
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 5
 ก่อนที่ผมจะลืมตาดูโลกราว ๆ สามสิบปี ทางเดินแคบ ๆ ที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาและโขดเนินที่พวกเราอาศัยเดินเท้าสัญจรจากทับนอนไปสู่หน้าเหมืองที่ซุกตัวอยู่ในป่าลึกแห่งนี้กันทุก ๆ เช้านั้น เคยเป็นเส้นทางลำเลียงแร่ดีบุกออกจากเหมืองเพื่อนำไปขายที่ตะกั่วป่ามาก่อน อีกทั้งสินแร่ที่นำไปขายเมื่อก่อนนั้นก็เป็นเนื้อดีบุกล้วน ๆ เพราะผ่านการถลุงเสียก่อนแล้ว ส่วนกรรมวิธีการถลุงเขาจะทำกันอย่างไร คนที่เคยเห็นกับตาตนเองมาจริง ๆ ก็กลับบ้านเก่าไปหมดแล้ว เหลือแต่ชนรุ่นหลัง พวก ลุง ป้า น้า อา หรือพวกรุ่นพี่ ๆ ของผมนั้น ผมไม่สู้มั่นใจนัก เพราะเรื่องราวที่พวกเขานำมาเล่าให้ผมฟัง ส่วนมากก็มักจะใสสีตีไข่ไม่ต่างไปจากผมสักเท่าใด
จึงเอาเป็นว่า ผมขอเล่าไปตามหลักฐานที่ปรากฏก็แล้วกัน!
ซึ่งว่ากันว่าสมัยก่อนมีฝรั่งต่างชาติและจีนมลายู ได้เข้ามาขอสัมปทานทำเหมืองแร่ดีบุกในมณฑลภูเก็ตกันหลายพรรคหลายพวก โดยมีพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (คอซิบบี้) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปกครองและจัดเก็บภาษีหัวเมืองปักษ์ใต้สมัยนั้น ได้รับการโปรดเกล้าฯจากล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ให้เป็นผู้กำกับดูแลและจัดเก็บภาษีต่าง ๆ เข้าคลังหลวง รวมทั้งภาษีสัมปทานเหมืองแร่ดีบุกนี้ด้วย
การทำเหมืองแร่ดีบุกในยุคนั้นรุ่งเรืองเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะแร่ดีบุกมีอยู่ทั่วมณฑลภูเก็ต ดังจะเห็นได้ว่าทุกพื้นที่ที่มีการทำเหมือง ก็จะมีร่องรอยประจักษ์หลักฐานยืนยันอยู่แทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งกลางป่าลึกในดงเขายา ที่พวกผมดั้นด้นเข้ามาขุดคุ้ยหินทรายค้นหาสินแร่กันอยู่ในขณะนี้ด้วย
หลักฐานที่ปรากฏแก่สายตาผมอย่างแรก ก็คือ เส้นทางสัญจรที่ใช้แรงคนและวัวควายบุกเบิกสร้างกันขึ้นมาไม่ได้มาตรฐานเหมือนกับการก่อสร้างที่อาศัยเครื่องจักรกลเป็นเครื่องทุ่นแรง มันจึงทั้งแคบ ทั้งคดเคี้ยว และสูง ๆ ต่ำ ๆ ไปตามรูปลักษณ์ของพื้นที่ซึ่งมีทั้งหุบเหวและช่องเขาที่คดเคี้ยวไปตามธรรมชาติ ส่วนหลักฐานอย่างอื่น ก็ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้และภาชนะบรรจุเสบียงอาหาร เศษกระเบื้อง ถ้วนชามรามไห ซึ่งพวกฝรั่งและคนจีนสมัยนั้นนำมาใช้ตกหล่นฝังอยู่ในดิน ตื้นบ้างลึกบ้าง ตามแต่สภาพภูมิประเทศและการเปลี่ยนแปลงของหน้าดินที่เกิดจากสภาพน้ำป่าไหลท่วมทับในบางครั้งคราว
