
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 7
 คำมั่นสัญญา
ลมป่าพัดมาพร่างพรู เรายืนกอดรัดแลกเปลี่ยนรสจูบกันอย่างดูดดื่ม ท่ามกลางสายน้ำสูงแค่เข่า ซึ่งไหลรี่ผ่านไปด้านล่าง ผ่านภูมิประเทศอันงดงามอย่างน่าอภิรมย์สำหรับเรา สาวบัวยกมือประคองแก้มผมสองข้าง เผยอริมฝีปากเรียวงามรับการประทับจูบด้วยเรือนกายไหวสะท้าน
ข้อกังวลและหน่ายแหนงแคลงใจว่าจะถูกลวงหลอกให้ชอกช้ำหรือไม่? บัดนี้คงหลุดลอยไปกับสายน้ำที่กำลังไหลรี่อยู่นี้เสียแล้ว
เฉกเช่นผมซึ่งมิได้ครุ่นคำนึงถึงสิ่งอื่นใดอีกต่อไป... ผมลืมตัว ลืมหมดทุกสิ่ง นอกจากสาวบัวซึ่งกำลังอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของผมคนเดียวเท่านั้น ผมโอบกอดหล่อนแนบแน่นขณะประกบริมฝีปากและชอนไชชิวหาดูดซับรสหวานจากหล่อนจนรู้สึกอิ่มเอมสมหวัง และบอกกับตนเองว่าอื่นใดในโลกจะหาสุขใดยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
สุดท้ายผมก็ช้อนร่างอันอ่อนระทวยของหล่อนขึ้นมาอุ้ม พาลุยน้ำเข้าฝั่ง และประจงวางเรือนร่างอันน่าชิดเชยทะนุถนอมของหล่อนลงตรงนั้น แล้วค่อยประคองศีรษะหล่อนวางแนบหนุนพื้นทรายอันอ่อนนุ่ม เรือนกายส่วนล่างจ่อมจมอยู่ใต้ผิวน้ำ ก่อนที่ผมจะคร่อมทับแล้วกอดรัดลงไป
ผมประกบริมฝีปากบดขยี้ ...ซอกซอนจมูกควาญหากลิ่นกายสาปสาวอย่างสุขสันต์
หม้ายสาวครวญครางเสียงกระเส่า
"ทูนหัวของบัว..."
"จ๋า."..
"รักบัวจริงไหม?"
"ผมเรียนจบและสอบบรรจุได้เมื่อใด จะรับบัวไปอยู่ด้วยกันทันที"
"พ่อ... แม่..?"
"เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องชี้แจงให้ท่านเข้าใจ..."
"บัวจะเป็นเมียที่จงรักและภักดี..."
"ผมรักบัวคนเดียว"
มันน่าขำที่เราต่างพร่ำรำพันกันด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งมนต์ดำฤษณาเสียยืดยาว และเมื่อทุกสิ่งอย่างบรรลุถึงจุดสูงสุด สาวบัวก็นอนหลับตาพริ้มอย่างสุขเกษม หอบหายใจถี่กระชั้น ไม่ต่างจากผมซึ่งนอนกอดกายหล่อนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง และหากที่นี่คือห้องหับอันอบอุ่นมิดชิด เราสองก็คงจะนอนก่ายกกกอดกันไปอีกนาน แต่นี้สิเรือนร่างเปลือยเปล่ากลับจมจ่อมอยู่ในน้ำเสียครึ่งตัว ฉุดเราให้ต้องลุกขึ้นมานั่งสบตาและหัวเราะให้กันเมื่อความหนาวเย็นโฉบฉายมา
"น้องหมอนล่ะ..?." สาวบัวเอ่ยขึ้น หลังเรียกสติตนเองกลับคืน
ผมโอบรัดกายหล่อนมาแนบอก พลางปลุกปลอบใจให้หายกังวล
"เธอคงกลับทับไปแล้ว"
"ไม่หรอก...เธอรักนุ้ยนะ."
ผมหลับตา ขณะส่งจิตใจล่องลอยไปถึงหญิงหมอน...
