นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 24
"ดูท่าทางพี่คนนั้นน่าจะเป็นสหายนำ" สาวบัวหมายถึงพี่โสภาส หล่อนปรารภขณะชวนกันเดินเก็บผักป่าริมคลองตอนขากลับ "แต่ถ้านับระยะเวลาที่ออกจาก วค. พร้อมกับนุ้ย เพียงไม่ถึงปีแกได้รับมอบภารกิจจากพรรคสูงระดับนั้นแสดงว่ามันสมองและความสามารถเข้าขั้นทีเดียว" ผมเด็ดยอดจิกอวบอ้วนสีน้ำตาลเข้มสำหรับเอาไปจิ้มน้ำพริกได้มากำมือหนึ่ง ส่งให้สาวบัว พูดให้หล่อนฟังว่า "เท่าที่รู้ ทุกคนที่ ขึ้นเขา ต้องศึกษาทฤษฎีและแนวทางการปฏิวัติในโรงเรียนการเมืองการทหารให้จบหลักสูตร จึงจะได้รับมอบภารกิจเคลื่อนไหวตามสภาพ และตามถนัดของแต่ละคน แต่พี่โสภาสมีพื้นฐานการศึกษาด้านลัทธิการเมืองมาพอสมควร จึงน่าจะผ่านหลักสูตรที่ว่าในเวลาอันรวดเร็ว และน่าจะได้รับมอบภารกิจด้านมวลชนมากกว่าภารกิจด้านการรบ...""เหมือนอย่างนุ้ย ถ้าเข้าป่าจับปืนก็น่ากลัวจะอยู่ฝ่ายนำในไม่ช้าเหมือนกัน"ผมหัวเราะ "ผมมันสุขนิยม ขืนเข้าไปยุ่งด้วยก็รังแต่จะทำให้สภาพกองทัพของเขาตกต่ำเสียเปล่า ๆ ว่าแต่บัวไม่กลัวคอมมิวนิสต์หรือ? เห็นนั่งฟังเฉย ไม่สะทกสะท้านเลย""เมื่อก่อนนู้นก็กลัว แต่หลังจากซึมซับสิ่งต่าง ๆ ที่นุ้ยพูดให้ฟังมากเข้า ก็ไม่นึกกลัวเลย เพราะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร""เก่งมาก" ผมว่า "แต่เรื่องที่เราไปพบพวกเขาวันนี้ยังไม่ควรบอกให้ใครรู้ ปล่อยไปตามธรรมชาติ ถ้ามีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจริง เราควรอยู่เฉย ๆ ไปก่อน""บัวก็ว่าอย่างนั้น" หล่อนคล้อยตามก็อย่างที่บอก แม้ผมจะศรัทธาในแนวทางของคอมมิวนิสต์อยู่บ้าง แต่ลึก ๆ แล้วผมไม่เชื่อว่าเมื่อพวกเขาปฏิวัติล้มล้างระบอบทุนนิยมชนชั้นสำเร็จ ปัญหาความเลื่อมล้ำในสังคมมนุษย์จะหมดไป เพราะผมคิดว่ามนุษย์ปุถุชนนั้นเต็มไปด้วยกิเลส เงื่อนไขและแรงจูงใจที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งในรูปแบบอื่นในอนาคตยังมีอีกมากที่พวกเขายังเข้าไม่ถึง และสลัดออกไปไม่ได้ เรากลับมาถึงทับก่อนพลบค่ำ ได้ผักหญ้ามาพอสมควร ไม่มีใครสงสัยเรื่องกลับผิดเวลา เพราะลุงทองและเพื่อน ๆ ของผมกำลังตั้งก๊วนกัญชากันอย่างเพลิดเพลิน เสียงเพลงสลับกับรายการโฆษณาสินค้าจากลำโพงทรานซิสเตอร์ที่วางอยู่ใกล้พวกเขาดังลั่น ป้าพัวนั่งตะบันหมากกุก ๆ อยู่ด้านอก หญิงหมอนตำเครื่องแกงโปก ๆ อยู่ในครัว ท่าทางพวกเพื่อน ๆ ของผมจะเอาเนื้อรมควันมาฝาก เพราะเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา มีอีเก้งตัวเขื่องพลาดท่ามาติดแร้วไอ้หมึกตัวหนึ่ง หลังจากเอาเนื้อสดแจกจ่ายไปยังพวกชาวเหมืองที่สนิทสนมกันในวันนั้นครบถ้วนทุกคนแล้ว ที่เหลือพวกมันก็ย่างรมควันเก็บไว้ผมกับสาวบัวเดินตามหลังกันขึ้นกระไดขนำ สาวบัวเดินหายเข้าไปในครัว ผมหย่อนตัวนั่งฟังพวกขี้กัญชาพุดคุยกันข้าง ๆ วง"ลองสักบ้องไหมนุ้ย" ไอ้พริ้งยื่นบ้องกัญชาส่งให้"ตามสบายเถอะ ของหายาก" ผมว่า"ต่อไปถ้าแร่ในป่านี้หมด เราถางไร่ปลูกกัญชากันดีกว่า" ลุงทองเปิดประเด็น "แถวนี้ดินดี กุหลีเท่าหัวแม่มือแน่นอน" ไอ้บองหลาฝันไกล "ว่าแต่เวลาขนออกไปขายนี้ซิ จะทำอย่างไร?" ลุงทองปรารภขึ้นอย่างจริงจัง "เพราะถ้ารอดไปได้รวยแน่ แบกขนก็ง่าย ไม่หนักเหมือนแร่ ราคาก็แพงกว่า แม่-ง-แร่หนักอุบาทว์-โลละเจ็ดแปดสิบ แต่กัญชาเบากว่า--โลตั้งร้อย""เฮ้ย!" ไอ้หมึกร้องขึ้น แล้วมันก็หัวร่อก๊าก "มันหนักเท่ากันแหละลุง กิโลหนึ่งก็สิบขีดเท่ากันแหละ นุ่นกับเหล็ก หรือกัญชากับแร่ กิโลละสิบขีดเท่ากันหมด""เออ จริง" ลุงทองหัวเราะแหะ ๆ ในวงกัญชาก็มักมีมุขขำ ๆ ให้ได้หัวเราะกันเรื่อย โลกของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุขสดชื่นอย่างน่าอิจฉา ถ้าไม่ติดว่าโทษที่จะเกิดขึ้นภายหลังจะรุนแรง น่ากลัว ควันกัญชาก็ช่างเป็นสิ่งที่น่าพิศสมัยอยู่บ้างเหมือนกัน ผมเคยสูบหลายครั้ง แต่ละครั้งช่างเพลิดเพลิน สมองโล่ง มองสิ่งรอบข้างสวยงามสดใส เวลาเปิดวิทยุหรือแผ่นเสียงนอนฟังเพลง รู้สึกเคลิบเคลิ้มราวกับเห็นปากนักร้องมายืนร้องให้ฟังอยู่ใกล้ ๆ ทำให้มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แต่ครั้นได้รู้ถึงพิษร้ายของมันก็ต้องใส่เกียร์ถอย... กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ ที่ออกฤทธิ์หลายอย่างต่อระบบประสาทส่วนกลาง คือทั้งกระตุ้นประสาท กดและหลอนประสาท สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในกัญชามีหลายชนิด แต่สารที่สำคัญที่สุด มีฤทธิ์ต่อสมองและทำให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป คือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol) มะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่มาจากพิษกัญชา ทรมานและน่ากลัวทั้งนั้น และที่สำคัญกัญชามีพิษร้ายต่อจิตประสาท ทำให้สมองเลอะเลือน เป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุด ภายหลังจึงพยายามหลีกเลี่ยง ใครชวนก็มักบอกปัด จนกระทั่งระยะหลัง ๆ จะไม่ค่อยมีใครชวนอีกเลย ได้เวลาเย็นย่ำจวนเข้าไต้เข้าไฟ ริ่งเรไรในป่าส่งเสียงระงมทั่วทุกทิศทาง พวกคอกัญชายังคงหมุนเวียนสูบบ้องท่องสวรรค์ของพวกเขาอย่างรื่นรมย์ พร้อมทั้งเสาะหาเรื่องราวตลกขบขันมาพูดคุยหัวร่อกันคิกคัก จนทำให้ผมพลอยหัวเราะไปด้วย แต่พอถึงบทจะเงียบ พวกเขาก็พากันนั่งตาปรือ มองเปลวไฟตะเกียงน้ำมันก๊าดที่วางอยู่กลางวงแล้วยิ้ม ราวกับพบเห็นลายแทงขุมทรัพย์ผุดพรายอยู่ในนั้น จนเมื่อเพลงมาร์ชต้นตระกูลไทยซึ่งเป็นเพลงไตเติ้ลก่อนข่าวต้นชั่วโมงกระหึ่มขึ้นจากลำโพงทรานซิสเตอร์ ไอ้บองหลานั่งใกล้ ๆ ทำท่าจะเอื้อมมือไปปิด แต่ผมห้ามไว้"ยัดแม่ ฟังแต่เพลงกับนิยาย มันถึงได้โง่เหมือนควายเพราะอะไร" ผมด่ามัน"รำคาญ" บองหลาเถียง "หัวทอ ยิ่งข่าวการเมืองกูยิ่งเกลียดเหมือนขี้... แม่-ง แต่ละตัว- -ตัวเองดีอยู่คนเดียว คนอื่นเปรตทั้งเพ... ยัดแม่ มึงชอบฟังหรือ เรื่องเปรต ๆ พรรค์นั้น""ก็ฟังไปพลางด่าแม่พวกมันไปพลางซี้ หนุกดี" ผมว่า"หัวทอ ฟังนกการ้องฉาวอยู่ในป่ายังเพราะหูกว่าเสียงเปรต ๆ พรรค์นั้นเป็นไหน ๆ " ไอ้บองหลาหันไปมองวิทยุถ่านแห้งเครื่องนั้น แล้วทำจมูกฟุตฟิตด้วยความรังเกียจ คล้ายกับว่ามีของเหม็นตั้งอยู่ตรงหน้า กระทั่งผู้ประกาศข่าวเริ่มอ่านข่าวส่งกระจายเสียง ทุกคนจึงนั่งเงียบ "...