|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๒
ตอน : บทที่ ๒ แม้เวลาจะล่วงเลยมานับเดือน แต่ทว่าเหตุการณ์ปิดล้อมสังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนผู้บริสุทธิ์ภายรั้วในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ก็อาจจะยังเป็นที่โจษจันกันอยู่บ้างตามในเมือง หรือแถบชนบทที่ข่าวสารต่าง ๆ แพร่กระจายไปถึง หากแต่บัดนี้ผมกำลังซุกตัวลบล้างแผลใจที่เกิดจากผลพวงของเหตุการณ์นั้นอยู่กลางป่าลึก
ที่นี่ไม่มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน ไม่มีสภากาแฟให้นั่งถกเถียงการเมือง ข่าวสารที่พอจะผ่านหูบ้างก็อาศัยวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ทับนอนของเราเครื่องหนึ่งเท่านั้น
เพียงแต่ผมไม่คิดจะสนใจเปิดฟังเหมือนคนอื่น ๆ
เพราะบัดนี้ผมไม่ใช่นักศึกษาหรือประชาชนหัวก้าวหน้าที่ต้องคอยติดตามข่าวสารบ้านเมืองตลอดเวลา
แถมยังคิดรังเกียจที่จะได้ยินเรื่องบ้า ๆ พวกนั้นเสียด้วยซ้ำ เพราะผมไม่อาจลืมว่าา อนาคตของผมต้องพังพินาศก็เพราะไอ้เรื่องการเมืองบ้าบอคอแตกนี่แหละ
สมัยเรียนครูที่วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ก็ครั้งหนึ่งแล้ว ที่ผมก็ถูกกล่าวหาว่าฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ การเรียนต้องหยุดชะงักและจบสิ้นในเวลาต่อมา ครั้นคิดจะแก้ตัวใหม่ที่กรุงเทพฯ ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ผมต้องสูญเสียหญิงคนรักซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในค่ำคืนเกิดเหตุจลาจลล ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
แล้วอย่างนี้จะให้ผมทนฟังเรื่องอัปรีย์พรรค์อย่างนั้นได้ยังไง
ในคืนเกิดเหตุ หญิงคนรักของผมออกจากห้องเช่าไปตามหาผมในม็อบที่เต็มไปด้วยฝูงชนบ้าคลั่งเหมือนสัตว์ร้ายผุดจากนรก
เราสวนทางกัน !
แล้วหล่อนก็หายไป
ก่อนเกิดเหตุในเย็นวันนั้นผมติดตามเพื่อน ๆ ที่เคยเรียนมัธยมในต่างจังหวัดมาด้วยกัน ออกจากห้องแถวบ้านเช่าที่จรัลสนิทวงศ์ ไปร่วมสำแดงพลังต่อต้านการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรีจอมเผด็จการที่ถูกนักศึกษาและประชาชนเดินขบวนขับไล่จนต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ หลังเหตุการณ์นองเลือด ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่บริเวณลานโพธิ ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผมร่วมฟังการอภิปรายโจมตีการทำงานของรัฐบาลในขณะนั้นว่าบริหารบ้านเมืองผิดพลาดยังไงบ้าง โดยเฉพาะกรณีที่ปล่อยให้บุรุษหัวโล้นห่มเหลืองผู้มีชนักปักหลังอย่างพระถนอมเข้ามาลอยหน้าลอยตาในเมืองไทยได้อย่างไร หรือคิดจะปล่อยให้กลับมารื้อฟื้นอำนาจเก่าของเขาอีกครั้ง
