
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 18
 ตัวเมืองแห่งนี้ แม่มีญาติผู้ใหญ่อยู่ท่านหนึ่ง เป็นข้าราชการชั้นโท(ยังไม่ใช้ระบบ ซี)ประจำอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับโรงพักที่เขาเอาผมไปขังไว้ แม่กับพ่อจึงเดินทางมาพบข้าราชการท่านนั้นหลังจากผมถูกคุมขังอย ู่ที่นี่ได้ 2 วัน ซึ่งท่านก็มาเยี่ยมผมที่โรงพักพร้อมกับพ่อและแม่ของผมด้วย ผมมองลอดซี่กรงออกไปเห็นพวกตำรวจยกมือไหว้ท่านประหลก ๆ ไม่ว่าชั้นประทวนหรือชั้นสัญญาบัตร
ก้อแน่ล่ะ ข้าราชการกรมที่ดินสมัยนั้นกว้างขวางน้อยเสียเมื่อไหร่...
"คดีพยามฆ่า ลูกรอดตัวไปแล้ว" แม่ยืนเกาะลูกกรงห้องขังพูดคุยกับผม "อาจารย์พิเชฐอะไรนั่นฟื้นและให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรว จได้แล้ว ตอนนี้ตำรวจกำลังตามจับมือปืนอยู่ เป็นพวกติดยาติดผงไม่ใช่คอมฯอย่างที่พวก อส.พวกนั้นให้ปากคำปรักปรำนักศึกษากันหรอก"
"แล้วข้อหาคอมมิวนิสต์ละครับ" ผมถาม
"แม่กำลังให้ลุงของลูกเจรจารับรองอยู่" ดูท่าทางแม่ของผมจะมั่นใจในบารมีของญาติของท่านคนนั้นมาก "แต่ตามระเบียนเขาต้องส่งไปอบรมที่ค่ายบ้านเอียนเสียก่อนถึงจะป ล่อยให้เป็นอิสระได้"
ผมพยักหน้ารับทราบ เพราะตอนไปเยี่ยมคุณตาที่อำเภอเวียงสระก็เคยได้ยินเรื่องนี้จาก พวกญาติ ๆ บ้างแล้ว พวกที่ขึ้นเขาไปร่วมขบวนการปฏิวัติบางคนเมื่อกลับใจเข้าม อบตัวกับเจ้าหน้าที่ ก็จะถูกส่งตัวไปอบรมความรู้ทางด้านการเมืองในระบอบประชาธิปไตยท ี่ค่ายทหารค่ายนี้เสียก่อน หรือไม่ก็ส่งไปที่ค่ายทหารดอนนกที่สุราษฎร์ธานี กระทั่งผ่านการอบรมจนครบหลักสูตรจึงจะปล่อยให้กลับไปประกอบอาชี พการงานที่บ้านได้ตามเดิม
แต่นั่นหมายถึงผมต้องยอมรับว่า "เป็นคอมฯ" เหมือนกับพวกคอมฯบนภูเขาที่ลงมามอบตัวเสียก่อน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องสู้คดี ซึ่งผมเล็งเห็นแล้วว่ายุ่งยาก สิ้นเปลืองเงินทอง และเสียเวลาทำมาหากินของพ่อแม่โดยใช่เหตุ
จึงเป็นอันว่าผมต้องยอมรับผิดในข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิ สต์ คิดขบถล้มล้างรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพื่อต้องการให้ทุกอย่างจบสิ้นเร็ว ๆ กระทั่งในที่สุดผมก็ถูกส่งตัวไปอบรมที่ค่ายบ้านเอียนในฐานะ "คอมฯกลับใจ" อย่างมีเส้นสายเล็กน้อยจากญาติฝ่ายแม่ผู้นั้น เพราะมิฉะนั้นผมจะต้องขึ้นศาลทหาร และเมื่อถึงขั้นนั้น โอกาสติดคุกและถูกขังลืมค่อนข้างสูง
45 วันกับการเข้ารับการอบรมเรื่องการเมืองการปกครอง ผมก็ได้ความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ พอสมควร ทว่ามิใช่ความรู้เรื่องประชาธิปไตย เพราะเรื่องนั้นผมแทบจะสอนวิทยากรผู้อบรมเสียเองก็ว่าได้ หากแต่ความรู้ใหม่ที่ว่านี้ ก็คือเรื่องราวของนักปฏิวัติที่เคลื่อนไหวอยู่ตามหมู่บ้าน รวมทั้งความเป็นอยู่ของพวกเขาในค่ายใหญ่ที่ในป่าและบนภูเขา ซึ่งผู้เข้าอบรมด้วยกันนำมาเล่าให้ฟัง