เมื่อเวลาสิบห้านาฬิกาสามสิบนาที ของวันนี้ ผู้สื่อข่าวกรมประชาสัมพันธ์ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี รายงานว่า ได้เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังผสมของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตระเวนชายแดนหน่วยที่ 14 บ้านสองพี่น้อง อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับกองกำลังผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จำนวนหนึ่ง เหตุเกิดริมถนนหมายเลข 401 หรือถนนสายมหาดไทย ตรงบริเวณกิโลเมตรที่ 102 บ้านสองพี่น้อง ตำบลคลองสก อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ จากการได้รับรายงานข่าว ผู้สื่อข่าวกรมประชาสัมพันธ์ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้รายงายต่อไปว่า สืบเนื่องจากการออกลาดตระเวนและติดตามข่าวของฝ่ายเจ้าหน้าที่ เพื่อติดตามกวาดล้างกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่กำลังเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนอยู่ระหว่างรอยต่อของอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับ อำเภอทับปุด และอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ได้เกิดการปะทะกันขึ้นเมื่อเวลาดังกล่าว นานประมาณ 1 ชั่วโมง โดยที่ทั้งสองฝ่ายได้ใช้อาวุธปืนและเครื่องยิงระเบิดยิงถล่มเข้าใส่กันอย่างหนัก และว่ากันว่าการปะทะกันในครั้งนี้ เป็นการปะทะที่รุนแรงที่สุดในรอบปี ต่อมาทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้วิทยุขอกำลังสนับสนุนจากหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงให้ยกกำลังมาช่วยเหลือ จนทำให้ผู้การร้ายต้องล่าถอย เมื่อเสียงปืนสงบลง ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการเคลียร์พื้นที่ ทราบว่าฝ่ายเจ้าหน้าเสียชีวิต 3 นาย บาด 18 นาย ส่วนผู้ก่อการร้ายก็คาดว่าน่าจะบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เพราะบริเวณพื้นที่ที่ปะทะกันนั้น พบรอยเลือดและเครื่องยังชีพจำพวกหม้อสนาม แปลนอน และเป้ประจำตัวของพวกผู้ก่อการร้ายจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังได้ยึดปืนอาก้าและปืนคาร์ไบน์ได้อย่างละหนึ่งกระบอก และในขณะนี้ก็ได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า ทางฝ่ายกองกำลังของเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว กำลังติดตามไล่ล่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายชุดนี้ไปอย่างกระชั้นชิด คาดว่าอีกไม่นานก็คงเกิดการปะทะสู้รบกันอีกระลอกอย่างแน่นอน หากมีผลคืบหน้าอย่างไร ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ก็จะนำมารายงานให้ท่านผู้ฟังได้รับทราบกันอีกครั้ง สวัสดีครับ"หลังจบข่าว ไอ้หมึกพูดขึ้นว่า "พวกเขาเขยิบมาใกล้จมูกพวกเราแล้ว" "อย่ามายิงกันแถวนี้ก็แล้วกัน" ไอ้บองหลาว่า"ไม่มาหรอก" ลุงทองพูด "ถ้าพวกคอมฯมันฉลาด ก็ต้องหลอกล่อให้ติดตามไปทางอื่น ป่าแถบนี้เหมาะที่จะกันไว้เป็นฐานที่มั่นในอนาคต เพราะเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีทางออกหลายทาง จะขนเสบียงมาตุนไว้ก็ทำได้สะดวก""แหม-ลุง" ไอ้หมึกหัวเราะ หึ หึ "อย่างนี้ต้องส่งไปอยู่หน่วยวางแผน""หัวทอ มีด้วยหรือ- -หน่วยวางแผน" ไอ้บองหลาขัดคอไอ้หมึก แล้วหันมาทางผม "มีไหมสหายนุ้ย?"