ป่านนี้แม่นางจะหลีกเร้นไปอยู่ไหน?
แม่นางผู้งามสรรพ ไม่มีส่วนใดไหนเลยที่ผ่านตาชายแล้วตกเป็นรองผู้พี่ อีกทั้งน้ำใจของเจ้าก็งามล้น... ยอมหลบเลี่ยงเร้นหายไปเสียทุกครั้ง แม้จะพกพาหัวใจอันเจ็บปวดรวดร้าวแนบไปกับตัวก็ตาม
"หญิงหมอน..." ผมรำพึงออกมาเบา ๆ
"ตามไปสิ"
"ผมเกรงเธอหลงป่า"
สาวบัวผุดนั่ง และมองค้อน
"นี่แหละใจชาย"
ผมล้มตัวลงนอนหาย-เอาหัวพาดหนุนพื้นทราย สายตาจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าสาวบัว หยาดน้ำตาของหม้ายสาวเอ่อท้นคลอเบ้าก่อนจะรินไหลลงมาตามร่องแก้มเป็นทางยาว
"เธอเป็นน้องสาวของบัวนะ"
หม้ายสาวถอนสะอื้น
"เป็นหญิงอื่นสิ-จะไม่พะวงเลย"
"แต่ผมไม่เคยล่วงเกิน..."
หล่อนพยักหน้า
"บัวรู้ !"
"งั้นบัวไม่สบายใจทำไม?"
"บัวก็กำลังถามตัวเองอยู่เหมือนกัน"
ถ้อยคำพร่ำรักต่อกันของเราในคราวนั้นช่างอิดออดอ้อยสร้อยราวกับบทรักในหนังกลางแปลง
แต่นี่คือ เรื่องจริง!
ในที่สุดผมก็เอื้อมคว้ามือของหล่อนข้างหนึ่งมากุมไว้แนบอก ก่อนจะเทน้ำคำปลอบประโลมให้หล่อนคลายกังวลว่า "ข้างนอกโน้น...หัวกระไดบ้านเราก็ทอดทาบถึงกัน ซึ่งกาลข้างหน้าเราสองก็จะต้องพบเจอกันวันยังค่ำ บัวเองก็ใช่ว่าจะต้องเข้าป่ามาขุดแร่ไปจนตาย หากแต่อาชีพอื่นสำหรับลูกผู้หญิงยังมีอีกสารพัด ไว้เมื่อถึงเวลา...ผมจะคิดหาช่องทางช่วยเหลือเอง แล้วต่อไปนี้ก็ห้ามเก็บเอาเรื่องหญิงหมอนมาครุ่นคิดให้หนักอกหนักใจอีกเป็นอันขาด ผมสารภาพว่า เมื่อก่อนผมอาจมีเธอติดค้างอยู่ในใจบ้าง แต่ตอนนี้หัวใจของผมทั้งสี่ห้องยกให้บัวหมดแล้ว"
หลังจากนั้นอีกสองวัน พวกเรา ผม ไอ้บองหลา ไอ้พริ้ง และไอ้หมึก ก็ระดมพลว่าจ้างชนชาวเหมืองในดงเขายาเกือบทั้งหมดให้มาช่วยกันขนขี้ตะกรันออกจากป่ามุ่งสู่ถนนหลวงเพื่อใส่รถสองแถวไปขายที่ตะกั่วป่า กระชุแต่ละใบที่เพื่อนของผมช่วยกันสานไว้ก่อนหน้านั้นบรรจุขี้ตะกรันได้ใบละประมาณ 50 กิโลฯ ชาวเหมืองเกือบร้อยคนที่มาช่วยพวกเราใช้ไม้คานสอดหามกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นเวลา 2 วัน โดยใช้เส้นทางเก่าที่ฝรั่งและชาวจีนสมัยนั้นได้บุกเบิกทิ้งไว้เป็นเส้นทางขนลำเลียง แม้หนทางจะยืดยาวออกไปกว่าทางลัดที่ใช้สัญจรไปมากันอยู่ประจำ แต่มันก็เดินสะดวกไม่ลาดชันมากนัก เหมาะสำหรับแบกหามของหนักไปมา เสียดายตรงที่หลายแห่งโดนน้ำป่ากัดเซาะพังทลายจนไม่อาจใช้วัวควายชักลากเกวียนบรรทุกของได้เหมือนสมัยก่อน มิฉะนั้นพวกเราคงประหยัดแรงคนมากกว่านี้