ว่างจากการอบรม พวกเรามักนั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเสมอ ผมแซวพวกคอมฯกลับใจเหล่านั้นว่า พวกเขาเป็น "คอมฯแกลบ" ซึ่งหมายถึง คอมฯใจเสาะ หรือคอมฯเก๊ สักแต่ว่าเป็นคอมฯ แต่ปราศจากอุดมการณ์ของคอมฯอย่างแท้จริง เปรียบเสมือนม้าพื้นเมือง ที่เรียกกันว่า "ม้าแกลบ" เพราะตัวมันเล็กผิดกับม้าเทศที่เขาเลี้ยงไว้แข่งขันประลองความเ ร็ว หรือเลี้ยงไว้ใช้ในกิจการทหาร-ตำรวจ ซึ่งตัวของมันโตใหญ่น่าเกรงขาม ผมบอกพวกคอมฯกลับใจทั้งหลายว่า ต่อไปถ้าคิดจะกลับขึ้นเขาอีก ก็จะต้องเยื้องย่างขึ้นไปอย่างสง่างามแบบม้าเทศ อย่าได้หลบลี้ขึ้นไปแบบม้าแกลบอีกเลย เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร
การอบรมเรื่องประชาธิปไตยในค่ายบ้านเอียนก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าก ินแล้วนอน นอนแล้วตื่น ตื่นแล้วกิน กินแล้วก็ไปนั่งฟังการบรรยาย และร่วมกิจกรรมนันทนาการสลับรายการกันบ้างนิดหน่อยพอเป็นที่ครึ กครื้น ไม่ทำให้เบื่อระอาจนเกินไป เมื่อจบการอบรมและล่ำลากันด้วยน้ำตาอย่างอาลัยอาวรณ์ทั้งวิทยาก รและผู้เข้าอบรมกันเสร็จแล้ว ผมก็เดินทางไปที่ วค. อีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเปิดภาคเรียนที่ 2 ไปกว่าสองสัปดาห์แล้ว
การเดินทางไป วค.ครั้งนี้ ผมไม่ได้ไปเรียน แต่ไปเก็บข้าวของบางสิ่งที่เหลืออยู่ในตู้ไม้หัวเตียงเอากลับบ้ าน บางอย่างก็ยกให้เพื่อนสนิทบางคน เพราะผมถูกสั่งพักการศึกษา 1 ปี เช่นเดียวกับพี่โสภาส ซึ่งก็โดนเข้าไป 1 ปีเหมือนกัน แต่พี่โสภาสกำไรกว่าผมนิดหนึ่ง เพราะอย่างน้อยแกก็จบ ป.กศ. ต้น มีประกาศนียบัตรรับรองวุฒิไว้ในมือฉบับหนึ่งแล้ว แม้พ้นโทษพักการเรียนแกจะไม่กลับมาเรียนต่อในระดับ ป.กศ.สูง อีก ก็สามารถสอบบรรจุเป็นครูได้แล้ว
การกลับมา วค . เที่ยวนี้ ผมกับพี่โสภาสก็ไม่ได้เจอหน้ากัน สอบถามเพื่อฝูงก็ไม่ได้ข่าวคราวแต่อย่างใด จนผมอดคิดแบบขัน ๆ ไม่ได้ว่า ป่านนี้แกน่าจะขึ้นไปเป็นครูอยู่บนภูเขาแถว ๆ บ้านแกเสียแล้วก็ได้
ผมกลับไปเหมือง... ไอ้บองหลา ไอ้หมึก ไอ้พริ้ง สามสหายพากันดีอกดีใจแทบกระโดดขึ้นจากพื้น เมื่อเห็นผมนอนอ่านหนังสืออ่านเล่นรอพวกมันอยู่บนแคร่หน้าทับนอ นหลังนั้น
เมื่อพบหน้ากัน พวกเราสามสี่คนยังคงพูดจาหยอกเล่นสนุกสนานกันเหมือนเคย ช่วยให้ความสับสนเกี่ยวกับการเรียนของผมค่อยผ่อนคลายลงได้บ้าง