ผมยืนฟังพวกนักศึกษาที่เป็นแกนนำบนเวทีผลัดกันอภิปรายเรื่องราวเหล่านั้นสลับกันไปจนถึงสามทุ่ม จึงคิดว่าตนคงต้องกลับเสียที
เป็นห่วงสาวบัวที่ต้องอยู่ห้องเช่าคนเดียวก็เป็นห่วง และที่สำคัญผมเกรงเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงคืนนี้จะบานปลายซ้ำอีก
เพราะผมสังเกตการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันอยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แถมยังมีท่าทีแปลก ๆ ไม่ผิดกับท่าทีของพวกนักศึกษาบางกลุ่มที่แฝงตัวเข้าไปก่อเหตุเผาจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยครูที่นั่น
เพราะครั้งนั้นผมก็ไปร่วมชุมนุมประท้วงกับเขาด้วย
เพียงแต่โชคดีที่เมื่อเกิดเหตุลุกลามบานปลายจนกลายเป็นจลาจลย่อย ๆ ผมไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
ผมชิ่งออกมาเสียก่อนในเสี้ยวเวลาคาบลูกคาบดอกชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ผมจึงไม่ต้องสูญเสียสิ่งใดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากแต่เที่ยวนี้การณ์กลับไม่เป็นไปเหมือนเก่า เพราะแม้ผมจะกลับออกมาจากม็อบที่ธรรมศาสตร์ได้ทัน แต่หญิงม่ายคู่ชีวิตของผมกลับออกไปตามหาผมที่นั่นตรงเวลาที่เขาเปิดการกวาดล้างผู้ที่ปราศจากอาวุธต่อสู้เข้าพอดี
"อีบัวมันคิดยังไงของมันนะ.." ไอ้หมึกเพื่อนผมพูดขึ้น ขณะเราหยุดพักเหนื่อยกันที่หน้าเหมือง "ทางหนีทีไล่จะเป็นยังไง... จะมีเส้นทางหลบหนีอยู่ตรงไหนบ้างก็ยังไม่รู้ แล้วมันเสือกออกไปตามหามึงทำไมกัน เออ-กูช่างคิดไม่ออกเสียจริง ๆ "
"คนอย่างมึงไม่เคยมีรัก จะไปรู้อะไร" ไอ้พริ้งขัดขึ้นก่อนจุดบุหรี่ใบจากสูบแล้วพ่นควันโขมง
"ถุย! ไอ้หัวทอ-แล้วมึงล่ะ เคยมีเมียกับเขากี่คน" ไอ้หมึกหันมาด่าเพื่อนของมัน "ขนาดคิดจะไปเกาะแกะอีหมอนเข้าหน่อย ก็โดนมันด่าเปิง ไอ้หัวทอเอ้ย-ยังมีหน้ามาคุย"
ไอ้พริ้งก้มมองพื้นซ่อนอาย แต่ทว่ายังไม่ยอมลดราฝีปาก
"อ้าว มึงอย่านอกประเด็นซิ" มันพูด "กูหมายถึงอีบัว-มันคงเป็นห่วงไอ้นุ้ยมากเลยออกตามหา เพราะไม่คิดว่าดินแดนที่เต็มไปความเจริญอย่างกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในเขตรั้วสถาบันการศึกษาชั้นสูง จะมีสิ่งอันตรายซุกซ่อนยิ่งกว่าป่าดงดิบบ้านเรานะสิ"
"ไอ้พริ้งพูดถูกแล้ว"