ขี้ตะกรันจำนวนห้าตันกว่า ๆ ทำรายได้ให้พวกผมสามสี่คนอย่างมหาศาล ทว่าข่าวนี้ก็ได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างออกไปในเวลาอันรวดเร็ว เป็นเหตุให้พวกสิ้นไร้ไม้ตอกเกิดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ อยากเจอขุมทรัพย์เหมือนเราบ้าง จึงพากันดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงเข้ามาในป่าดงเขายาไม่ขาดสาย
ป่าที่เคยสงบเย็นกลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหน้าตาดุร้ายไม่น่าไว้ใจมากหน้าหลายตา นักผจญภัยหรือนักแสวงโชคร้อยพ่อพันแม่ต่างมุ่งหน้าสู่ดงเขายาทุกวัน พร้อมบุกตะลุยเข้าสู่ผืนป่า ขุดดินฟันไม้ ระเบิดหินส่งเสียงอึกทึกครึกโครม กระทั่งสัตว์ป่า ลิง ค่าง บ่าง ชะนี พากันตื่นกลัวไม่กล้ากู่ร้องหาคู่อยู่หลายวัน
พวกที่เข้ามาใหม่บางคนพกเครื่องมือมาพร้อม ทว่าบางคนมีเพียงมือสิบนิ้ว แต่ที่บั้นเอวเหน็บปืนมาด้ามโต ที่น่าขันยิ่งกว่านั้น ก็เห็นจะเป็นพวกหัวการค้าที่อุตส่าห์หอบหิ้วสินค้าเข้ามาขายในดงกันดารหวังกำไรลม ๆ แล้ง ๆ บุหรี่ เหล้าโรง กัญชา รวมทั้งลูกปืน แบกหามดั้นด้นกันมาเหน็ดเหนื่อยอย่างน่าสมเพทเวทนา
ไอ้หมึกไปขุดปืนลูกซองสั้นของมันซึ่งชโลมจารบีใส่ถุงพลาสติกฝังดินไว้กระบอกหนึ่งขึ้นมาเช็ดถูทำความสะอาด และพกติดสะเอวเพื่อความอุ่นใจอยู่เสมอ ส่วนปืนแก๊ปที่มีไว้ล่าสัตว์เป็นอาหาร เมื่อไม่ใช้ก็ต้องนำไปแอบซ่อน เพราะมีคนมาขอยืมบ่อย กำมะถันและดินประสิวสำหรับเอามาผสมทำดินปืน พร้อมทั้งเม็ดตะกั่วทำลูกกระสุนก็ไม่ซื้อมาใช้ให้ อาศัยยืมอย่างเดียว แต่ละคนหัวนอนปลายเท้าไม่รู้อยู่ไหน แต่ชอบทำกางหลาง(ฟอร์มโต) เดินวางก้ามคับป่า ซึ่งคล้อยหลังเพียงแค่วันสองวันที่นักแสวงโชคกลุ่มแรกย่างก้าวมาถึงดงเขายา ก็มีการเปิดศึกแย่งชิงขี้ตะกรันที่พบเจอเพียงไม่กี่เม็ดกระทั่งยิงกันตายเกิดขึ้น แพทย์ประจำตำบลกับตำรวจท้องที่ที่รับผิดชอบสองสามนายถูกตามให้ขึ้นมาพลิกศพ พวกเขาแบกปืนย่ำคอมแบตขึ้นเขาลงเนินสาวเท้าตามหลังกันมาตีนแทบพลิก
สิบกรีคนหนึ่งบ่นขึ้นอย่างฉุนเฉียว
"ทีหลังพวกมึงฆ่าแกงกันเสร็จแล้ว กูขอร้อง-ช่วยกันเผาให้เป็นขี้เถ้าเสียด้วย กูขี้คร้านเดินปีนเขาเข้ามาที่นี่เว้ย! ยัดแม่-ง ไกลชิบ"
วันนั้นไอ้บองหลายืนมองศพชายกลางคนผู้ซึ่งถูกยิงด้วยปืนลูกซองสั้นเข้าที่หน้าอกนอนหงายจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าแล้วหันมาถามผม
"มึงเห็นฤทธิ์เดชเจ้าป่าเจ้าเขาในป่าดงเขายาแล้วหรือยัง?"