"แม่มึงตังค์ให้หาบ ต่อให้ขึ้นไปเรียนโรงเรียนเอกชนที่กรุงเทพฯก็ยังได้ กลัวอะไร?" ไอ้บองหลาปลอบใจผม คำว่า "ตังค์ให้หาบ" หมายถึง ความร่ำรวย มีเงินทองมากมาย ต่อให้ใส่สาแหรกหาบคอนไปใช้จ่ายล้างผลาญยังไงผลาญไม่หมด ซึ่งอาจจะเป็นโวหารที่ออกจะเกินเลยไปสักหน่อย แต่มันก็สำแดงภาพของคนมีฐานะได้อย่างแจ่มชัด ทว่าแม่ผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวยขนาดนั้น เพียงพอมีพอใช้ไม่ขัดสนแค่นั้นเอง
"กูต้องการเป็นครูอย่างเดียว" ผมว่า "ถ้านอกเหนือไปจากนั้นก็ทำเหมืองกับพวกมึงที่นี่ หรือไม่ก็ทำสวนอยู่ที่บ้านกับพ่อดีกว่า"
"ถึงจะเป็นข้าราชการอย่างอื่น ก็เป็นคนมีเกียรตินะเว้ย มึงดูตัวอย่างภารโรงอำเภอบ้านเราซิ แม่-ง แค่ลูกจ้างประจำเท่านั้น คนแก่ ๆ ยกมือไหว้กันประลก ๆ ยังกะนายอำเภอแน่ะ"
ไอ้หมึกพูดแล้วหัวเราะ ฮา ฮา
"เกียรติหรือเกือกมันก็กินไม่ได้ทั้งนั้นแหละเว้ย" ไอ้พริ้งขัดคอ "มึงดูปลัดหนอมสิ - - แม้แต่ไก่สักตัวยังไม่มีปัญญาซื้อกิน ต้องขอชาวบ้านอยู่เรื่อย"
"อ้ายนั่นมันนอกคอก" ไอ้หมึกตามมุขไอ้พริ้งไม่ทัน "ไม่ใช่มันไม่มีปัญญาซื้อ แต่สันดานมันชอบรีดไถ"
"อ้าว! - - แล้วไอ้คนที่ชอบรีดไถ มันมีเกือกหรือมีเกียรติกันแน่วะ - -กูสงสัย"
พอเจอลูกย้อนเข้าอย่างนี้ ไอ้หมึกก็ถึงบางอ้อ พยักหน้าหงึก ๆ
"อ้อ... ยัดแม่-ง มึงก็เล่นมุขอยู่ได้ไอ้ห่า" แล้วมันก็หันมาถามผม "อีบัวรู้เรื่องมึงรึยัง?"
ผมพยักหน้า
"รู้แล้ว... น้านุ่นแกโพนทะนาไปทั่วหมดแล้ว"
"เออ-ยายคนนั้นก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะเข้าโลงเสียที ชอบพูดแต่เรื่องชาวบ้าน... เรื่องของมึงกับอีบัวด้วย--เขารู้กันทั่วอำเภอแล้ว"
ผมหัวเราะ
"ช่างแกเถอะ ขาดน้านุ่นไปเสียคน บ้านเราก็ขาดหอกระจายข่าว ต่อไปใครทำอะไรที่ไหนก็จะไม่รู้กัน ข้อสำคัญเรื่องที่แกเก็บเอาไปพูดขอให้เป็นเรื่องจริงก็พอ"
"แล้วตกลงเที่ยวนี้มึงจะพักอยู่กับพวกกูที่นี่ หรือไปอยู่กับเมียมึงที่ทับลุงทองอีก" ไอ้บองหลาถามขึ้นอย่างเป็นงานเป็นการ
"กูขอคิดดูก่อน" ผมตอบบ่ายเบี่ยง เพราะตั้งแต่โดนเรื่องร้าย ๆ รุมเล่นงานในระยะนี้ ผมค่อนข้างจะหัวหมุนอยู่สักนิด และอีกอย่างก็เพิ่งรับปากกับแม่ว่าจะไม่สร้างปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นม าอีก
ลูกรักชอบหญิงบัวแม่ไม่ว่า แต่อย่าด่วนชิงสุกก่อนห่าม อย่าทำอะไรตามอำเภอใจ ชีวิตไม่ใช่ของเล่น ต้องนึกถึงอนาคตให้มาก ๆ และอีกอย่าง ลุงทองกับป้าพัว-ก็ต้องรู้จักให้เกียรติเขา ไปยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวเขา-ก็ต้องรับผิดชอบ เกิดหญิงบัวท้องไส้ขึ้นมานุ้ยจะแก้ปัญหาอย่างไร อายุเพิ่ง 18 กว่า ๆ ริจะมีเมียแล้วหรือ? รักชอบกันจริงก็ต้องมีความอดทน รู้จักอดใจรอ ต้องหมั่นฝึกฝนหักห้ามจิตใจตนเอง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจของความใคร่ นั่นแหละจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่สมบูรณ์ ...
