายจมูกอันโด่งงอนของเด็กชายจะเฉียดกรายลงบนผิวแก้มอันแดงเรื่อด้วยความโกรธและอับอายของเธอนั้น เขาก็ต้องสะดุ้งและแผดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระและกระโจนหนีไปอย่างรวดเร็ว เพราะด้ามไม้กวาดกวาดพื้นน้อง ๆ ท่อนแขนที่หวดลงบนน่องของเขาโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อหนแรก กำลังถูกเงื้อง่าขึ้นจนสุดแขนของอาป๊าของเขาอีกครั้ง พร้อมกับสายตาอันแข็งกร้าวของแกก็จ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อในขณะเดียวกัน


"นายหายหน้าไปอยู่ที่ไหนเป็นสิบ ๆ ปี โรงเรียนปิดภาคเรียนเรากลับบ้านก็ไม่เคยเจอหน้านายเลยสักครั้ง?"

"ก้อตะลอน ๆ ไปทั่วแหละ"

"รวยแล้วนี่ -- เดี๋ยวนี้... ขับรถเก๋งราคาเป็นล้าน?"

"ก้องั้น - แล้วเธอล่ะ ได้ข่าวว่าจบเทอมนี้ไม่ใช่หรือ?"

หญิงสาวพยักหน้า

"ถ้าไม่แอ็คซิเดนท์เสียก่อน ..."

"เธอโชคดี..." ชายหนุ่มพูดเสียงเครืออยู่ในลำคอ ขณะที่สองมือจับพวงมาลัยรถและทอดสายตามองไปข้างหน้า บนถนนรถราค่อนข้างบางตา สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม่ร่มรื่น บางแห่งเป็นทุ่งโล่งมองออกไปสุดลูกหูลูกตา เขาพาหล่อนนั่งรถชมวิวไปช้า ๆ และในที่สุดชายหนุ่มก็ลดความเร็ว กระทั่งรถเก๋งสีแดงเพลิงคันนั้นแทบจะหยุดอยู่กับที่

"สิมา เดี๋ยวนี้เธอไม่กลัวเราเหมือนก่อนแล้วหรือ?"

"ทำไมเราจะต้องกลัวนาย?" หญิงสาวย้อนถาม

"จริงซินะ" เขาหัวเราะ "ก็รอยแผลเป็นที่หางคิ้วข้างซ้ายของเรานี่ไง เรายังจำไม่ลืม"

"นั่นเป็นเพราะนายหาเรื่องเอง" สิมาอายหน้าแดงเมื่อนึกถึงตอนนั้น ตอนที่เด็กชายโซ้ยตี๋แอบย่องมากอดหล่อนข้างหลัง ขณะหล่อนกำลังยืนล้างจานอยู่หลังบ้าน ด้วยความตกใจหล่อนจึงกระทุ้งข้อศอกข้างหนึ่งเข้าที่สีข้างของเขา แล้วหันไปหวดซ้ำด้วยชามก๋วยเตี๋ยวที่ถืออยู่ในมือ โดนเข้าที่หางคิ้วข้างซ้ายของเขาเต็มแรง... กระทั่งฝากรอยแผลเป็นมาจนบัดนี้

"นายมาทำอะไรที่นี่?" หญิงสาวถามเขา

"มาหาเธอ" ชายหนุ่มตอบ "รู้ไหม กว่าจะสืบรู้และได้พบเธอวันนี้ เราได้แวะเวียนมาเฝ้ารออยู่ตั้งหลายวัน"

"ก้อนายไม่รู้เบอร์มือถือของเรา?"

"ทำไมจะไม่รู้..." ชายหนุ่มว่า "แต่เราเกรงเธอจะไม่ยอมออกมาพบนะสิ"

ชายหนุ่มเล่าให้ฟังว่า เขาได้พบกับน้องชายของหล่อนที่หน้ามหาวิทยาลัยแห่งนั้นโดยบังเอิญ พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ชี้แจงให้น้องชายของหล่อนรับรู้ถึงจุดประสงค์ของเขาจนเข้าใจ เขาจึงได้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของหล่อนมา

"นายจะคิดอย่างไร ถ้าชวนเราขึ้นรถแล้วถูกเราปฏิเสธ?" หญิงสาวนักเรียนแพทย์ถามเพื่อนชาย