พี่สงัด เพื่อนผู้ซึ่งอาวุโสที่สุดในหน้าเหมืองของเราเห็นด้วยกับความคิดของมัน แกพูดต่อไปว่า "เพราะอีบัวมันรักผัว มันจึงออกตามหา ก่อนหน้านั้นมันอาจจะนั่งฟังข่าวหรือนั่งดูข่าวโทรทัศน์แล้วเกิดลางสังหรณ์ หรืออาจจะรับสัญญาณอันตรายบางอย่างได้ด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ใสซื่อของตนขึ้นมา มันก็เลยเป็นห่วงไอ้นุ้ย คนเราถ้าลงได้รักเสียอย่าง จะบุกน้ำลุยไฟ เหยียบปากเสือปากเข้ข้ามไปอีกฝั่ง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าหวั่นกลัวอะไรทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ"
ผมนั่งพิงแท่งหินใหญ่อยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ ๆ ฟังพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุการหายสาบสูญไปของม่ายสาวด้วยท่าทีสงบนิ่ง แม้ภายในใจจะเดือดพลั่กด้วยแรงโทสะที่มีต่อผู้กระทำการชั่วช้าในครั้งนั้นเพียงใดก็ตาม แต่ผมก็ไม่อยากร่วมแสดงความคิดเห็นกับพวกเขา สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ ก็คือสูดลมหายใจลึก ๆ พร้อมสลัดความสร้อยเศร้าที่เกิดจากการสูญหายของหญิงคนรักให้หลุดไป
เพียงแต่ไม่รู้เวรหรือกรรม เพราะยิ่งคิดสลัดมันออกไปเท่าไร่ ผลสะท้อนกลับมา ก็คุกคามจิตใจผมรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ภาพสาวบัวที่ปรากฏต่อหน้าผมสมัยก่อน ลอยมาสัมผัสสายตาด้านในอย่างไม่เว้นว่าง
แต่ละภาพแต่ละตอนที่สลับสับเปลี่ยนกันมาปรากฏ ล้วนแต่อยู่ในช่วงอารมณ์รักหวานชื่น ชวนให้ถวิลถึงทั้งนั้น
ภาพรักเราสองที่โตนนกอาบซึ่งเป็นน้ำตกสายใหญ่ภายในป่าลึกแห่งนี้้ ก็เป็นอีกภาพที่ประทับอยู่ในใจผมจนมิอาจรื้อถอน หรือลบร่องรอยนั้นให้หมดสิ้นลงได้
วันหนึ่ง ขณะนั้นเราสองคนหยุดพักงานเพราะหุ้นส่วนเดินทางออกไปขายแร่กันที่ตะกั่วป่า ปล่อยเราสองอยู่กันตามลำพัง ป่าแห่งนั้นจึงไม่ต่างสถานวิมานแมน เราชวนกันไปเก็บผักป่า และผมบอกสาวบัวว่ารู้สึกร้อน อยากลงไปลอยคอเล่นน้ำคลองให้สุขใจสักหน่อย
สาวบัวจึงว่า "งั้นเราไปอาบน้ำตกกันเถอะ"
"โอ-จริงสิ" ผมร้องขึ้นอย่างดีใจ ก่อนชูผักในกำมือขึ้น และบอกหล่อนว่า "แต่เราต้องกลับไปที่ทับนอนกันเสียก่อน เอาผักพวกนี้ไปเก็บ แล้วก็เอาสบู่กับยาสระผมมาด้วย ผมจะสระผมให้บัว"
"จ้า-ที่รัก บัวก็ว่าจะสระผมให้คนป่าบางคนซะหน่อยเหมือนกัน หมู่นี้เวลานอนใกล้รู้สึกเหม็นสาบเส้นผมของเขายังไงไม่รู้"
สุดที่รักของผมยืนพูดยิ้มยั่วอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมอดใจไม่ไหว ต้องรีบคว้าเรือนกายอันน่าทะนุถนอมของหล่อนมาแนบกอด สูดดมแก้มหอมจนฉ่ำใจจแล้วจึงปล่อยให้หล่อนออกเดินนำหน้าผมกลับไปทับนอน