ก่อนเดินทางเข้ามาในดงเขายาเที่ยวนี้ แม่เรียกผมไปอบรมเป็นชั่วโมง สิ่งที่แม่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งถูกต้อง ถ้าปฏิบัติได้ก็จะเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างแน่นอน แต่ทว่าความรักของผมคืออะไรก็ไม่รู้ มันยังไม่แจ่มชัดพอที่ผมจะตอบตัวเองได้ หากแต่ส่วนหนึ่งผมก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่า ความสัมพันธ์ของเราที่ต่อเยื่อเผื่อใยมากระทั่งบัดนี้ มันมิใช่เพื่อความใคร่เพียงสิ่งเดียว เพราะตลอดเวลาผมมีสาวบัวอยู่ในใจเสมอ ภาพวาดแห่งอนาคตระหว่างผมกับหล่อนปรากฏขึ้นแต่ละครั้งช่างสดใสง ดงาม แต่ครั้นเหตุการณ์ผันแปรมาเช่นนี้ ภาพนั้นก็ดูเหมือนจะหายวับไป ยิ่งเมื่อได้สดับคำตักเตือนของแม่เข้าอีก จิตใจของผมก็ดูเหมือนจะสับสนยิ่งขึ้น... แต่ก็อย่างว่าแหละ-ผมมันคนใจอ่อน คืนแรกที่หวนกลับเข้าสู่ดงเขายา แม้ผมจะใคร่ครวญอยู่นาน... ทว่าในที่สุดก็น่าขำ เมื่อผมตัดสินใจไปนอนกับสาวบัวที่ทับลุงทองอีกจนได้ แต่ก็เพียงนอนกอดหล่อนไว้ในอ้อมแขนเฉย ๆ จนกระทั่งรุ่งสางโดยมิได้ล่วงเกินอะไรเลย
"ท่าทางจะเหนื่อยกับการเดินทาง" หม้ายสาวยื่นปลายนิ้วเรียวงามบีบปลายคางผมหยอกเล่น ก่อนจะลุกขึ้นไปคว้าสบู่และยาสีฟันแล้วชวนผมไปล้างหน้าล้างตาด้ วยกันที่ลำธารในตอนรุ่งสาง
ความเปลี่ยนแปลงภายในดงเขายาในระยะเวลาสี่-ห้าเดือนที่ผมไปอยู่ วค. และต้องคดีความมั่นคงจนต้องไปอบรมอยู่ในค่ายบ้านเอียนก็ไม่มีอะ ไรมาก นอกจากร่องรอยการขุดคุ้ยค้นหาขี้ตะกรันของพวกนักแสวงโชคซึ่งปรา กฏให้เห็นทั่วไปหมด แม้แต่ทับที่พักของชาวเหมืองบางเจ้า ซึ่งเจ้าตัวไปติดธุระที่อื่น ยังโดนพวกนักแสวงโชคกำมะลอขุดรื้อเข้าไปจนถึงใต้ถุนเพื่อค้นหาส ิ่งที่มันต้องการ จนทับหลังนั้นพังทลาย และในที่สุดเมื่อพวกมันเห็นว่าสิ่งที่ต้องการได้หมดไปแล้วจริง ๆ จึงได้พากันยกทัพปรับขบวนกลับออกไปจากป่าแห่งนี้จนหมดสิ้น ความสงบสุขจึงได้กลับคืนสู่ผืนป่าอันเปรียบเสมือนวิมานไพรของเร าอีกครั้ง
ช่วงนี้เป็นปลายฤดูฝน แต่ฝนยังคงตกชุก บางครั้งตกติดต่อกันไปทั้งวันทั้งคืนเป็นอาทิตย์ไม่ยอมแล้ง น้ำในลำธารเป็นสีน้ำตาลอ่อนเอ่อล้นตลิ่งและไหลพุ่งแรงอย่างน่าก ลัว สาวบัวกับหญิงหมอนต้องรอน้ำลดจึงจะออกไปร่อนแร่ในลำธารกันได้ ต่างจากงานเหมืองของพวกผมที่เป็นเหมืองแล่น ซึ่งต้องใช้แรงน้ำในการชะล้างกระสะและพัดพาหินทรายกับผงแร่ลงสู ่รางที่เราขุดแต่งหินดินดานรองรับไว้ด้านล่างอย่างมากมายมหาศาล ดังนั้น บางครั้งเมื่อสาวบัวและหญิงหมอนหยุดรอฝนแล้ง ผมจึงชวนพวกหล่อนไปช่วยงานที่หน้าเหมืองของเราด้วย โดยมอบหน้าที่ช้อนหินกับให้เก็บรากไม้หรือเศษไม้เล็ก ๆ ที่ไหลปะปนกันมาเป็นเกลียวพร้อมกับกระสะแร่ที่โดนกระแสน้ำชักพา ลงสู่ราง ซึ่งพวกหล่อนสองคนก็คุ้นเคยกับงานแบบนี้เป็นอย่างดี ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย พวกเราทำงานกันอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งเมื่อบุกเบิกไปเจอสายแร่เข้าก็ยิ่งเพลินจนแทบไม่รู้สึกหิวข ้าว แม้บางครั้งจะล่วงเลยเวลาไปบ้างก็ตาม