"เราทำใจไว้แล้ว" เขาตอบ "เพราะเราตั้งใจจะมาขอขมา ที่เคยล่วงเกินและกระทำสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้กับเธอเมื่อครั้งกระโน้นหลายสิ่งหลายอย่าง"

"เราลืมมันหมดแล้ว"

"แต่เราไม่ลืม" ชายหนุ่มพูดเสียงเศร้า ก่อนหักพวงมาลัยนำเก๋งสปอรต์สวยหรูจอดชิดขอบทางด้านซ้ายมือ "ทุก ๆสิ่งสำหรับความเหลวไหลของเรา รวมทั้งการถูกตอบโต้จากเธอในสมัยเด็ก ๆ ยังตราตรึงอยู่ในใจของเราเสมอ แต่เราโชคร้ายที่ผ่านเบ้าหลอมมาผิดกับเธอ ตั้งแต่เราจำความได้ อาป๊ากับเราไม่เคยพูดจากันด้วยเหตุผลเลยสักครั้ง แม้กระทั่งกับอาแน อาป๊าก็ไม่เคยพูดดีด้วย มีแต่กระโชกโฮกฮากเอาแต่ใจตนเอง จนบางครั้งเราถึงกับแอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเพราะสงสารอาแนที่โดนอาป้าตะคอกข่มขูจนหงอ"

"แต่อาป๊าของนายก็เป็นคนดีนะ"

"ก็เพราะเราเพิ่งสำนึกนะซี...! เราจึงเสียใจกับการกระทำของตนมาตลอด การที่เราเพียรมารอพบเธอก็เพื่อไถ่โทษ เผื่อวันหน้าเกิดเราเป็นอะไรไปเธอจะได้เต็มใจอโหสิกรรมให้เรา"

แม้ถ้อยคำของชายหนุ่มที่พูดออกมาจะเป็นเสมือนลางบอกเหตุ หากแต่หญิงสาวก็มิได้เฉลียวใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ หล่อนก็ต้องตกตะลึง หัวใจหล่นวูบ... แทบไม่เชื่อสายตาต่อข่าวที่ปรากฏในจอทีวีที่โรงอาหาร ซึ่งหล่อนกำลังนั่งทานไปพร้อม ๆ กับชมรายการต่าง ๆ ในจอนั้นไปด้วย

หญิงสาวนักเรียนแพทย์รวบช้อน เพ่งมองภาพคนร้ายที่นอนจมกองเลือดอยู่ในจอสี่เหลี่ยมอย่างผู้ที่หัวใจแหลกสลาย แม้ภาพนั้นจะถูกพรางด้วยเทคนิคการนำเสนอเพื่อไม่ให้อุจจาดสายตา หากแต่คำบรรยายของผู้ประกาศข่าว ก็บอกชัดถ้อยชัดคำว่าคนร้ายเป็นใคร หล่อนส่ายหน้าปฏิเสธและปลอบโยนตนเองว่า ไม่ใช่...

ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ขณะล่อซื้อ คนร้ายใช้อาวุธต่อสู้ จึงถูกตอบโต้จนเสียชีวิตดังกล่าว

‘โอ... ไม่... ไม่ใช่เขาหรอก!’

หยาดน้ำตาของหญิงสาวเอ่อท้นขอบตา เมื่อนึกถึงคำพูดที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างสร้อยเศร้า...ในวันนั้น

"...เธอกำลังก้าวไปบนเส้นทางที่สวยงามในยามรุ่งอรุณ ส่วนเรายังคงดั้นด้นอยู่กลางป่าทึบที่มืดมิดราวกับพลัดหลงเข้าไปในถ้ำ หรือพลัดตกหุบเหวที่ลึกแสนลึก ชาตินี้คงไม่มีวันได้ยลแสงอรุณฉายเหมือนเธอ เพราะภายในป่าแห่งนั้นเมื่อพลัดหลงเข้าไปแล้วก็ยากที่จะเสาะหาทางออกได้... แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ขอให้เธอรับรู้ว่า ทั้งอดีตและปัจจุบันเราไม่เคยลืมเธอเลย --สิมา"

๕.