นอกจากนั้น หลักฐานสำคัญที่ทำให้ผมและเพื่อนกลายเป็นเศรษฐีน้อย ๆ กันขึ้นมาในชั่วข้ามวันก็คือ "ขี้ตะกรัน" ซึ่งพวกเราเกิดฟลุ๊คที่ผมเป็นผู้ขุดคุ้ยไปเจอมันเข้าอย่างคาดไม่ถึง เพราะมันกองซุกซ่อนสายตาใครต่อใครอยู่ที่คูส่งน้ำโบราณที่เราอาศัยผันน้ำไปใช้หน้าเหมืองกันมานานจนเกือบครึ่งศตวรรษ และมีจำนวนมากจนเกือบครึ่งคันรถสิบล้อ
"ไอ้นุ้ย-มึงขุดลอกคูน้ำอยู่ตรงนี้นะ กูสามคนจะขึ้นไปกั้นทำนบปิดน้ำเหนือโตนน้ำตก แล้วจะปล่อยน้ำลงมา"
ไอ้บองหลาแนะนำทำความเข้าใจและมอบงานให้ผม เสร็จแล้วมันก็ชวนเพื่อนอีกสองคนขนเครื่องมือ ทั้ง มีดพร้า จอบ และชะแลงสำหรับงัดก้อนหินก้อนโต ๆ เดินตามหลังลับหายกันขึ้นไปบนโตนน้ำตกที่อยู่เหนือขึ้นไปพอกู่ร้องได้ยิน ผมอยู่ข้างหลังก็จัดแจงใช้ชะแลงและจอบขุดแต่งคูน้ำที่มีขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร เพื่อรองรับสายน้ำที่พวกนั้นไปสร้างทำนบกั้นและปล่อยน้ำลงมาจะได้ไหลสะดวก ไม่เอ่อท้นออกนอกช่องทาง
มันเป็นคูน้ำเก่าแก่ยุคพวกเจ๊กผมเปียกับพวกฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นแหละขุดกันขึ้นมา
ที่ผมรู้ว่าเป็นคูน้ำในยุคนั้น ก็เพราะขุดไปขุดมาผมก็ไปเจอสิ่งของเก่า ๆ เข้าหลายอย่าง เช่น พวกเศษกระเบื้องถ้วยชามลวดลายโบราณ และจอบหูช้างรุ่นเก่าซึ่งโดนสนิมกัดเซาะเว้าแหว่งปากอ้าเหมือนปากไอ้เท่งหนังตะลุง หนำซ้ำบางครั้งยังขุดไปเจอเข้ากับก้อนกรวดที่แข็งผิดธรรมดาเข้าอีก ทำให้มือไม้ถลอกปอกเปิด ปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะถอดใจและโบกมือลาเสียให้ได้
แข็งเหมือนเปรต !
ผมนึกสาปแช่งมันอยู่ในใจ ก่อนจะก้มลงหยิบขึ้นมาดู
ก้อนกรวดอะไรวะ- -ดูแปลก ๆ หนักก็หนัก? ผมนึกสงสัย แต่แล้วก็โยนทิ้งน้ำตามเดิม
สักครู่สายน้ำสีขุ่นข้นก็ไหลพุ่งเป็นเกลียวมาตามร่องคูข้างหน้าที่ผมยังขุดลอกไปไม่ถึง และมันก็เอ่อล้นออกด้านข้างทั้งสองด้านอย่างรุนแรง ก่อนจะไหลเข้ามารวมเป็นสายเดียวกันใหม่ แล้วก็ทะลักลงในคูที่ผมกำลังขุดลอกอยู่ กระทั่งยกระดับสูงขึ้นมาถึงหน้าขาของผมและมันก็ไหลเชี่ยวจนผมยืนต้านไม่อยู่
ชะรอยพวกนั้นคงปิดกั้นทำนบกันเสร็จแล้ว?