วันไหนได้สาวบัวกับหญิงหมอนมาช่วยงาน วันนั้นเรื่องกับข้าวกับน้ำสำหรับพวกเราก็หมดห่วงไปเรื่องหนึ่ง เพราะฝีมือทำกับข้าวของสองสาวสุดยอดอยู่แล้ว บางคืนเมื่อฝนซาเม็ดให้สักพัก ไอ้หมึกกับไอ้พริ้งซึ่งชอบออกส่องสัตว์ ก็ออกไปยิงกระจงบ้างไก่ป่าบ้างได้มาตัวสองตัวพวกหล่อนก็แกงพริก แกงคั่วรสเด็ดให้เรากิน ถ้าคืนไหนไปส่องกบ ก็จะได้กินแกงส้มกบกับลูกระกำซึ่งเป็นสุดยอดแกงส้มปักษ์ใต้ เราก็ซัดกันซะพุงกางไปเลย
"บัว - - อีกหน่อยไอ้นุ้ยก็คงถูกมึงขุนอ้วนเป็นหมูตอนแน่" ไอ้บองหลาพูดหยอกเล่นกับสาวบัว
"ไม่รู้ว่านุ้ย หรือพี่บัวกันแน่...ที่จะอ้วนเป็นหมูตอน" หญิงหมอนพลอยหันไปหยอกพี่สาวของหล่อนที่นั่งติดกันด้วยอีกคน "เพราะตอนที่นุ้ยไม่อยู่นี่ เห็นกินข้าวคำสองคำก็อิ่มแล้ว แต่พักนี้ดูซิ... ฮา ฮา เกือบจะสองชามแล้วนะเนี่ย"
สาวบัวอายหน้าแดง
"พูดบ้า ๆ จานเดียวก็ยังไม่หมด" ว่าแล้วก็หันมาสบตาผมอย่างเขินอาย
ไอ้บองหลาซึ่งนั่งติดอยู่กับผมหันไปมองสาวบัวแล้วหันกลับมาทางผ ม แล้วถามว่า "พวกเอ็งสองคนได้กินยาหรือใส่ปลอกป้องกันกันบ้างหรือเปล่าวะ"
แม้น้ำเสียงของเพื่อนรักจะเปี่ยมไปด้วยความหวังดี แต่ทว่าสะกดทุกคนให้นั่งเงียบกันไปชั่วอึดใจหนึ่ง หญิงหมอนทอดสายตามองจานข้าวตนเองนิ่งเฉย ไอ้พริ้งกับไอ้หมึกเมินหน้ากันไปคนละทาง คงเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าไอ้บองหลาจะถามดื้อ ๆ เข้าอย่างนี้
ผมเองก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน
************************************************************ *******
Create Date : 15 พฤศจิกายน 2554 |
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2554 12:16:50 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1116 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: go far far วันที่: 15 พฤศจิกายน 2554 เวลา:18:46:37 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา:8:26:54 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 19 พฤศจิกายน 2554 เวลา:8:46:57 น. |
|
โดย: pantamuang วันที่: 20 พฤศจิกายน 2554 เวลา:13:21:59 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 20 พฤศจิกายน 2554 เวลา:20:59:20 น. |
|
โดย: go far far วันที่: 20 พฤศจิกายน 2554 เวลา:23:36:30 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 21 พฤศจิกายน 2554 เวลา:8:55:32 น. |
|
โดย: diamondsky วันที่: 21 พฤศจิกายน 2554 เวลา:19:16:47 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 22 พฤศจิกายน 2554 เวลา:8:32:11 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 22 พฤศจิกายน 2554 เวลา:22:23:38 น. |
|
| |
|
หลวงเส |
 |
|
 |
|
แวะมาให้กำลังใจท่านค่ะ