เช้าวันนี้ ถ้าหากมีใครสังเกตก็จะเห็นว่า ก่อนก้าวออกจากห้องพักแพทย์เวรบนตึกอำนวยการเพื่อไปตรวจรักษาผู้ป่วยวัยอ่อนตามหน้าที่แพทย์เวรประจำวันของหล่อน แพทย์หญิงสิริมาได้ยืนหันหน้าไปทางโต๊ะหมู่บูชาที่มีพระพุทธรูปปางขัดสมาธิเหลืองอร่ามวางชิดผนังด้านขวามือ พร้อมกับประนมมือจรดหน้าผากที่ค่อย ๆ โน้มต่ำลงมา และน้อมจิตอธิษฐานรำลึก... เนิ่นนานกว่าทุก ๆ วัน

‘...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ขอให้รู้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยลืมเธอเลยนะ- -สิมา’

‘ เราก็คิดถึงนายตลอดเวลาเช่นกัน ‘

-จบ-




Create Date : 03 มิถุนายน 2554
Last Update : 3 มิถุนายน 2554 23:06:13 น. 8 comments
Counter : 960 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: KeRiDa วันที่: 6 มิถุนายน 2554 เวลา:5:47:24 น.  

 
 
 





สวัสดียามเช้าค่ะ มีความสุขกับการทำงานในวันนี้นะค่ะ
 
 

โดย: KeRiDa วันที่: 7 มิถุนายน 2554 เวลา:7:59:21 น.  

 
 
 


สวัสดีค่ะคุณหลวงเส ช่วงนี้ครูเกศแว๊ปไปแว๊ปมาอยู่เรื่อยๆเนื่องมาจากงานค่ะ ต้องซ้อมการแสดงเด็กค่ะ
วันที่๑๓ ที่โรงเรียนมีประเมินภายนอก จัดการแสดงเชิงประจักษ์ ๒ชุด
วันที่๑๔ นำเด็กไปแสดงแถลงข่าวที่ อ.แกลง จ.ระยอง
วันที่๒๔-๒๕-๒๖ แสดงแสง สี เสียง ที่อนุสาวรีย์สุนทรภู่ จ.ระยอง
ลืมไปวันที่๑๐-๑๑อาจจะต้องขึ้นเชียงใหม่ เพื่อซื้อผ้าถุงฟ้อนพื้นเมือง
เลยอยากจะบอกเพื่อนๆว่าช่วงนี้แว็ปไปมาหรือเยี่ยมเยียนเพื่อนๆไม่ทั่วถึงอย่าว่ากันนะคะ ขอให้คุณหลวงเส มีความสุขมากๆค่ะ
 
 

โดย: เกศสุริยง วันที่: 8 มิถุนายน 2554 เวลา:11:30:10 น.  

 
 
 
 border=






อรุณสวัสดิ์เช้าวันเสาร์ค่ะ เมื่อวันพฤหัสไปนอนรับคีโมมา
เพลียนิดหน่อย วันนี้พอมีแรงลุกขึ้นมาทักทายกันได้ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยและกำลังใจที่ส่งมาให้ต้อยนะค่ะ
ขอบคุณจริง ๆ ที่ไม่ทิ้งกัน มีความสุข สนุกสนานกับวันเสาร์นี้นะค่ะ

นั่งนับเงินเพลินไหมค่ะ คุณเส ขอให้รวย ๆๆ น๊า
 
 

โดย: KeRiDa วันที่: 11 มิถุนายน 2554 เวลา:8:43:27 น.  

 
 
 
สวัสดีค่ะ หลวงฯ

ดีใจจังเลยที่เห็นหลวงมีบล็อกของตัวเองในบล็อกแก็งค์ค่ะ วันหน้าจะได้เข้ามาทักทายได้ตลอดค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ที่แวะไปเยียมกันนะคะ ยีนส์กับแฟนสบายดีค่ะ ตอนนี้ไม่มีตัวเล็กหรอกค่ะ


เมื่อคืนก็ถามแฟนว่าจะมีไหม แฟนบอกว่า ไม่อยากมี เขาตามใจยีนส์ทุกอย่าง ยีนส์เองไม่รู้เป็นไร รักเด็กนะคะ ชอบทำงานกับเด็ก แต่ให้มีลูกของตัวเอง ยังไม่อยากมีค่ะ เพราะยังรักชีวิตแบบนี้อยู่ค่ะ แฟนบอกยีนส์ว่า ถ้ามีลูก จะไม่มีเวลาทำสิ่งที่ตัวเองรักแบบนี้ แฟนก็คงไม่ได้เขียนงานที่เขารัก ยีนส์เองก็ไม่ได้ทำแบบนี้ เพราะถ้าเรามีลูก เรื่องลูกจึงต้องมาก่อน ยีนส์โชคดีที่แฟนไม่ใช่ผู้ชายที่ต้องมีลูกสืบสกุล แฟนชอบชีวิตสบาย ๆ มีแค่ยีนส์และแฟนอยู่เคียงข้างกัน ไปไหนก็ไป อยากทานอะไร ทำอะไรก็ไม่ต้องห่วง ยีนส์เองเคยคิด ๆ ว่าเหงาไม่มีลูก แต่ตอนนี้เริ่มเฉย ๆ แล้วค่ะ เวลาเห็นคนอื่นมีลูกก็ชื่นชม ปลื้มใจแทนเขา แต่ให้คิดมีเอง แอบไม่อยากมีเสียอย่างนั้น 555

