
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 12
 ตะกั่วป่า เป็นหนึ่งใน 8 อำเภอของจังหวัดพังงา ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลตะวันตก หรือฝั่งอันดามัน ห่างจากอำเภอเมืองพังงาไปทางเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงเทพ ฯ โดยทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม หรือ A 2) ประมาณ 800 กิโลเมตร ทิศเหนือติดต่อกับอำเภอคุระบุรี ตะวันออกติดต่อกับอำเภอกะปง ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอท้ายเหมือง ส่วนทิศตะวันตกเป็นทะเลอันดามัน มีเนื้อที่ประมาณ 475 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเนินเขาสลับซับซ้อน ไม่ค่อยมีที่ราบ แม่น้ำที่สำคัญคือแม่น้ำตะกั่วป่า ซึ่งเกิดจากเทือกเขาในอำเภอกะปง ไหลลงสู่ทะเลอันดามัน
ตะกั่วป่า เคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นที่รู้จักของชนหลายเชื้อชาติ ทั้งจีน อินเดีย อาหรับ ในชื่อเมือง "ตะโกลา" (Takola) เนื่องจากเป็นเมืองท่าจอดเรือ เป็นศูนย์กลางการค้าขาย และเป็นเส้นทางลัดขนสินค้าข้ามคาบสมุทรมลายู ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตะกั่วป่า ยังคงมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ เคยมีฐานะเป็นจังหวัด แต่สุดท้ายก็ถูกลดฐานะเป็นอำเภอ แต่ก็เป็นอำเภอที่มีความสำคัญในด้านภูมิศาสตร์-ประวัติศาสตร์พอสมควร
ประมาณ 9.30 น. รถสองแถวที่พวกผมโดยสารมา ก็พาผู้โดยสารทั้งหมดมาถึงย่านยาว ซึ่งเป็นตลาดใหม่ ถือกำเนิดขึ้นมาทีหลัง ผู้คนแถบนั้นเรียกตลาดตะกั่วป่าว่า "หลาดเก่า" เรียกตลาดใหม่ว่า "ย่านยาว" ผม สาวบัว เจ้าตัวน้อย และน้องสาวของผมอีกสองคน พากันลงจากรถสองแถวใกล้ ๆ ปากซอยวัดย่านยาว เพื่อจะไปเข้าห้องน้ำภายในวัดกันเสียก่อน
"ไปหลาด ไปหลาด ไปม่าย ไปหลาด ไปหลาด"
ทันที่ที่ก้าวลองจากรถสองแถวคันแรก สำเนียงตะกั่วป่าขนานแท้ที่หลุดจากปากกระเป๋ารถสองแถว หรือเรียกตามสำเนียงฮกเกี้ยนว่า "โต้ยเชี้ย" ก็ลอยมาเข้าหู พร้อมกับรถสองแถวสายใหม่ คือสาย ย่านยาว - ตะกั่วป่า คันของเขาก็คลานมาเอื่อย ๆ โชเฟอร์บีบแตร ปี้น ๆ เพื่อย้ำเตือนผู้โดยสารที่จะเดินทางต่อไปยังเส้นทางสายนั้นได้รู้และโบกมือเรียกรถสองแถวรับจ้างของเขา
โต้ยเชี้ยชายร่างเล็ก ผิวขาวอย่างจีนบ้าบ๋า ยืนจับราวบันไดเหล็กอยู่บนแผ่นกระดานรองเหยียบตรงท้ายรถ ร้องตะโกนพร้อมกับชี้มาที่พวกเราซึ่งเดินจูงมือกันอยู่หน้าปากซอยวัดด้วยน้ำเสียงคนขี่เล่น และดังรัวจนฟังแทบไม่ทัน
"ไปหลาด ไปหลาด- -โก โก พาลูกเมียไปเที่ยวหลาดเก่าม่าย? ไปม่าย ไปเที่ยวหลาดเก่า?"
