ถ้าขจัดความกลัวออกไปได้ ไม่นานความสำเร็จก็จะตามมา

<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
26 พฤศจิกายน 2555
 

นวนิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 27




การเรียนแบบเดินหาห้องเรียนของผมรอบนี้ เป็นปัญหาสำหรับผมอย่างมาก เพราะผมไม่ได้เข้าเรียนอย่างปรกติเหมือนคนอื่น แต่เป็นการเรียนซ่อมรายวิชา ต้องพลอยห้องเรียนรุ่นน้องปีที่แล้วที่เขยิบขึ้นมาอยู่ปีที่ 2 ในปีนี้ จึงต้องสลับห้องสลับวิชากันวุ่นวาย ตารางเรียนวิชาต่าง ๆ ที่ผมยังไม่ได้เรียน ไม่ระบุตรงกับห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่งโดยเฉพาะ สมมติเช้านี้ ผมจะต้องเรียนสังคม 1 ผมก็ต้องไล่จัดตารางเรียนเอาเองว่า สังคม 1 ชั่วโมงแรกมันตรงกับชั้นไหน ซึ่งตอนนั้นเขาเรียกกันเป็น F... F1 F2 F3 ต่อกันไปเรื่อย จนถึง F 21 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย ผมก็ต้องดูว่า อ้ายสังคม 1 ของผมนี้ ชั่วโมงแรกในรอบเช้ามันจะไปตรงกับ F ไหน แล้วผมก็เดินตามไปเรียนห้องเดียวกับเขา

เขาเรียกว่าพวก "ทองพลอย"

บางวันเจ้าทองพลอยได้เรียน แค่ 3-4 วิชาเท่านั้น เพราะชั่วโมงเรียนมันซ้อนกัน จัดยังไงก็จัดไม่ลง แถมอุตส่าห์วิ่งเต้นขอไปเรียนกับพวกภาคค่ำด้วย ก็ไม่อาจเข้ารูปเข้ารอย

ปีนี้ผมจะเรียนไม่จบหลักสูตรแน่นอน อย่างน้อยต้องบวกเพิ่มอีกเทอม ไม่นับเทอมที่ต้องออกฝึกสอนอีกต่างหาก ก็เลยทำให้อ่อนล้าไปในที่สุด

เดือนแรกผ่านไปอย่างโหวงเหวงในอารมณ์ แม้ผมจะไม่ใช่คนซีเรียสง่ายดายเหมือนผู้อื่น แต่เมื่ออยู่ในห้องเรียนก็มิอาจพูดจาเล่นหัวกับเด็กรุ่นน้องได้สนิทใจนัก โดยเฉพาะพวกที่ค่อนไปทางขี้มัน(เห็นแก่ตัว) เวลาทำกิจกรรมก็แอบไปมุบมิบทำกันแต่พวก ทำให้ผมหากลุ่มยาก เพราะกะล่อนไม่เป็น มีอะไรก็เว้ากันซื่อ ๆ โผงผาง บางทีก็ไปขัดหูเขา โต้แย้งก็สู้เหตุผลผมไม่ได้ ยิ่งกลายเป็นกำแพงปิดกั้นกันมิตรภาพหนักขึ้น นาน ๆ เข้า ก็รู้สึกจะกลายเป็นแกะขาวไปเสียแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ผมไม่สุงสิงกับใครเลย ไม่ใช่เข็ด! แต่ดู ๆ แล้วพวกเขาค่อนข้างจะสุดโต่งไปสักหน่อย อ้ายที่ซ้ายก็ซ้ายอย่างบ้าระห่ำ อ้ายที่ขวาก็ขวาตกขอบ อ้ายที่เฉย ๆ เห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง... ผมเข้าห้องเรียนสายไปซักสองสามนาที ถามมันว่าสมุดลงชื่ออยู่ที่ไหน? ส่งอาจารย์หรือยัง? มันก็ไม่บอก...