งานเขียนเรื่องนี้ยีนส์ดึงฉากทุกตอนมาจากนิยายเรื่อง "ชีวิตรันทดแต่งดงาม" ค่ะ เพียงแต่เล่าเน้นชีวิตยีนส์และเพื่อนเท่านั้น เล่าถึงนิสัยที่แท้จริงและมุมมองการดำเนินชีีวิตที่ผ่านมา บางทีก็ยอมรับว่า ตัวเองแกล้งทำอะไรที่ไม่ค่อยน่ารักเลย แต่ก็ยังภูมิใจที่ยังไม่เคยพลาดท่าตกที่นั่งดั่งเช่น "เรยา" แต่ก็อดสงสารเพื่อนไม่ได้ ที่ไม่สามารถก้าวออกมาจากตรงนั้นได้ ยีนส์ก็เสียใจนะที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย อย่างที่เขาบอกว่า คนเราบังคับใจกันไม่ได้ คนเราห้ามอะไรใครเขาไม่ได้ ยิ่งไม่ใช่ญาติในสายเลือด ยีนส์ก็ไม่กล้าไปยุ่งนัก ตัวยีนส์เองเลิกคบเพื่อน แต่ก็เสียใจไม่หาย หัวใจที่รักและผูกพันกับเพื่อนมันก็ยังอยู่เหมือนเดิม ได้แต่ภาวนาให้เขาโชคดีค่ะ

ตอนนี้ยีนส์ก็เขียนนิยายแนวต่างประเทศอยู่ค่ะ เป็นนิยายเยาวชนค่ะ กำลังหัดทำค่ะ ไม่รู้จะทำได้ดีแค่ไหน ไว้ว่าง ๆ จะเล่าให้หลวงฟังนะคะ ยีนส์ขอเป็นกำลังใจให้หลวงเสมอนะคะ นิยายเรื่องนี้ติดไว้ก่อนนะคะ วันจันทร์จะตามมาเก็บค่ะ วันนี้ต้องทำงาน วันอาทิตย์คุมงานบัญชีคนเดียวทั้งวัน คงจะกลับดึกหน่อย

หลวงฯ เทคแคร์ค่ะ ขอให้หลวงฯ และครอบครัวมีความสุขมาก ๆ ค่ะ



 
 

โดย: roslita วันที่: 12 มิถุนายน 2554 เวลา:1:09:16 น.  

 
 
 
^
^
มีสิ่งใดก็เป็นทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีก็ดีไปอย่าง แต่อาจหมายถึงต้องเตรียมใจไว้ขับเคี่ยวกับความเหงาในบั้นปลาย ถ้าผ่านจุดนั้นไปได้ก็ โอเค ครับ จะเป็นกุศลยิ่ง
 
 

โดย: หลวงเส วันที่: 12 มิถุนายน 2554 เวลา:6:38:59 น.  

 
 
 
สวัสดีค่ะ คุณหลวงเส
ครั้งก่อนเข้ามาไม่ได้เพราะเห็นว่าบล๊อกหมดอายุอะไรนี่ล่ะค่ะ
ขอบคุณที่แวะไปทักทายนะคะ
 
 

โดย: sierra whiskey charlie วันที่: 13 มิถุนายน 2554 เวลา:15:00:49 น.  

 
 
 
อ่านจบแล้วค่ะ การเล่าเรื่องดีมาก ๆ เห็นได้ชัดว่าหลวงเป็นคนที่อ่านเยอะ เพราะสำนวนการเรียบเรียงเรื่องดีมาก ๆ แต่พออ่านเจอตอนหักมุม แอบเศร้านิด ๆ เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
 
 

โดย: roslita วันที่: 15 มิถุนายน 2554 เวลา:12:54:14 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

หลวงเส
 
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add หลวงเส's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com