"ยังไม่แขบ-โกเหอ ไปก่อนต๊ะ"
ผมโบกมือและร้องบอกเขาว่า ยังไม่รีบ... เขายิ้มแล้วหันไปชี้นิ้วร้องถามคนอื่น ๆ ที่เดินสวนกันขวักไขว่บนพื้นทางเท้าด้วยสุ้มเสียงแผดแหลมตามสำเนียงลูกตะกั่วป่าขนานแท้ของเขาต่อไป
"ไปหลาด ไปหลาด ไปม่าย โก-ไปหลาดม่าย-จี้-ไปหลาดม่าย"
เขาเรียกคุณผู้ชายรุ่นพี่ว่าโก เรียกคุณผู้หญิงว่าจี้ อันหมายถึงพี่สาว ซึ่งทั้งโกและจี้ที่ถูกร้องถามบางคนก็ส่ายหน้า บางคนก็เดินยิ้มเฉย บางคนทำสีหน้าบึ้งตึงเหมือนโกรธใครมาสักร้อยปี... จนในที่สุดเสียงเฮ้ว ๆ ของโต้ยเชี้ยร่างเล็กคนนั้นก็ค่อย ๆ แผ่วลง ๆ พร้อมกับรถสองแถวคันนั้นก็ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไปจนลับหาย
"สาวเล็ก- ค่อยยังชั่วขึ้นบ้างหรือยังล่ะ-น้อง?" ผมถามน้องสาวคนเล็กที่เดินจูงมากับมือขวา เธอพยักหน้าเบา ๆ ผมจึงว่า "เดี๋ยวเราจะเข้าไปล้างหน้าล้างตาที่ในวัดกันก่อน อดทนอีกสักนิดนะน้อง"
"ไม่เป็นไรค่ะ" เธอเงยหน้าอันซีดเซียวเพราะพิษเมารถและอาการแตกตื่นผู้คนขึ้นมามองผม "น้องก็อยากจะไปเข้าห้องน้ำอยู่เหมือนกัน"
"ดีแล้วแหละ" ผมว่า "เราจะรีบไปเข้าห้องน้ำทำธุระกันให้เสร็จเสียก่อน แล้วค่อยต่อรถไปตลาดเก่า วันนี้วันเสาร์ มีหนังฉายรอบกลางวัน หาอะไรกินกันเสร็จ เราก็จะไปดูหนังด้วยกัน"
สาวบัวกับสาวหมาน้องสาวคนโตของผม หันมามองผมด้วยสีหน้าเบิกบาน คงเพราะอยากดูหนังด้วยกันทั้งคู่
หลังจากทำธุระในห้องน้ำของวัดย่านยาวกันเสร็จแล้ว ผมก็หยอดเหรียญห้าลงในกล่องบริจาคที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าห้องน้ำเหรียญหนึ่ง จากนั้นก็ชวนกันเดินกลับออกมาโบกรถสองแถวที่ปากซอย นั่งต่อไปยังตลาดตะกั่วป่า ซึ่งเป็นตลาดโบราณเก่าแก่มากกว่า 100 ปี รถสองแถวโดยสารคันใหม่พาพวกเราวนเวียนหาผู้โดยสารอยู่ในตลาดย่านยาวสามสี่รอบ แล้วก็บ่ายหน้าสู่ตลาดเก่า ซึ่งก็แล่นไปอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อนสักประมาณ 20 นาทีก็ถึง
น้องสาวของผมทั้งสองคนแม้จะเคยมาเที่ยวที่นี่กับพ่อและแม่กันบ้างแล้ว หากแต่ตึกรามบ้านช่องที่มีรูปร่างแปลก ๆ ทำให้เธอทั้งสองนั่งจ้องมองกันได้ไม่เบื่อ และนั่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไรกันเลย กระทั่งรถแล่นเข้าไปจอดตรงหน้าร้านขายข้าวมันไก่ที่ผมบอกให้โชว์จอดรถนั่นแหละ สาวเล็กจึงพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า "แม่กับพ่อก็เคยพาน้องมากินที่ร้านนี้..."