ผมเห็นท่าไม่ดีก็ขยับขึ้นไปยืนดูอยู่บนที่สูง ทอดสายเพ่งมองเกลียวน้ำข้นคลักไหลผ่านหน้าผมเป็นลำยาวเหมือนงูยักษ์สีน้ำตาลกำลังเลื้อยฝ่าต้นไม้ใบหญ้ามุ่งไปหาเหยื่อข้างล่างอย่างรวดเร็ว... แล้วในที่สุดสายน้ำนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสีอ่อนลงกระทั่งใสแจ๋วมองเห็นกรวดทรายท่องร่องชัดเจน
"ยัดแม่ง-ไอ้นุ้ย ลอกคูน้ำได้กี่เมตรวะ-มึง" ไอ้บองหลาตะโกนด่าผมมาแต่ไกล เมื่อมันเห็นผมขึ้นมายืนกุมชะแลงอยู่บนโขดหิน ผมบอกมันว่า ผมเอาชะแลงปักลงไปโดนอะไรเข้าก็ไม่รู้ ลักษณะเหมือนก้อนกรวด แต่แข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า มือไม้ถลอกปอกเปิดฉิบหายหมดแล้ว...
"กรวดพ่อกรวดแม่-มึงนะสิ แข็งกว่าเหล็ก" ไอ้หมึกหัวเราะ "อ้างมือถลอก หรือคิดจะหาช่องทางเลี่ยงไปฟัดอีบัวก็ว่ามาเถอะ"
ผมยกฝ่าเท้าให้มัน
"ไอ้เปรต กูไม่อาด*ถึงขนาดนั้นหรอกวะ"
และพลันนั้น ไอ้พริ้งซึ่งกำลังยืนก้มหน้ามองดูก้อนหินก้อนกรวดในท่องร่องอยู่ริมชายคู ก็ทรุดนั่งยอง ๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะก้มลงไปคว้าก้อนกรวดที่ผมว่าขึ้นมาก้อนหนึ่ง จ้องมองจนตาลุกวาว
"ไอ้นุ้ยเอ๋ย ท่าทางมึงจะได้เมียก็เที่ยวนี้แหละ"
พูดจบไอ้พริ้งก็ส่งเม็ดกรวดก้อนนั้นให้บองหลาดู
"โว้ย- -เจ้าป่าเจ้าเขา-ท่านโปรดปราณลูกช้างแล้ว- - ขี้กางโว้ย-ไอ้นุ้ย เราเจอแหล่งขี้กางเข้าแล้ว"
ไอ้บองหลาตาเหลือกถลนราวกับจะหลุดออกนอกเบ้าเหมือนคนใกล้ตายด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เพื่อน ๆ ของผมทั้งสามคนดีอกดีใจจนผมเล่าไม่ถูก เพราะผมเองก็พลอยดีใจจนหัวใจเต้นรัวไปกับพวกมันด้วย เมื่อรู้ว่าก้อนกรวดพวกนั้น ที่แท้ก็คือขี้ตะกรัน หรือสะแหลกดีบุกที่เขาใช้เป็นส่วนประกอบในการสร้างยานอวกาศ รวมทั้งหัวจรวดนำวิถีและขีปนาวุธต่าง ๆ ซึ่งมีราคาแพงประดุจทองคำ
"ว่าแต่ว่ามันจะมีให้ดีอกดีใจกันซักกี่เมล็ด" ผมแสร้งว่า เพราะผมยังไม่เห็นมันกองเป็นภูเขาเลากาตามที่เขาเล่าลืออยู่ตรงไหนสักแห่ง
"ไอ้เปรต มึงอย่าปากหมา"
ไอ้บองหลาหันมาทำตาเขียวใส่ผม เพราะแต่ไหนแต่ไรพวกชาวเหมืองเขามีความเชื่อกันว่า เมื่อเข้ามาอาศัยในป่าดงดิบท่ามกลางการคุ้มครองดูแลของเจ้าป่าเจ้าเขาและพ่อแก้วแม่แก้วอันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนเคารพนับถือกันนั้น จะต้องกระทำตนให้อยู่ในร่องในรอย นอกจากไม่ประพฤติชั่ว ไม่กระทำการต่าง ๆ ผิดกฎขนบธรรมเนียมของชาวเหมืองแล้ว จะพูดจาก็ต้องระวังปาก ในกรณีเช่นนี้ ห้ามปากสว่านพูดซี้ซั้ว ในเมื่อเจ้าป่าเจ้าเขาท่านอุตส่าห์ดลบันดาลชักนำให้มาเจอกรุสมบัติเข้าอย่างนี้ ขืนปากสว่านพูดไม่เข้าหู ประเดี๋ยวท่านเกิดหมั่นไส้แล้วเรียกคืนขึ้นมา พวกเราก็จะพากันชวดไปเสียเท่านั้น...
