มนุษย์
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน จากค้นคว้า...หามาเขียนครั้งที่แล้ว ซึ่งเขียนเอาไว้เมื่อก่อนเข้าพรรษา นับมาถึงเวลานี้ก็ใกล้จะออกพรรษากันแล้ว ซึ่งปีนี้วันออกพรรษาตรงกับวันอังคารที่ 14 ตุลาคม หลาย ๆ ท่านที่มีจิตศรัทธาแรงกล้า ได้ประพฤติปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในช่วงเวลาแห่งการเข้าพรรษานี้ เช่น รักษาศีล 5 บ้าง งดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์บ้าง หรือ บางท่านอาจจะงดรับประทานทุกวันไม่ได้ ก็งดแค่ทุกวันพระก็มีบ้าง เป็นต้น ในการนี้ผู้เขียนขออนุโมทนาบุญกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกท่านที่สามารถปฏิบัติกันมาได้จนเกือบจะครบพรรษาในเดือนหน้านี้แล้ว
พูดถึงการรักษาศีลภาวนานั้น ผู้เขียนมีความเห็นส่วนตัวว่า การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น นับว่าเป็นบุญอย่างยิ่ง ดังคำที่พระสงฆ์หลาย ๆ ท่าน หรือแม้แต่ท่านผู้รู้ในการพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า เป็นมนุษย์ สามารถทำบุญ ทำกุศล และสามารถปฏิบัติภาวนาให้บรรลุถึงขั้นโสดาบัน หรือจนถึงนิพพานได้
สมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็ก มักจะได้ยินผู้ใหญ่กล่าวตักเตือนสั่งสอนเสมอ ๆ ว่าให้ทำตัวเป็นเด็กดี ทำความดีมาก ๆ ตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา ต่อเมื่อได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังจึงได้รู้ความจริงว่า แม้แต่เทวดาที่เคยคิดว่าดีที่สุดแล้วยังไม่สามารถใส่บาตรพระ หรือบำเพ็ญเพียรภาวนาให้ถึงขั้นนิพพานได้ แต่มนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ สามารถไปทำบุญใส่บาตรพระได้ บำเพ็ญเพียรให้บรรลุจนถึงขั้นนิพพานได้ เรื่องนี้ในพระตรปิฎกก็มีเขียนไว้หลายบทหลายตอน ผู้เขียนจะไม่นำมาเขียนเล่าในวันนี้ แต่ที่เกริ่นไว้ในเรื่องของการเกิดเป็นมนุษย์นั้น ก็เพราะวันนี้ผู้เขียนจะนำความรู้เรื่องการเกิดเป็นมนุษย์มาให้ท่านได้อ่านกัน ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์และความเป็นจริงที่เราทราบกันดีอยู่นั้น เมื่อมารดาตั้งครรภ์ เด็กจะอยู่ในครรภ์มารดาเป็นเวลา 9 เดือน แต่หลาย ๆ ท่านคงจะไม่ทราบมาก่อนว่า กว่าจะมาเป็นเด็กอยู่ในถุงน้ำคร่ำในครรภ์มารดานั้น มีความเป็นมาอย่างไร
มนุษย์ ที่เกิดอยู่ในครรภ์มารดานั้น มีพัฒนาการดังนี้ค่ะ
ขั้นที่ 1 เราเรียกว่า เป็น กลละ มีลักษณะเป็นหยดโลหิตขนาดเล็ก ผ่องใส บริสุทธิ์ ที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งคำว่า กลละ นี้ ถ้าจะอธิบายลักษณะตามพระไตรปิฎก ท่านก็ว่า หมายถึง การที่เราเอาขนแกะจุ่มลงไปในน้ำมันงา แล้วยกขึ้นมาสลัดให้น้ำมันงานั้นหลุดออกไปจากขนแกะ ส่วนของน้ำมันงาที่ติดอยู่ที่ปลายขนแกะที่มีปริมาณน้อยนิดนั่นแหละ คือเป็นประมาณแห่ง กลละ ท่านผู้อ่านลองนึกภาพดูแล้วกันว่ามันจะเล็กปานใด ภาวะของ กลละ นี้จะค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 7-8 วัน จึงจะเข้าสู่ขั้น อัพพุทะ