สิ้นเสียงไอ้บองหลา พวกคอกัญชาด้วยกันก็หัวเราะ ฮา ฮา "หัวทอ กูไม่ใช่คอมฯ เว้ย" ผมว่า ไอ้บองหลาส่ายหน้า "แต่โคตรมึงอยู่บ้านส้อง...คอมฯทั้งเพ- -น่าจะรู้บ้างละนา ยัดแม่-ง-ห้องขังก็เคยมุดหัวเข้าไปนอนมาแล้ว...นั่นก็เรื่องคอมฯเหมือนกัน ของแค่นี้ไม่รู้ก็ผิดไปล่ะ""ก็มึงหัดใช้หัวคิดเสียบ้างซี" ผมว่า "แม้แต่โจรกระจอก ๆ จะออกปล้นแต่ละครั้ง ก็ยังต้องคิดวางแผนเสียก่อน แล้วนี่งานสำคัญระดับชาติ ไม่มีการวางแผน ก็แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง--จริงไหม?""ไอ้นั่นรู้ล่ะ" บองหลายกมือขยี้ปลายคางตัวเอง "แต่ที่อยากรู้ เขาเรียกหน่วยงานนั้นว่าอะไร""อ้าว- -ยัดแม่ ก็บอกแล้วไง กูไม่ใช่คอมฯ กูจะไปรู้แม่-งเรอะ! ไอ้เปรต อยากรู้นักก็ไปซี้ ไปขึ้นเขาช่องช้าง หรือไม่ก็บ้านเหนือคลอง ที่บ้านคุณตากูโน่น ไปไหม-กูจะพาไป"ไอ้บองหลามองผมตาเขียว"ไอ้ผี- -มึงไปเองเถอะ" ก็นั่นแหละ ! เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวตามแนวทางปฏิวัติล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยของกองทัพแดงในระหว่างนั้น เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าคนอย่างผม หรือใคร ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องจะมีโอกาสซึมซับได้ง่าย โดยเฉพาะผมก็เพียงแค่เคยสัมผัสพูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์ เหมือนอย่างพูดคุยกับพี่โสภาสเมื่อช่วงบ่ายมาบ้างเท่านั้น แต่ถ้าเป็นตำรับตำราเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็พอจะพูดได้ว่า ผมได้อ่านและได้ศึกษามาพอสมควร ทว่าเรื่องแบบนี้กับคนบางคนเราไม่อาจแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือพูดคุยเรื่อยเปื่อยกันได้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม อย่างน้อยก็เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ หลังจากนั้นอีกสองวัน สถานีวิทยุกระจายเสียงฯกรมประชาสัมพันธ์ ก็รายงานข่าวการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ถี่ยิบ ผมคอยติดตามข่าวและประเมินสถานการณ์การสู้รบของพวกเขาอยู่ทุกระยะ จนทำให้รู้ว่า กองกำลังทั้งสองฝ่ายได้ขยับพื้นที่ประจันหน้าถอยห่างออกจากพื้นที่เก่าไปเรื่อย ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายที่ได้ฟังข่าวก็เป็นการปะทะกันย่อย ๆ แถวอำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งอยู่ห่างจากดงเขายาพอสมควร แสดงว่าพวกกองกำลังปฏิวัติคงล้มเลิกการเคลื่อนพลสู้รบผ่านมาทางนี้ เพราะฉะนั้นการที่เขาคิดสงวนพื้นที่นี้ไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคตเหมือนที่ลุงทองว่าไว้ก็คงเกิดขึ้นได้จริงในขณะเดียวกัน หน่วยจรยุทธ์ของคุณสุภาพก็หายไปจากปากคลองเขายาอย่างไร้ร่องรอย... หรือการปรากฏขึ้นของพวกเขา คือการสืบสภาพพื้นที่นี้แต่เพียงอย่างเดียว? ผมสงสัยอีกแล้ว...****************************************
หากแฟน ๆ ท่านใดสนใจก้ขอให้รอการสั่งพิมพ์ครั้งที่ 2 นะครับ