สมัยนั้นการลงชื่อในสมุดลงชื่อประจำชั่วโมงเรียน แต่ละชั่วโมง แต่ละอาจารย์ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาจารย์แต่ละท่านจะนำไปพิจารณาเป็นส่วนประกอบในการตัดเกรด

ว่ากันว่า สมัยนั้นใครเรียนครูก็ขอให้เข้าเรียนทุกชั่วโมง อย่าโดดเรียน โอกาสที่จะติด E หรือสอบไม่ผ่านแทบไม่มีเลย

จริงเท็จอย่างไรผมไม่ยืนยัน เพราะผมไม่เข้าใจระบบตัดเกรดของอาจารย์มากนัก อีกทั้งไม่เคยวิ่งขอเกรดกับเขาเลยสักครั้ง

พอย่างเข้าเดือนที่สอง ความอดทนในการเดินเรียนร่วมกับพวกน้อง ๆ ก็ชักจะหมดลงไปเรื่อย แม้จะเอาทางพระเข้าข่มก็เอาไม่อยู่ เมื่อตอนเรียนอยู่ปีแรก พอมีเวลาว่างก็มักจะแวบเข้าห้องสมุดหาหนังสืออ่านใฝ่หาความรู้ แต่ตอนนี้ไม่อย่างนั้น... พอว่างก็มักจะแวบเข้าเมือง ไปดูหนัง... รอบเที่ยง รอบบ่าย รอบดึก ดูหมด ตั้งแต่หนังไทยยันหนังฝรั่ง หนังจีน กระทั่งหนังอินเดีย... ดูไปดูมา ก็มีอีแม่สาวเดินตั๋วหน้าตาจิ้มลิ้มรายหนึ่งคอยยักตั๋วไว้ให้ พอหนังในโรงของหล่อนเปลี่ยนโปรแกรม เราก็เจอหน้ากัน เป็นเหตุให้อ้ายเสือนุ้ยชักจะอยู่ วค. ไม่ติด ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องนั่งรถสองแถวเข้าในเมือง บางครั้งก็ขอให้หล่อนลางาน ชวนกันไปดูหนังโรงอื่น... และจบลงที่โรงแรม

กระทั่งเดือนสุดท้ายสอบปลายภาคเรียน เสือนุ้ยติด E สี่วิชารวด!

คราวนี้อย่าว่าแต่ปีครึ่งเลย ต่อให้อีก 2 ปีก็ไม่รู้จะเรียนจบหลักสูตรหรือไม่? เพราะเขากำหนดให้เรียนหลักสูตรละไม่เกิน 4 ปี ถ้าไม่จบก็รีไทร์

ผมก็เลยตัดสินใจแบบโง่ ๆ

ลาออกดีกว่า อย่าอยู่รอให้เขาไล่ตะเพิดต่อไปเลย เสียยี่ห้อ


ยื่นใบลาออกและได้ใบสุทธิชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คืนจากแผนกทะเบียนและวัดผลเสร็จ ก็เป็นอันเสร็จพิธี นายนุ้ยก็หมดสภาพจากนักศึกษา กลายเป็นสุนัขสองเท้าเต็มขั้น สะพายกระเป๋าใบย่อม ๆ สองใบ กับขลุ่ยประจำกายเลาหนึ่งโบกรถเมล์กลับบ้าน... ทิ้งวิทยาลัยครูฯสถานศึกษาที่เคยใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาศึกษามาตั้งแต่เด็ก ๆ กระทั่งเพื่อน ๆ และสาวเดินตั๋วโรงหนังอันเป็นที่รักไว้ข้างหลัง...

ลาก่อน...

ผมบอกลาทุกสิ่งด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำ ต่อไปนี้เราคงต้องกลายเป็นอดีตต่อกันแล้ว แม้ผมยังรักและจะรำลึกถึงอดีตอันขมขื่นนี้อยู่เสมอ และไม่เคยคิดโทษใคร นอกจากตัวผมเอง...ที่เสือกเกิดมาเป็นตัวผม...