ขั้นที่ 2 อัพพุทะ มีลักษณะเป็นโลหิตข้น มีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ซึ่งในขั้นนี้จะใช้เวลาในการพัฒนาเป็นเวลาประมาณ 7-8 วัน
ขั้นที่ 3 เปสิ ในขั้นนี้จะมีลักษณะเหมือนชิ้นเนื้อ แต่ยังมีสภาพเหลวอยู่ เหมือนก้อนดีบุกเหลว มีสีแดงเรื่อ ใช้เวลาในการพัฒนาประมาณ 7-8 วัน
ขั้นที่ 4 ฆนะ มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ เป็นแท่งทึบและมีสีแดงจัด ขนาดเท่าไข่ไก่ และใช้ระยะเวลาในการพัฒนาต่อไป ประมาณ 7-8 วัน เหมือนกัน
ขั้นที่ 5 ปัญจสาขา เป็นขั้นหรือระยะเวลาที่ก้อนเนื้อ ฆนะ จะเริ่มปรากฏเป็นปุ่ม 5 ปุ่ม เมื่อพัฒนาต่อไป ปุ่มหนึ่งจะเป็นศีรษะ 2 ปุ่มถัดมาเป็นแขน 2 ข้าง และ 2 ปุ่มสุดท้าย จะเป็นขาทั้ง 2 ข้าง
ถ้าเรานับระยะเวลาเริ่มต้นจากขั้นที่ 1 จนถึงขั้นที่ 5 นั้น ก็จะอยู่ที่ประมาณ 40 วัน หรือประมาณ 1 เดือนครึ่ง กว่าที่โลหิตก้อนนั้นจะพัฒนามาเป็นตัวทารกอย่างชัดเจน จากขั้นที่ 5 เป็นต้นไป ทารกก็จะพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ จนครบกำหนดคลอดออกมาลืมดาดูโลกอันสับสนใบนี้
ทีนี้เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ทางธรรมท่านกล่าวไว้ว่า มนุษย์ มีส่วนประกอบสำคัญด้วยกัน 5 กลุ่ม หรือ 5 กอง อันได้แก่
1) รูปขันธ์ ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า กองแห่งรูป หมายถึง ส่วนที่เป็นร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของธาตุทั้ง 4 หรือที่เรียกว่า มหาภูตรูป คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ รวมทั้งคุณสม บัติ และ คุณลักษณะของธาตุทั้ง 4 ที่เรียกว่า อุปาทายรูป หรือ รูปซึ่งอาศัยมหาภูตรูปด้วย
2) เวทนาขันธ์ แปลตามศัพท์ว่า กองเวทนา ได้แก่ ความรู้สึกของจิต เมื่อรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ผ่านทาง อายตนะภายใน 6 ประการ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ส่วนอารมณ์ของจิตนั้น คือ อายตนะภายนอก 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ( สิ่งที่มาถูกต้องกาย หรือเรียกง่าย ๆ ว่า สัมผัส ) และ ธรรมารมณ์ ( อารมณ์ที่เกิดทางใจ หรือ อารมณ์ที่ใจรู้ )
3) สัญญาขันธ์ สัญญา แปลว่า ความจำได้หมายรู้ จำแนกออกเป็น 6 อย่าง คือ
- รูปสัญญา จำรูปหรือสิ่งที่ตามองเห็นได้ - สัททสัญญา จำเสียงที่หูได้ยินได้ - คันธสัญญา จำกลิ่นที่รับรู้ทางจมูกได้ - รสสัญญา จำรสที่รับรู้ทางลิ้นได้ - โผฏฐัพพะสัญญา จำสิ่งที่รับรู้ทางกายได้ - ธัมมสัญญา จำธรรมารมณ์ หรือ สิ่งที่ใจรับรู้โดยตรงได้
4) สังขารขันธ์ แปลว่า กองแห่งสังขาร ก็คือร่างกายของเรานั่นเอง
5) วิญญาณขันธ์ คำว่า วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้ง หมายถึง การรู้แจ้งอารมณ์ที่จิตรับรู้ทางอายตนะภายใน ซึ่ง วิญญาณ นี้ จำแนกออกเป็น 6 อย่าง ตามอายตนะภายใน ซึ่งเป็นที่เกิดขึ้นของ วิญญาณ คือ
- จักษุวิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางตา ( รูป ) - โสตวิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางหู ( เสียง ) - ฆานวิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางจมูก ( กลิ่น ) - ชิวหาวิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางลิ้น ( รส ) - กายวิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางกาย ( โผฏฐัพพะ ) - มโนวิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางใจ ( ธรรมารมณ์ )
นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังตรัสเอาไว้ว่า มนุษย์ หรือ คน นั้นมี 4 ประเภท คือ
1) อุคฆฏิตัญญู หมายถึง ผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมได้ฉับพลัน หรือ ผู้เป็นอัจฉริยะ
2) วิปจิตัญญู หมายถึง ผู้ที่สามารถรู้ธรรมได้ เข้าใจได้ ก็ต่อเมื่อต้องอธิบายขยายความ
3) เนยยะ หมายถึง ผู้ที่พอจะรู้ จะเข้าใจธรรมได้ ต้องแนะนำชี้แจงโดยละเอียด แล้วฝึกหัดอบรมไปตามลำดับนั้น
4) ปทปรมะ หมายถึง ผู้มีปัญญาน้อย สอนให้รู้ให้จำเพียงถ้อยคำ หรือ เป็นบท แต่ไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของธรรมแต่ละคำแต่ละบทได้
ทั้งหมดนี้เป็นที่มา ลักษณะ และ ชนิดหรือประเภทของความเป็น มนุษย์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งอื่น ๆ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้เกิดมาเป็น มนุษย์ อีกด้วย โดยทางวิทยาศาสตร์แล้ว ต้องมีพ่อมีแม่ จึงจะเกิดการปฏิสนธิได้ ในส่วนของทางธรรมแล้ว ต้องมี กรรม หรือการกระทำอันเป็นเครื่องชี้นำทำให้มีการเกิด การแก่ การเจ็บ และ การตาย อันเป็นวัฏสงสารที่พระพุทธเจ้าได้พร่ำสอนเพื่อให้เราหลุดพ้นจากวงเวียนนี้ ซึ่งในส่วนของ กรรม นั้น มีรายละเอียดมากมาย ผู้เขียนจะนำมาเขียนเล่าให้อ่านกันในโอกาสต่อไป
ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้แต่ต้นแล้วว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นถือว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวง เพราะในหลักแห่งพระธรรมแล้ว การที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่งนัก โดยเฉพาะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจแล้ว จงฉกฉวยโอกาสนี้บำเพ็ญคุณงามความดีเอาไว้มาก ๆ เถิด เพื่อบุญกุศลเหล่านั้นจะได้เป็นเครื่องชี้นำพาเราไปเกิดในภพในภูมิที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป พูดกันง่าย ๆ ก็คือ ขอให้หมั่นขยันทำบุญ ทำกุศล ทำความดี เอาไว้เป็นเสบียงในการดำเนินเดินทางไปสู่ภพต่อ ๆ ไปตามกฎแห่งวัฏสงสารนั่นเอง แล้วอย่าลืมตอบตัวเองด้วยว่า ท่านเป็น คน ประเภทใด.....
ขอบุญกุศลที่ผู้เขียนได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติมา จงดลบันดาลให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน
มีความสุขกาย สบายใจ สุขภาพแข็งแรง สำเร็จซึ่งมรรค ผล และ นิพพาน ...เทอญ
สวัสดีค่ะ
Create Date : 25 กันยายน 2551 |
|
77 comments |
Last Update : 19 มีนาคม 2558 12:43:35 น. |
Counter : 2046 Pageviews. |
|
|
|
ขอขอบคุณ Theme & Line สวย ๆ
จากบ้านคุณแมว ซึ่ง...
ปอ ป้า ไปขอใช้บริการเป็นประจำ....