มันเป็นร้านขายข้าวมันไก่และข้าวหมูกรอบ-หมูแดงเจ้าเก่า ที่อร่อยที่สุดในตลาดตะกั่วป่า อยู่เยื้อง ๆ กับโรงหนังที่เราตั้งใจจะเข้าไปชมรอบเที่ยงกันนั่นเอง
ภายในร้านลูกค้ายังคงอุดหนุนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนเดิม ที่กำลังนั่งกินกันอยู่ก็มี ที่กำลังนั่งรอก็มีหลายโต๊ะ รวมทั้งโต๊ะพวกเราด้วย กลิ่นไก่นึ่ง กลิ่นหมูกรอบ หมูแดง และกลิ่นน้ำปรุง รวมทั้งกลิ่นต้นหอมผักชีรสฉุน ๆ ลอยมาจากในถาดที่พวกคนเสิร์ฟถือเดินผ่าน ทำให้ผมต้องแอบกลืนน้ำลายด้วยความหิวหลายรอบ เพราะเมื่อคืนได้พูดคุยกับสาวบัวไว้ว่า มื้อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ให้กินข้าวกันแค่รองท้องก็พอ เราจะมาหาอะไรที่มันอร่อย ๆ กินกันที่นี่ เมื่อได้กลิ่นรสอาหารลอยเข้าจมูกก็เลยหิว กระทั่งเขายกอาหารที่สั่งมาวางให้บนโต๊ะ ผมจึงจัดการจั่วซะเรียบโดยไม่ยอมพูดคุยกับใครแม้แต่คำเดียว
ต่อจากนั้นผมก็ชวนสาวบัวและน้องสาวทั้งสองเดินชมตลาด ผมรับเอาเจ้าตัวน้อยมาอุ้ม เธอทำเสียงหัวร่อเอิ๊กอ๊ากชอบใจ พร้อมกับชี้ให้ดูสิ่งที่เธอรู้จักดังลั่นไปตลอดทาง
"รถ รถ น้า นุ้ย รถ" เธอชี้ไปที่รถสองแถวรับจ้าง ที่โชว์เฟอร์ขับไปช้า ๆ พร้อมกับบีบแตรเรียกผู้โดยสารไปด้วย โต้ยเชี้ยที่ยืนห้อยท้ายอยู่ท้ายรถก็ร้องปาว ๆ ว่า "ย่านยาว ๆ ย่านยาว ๆ" รถโดยสารคันนี้จะแล่นกลับไปตลาดย่านยาวที่พวกเราจากมาเมื่อสักครู่นั่นเอง
ครั้นรถสายอื่นผ่านมา เสียงร้องของโต้ยเชี้ยก็เปลี่ยนไป
"ปง ปง ปง- - ไปปงไหมโก? - ปง ค้างคาว ปากถัก บางไทร ไปม่าย ไปม่าย ปง ปง ปง" รถสองแถวคันนี้กำลังจะแล่นไปอำเภอกะปง, ปากถัก ค้างคาว บางไทร เป็นตำบลเส้นทางที่รถโดยสารของเขาแล่นผ่าน
เจ้าตัวน้อยมองรถสองแถวคันนั้นแล้วทำสีหน้างง ๆ
"เดี๋ยวเรากลับบ้าน ค่อยขี่มันอีกนะ" ผมพูดกับเจ้าตัวน้อย เธอพยักหน้า และร้องว่า
"ขี่อีก เดี๋ยว ขี่อีกนะ"
"จ้า- -เดี๋ยวเราจะขี่มันด้วยกัน"
สาวบัวที่เดินชมตลาดกับน้องสาวผมอยู่ข้างหน้าหันมายิ้มและพูดกับลูกสาวของหล่อนเสียงหวาน
"บัว!" ผมเรียกสาวบัว และบอกเธอว่าเมื่อไปถึงร้านทองข้างหน้าก็ให้หยุดแวะเข้าไป ผมจะเลือกซื้อแหวนซัก 2 วง เพราะต้องฝากไปให้หญิงหมอนวงหนึ่งด้วย
"บ่าวไม่ซื้อให้น้องด้วยหรือ?"