ผมพยักหน้า
"อือม์ เหมือนมึงพูดไว้ไม่ผิด..."
มันยิ้ม... แล้วเตือนว่า
"อย่าลืมบอกอีบัวกับอีหมอนให้ระวังตัวกันบ้าง ต่อไปนี้อย่าออกไปร่อนแร่ในที่ลับตาคนเหมือนคราวก่อน"
คำเตือนของไอ้บองหลาทำให้วัวหลังเปื่อยอย่างผมสะดุ้งโหยง... อย่าออกไปร่อนแร่ในที่ลับตาคนเหมือนคราวก่อน...
ไอ้บองหลา-ไอ้ชิบหาย- ท่าทางวันนั้นมึงคงตามไปแอบดูละซิท่า-ไอ้อุบาทว์ ผมยืนด่ามันในใจ
หลังจากย้อนกลับเข้าป่าและหยุดพักเหนื่อยจากการเดินทางออกไปขายขี้ตะกรันในครั้งนี้เสียวันหนึ่ง พวกเราก็ออกสำรวจหาขี้ตะกรันกันใหม่ แร่ดีบุกที่ขุดคุ้ยใส่ไว้ในรางที่หน้าเหมืองเก่าก็ปล่อยทิ้งไว้ชั่วคราว โดยใช้ใช้หินและทรายโรยหน้าปิดทับไว้ แต่เนื่องจากขณะนี้มีผู้คนแห่เข้ามาบุกรุกค้นหาโชคลาภที่พวกเขาวาดหวังกันเป็นจำนวนมาก การที่จะบุกตะลุยขุดค้นไปตามท้องร่องและหุบเนินเพื่อค้นหาสิ่งปรารถนาให้พบเจอเป็นรายแรกเหมือนคราวก่อนจึงไม่ใช่เรื่องหมู ๆ อีกแล้ว แม้จะฟลุ๊คไปเจอเข้าบ้าง ก็มักจะอยู่ในที่ที่ห่างไกล และมีอยู่น้อยนิด ซึ่งที่นั่นอาจเคยเป็นโรงถลุงแร่โรงเล็ก ๆ หรือไม่ก็เป็นเตาถลุงดีบุกที่มีธาตุแทนทาไลท์ผสมอยู่น้อยนิดก็ได้ แต่เราก็ชวนกันเสาะหาไปเรื่อย วันแล้ววันเล่า ได้นิดได้หน่อยก็นำมาแอบขุดหลุมฝังไว้ที่ริมทับ กะว่าพอคุ้มค่าโสหุ้ยก็จะขุดขึ้นมาล้างแล้วนำไปขาย ทว่าวันที่รอ...ก็ดูเหมือนจะยังอยู่อีกไกล
เย็นวันหนึ่งผมพลิกแผ่นปฏิทินที่แปะอยู่ข้างฝาทับเปิดดูก็รู้สึกใจหาย เพราะเหลือเวลาอีก 11 วัน ที่ทางวิทยาลัยจะเปิดเรียนในภาคการศึกษาใหม่ ซึ่งหมายถึงภาคแรกสำหรับปีการศึกษาปีสุดท้ายของหลักสูตร ป.กศ.ต้น จะได้เริ่มขึ้น และเป็นปีที่ผมจะจบออกมาสอบบรรจุเป็นครูสอนนักเรียนในระดับประถมศึกษาได้
เหลือเวลาอีกสิบเอ็ดวันเท่านั้นกับการได้อยู่ใกล้ชิดหญิงคนรัก ความเหว่ว้าอาวรณ์และรู้สึกเป็นห่วงพวกหล่อนก็พลันบังเกิดขึ้นทันที
แม้จะหวนคิดถึงภาระที่จะต้องกลับไปศึกษาปฏิบัติให้สำเร็จลุล่วงตามความมุ่งหวัง และเตรียมรับมือกับภาระก่อนถึงวันเปิดเรียนนั้น ไม่ว่าเรื่องปัจจัยชำระค่าหอพัก ค่าอาหารที่โรงอาหารของวิทยาลัย ค่าลงทะเบียนเรียน และค่าอะไรต่อมิอะไรจิปาถะ ก็ล้วนไม่เป็นปัญหาสำหรับผม เพราะเปิดเทอมนี้ผมมีเงินส่วนตัวจากการขายขี้ตะกรันเที่ยวนั้นเป็นทุนสำรองอยู่แล้วอย่างเหลือเฟือ โดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่สักบาทเดียวก็ว่าได้ หากแต่ปัญหาการจากพรากหญิงคนรักนี่สิมันสั่นคลอนจิตใจผมเหลือเกิน เพราะผมจะต้องออกจากป่าแห่งนี้ก่อนถึงกำหนดเปิดภาคเรียนอย่างน้อย 4-5 วัน