"นอกจากตรงนี้แล้ว มึงเจอแถวไหนอีกบ้าง?" ไอ้หมึกหันมาถามผมด้วยสีหน้าท่าทางที่ยังตื่นเต้นไม่หาย
ผมยกมือซ้ายเท้าสะเอว มือขวาชี้กราด "ตั้งแต่ตรงโน้น...ยันโน่น แล้วก็เลยมาถึงตรงนี้ และที่มึงยืนแกว่งกะทออยู่นั่นก็มี... ไม่งั้นฝ่ามือกูจะแตกน้ำข้าวชิบหายวายวอดอย่างนี้ได้เรอะ-ไอ้ห่า?"
ไอ้บองหลาฉีกยิ้มเหมือนหมาเห็นขี้ ก่อนฉวยโอกาสยกตนเป็นผู้บัญชาการทัพเหมืองว่า
"วันนี้กูอนุญาตให้มึงเอาฝ่ามือผู้ดีตีนแดงไปออเซาะอีบัวได้เลย เผื่ออีนั่นมันจะหายาแดงทาให้" แล้วมันก็ตีหน้าขรึม กำชับว่า "แต่ห้ามปากโป้งเรื่องขี้กางนะโว้ย ระหว่างนี้ขอให้รู้กันแค่พวกเราสามสี่คนนี้เท่านั้น คนอื่นไว้ทีหลัง"
"กูรับรอง --ไอ้นุ้ย-คราวนี้มึงได้แต่งเมียแม่หม้ายของมึงแน่ ฮ่า ๆ " ไอ้หมึกพลอยหัวเราะชอบใจขึ้นอีกคน
ขี้ตะกรัน หรือขี้กาง ตามภาษาปากชาวบ้าน แท้ที่จริงคือแร่แทนทาไลด์ที่ผสมอยู่กับดีบุก ซึ่งชาวเหมืองสมัยก่อนยังไม่รู้จัก และพากันคิดว่าเป็นส่วนเกินหรือเป็นกากที่ต้องขจัดทิ้ง เมื่อจบสิ้นกระบวนการถลุงจากเตาถลุงแร่เสร็จแล้วก็นำไปกองทิ้งไว้ไม่สนใจ เพราะฉะนั้นตามแหล่งต่าง ๆ ที่ปรากฏร่องรอยว่าเคยเป็นโรงถลุงแร่มาก่อน ก็มักจะมีขี้ตะกรันกองท่วมหัวเหลือไว้แทบทุกแห่ง บางแห่งกองขี้ตะกรันเหล่านี้มีน้ำหนักเป็นสิบ ๆ ตันก็มี ซึ่งเวลานั้นดูเหมือนเขาจะรับซื้อกิโลกรัมละ 100-120 บาท
ก็ขอให้พระเดชพระคุณทดลอง บวก ลบ คูณ หาร กันดูเถิด ว่าราคาค่างวดของมันแต่ละกองจะมากน้อยแค่ไหน
เพราะฉะนั้นตัวผมผู้ซึ่งได้พบร่องรอยขุมทรัพย์กลางป่าลึกก็แสนจะดีใจ แต่ทว่าความดีใจที่จะได้วกกลับไปหาแม่ยอดยาหยีทั้งสองคนในขณะนั้น ดูเหมือนจะมีน้ำหนักมากกว่า
เงินทองของนอกกาย!