ในอดีตที่ผมกับสาวบัวยังคงดื่มด่ำรสรักกกันนอยู่ในป่าแห่งนี้ โตนนกอาบเป็นที่ที่เราชอบชวนกันไปเล่นน้ำบ่อยมาก
นอกจากความใหญ่โตโอฬารของสายน้ำตกที่พุ่งลิ่วลงมาจากร่องผาสูงเบื้องโน้นแล้ว รอบ ๆ บริเวณสองฝั่งลำธารที่ก่อกำเนิดไปจากสายน้ำตกแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ร่มรื่นชื่นสุขด้วยแมกไม้นานาพรรณ เสียงนกนกร้องอยู่บนเขาสูง และนกตัวเล็ก ๆ ขนสวย ๆ บินมากินน้ำเกสรดอกไม้อยู่ใกล้ ๆ ก็เสริมสร้างความสดชื่นแก่เราสองคนไม่น้อยเช่นกัน
"นุ้ย-บัวไม่อยากออกไปจากป่านี้เลย บัวอยากอยู่กับนุ้ยสองคนที่นี่ไปนาน ๆ นานเท่า ไหร่ก็ได้ ถ้าหากมีนุ้ยอยู่ด้วย บัวก็มีความสุขจนเกินพอ สิ่งอื่นที่เขาอยากมีอยากได้กัน บัวไม่นึกปรารถนาจะได้สักสิ่งเดียว"
นี่คือความมักน้อยของหล่อนที่ฝากรอยประทับใจลงกลางใจผมได้แนบแน่นยิ่งนัก
แม้ว่าจริง ๆ แล้วนอกจากปัจจัยสี่ คนเราย่อมมีสิทธิ์ปรารถนามากไปกว่านั้นบ้าง แต่ถ้าหากเราไม่หมั่นปลูกฝังความรู้จักพอไปเสียแต่ต้น หนทางชีวิตที่อาจมีอันตรายจากสิ่งคาดหวังนี้ดักรออยู่ข้างหน้า เราก็คงจะฝ่าฟันไปได้ยาก ความมักน้อยเท่านั้นที่เปรียบได้กับอาวุธพกติดตัว
"เมื่อก่อน ผมเคยมีความหวังว่าจะได้เป็นครูสอนพวกเด็ก ๆ อยู่ในโรงเรียน เลิกเรียนก็กลับบ้าน ไปอยู่กับบัว เสาร์-อาทิตย์ โรงเรียนปิดก็แผ้วถางผืนป่าข้างเรือนปลูกผักปลูกหญ้าไว้กิน ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อ..."
ผมเคยพูดกับหญิงคนรักอย่างนี้ เพื่อให้หล่อนเกิดความมั่นใจ ว่าจริง ๆ แล้วผมก็ไม่ใช่คนทะเยอทะยานอะไรนัก ชีวิตผมปรารถนาความเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง
"บัวมั่นใจว่าเราสองคนคงมีความสุขมาก ๆ เมื่อวันนั้นมาถึง"
"แต่ตอนนี้ผมหมดโอกาสที่จะได้เป็นครูแล้วนี่" ผมว่า
"ได้เป็นแล้วยังไง ไม่ได้เป็นแล้วยังไง" ม่ายสาวของผมกล่าวย้อน "แต่แรกบัวยังคิดหวั่น ๆ ด้วยซ้ำ ชาตินี้อาจมีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมทุกข์สุขกับครูหนุ่มอย่างนุ้ย แต่ลึก ๆ ในใจแล้ว บัวไม่ค่อยเชื่อมั่นหรอกว่าเราจะไปกันได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะบัวก็แค่หญิงชาวบ้านฐานะยากจนคนหนึ่ง มีสามีเป็นครู เพียงแต่สักวันอาจเกิดปัญหาขึ้นมาก็ได้ ถ้าหากวันใดวันหนึ่งเขาเกิดฉุกคิดขึ้นมาว่าที่แท้เราคือตัวถ่วงความเจริญ..."
"อ้าวเฮ้ย" ผมแกล้งทำเป็นเสียงดัง "ถ้างั้นบัวก็แช่งผมนะสิ"
"แช่งอะไร?"