ซึ่งบัดนี้เวลาที่ว่านั้นก็ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นทุกที!
"ไอ้เพื่อนรัก- -ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เห็นทีกูจะต้องงดออกไปทำเหมืองกับพวกมึงแล้วล่ะ" ผมพูดกับบองหลา "ยังเหลือเวลาอีกสามสี่วันที่กูจะอยู่ที่นี่ กูขอไปอยู่เป็นเพื่อนสาวบัวกับหญิงหมอน"
ไอ้บองหลาหัวเราะ
"นี่แหละคนเราเมื่อเข้ามาหมกตัวเงียบเหงาอยู่ในป่า แม้แต่ ลิง ค่าง บนต้นไม้ บางครั้งก็ยังรู้สึกว่าพวกมันช่างยิ้มสวย แต่มึงเชื่อกูไหมล่ะ? เดี๋ยวพอเปิดภาคเรียนกลับไปวิทยาลัย-พักเดียวมึงก็ลืม"
"ม่ายหรอก-อยู่ที่โน่นกูก็เคยมีกะเขามาบ้างแล้ว... แต่เยื่อใยมันต่างกัน" ผมพยายามพูดให้เพื่อนรักเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงของผม ซึ่งแน่นอนว่าบัดนี้ผมหลงรักหม้ายสาวเข้าแล้วเต็มทรวง.."แล้วพวกมึงก็ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องส่วนแบ่ง... เพราะขายขี้ตะกรันเที่ยวที่แล้วพวกมึงก็แบ่งให้กูจนมากเกินพอ... เพราะฉะนั้นที่หามาได้ในเที่ยวนี้ ในส่วนของกูกูก็ยกให้พวกมึงหมดเลย รวมทั้งแร่ในก้นรางที่หน้าเหมืองเก่านั้นด้วย แต่ยังไง ๆ พวกมึงก็ต้องระวังไอ้พวกที่เข้ามาใหม่กันด้วยนะเว้ย..."
ลงท้ายผมเอ่ยปากเตือนเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง...
และหลังจากนั้นผมก็เก็บข้าวของเครื่องใช้และผ้าผวยผ้าห่มมากินอยู่หลับนอนที่ทับทองทุกวัน ซึ่งทั้งลุงทองและป้าพัวก็ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจรังงอนผมแต่อย่างใด มีเพียงหญิงหมอนคนเดียวที่ดูเมินเฉยและเย็นชากับผมผิดไปจากเดิม ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ผมจึงได้พยายามหาช่องทางพูดคุยทำความเข้าใจกับหล่อนอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เพราะหล่อนไม่ยอมเปิดโอกาสให้เลย
กระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่ผมจะอำลาเหมืองป่าในรอบนี้ โอกาสที่ผมรอคอยก็มาถึง...