พ่อและแม่นั่งน้ำตาคลอเบ้า แต่ไม่ได้กล่าวตำหนิลงโทษลูกชายแม้แต่คำเดียว

"ทำสวนกับพ่อก็ได้" พ่อว่า "ถ้าเราทำให้จริงจัง เมื่อสวนได้รับผล พ่อรับรอง- -แม้แต่เงินเดือนนายอำเภอก็สู้เราไม่ได้"

แต่แม่ไม่เห็นด้วยกับพ่อ

"อายุยังน้อย ถ้าคิดจะตั้งต้นเรียนใหม่ที่ไหนสักแห่งก็ยังไม่สาย"

"ผมอยากขึ้นกรุงเทพฯ" ผมพูด "จะไปเรียนศึกษาผู้ใหญ่ให้จบระดับ 5 แล้วต่อรามฯ"

"จะเข้าเรียน กศน. ทำไมต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ บ้านเราก็มี ไม่ต้องเปลืองค่าใช้จ่าย" แม่ออกความเห็น

"ผมจะพาสาวบัวไปด้วย จะให้เธอเรียนศึกษาผู้ใหญ่ด้วยกันกับผม" ผมบอกเหตุผล "เราจะหางานทำ เพราะศึกษาผู้ใหญ่เขาเรียนกันตอนเย็นหลังเลิกงานถึงสามทุ่ม ถ้าเรียนที่นี่ สาวบัวก็ไม่รู้จะหางานอะไรทำ นอกจากร่อนแร่ในเหมือง ซึ่งมันอยู่ไกล"

"เรื่องนั้นแม่เข้าใจ" แม่ว่า "แต่ถ้าพลาดท่าพลาดทางเข้าอีก คราวนี้แหละได้เอาปิ๊บคลุมหัว"

พ่อหัวเราะ ฮา ฮา

"แล้วตอนนี้คลุมอะไรอยู่ล่ะ เขาว่ากันทั้งบ้าน ว่าไอ้นุ้ยหลงอีบัวจนไม่เป็นอันเรียน"

"ก็มันไม่จริง แล้วเราจะไปฟังเขาทำไม"

แม่ทำตาเขียว โดยไม่รู้ว่าเข้าทางของพ่อพอดี พ่อจึงหันมาทางผมแล้วพูดขึ้นว่า

"เช่นเดียวกัน ไปกรุงเทพฯถ้ามันเรียนไม่จบขึ้นมาอีก ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหัวใคร ไปเถอะลูก พยายามให้เต็มที่ก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็กลับมาบ้าน เรือกสวนไร่นาของเราก็มี มาช่วยกันสร้างช่วยกันทำ จะได้เก็บเงินส่งเสียให้น้อง ๆ ได้เรียนกันต่อไปอีก ส่วนเรื่องที่จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ และทำให้ไม่มีเวลาว่างสำหรับจะเหลวไหล"

ต้นเดือนกันยายน 2519 ผมและสาวบัวก็นั่งรถทัวร์ขึ้นกรุงเทพฯด้วยกัน...

การเดินทางคราวนี้ผมได้เตรียมตัวอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องที่พักในกรุงเทพฯ ก็ได้พูดคุยกับเพื่อน ๆ ที่บ้านส้องไว้ก่อนแล้ว เพราะผมเรียนหนังสือจบชั้นมัธยมต้นที่นั่น เพื่อนร่วมรุ่นของผมหลายคนเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เมื่อเจอกันที่บ้านส้องก็ได้พูดคุยนัดแนะเรื่องที่อยู่ไว้เสร็จสรรพ คือซอยวัดดงมูลเหล็ก ย่านจรัญสนิทวงศ์ ฝั่งธนบุรี

แถวนี้ส่วนมากจะเป็นที่พักของพวกเด็กใต้ที่มาเรียนและมาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ

ผมได้ห้องเช่าเป็นห้องแถวชั้นเดียว พื้นที่ประมาณ 24 ตารางเมตร ที่เพื่อนพวกนั้นติดต่อไว้ให้ เป็นที่พักอาศัยอยู่กับสาวบัว วันแรก ๆ เมื่อพวกเขารู้ข่าวก็แห่มาเยี่ยมเป็นแถว คนไหนเรียนอาชีวะ ก็อยู่ชั้น ปวช. ปีสุดท้าย พวกเรียนมหาวิทยา ก็เพิ่งเป็นน้องใหม่ปีแรก

ตอนนั้น ผมนึกถึงตัวเองแล้วเศร้า เพราะถ้าไม่มีเรื่องบ้า ๆ พุ่งเข้ามาขัดแข้งขัดขาทำให้เป้าหมายของชีวิตเบี่ยงเบน ป่านนี่ก็คงได้แต่งชุดข้าราชการครูโก้หรูสมใจอยากไปแล้ว แต่นี่กลับต้องมาตั้งต้นใหม่ตามหลังพวกเพื่อน ๆ เขาอีก

คิดแล้วท้อเหมือนกัน!

แต่สาวบัวกลับไม่คิดอย่างนั้น หล่อนหัวเราะคิก ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องเรียนหนัง "ต่อไปนี้บัวก็เป็นสาวลงแล้ว"

"อะไรกัน... คนอื่นเขามีแต่สาวขึ้น แล้วนี่จะว่าเป็นสาวลงได้อย่างไร" ผมสงสัย

"อ้าว- ก็เค้าได้กลับไปเป็นเด็กนักเรียนอีกนี่นา ศึกษาผู้ใหญ่ระดับ 3 ก็เทียบเท่าชั้น ม.ศ. 3 ไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นอายุก็น่าจะไม่เกินสิบหกปี เห็นไหมล่ะ บัวสาวลงตั้งห้าปีแน่ะ"

"อ๋อ- -เล่นมุข งั้นดีล่ะ- คืนนี้ผมจะได้เมียเด็ก ฮา ฮา"

สาวบัวอายหน้าแดง หันซ้ายหันขวาคล้ายกับกลัวใครมาได้ยิน เพราะที่นี่ผู้คนพลุกพล่านทั้งวันทั้งคืน เสียงรถยนต์วิ่งอยู่บนถนนดังอื้ออึงตลอดเวลา ผิดกับเหมืองป่าที่เราจากมา ที่นั่นทั้งเงียบสงบ อากาศเย็นสดชื่นหายใจโล่งจมูก ต่างจากที่นี่ราวฟ้ากับดิน

วันสองวันแรก ผมกับสาวบัวก็ออกหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้จำพวกถ้วยจาน หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า กระติกไฟฟ้าสำหรับต้มน้ำร้อนชงกาแฟ กระทั่งมุ้งหมอนสารพัด หมดค่าใช้จ่ายไปพันกว่าบาท ที่เหลือก็ไปเปิดบัญชีธนาคารโดยใช้ชื่อผม

สาวบัวไม่ยอมเป็นเจ้าของบัญชี "ไม่คล่องตัวเหมือนนุ้ย" หล่อนให้เหตุผล

และเราสองคนก็โชคดีเหลือเกิน ที่เผอิญไปเปิดบัญชีฝากเงินกับธนาคารที่มีเพื่อนเก่าซี้ปึ๊กกันมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมด้วยกัน ทำงานเป็นพนักเดินสารอยู่ที่นั่น

เขาชื่อสนธิ ผมเรียกมันว่า "ไอ้สน" เป็นนักมวยเก่า เริ่มชกมวยตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม ตระเวนชกไปทั่ว บางครั้งผมก็ตามไปเชียร์มันด้วย เมื่อชกเสร็จ ลงจากเวทีได้ค่าตัวครั้งละห้าร้อยหกร้อย มันก็เลี้ยงข้าวปลาพวกที่ตามไปจนพุงกาง