"แช่งให้ผมเรียนครูไม่จบไง ฮา ฮา "
" บ้า !" หล่อนค้อน "ชอบคิดตลกอยู่เรื่อย เรายิ่งใจไม่ดีอยู่ด้วย"
"โธ่-ทูนหัว" ผมจับมือหล่อนมากุมไว้ "รู้ใช่ไหม - ที่บ้านผมมีทั้งสวนเงาะ สวนยาง แล้วจะไปกลัวอะไร"
"นุ้ยไม่ได้เป็นคนปลูกสร้างเองสักหน่อย"
"แต่ผมเป็นลูก" ผมว่า "แถมเป็นลูกชายคนเดียวและคนโตเสียด้วย สมบัติพัสถานทั้งหลายที่พ่อแม่สร้างไว้ ท่านจะยกให้ใคร ถ้าไม่คิดจะยกให้ลูกของตน อีกอย่าง-ผมมีกันแค่สามคนพี่น้องเท่านั้น ถึงพ่อแม่จะแบ่งสมบัติให้เท่า ๆ กัน ก็รับรองได้ว่า ชาตินี้พวกเราก็จะต้องพอมีพอกินไม่เดือดร้อนเด็ดขาด"
ไม่วายที่ผมจะพูดจาหว่านล้อมให้หล่อนรู้สึกเบาใจขึ้นมาอย่างไร หากแต่หญิงบัวก็คือหญิงบัววันยังค่ำ...
นี่คือสาเหตุที่ทำให้เราดิ้นรนขึ้นไปเสาะหาความรู้เป็นบันไดนำพาชีวิตไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยลำแข้งลำขาของตนกันที่กรุงเทพฯ ดินแดนที่ใครหลายคนพากันเชื่อว่าเป็นเมืองฟ้าอมร ทั้งที่จริง ๆ แล้วที่นั่นเต็มไปด้วยสารพัดสัตว์ ที่ออกอาละวาด และแอบหากินอยู่บนความแร้นแค้นของบุคคลอื่น
และนั่นก็คือชนวนชักนำให้หล่อนต้องหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
"กูก็เตือนมันแล้ว"
ผมได้ยินพี่สงัดถอนลมหายใจ และเอ่ยปรารภกับเพื่อนที่นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นด้วยน้ำเสียงที่เบาแสนเบา จากนั้นก็ชวนกันลงมือทำงานต่อ...
เหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของฝ่ายการเมืองที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนิศิษย์นักศึกษา เพราะหลังจากนั้นดูเหมือนเวทีกลางแจ้งของนักศึกษาจะถูกรื้อทำทายจนหมดสิ้น เป็นเหตุให้พวกเขาหมดทางเลือกที่จะต่อสู้กันทางความคิดอย่างเปิดเผย พวกเขาจึงจำต้องแสวงหาทางเลือกใหม่
นักศึกษาหลายคนที่รอดตาย และรอดจากการถูกติดตามจับกุม ก็ได้ทิ้งเมืองหนีเข้าป่าไปจับอาวุธต่อสู้กับความอยุติธรรมร่วมกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย เปิดประวัติศาสตร์การต่อสู้หน้าใหม่ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์
ค่ายคูการสู้รบและซ่องสุมฝึกกำลังพลของทหารปฏิวัติที่มีอยู่เดิม ต้องทบทวนจัดการการบริหารกำลังพลกันอย่างหนัก เขตงานต่าง ๆ ถูกวางแผนการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติมวลชนออกมาหลายรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับกองกำลังที่เพิ่มมาใหม่ของสหายนักศึกษา ซึ่งล้วนแต่เป็นชนชั้นปัญญาชนที่สามารถจะช่วยเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ให้เข้าถึงมวลชนที่เป็นแนวร่วมได้ดีขึ้น ดังนั้น สหายนักศึกษาเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจึงได้รับการจัดตั้งให้เป็นสหายนำในการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อ เคลื่อนไหวใกล้ชิดมวลชนในทุกพื้นที่ เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ปฏิวัติให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
ที่ดงเขายาของเรา เวลานี้ไม่มีใครกลัวคอมมิวนิสต์กันอีกแล้ว ภาพชาวนนาลากแอกจูง ไถไถนาที่รัฐบาลบาลในอดีตเคยสร้างภาพหลอนเอาไว้ บัดนี้มันใช้ไม่ได้อีกแล้ว
ชาวเหมืองป่าดงเขายารู้แล้ว ว่าแท้ที่จริงลัทธิคอมมิวนิสต์คืออะไร
********************
Create Date : 20 มกราคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 21 มกราคม 2556 17:35:44 น. |
Counter : 732 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
หลวงเส |
|
|
|
|