น้องสาวคนเล็กหยุดหันมาถามผม ทว่าผมยังไม่ทันได้พูดอะไรพี่สาวของเธอก็หันมาฉุดมือเธอเร่งให้เดินออกไปด้วยกันเสียก่อน
"เรายังเป็นเด็กกันอยู่ จะสวมแหวนให้โจรมันปล้นเอารึไง" สาวหมาพูดกับน้อง ขณะเดินคู่ไปด้วยกัน โดยมีสาวบัวเดินอยู่ข้างหน้า
"ก้อเพื่อนอยากให้บ่าวซื้อให้ก่อนนี่ ไว้เมื่อโตขึ้นค่อยเอามาสวมก็ยังได้" สาวเล็กเถียงพี่สาว "ตัวเองไม่อยากได้ก็อยู่เฉย ๆ ซี้ มายุ่งกะเค้าทำไม"
"อ้าว" พี่สาวขึ้นเสียงบ้าง "ใครว่าเพื่อนไม่อยากได้ล่ะ"
"ก้อตัวเองพูดเมื่อกี้"
"เพื่อนแค่บอกว่ากลัวโจรปล้นเท่านั้น ไม่ได้พูดว่าไม่อยากได้ซักหน่อย"
แม่สาวน้อยสองคนนี้เมื่อได้ลงมือโต้แย้งกันละก้อมักจะไม่มีใครยอมใคร ผมเดินฟังอยู่ข้างหลังก็อดหัวเราะไม่ได้
"เอาหละ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน" ผมปราม "ไว้ให้น้องสองคนโตเป็นสาวกันเมื่อไหร่ บ่าวจะซื้อให้ ตอนนี้พวกน้องยังเป็นเด็กซื้อไปก็ไร้ประโยชน์ และแม่ก็คงไม่ยอมให้สวมออกไปเที่ยววิ่งเล่นกันหรอก เพราะฉะนั้น ถ้าซื้อไปเก็บไว้เฉย ๆ ก็ไม่รู้จะซื้อไปทำไม"
"เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ยังได้"
คราวนี้สาวหมาหันมาโต้แย้งผมเสียเอง ซึ่งผมก็ค้านเธอไม่ขึ้น แต่เมื่อหลับตาคำนวณเงินตราในกระเป๋า ก็รู้ว่าไม่พอแน่ รายจ่ายที่จ่อจมูกอยู่ข้างหน้า คิดคร่าว ๆ สักห้าพันไม่รู้จะพอหรือไม่ เพราะผมมีเงินอยู่ในกระเป๋ารวมเบ็ดเสร็จทั้งเงินสามพันบาที่แม่ให้มาด้วยก็คงไม่เกินห้าพัน แค่แหวนทองคำวงเล็ก ๆ สักสลึงก็ปาเข้าไปเกือบพันแล้ว เมื่อรวมกับรายการอื่นที่รับปากน้องสาวสองคนไว้ ถึงอย่างไรมันก็ไม่พออยู่ดี
ความยุ่งยากภายในใจเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว...
เฮ้อ - ไม่น่าเลย...
***********************************
Create Date : 13 มิถุนายน 2554 |
Last Update : 13 มิถุนายน 2554 20:56:44 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1287 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: KeRiDa วันที่: 14 มิถุนายน 2554 เวลา:8:22:40 น. |
|
โดย: roslita วันที่: 15 มิถุนายน 2554 เวลา:12:11:50 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 15 มิถุนายน 2554 เวลา:22:09:12 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:17:00:52 น. |
|
| |
|
หลวงเส |
 |
|
 |
|