บางครั้งเมื่อชกชนะคู่ต่อสู้ นอกจากจะได้รางวัลจากผู้จัดแล้ว แถมได้รางวัลพิเศษจากเซียนมวยที่ชนะพนันอีกต่างหาก กระทั่งจบ ม.ศ.3 มันจึงเข้ากรุงเทพฯ หวังเอาดีทางนั้น แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็สู้ไม่ไหวกับการจ้างล้มมวย มันเล่าว่า จะขัดขืนก็ไม่ได้ เพราะเจ้าของค่ายรับเงินเขาไปแล้ว ในที่สุดเมื่อเจอผู้ใจบุญรับอุปการะและพาไปทำงานอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง มันก็แขวนนวม และหันหลังให้เวทีผืนผ้าใบอย่างเด็ดขาด

"กูก็เพิ่งสมัครเข้าเรียนศึกษาผู้ใหญ่ปีนี้เหมือนกัน มึงสองคนไปสมัครเรียนที่เดียวกับกูก็ได้ กูจะขอใบสมัครมาให้--ตกลงนะ"

สนธิพูดกับผมและสาวบัวด้วยสีหน้าเบิกบาน เพราะดีใจที่จะได้มีเพื่อนไปเรียนด้วยกัน

หลังจากนั้นมันก็เทียวมาเทียวไปที่ห้องพักของผมเป็นประจำ กระทั่งวันหนึ่งผมปรึกษาเรื่องอยากจะได้งานทำ...

ไอ้สนนั่งใช่สมองครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วว่า "เรื่องงานของน้องผู้หญิง น่าจะหาได้ง่ายกว่าของมึง..."

มันพูดแล้วยิ้มกวนตีนจนผมต้องชี้หน้าด่ามัน

"หัวทอ... อย่าบอกนะเว้ย ว่าจะพาเมียกูไปเป็นเด็กเสิร์ฟ"

"ไอ้สัตว์ พูด--banned-- ๆ"

นักมวยเก่าเผลอพูดกรุงเทพฯออกมาชัดถ้อยชัดคำ จนผมนึกขำ

"ยัดแม่ - หวางนี้แหลงข้าหลวงชับเลยนะมึง"

"เออ-ว่ะ กูลืมไป" ไอ้สนยิ้มอาย ๆ "ว่าแต่งานที่กูว่า ค่อนข้างไกลหน่อยนะ แต่เขามีเงินเดือน มีสวัสดิการ ประกันสังคมพร้อม"

"แล้วทำไมกูถึงไปสมัครกะเขาด้วยไม่ได้" ผมสงสัย

"มันเป็นโรงงานเย็บผ้า ที่เขารับเฉพาะผู้หญิงนะซี"

"อ๋อ - -เข้าใจล่ะ" ผมพยักหน้า "แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะรับเมียกู"

"ที่นั่นเป็นโรงงานของลูกพี่เก่าของกู คนที่กูเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ แกมีหุ้นใหญ่อยู่ในนั้น เมื่อก่อนกูก็เคยช่วยดูแลคนงาน-แล้วก็ช่วยขับรถให้แกอยู่พักหนึ่ง แต่แม่-ง วัน ๆ มันว่างซะจนไม่ได้หยิบจับอะไรเลย กูเลยเบื่อ แล้วขอให้แกช่วยหางานให้ใหม่... ก็ได้งานเดินสารของธนาคารนี้แหละ สมใจกูเลย... แม่-ง เดี๋ยวซิ่งไปโน่น เดี๋ยวซิ่งมานี่... ทั้งวัน-ไม่ได้อยู่นิ่ง วันนั้นโชคดีนะที่มึงไปเจอ เพราะได้จังหวะว่างนิดหนึ่ง... ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่างหวังได้เจอ นอกจากนัดแนะไว้ก่อน"

"งั้นก็วานช่วยเป็นธุระให้เมียกูหน่อยละกัน-เพื่อน"

ผมยื่นมือขวาออกไป

"โอเค เพื่อน"

เราสองคนจับมือและเขย่ากันอย่างแรง

******************************************************




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2555
0 comments
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2555 19:07:06 น.
Counter : 971 Pageviews.

 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

หลวงเส
 
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add หลวงเส's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com