ขณะออกไปร่อนแร่ตามลำธารด้วยกันสามคนในตอนเช้า โดยมีผมเป็นบอดี้การ์ดและช่วยขุดคุ้ยก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ ออกจากแนวกระสระที่พวกหล่อนจะกวาดใส่เรียงเอามาร่อนหาเม็ดแร่ สาวบัวเกิดปวดหัวและบอกจะกลับไปกินยาที่ทับ แม้ผมจะอาสาขอกลับไปเอายามาให้หล่อนก็ไม่ยอม
"นุ้ยอยู่เป็นเพื่อนน้องหมอนเถอะ นาน ๆ จะพบเจอกระสะดี ๆ อย่างนี้ ต้องรีบร่อนให้หมด ชักช้าประเดี๋ยวใครรู้เข้าก็จะมาแย่ง"
"อ้าว! ก็เราหาเจอ พวกเขาจะมาชุบมือเปิบได้ไง?" ผมว่า
"ทรัพย์ในดินไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทันใครใครได้" หม้ายสาวพูดจบก็เอาเรียงตั้งไว้กับพื้น เดินลิ่วจากไปโดยเร็ว แม้หญิงหมอนจะร้องตามหลังว่าหล่อนจะเป็นคนไปเอายามาให้เอง สาวบัวก็ไม่หันมาพูดด้วย
แวบเดียวหล่อนก็หายลับไปจากสายตา... ทิ้งผมกับหญิงหมอนไว้ข้างหลังสองคน แม้ผมจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง แต่เมื่อสบโอกาสผมก็ถามหญิงหมอนว่า
"ทำไมพักนี้ หมอนถึงได้เปลี่ยนไป... ทำไม่ถึงเย็นชากับผมราวกับคนไม่เคยรู้จักมาก่อน ผมทำผิดอะไร? หรือว่ารังเกียจผม?"
แทนคำตอบ หญิงสาวกลับปล่อยเรียงร่อนแร่ซึ่งกวาดก้อนกระสะใส่ไว้เต็มแปล้ทิ้งไว้ในน้ำ เดินฝ่าสายน้ำมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม นัยน์ตาสองข้างแดงเรื่อ หยาดน้ำตาคลอเบ้า ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความข่มกลั้น
************************************************
Create Date : 14 เมษายน 2554 |
Last Update : 26 เมษายน 2554 20:24:12 น. |
|
16 comments
|
Counter : 1258 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: KeRiDa วันที่: 15 เมษายน 2554 เวลา:4:46:01 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 15 เมษายน 2554 เวลา:23:47:58 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:6:57:45 น. |
|
โดย: panwat วันที่: 17 เมษายน 2554 เวลา:22:27:07 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 17 เมษายน 2554 เวลา:22:29:26 น. |
|
โดย: diamondsky วันที่: 19 เมษายน 2554 เวลา:16:58:50 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 19 เมษายน 2554 เวลา:17:01:53 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 20 เมษายน 2554 เวลา:6:21:45 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 20 เมษายน 2554 เวลา:18:43:44 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 22 เมษายน 2554 เวลา:14:50:59 น. |
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 22 เมษายน 2554 เวลา:20:17:56 น. |
|
โดย: diamondsky วันที่: 22 เมษายน 2554 เวลา:20:55:06 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 24 เมษายน 2554 เวลา:7:16:57 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 25 เมษายน 2554 เวลา:8:06:14 น. |
|
โดย: diamondsky วันที่: 25 เมษายน 2554 เวลา:22:07:54 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 25 เมษายน 2554 เวลา:23:39:35 น. |
|
| |
|
หลวงเส |
 |
|
 |
|
เรียกว่าเป็นวันพญาวัน พวกเขาจะนำอาหารคาวหวานมาทำบุญที่วัดโดยวางรวมกันบนโต๊ะที่
ทางวัดจัดให้ สายหน่อยร่วมกันฟังเทศน์
ฟังธรรมและทำบุญสืบชาตา
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว เป็นประเพณีทางเหนืออย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมาช้านาน