สาบานสามวัดสามวา ผมไม่เคยตาลุกตาล่อ นึกอยากได้จนเกินเหตุมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
"อ้ายคนบ้าห..." ไอ้บองหลามันแสร้งเหยียดผมว่าอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ถือสามันหรอก พอมันพูดจบผมก็เดินผิวปากฮัมเพลงมาตามทางอย่างสบายใจเฉิบ...
"ตามมาจนได้!"
สาวบัวทำเสียงดุใส่ผม เมื่อเห็นผมถ่อสังขารดั้นด้นตามหาแหล่งร่อนแร่ของหล่อนกับน้องสาวจนเจอ
หญิงหมอนซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาขุดคุ้ยหินทรายใส่เรียงร่อนหาเม็ดแร่อยู่ริมน้ำ ซึ่งเป็นสายธารเล็ก ๆ ที่แตกแขนงมาจากโตนน้ำตกที่พวกผมขึ้นไปขุดคุ้ยร่องน้ำทำหน้าเหมืองกันอยู่ หันมามองผมกับพี่สาวของเธอสลับกันไปมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า "ดีแล้วที่พี่บัวมีคนมาช่วย ฉันจะได้ไปช่วยพ่อทางโน้น... เมื่อเช้าได้ยินแกบ่นไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย"
จะเท็จจริงอย่างไรไม่รู้ ที่หญิงหมอนพูดว่าลุงทองไม่ค่อยสบาย หากแต่พูดจบหล่อนก็กระเตงเรียงร่อนแร่ประจำตัวก้าวเท้าหายลับไปแล้ว ทางนี้ปล่อยปลาย่างไว้กับแมวถึกเพียงลำพัง... ซึ่งผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ลึกลงไปข้างใน... หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่? แต่ก็ช่างเถอะ ไหน ๆ อุตส่าห์ถ่อสังขารดั้นด้นมาถึงแล้ว แผ่นพสุธาจะสั่นไหว หรือเขาพระสุเมรุจะพังทลายลงภายในวันสองวันนี้ หรือวันข้างหน้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมก็ตาม ลูกผู้ชายชื่อไอ้แผนอย่างผมก็พร้อมยอมตาย เพราะบัดนี้พิษรักวัยรุ่นได้กระเซ็นเข้าตาผมเสียแล้ว
รักเข้าตาพร่าเลือนมองไม่เห็นสิ่งใด หากใครไม่เคยพบ ผมก็บอกอาการของมันไม่ถูกเหมือนกัน สรุปได้เพียงว่า คนเราเมื่อเลือดเข้าตาก็มักจะดุดันจนช้างฉุดไม่อยู่ ทว่าอาการรักเข้าตาของผมมันรุนแรงยิ่งกว่า
ก็อย่างที่บอก!
แม้เขาพระสุเมรุจะพังราบลงมาเดี๋ยวนั้นผมก็ไม่สนใจแล้ว...
วัวเคยขาม้าเคยขี่ เมื่อเหลืออยู่เพียงสองเรา ความรักก็ลอยมาห้อมล้อมจนปราศจากช่องว่างสำหรับสิ่งอื่นผุดเข้ามาสอดแทรกได้
"นาน ๆ จะได้กำด้ามจอมด้ามเสียมสักครั้ง มือไม้ก็ต้องพังยับเยินแบบนี้แหละ" สาวบัวจับฝ่ามือของผมพลิกหงาย และลูบตรงรอยแตกน้ำข้าวที่มีคราบน้ำเหลืองสีใส ๆ ไหลเยิ้มอยู่อย่างแผ่วเบา "หมั่นเรียนหนังสือให้เก่งนะจ๊ะ จะได้ไม่ต้องมาตรากกรำลำบากเหมือนบัว"
เราสองนั่งคลอเคลียกันอยู่บนแผ่นศิลาใหญ่ริมลำธาร ซึ่งแผ่ราบราวกับพื้นคอนกรีต ผมอุ้มหม้ายสาวขึ้นมานั่งบนตัก ดึงร่างน้อยของหล่อนให้ชิดแนบกับอกผม โดยที่ผมสอดแขนโอบกอดบั้นเอวของหล่อนไว้แต่พอหลวม ปลายจมูกงอนงุ้มก็เฝ้าคลอเคลียวนเวียนอยู่ตามไรผมของหล่อน หากแต่เมื่อริเริ่มสัมผัสรักในวันนี้ ผมกลับรู้สึกว่า หม้ายสาวมิได้มีอารมณ์ร่วมรันจวนชวนสิเน่หาเหมือนก่อน ตรงข้าม แม้หล่อนจะยินยอมพร้อมใจมอบเรือนกายอันน่าเชยชมของหล่อนให้ผมกอดรัดโดยมิได้ขัดขืน หรือถ้าหากผมจะฉวยโอกาสรุกล้ำล่วงเลยไปมากกว่านั้น หล่อนก็คงจะยินยอมพร้อมพลีให้แต่โดยดี
แต่ทว่าเมื่อต้องประสบอากัปกิริยาสงบเสงี่ยมเจียมนวลราวกับมีวาระซ่อนเร้นของหล่อนเข้าเช่นนั้น อีกทั้งถ้อยวาจาที่หล่อนเอื้อนเอ่ยออกมาแต่ละคำ ก็ชวนให้จิตใจของผมซึ่งมักจะอ่อนไหวง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องพลันชะงักและแปรผัน อารมณ์ใคร่จากไฟปรารถนาของตนก็มอดลง จากความมุ่งมาดในรสรักด้วยมนต์เสน่หา ก็กลับกลายย้ายมาเป็นความหลงใหลด้วยใจปอง
อา - นี่เราเกิดหลงรักหม้ายสาวขึ้นมาแล้วจริงหรือ?
"สาวบัว"
"จ๋า"
"สัญญาว่าจะรอจนกว่าผมจะเรียนจบและสอบบรรจุเข้าทำงานนะ"
ผมกระซิบเสียงแผ่ว หม้ายสาวหมุนร่างหันมาสบตาผม
สายตาเยือกเย็นอันบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจของหล่อนทิ่มทะลุเข้ากลางทรวง จนผมรู้สึกเหน็บหนาวและสั่นสะท้านไปทั้งกาย
**********************************
* อาด = กระสัน รัญจวน
Create Date : 20 มีนาคม 2554 |
Last Update : 23 มีนาคม 2554 0:16:48 น. |
|
27 comments
|
Counter : 1374 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: KeRiDa วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:5:40:36 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:8:04:26 น. |
|
โดย: diamondsky วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:20:48:42 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:4:39:42 น. |
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:21:32:52 น. |
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:21:34:36 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:23:38:27 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 23 มีนาคม 2554 เวลา:4:41:24 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 24 มีนาคม 2554 เวลา:4:53:36 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 24 มีนาคม 2554 เวลา:6:17:56 น. |
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 24 มีนาคม 2554 เวลา:15:57:06 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 24 มีนาคม 2554 เวลา:17:30:29 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 25 มีนาคม 2554 เวลา:5:07:06 น. |
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 25 มีนาคม 2554 เวลา:9:34:04 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:5:56:23 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:15:58:19 น. |
|
โดย: หลวงเส วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:19:23:30 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 27 มีนาคม 2554 เวลา:6:11:16 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 28 มีนาคม 2554 เวลา:6:10:49 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 28 มีนาคม 2554 เวลา:22:33:55 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 29 มีนาคม 2554 เวลา:8:32:53 น. |
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 29 มีนาคม 2554 เวลา:10:11:21 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 30 มีนาคม 2554 เวลา:4:41:42 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 30 มีนาคม 2554 เวลา:14:55:03 น. |
|
โดย: KeRiDa วันที่: 30 มีนาคม 2554 เวลา:17:34:32 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 1 เมษายน 2554 เวลา:15:25:57 น. |
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 1 เมษายน 2554 เวลา:16:14:09 น. |
|
| |
|
หลวงเส |
 |
|
 |
|
วันแรกของสัปดาห์หรือยังค่ะ